เทศน์อบรมฆราวาส
ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ศาสนาอริยสัจ
ปัจจัยที่รับจากพี่น้องทั้งหลายนี้ออกช่วยโลกเรียกว่าทั้งหมดนะ เราไม่เอา แบตลอด แต่การหยิบการยื่นเพื่อพี่น้องชาวไทยเรา เรารู้สึกจะหนักกว่าเพื่อน หนักมาก การวิ่งเต้นขวนขวายก็เรา การแนะนำสั่งสอนก็เรา ทุกสิ่งทุกอย่างมาอยู่กับนี้หมด พูดถึงเรื่องหนักหนักมากนะ การฟื้นฟูจิตใจคนเป็นเรื่องลำบากอันดับหนึ่ง เพราะมันเคยจมไม่ได้มีเหตุมีผลอะไร เพราะไม่ได้รับการแนะนำสั่งสอน ถ้าได้รับการแนะนำสั่งสอน.แม้แต่โจรผู้ร้ายเวลาเข้าไปบวชเขาต้องมีกิริยามารยาทเหมือนพระ เพราะเขาเข้าไปศึกษา อันนี้ไม่ได้ศึกษาอะไรเลยจะให้รู้เรื่องรู้ราวได้อย่างไร จะตำหนิเขาก็ไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ เกิดขึ้นมาก็เห็นแต่ความขยี้ขยำมูตรคูถคือความชั่วทั้งหลายทั่วหน้ากันไปหมด จะยกใครเป็นตัวอย่างอันดีก็ไม่มี มือเขาก็เต็มมูตร มือเราก็เต็มคูถ แล้วก็ปาใส่หน้ากันเลอะๆ เทอะๆ ไปหมด ไม่มีธรรมคือน้ำสะอาดคอยชะล้างกันบ้างเลยแล้วจะให้ดีได้อย่างไรมนุษย์เรา ไม่ใช่เกิดขึ้นมาแล้วก็ดีๆ
ตั้งชื่อตั้งนามดังเมืองไทยเราเป็นบ้าอยู่ทุกวันนี้ เป็นบ้าตั้งชื่อตั้งนาม โอ๊ย ชื่อนี่พอถามว่าชื่อว่าอย่างไร ให้คอยฟังฟากจรวดดาวเทียม แต่ไหนล่ะเจ้าของชื่ออยู่ไหน อยู่ก้นนรกนู่น นั่นมันเข้ากันได้เมื่อไร มันเป็นบ้าแต่กับชื่อกับนาม ไม่ฝึกฝนอบรมตนเองให้เป็นคนดีเลย ถ้าตั้งใจปฏิบัติฝึกฝนตัวเองเราดีทั้งนั้น อะไรก็ช่างเถอะอยู่กับเรา ถ้าเราชั่วไปอยู่ที่ไหนมันก็ชั่วอยู่ตลอด เขาดีกันทั้งบ้านทั้งเมืองก็ชั่วแต่เราผู้สร้างแต่ความชั่วนั้นแหละ มันไม่ได้มีดีนะ ให้มองดูตัวเอง
ธรรมะพระพุทธเจ้าท่านสอนเข้าไปสู่จิตใจก่อนอื่น มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา สิ่งทั้งหลายรวมลงที่ใจ มีใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน การคิดค้นทุกสิ่งทุกอย่างดีชั่วจะออกจากใจ นั่นธรรมท่านสอนลงที่ใจ ไม่ได้สอนไปที่ไหน ให้ใจสะดุดในทางชั่วทางดีจะมีทางแก้ไขตนเอง อันนี้มันไม่ได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมซิ มันได้ยินแต่เสียงเพลิดเสียงเพลิน เสียงร้องไห้ เสียงเศร้าโศกโศกา แล้วก็เสียงหัวเราะด้วยความเพลิดเพลินลืมตัว
ธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่า โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ. ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี่มันร้อนเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้อยู่ด้วยความลุ่มหลงงมงายของเราทั่วหน้ากัน แล้วยังมีหน้ามีตามาหัวเราะรื่นเริงกันอยู่เหรอ หัวเราะกันหาอะไร ทำไมไม่เสาะแสวงหาที่พึ่งคือความดีงาม นี่เป็นพุทธพจน์นะ ท่านคงจะรำคาญเอาเหลือทน พวกนั้นมันเมายาเมาเหล้ากัน มันฉากเข้ามา ก็พอดีพระองค์แสดงธรรมอยู่ขึ้นภาษิตนี้เลย มันมาอวดอ้างพระพุทธเจ้าละซิ คนที่ตั้งหน้าตั้งตามาเพื่อศีลเพื่อธรรมมีจำนวนมาก ยกขึ้นเพียงเท่านี้คนก็ได้รับประโยชน์มากมาย ไอ้คนที่มันเมาตายทั้งเป็นมันจะเป็นอะไรช่างหัวมัน เอาคนดีเป็นเหตุเพื่อจะได้เป็นความดิบความดีต่อไป จากพระโอวาทที่สอนนี้ โก นุ หาโส กิมานนฺโท ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันอยู่ตลอดเวลา เพราะความลืมเนื้อลืมตัวด้วยอำนาจกิเลสตัณหา แล้วทำไมยังมีแก่ใจมาหัวเราะกันล่ะ ทำไมไม่เสาะแสวงหาที่พึ่ง ท่านว่าอย่างนั้น คือท่านคงจะเหลือทนท่า ถึงได้ขู่เอาอย่างนั้นบ้าง
มันเหลือทนมนุษย์เรา ถ้าลงกิเลสได้ห้อมล้อมหัวใจปิดหัวใจตีบตันอั้นตู้ เราอย่าหวังนะเรื่องความสุขความเจริญจะมีอยู่ในโลกไหนก็ตาม จะมารวมอยู่ที่ใจเป็นภาชนะรับไว้ทั้งสุขทั้งทุกข์ ทั้งมหันตทุกข์ ทั้งบรมสุข ใจเป็นภาชนะอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจึงปรับปรุงใจของเราให้ดีเพื่อรับรองสิ่งที่ดีแล้วจะเป็นความสุขขึ้นที่ใจของเรา หวังหาความสุขความเจริญจะไปหาโลกไหนก็ไปเถอะไม่เจอ ถ้าไม่หาที่ตัวของเราและดัดแปลงแก้ไขตัวของเราให้เป็นคนดีแล้วไม่มีทางที่จะพบของดิบของดี พบความสุขความเจริญ
ธรรมท่านสอนลงที่หัวใจของโลกที่มันหมุนเป็นฟืนเป็นไฟ ด้วยการเอาน้ำดับไฟคือธรรมสาดกระจายออกไปให้ได้รู้เนื้อรู้ตัวบ้าง ไม่เช่นนั้นจะตายทิ้งเปล่าๆ เกิดมาชาติหนึ่งๆ อย่างชาติมนุษย์นี้ก็ยังดีนะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไอ้ชาติสัตว์ประเภทต่างๆ ที่มีจำนวนมากมายขนาดไหนมาเทียบกับชาติมนุษย์ซึ่งเท่ากำปั้นนี่ ชาติทั้งหลายของสัตว์ที่ต่างตัวต่างเสวยกรรมนี้มันมากขนาดไหน กับชาติมนุษย์ที่เท่ากำปั้นนี่ ชาติเขาเท่ากับแผ่นดินทั้งแผ่น เพราะสามโลกธาตุมีแต่สัตว์ตัวหลงงมงายทั้งนั้น
ผู้ที่จะมีความสว่างไสว มีนิสัยปัจจัยพอจะปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีบ้างมันเท่ากำปั้น ว่าอย่างนั้นเลย เราสมมุติว่าอยู่ในศาลานี่เต็มศาลานี่เขาไม่เป็นท่าๆ เท่ากำปั้นให้เป็นกำปั้นเราเสียดี ไม่มีใครได้รับความดิบความดี ไม่มีใครปฏิบัติดี เราปฏิบัติดีคนเดียว ได้รับความสุขคนเดียวเท่ากำปั้นก็ยังดี ให้คิดอย่างนี้นะ อย่าไปกังวลวุ่นวายกับใครมากนักยิ่งกว่าที่จะพิสูจน์ตัวของเรา ซึ่งเป็นผู้คอยรับทั้งผลบวกผลลบอยู่ในนี้ ผลบวกก็คือความดีงาม ผลลบก็คือความเสียหายที่เราสร้างขึ้นมา
ให้พากันพินิจพิจารณานะ การฝึกดี เพราะฉะนั้นจึงมีศาสนาประจำๆ มาตลอด ศาสนาเต็มบ้านเต็มเมืองไม่ทราบว่าศาสนาใดถูก ศาสนาใดผิด ศาสนาใดดี เพราะใครก็ว่าแต่ศาสนาของตนดีๆ แต่ศาสนาของพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ว่าคนนั้นดีคนนี้ชั่ว ท่านลงในจุดศูนย์กลาง เห็นไหมศาสดาไม่ให้กระเทือนโลกนะ เอาความจริงออกมาว่า คือพราหมณ์แก่มาทูลถามพระพุทธเจ้าถึงเรื่องศาสนา ศาสนาเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสารไม่ทราบจะยึดศาสนาไหนมาเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตาย มาทูลถามพระพุทธเจ้า
พราหมณ์คนนี้แต่ก่อนถือทิฐิมานะ ถือว่าตัวเป็นชาติอริยกะ พระพุทธเจ้าแม้เป็นอริยกะก็ตามแต่ยังเป็นเด็ก ยังไม่สมควรที่จะมานับถือเด็ก เราเป็นอริยกะเป็นคนแก่ ทีนี้สุดท้ายพิจารณาไปมา วันนั้นพระองค์เสด็จมาที่นั่นเล็งญาณดูพราหมณ์คนนี้ มาก็มาทบทวนตัวเอง เออ เรื่องชาติเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรเลย มันเกิดประโยชน์จากความดีงามต่างหาก นี่ก็เป็นวันสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าจะมาปรินิพพานที่เมืองนี้แล้ว ถ้าเราไม่ได้ไปทูลถามตั้งแต่เวลานี้เราจะเสียคนทั้งคนตายทิ้งเปล่าๆ อย่างไรเราต้องไป ถือทำไมทิฐิมานะว่าชาติอริยกะ เราเป็นปู่ย่าตายายของอริยกะ สิทธัตถราชกุมารเป็นเด็ก เป็นหลานๆ เท่านั้น เราจะมาถืออย่างนี้ไม่ได้ ความดีงามไม่ขึ้นอยู่กับลูกกับหลานกับคนเฒ่าคนแก่ ขึ้นอยู่กับคนดีผู้สร้างดีต่างหาก
แล้วก็มาหาพระพุทธเจ้า มาก็มาทูลถามพระพุทธเจ้าเรื่องศาสนา จะให้ถือศาสนาใดศาสนามากต่อมาก ยกศาสนาใดขึ้นก็ว่าของเขาเป็นของดีๆ ไม่ทราบว่าศาสนาใดเป็นของดี พระองค์ก็รับสั่งเลยว่า ศาสนาใดก็ตามถ้าศาสนาใดมีมรรค ๘ มีอริยสัจ ๔ นั้นละศาสนานั้นเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล ทรงมรรคทรงผลคือโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามรรค สกิทาคาผล อนาคามรรค อนาคาผล จนกระทั่งถึงอรหัตมรรค อรหัตผล จะอยู่ในศาสนานั้น
พอดีศาสนาพระพุทธเจ้าก็เป็นศาสนาอริยสัจ เป็นศาสนามรรค ๘ สัมมาทิฐิตลอดไปเลย เป็นแต่ทางดำเนินที่เรียบทั้งนั้นนะมรรค ๘ เรียบราบเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว พระองค์ก็มอบทางเรียบราบนี่ให้ อริยสัจเป็นทางเด็ดเดี่ยวที่จะพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวให้ พราหมณ์คนนั้นก็มาฟัง แล้วรับสั่งว่าที่เรามาที่นี่ก็มาเพื่อพราหมณ์คนนี้แหละ ขึ้นแล้วนะ เวลาเรามีน้อยอย่าถามเรามากมายไปเลย พอเทศน์ย่อๆ แล้วก็ให้พระอานนท์บวชให้ ให้ไปปฏิบัติธรรมอยู่ข้างๆ นี่ละที่เรานิพพาน อย่ามาเป็นกังวลกับเรา ให้พิจารณาทางด้านจิตตภาวนาค้นดูกิเลสตัวพาให้เกิดแก่เจ็บตาย ตายกองกันอยู่นี้คือกิเลสอยู่ในหัวใจ ให้แก้กิเลสด้วยจิตตภาวนา สอนย่อๆ ให้พระอานนท์บวชให้แล้วให้ไปปฏิบัติบำเพ็ญที่จะเป็นปัจฉิมสาวก วันนั้นลงใจ พราหมณ์แก่ๆ งกๆ งันๆ กำลังจะตายก็ยังมาอวดว่าตัวเป็นชาติอริยกะๆ มันกำลังจะตายมันจะไม่ได้ประโยชน์อะไร จึงได้พลิกกลับ เราจะเอาอริยโกะอริยกะมาอวดได้เหรอ คนเราดีเพราะการฝึกฝนอบรมต่างหาก
นี่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานแล้วในคืนวันนี้ ถ้าไม่ไปหาท่านเสียจะเสียประโยชน์อย่างใหญ่หลวง อย่างไรต้องไป ตัดอริยพราหมณ์แก่ๆ งกๆ งันๆ ออกแล้วคืบคลานมา พระพุทธเจ้าก็รับสั่งทันที ที่เรามานี่ก็เพื่อพราหมณ์คนนี้เอง นั่นทรงเล็งญาณไว้แล้ว ทุกข์ยากลำบากพระองค์ก็มา มาเพื่อพราหมณ์คนนี้เอง เอาให้ได้เป็นปัจฉิมสาวกในเวลาเดียวกันกับเราตาย ภาษาของเราว่าตาย ให้พระอานนท์บวชเสร็จแล้วไปเดินจงกรมภาวนาอยู่ในป่า มีอุปนิสัยถึงขั้นอรหันต์นี่นะ พระองค์ก็ทราบชัดเจนแล้วว่านี่จะได้เป็นปัจฉิมสาวกองค์สุดท้ายพร้อมกับการปรินิพพานของเรา
บวชแล้วก็ไปปฏิบัติ อย่ามาสนใจกับการเป็นการตายของเรา ให้สนใจกับความเป็นความตายซึ่งมีอยู่กับเจ้าของด้วยกันทุกคน เอา พิจารณา มันเป็นอย่างไรการเกิดการตาย เคยเกิดมากี่กัปกี่กัลป์แล้วไม่เข็ดหลาบอิ่มพอบ้างเหรอ เอามาพิจารณาตัวเองนี้ตัวเกิดตัวตายกองกันอยู่ในนี้ ในตัวของเรานี้แหละ ให้พิจารณาตรงนี้ แล้วก็ไปภาวนา พอถึงกาลเวลาที่พระพุทธเจ้าจะปรินิพพานแล้วทางนั้นก็บรรลุธรรมปึ๋ง พระพุทธเจ้าก็นิพพานพอดี นั่นละได้ปัจฉิมสาวกองค์สุดท้าย
นี่ละเห็นไหมล่ะเรื่องชื่อเรื่องเสียง เรื่องพราหมณ์แก่พราหมณ์อ่อนอย่าเอามาพูด พูดกับความดีความชั่วที่มันมีอยู่กับทุกคนไม่ว่าพราหมณ์แก่ พราหมณ์อ่อน พราหมณ์เด็ก พราหมณ์ผู้เฒ่างกๆ งันๆ มันมีความชั่วได้เหมือนกันหมดถ้าไปสร้างความชั่ว ถ้าเป็นความดีก็ได้ถ้าเราสร้างความดี ย่นเข้ามาตรงนี้ ท่านสอนไว้อย่างนั้นแล้วก็ไปปฏิบัติ สุดท้ายเป็นปัจฉิมสาวกขึ้นมา ชื่อสุภัททะหรืออะไรเราก็ลืมชื่อแล้วละ เอาละไม่ต้องตั้ง เอาวัตถุสำคัญนี่มาชี้แจงให้ท่านทั้งหลายทราบ เรื่องศาสนามันมีมากนะ พระพุทธเจ้าไม่ทรงตำหนิศาสนาใด มีแต่บอกตรงจุดศูนย์กลางไปเลย ถ้าศาสนาใดมีมรรค ๘ มีอริยสัจ ๔ ศาสนานั้นจะเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผลโดยสมบูรณ์
ท่านก็ขึ้นสมณะที่หนึ่ง สมณะที่สอง ที่สาม สมณะที่หนึ่งก็คือพระโสดา สมณะที่สองสกิทา ที่สามอนาคา ที่สี่อรหัตบุคคล จะรวมอยู่ในศาสนานี้หมดเลย ให้ไปปฏิบัติศาสนาคลี่คลายศาสนาซึ่งมีอยู่ในตัวนี้ออกให้กระจ่างแจ้ง ความบรรลุธรรมหรือความพ้นทุกข์จะเกิดขึ้นในสถานที่นั่นเอง พระองค์ก็สอน บรรลุจริงๆ ในคืนวันนั้น พราหมณ์แก่ นี่ละการได้รับการอบรม ถ้าไม่มา..ถือทิฐิมานะว่าเราเป็นพราหมณ์เฒ่าพราหมณ์แก่ พระพุทธเจ้าเพียงเป็นสิทธัตราชกุมารอยู่อย่างนั้นแล้วตายทิ้งเปล่าๆ พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอกแล้วไปเลย
พระองค์ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียจากพราหมณ์คนนั้น แต่พราหมณ์คนนั้นจะมีส่วนได้ส่วนเสียเกิดขึ้นกับตนที่คิดผิดและถูก เมื่อคิดถูกกลับตัวได้แล้วมาหาพระพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมให้ฟังทันทีได้เป็นปัจฉิมสาวก นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละการฝึกฝนอบรม การพิจารณาแก้ไข สิ่งที่ไม่ดีไม่งามอย่าฝืนทำ ถ้าสิ่งใดไม่ดีอยากทำเท่าไรก็อย่าทำ ทำลงไปแล้วเป็นภัยต่อตัวเองมากน้อย เป็นกับเราไม่เป็นกับผู้อื่นผู้ใด ความดีงามก็เหมือนกันถึงไม่อยากทำ เอา ให้ทำ เป็นคุณต่อเรา ใครจะไม่ฝืน เห็นไหมพระพุทธเจ้าสลบถึงสามหนฝืนหรือไม่ฝืน กว่าจะได้เป็นศาสดาบรรลุธรรมขึ้นมาเป็นศาสดาของโลกทรงสลบถึงสามหนนู่นน่ะ เห็นไหมล่ะ ทุกข์หรือไม่ทุกข์พระพุทธเจ้า
นี่ความตะเกียกตะกายเพื่อความดีงามทั้งหลายจนกระทั่งถึงความหลุดพ้น และเป็นศาสดาของโลกสอนพวกเรามาอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความตะเกียกตะกาย ความอดความทน หนักก็เอา เบาก็สู้ ถ้าเป็นความดีไม่ถอย อย่างนี้ต่างหาก ไม่ใช่จะเอาตามใจชอบๆ มีแต่ฉุดลงนรก อันใดที่กิเลสชอบมันจะบอกว่าดีทั้งนั้นแหละ จะเลวขนาดไหนก็บอกดี ถ้าลงกิเลสหลอกเชื่อได้ง่ายด้วยมนุษย์เรา ส่วนธรรมมันไม่ค่อยเชื่อง่ายๆ กิเลสนี่เชื่อง่ายนิดเดียวๆ
เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงตายกันไม่เข็ดไม่หลาบ ตายกองกันไม่ทราบภพใดชาติใด ไปเกิดเป็นสัตว์ตัวใด เปรตตัวใด ผีตัวใดบ้าง ลงนรกหลุมไหนบ้าง ก็ตัวเราเป็นนักทั้งนั้นละ เราอย่าว่าคนนั้นไปตกนรกหลุมนั้นหลุมนี้ ไปเป็นเปรตเป็นผีที่นั่นที่นี่ แล้วตัวเราก็เป็นนักเช่นนั้น นักเป็นเปรตเป็นผี นักตกนรกหมกไหม้ แล้วขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมก็ตัวเราเหมือนกัน มันมีขึ้นมีลงได้เหมือนกัน ให้แก้ไขตัวเอง ถ้าไม่แก้ไม่ได้นะ
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่รื้อฟื้น หรือรื้อขนสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยลำดับโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ที่จะฉุดลากสัตว์โลกทั้งหลายให้ลงไม่มี แต่กิเลสนั้นร้อยทั้งร้อยมีแต่ฉุดลงลากลงๆ เราจะเอาทางไหนให้ไปวินิจฉัยตัวเอง เราเกิดมากี่ปีแล้วที่มานั่งอยู่ศาลานี้ มีกี่ปีกี่เดือน ผลได้ผลเสียอยู่กับเราเอง ได้คิดหรือยังว่าเราทำความชั่วมามากเท่าไร ความดีเราทำได้มากน้อยเพียงไรเอาไปบวกลบคูณหารตัวเอง ถ้าเห็นว่าสิ่งที่ดีทั้งหลายยังบกพร่องให้รีบเร่งขวนขวายเพิ่มพูนขึ้นไป
ถ้าความชั่วมันมีจำนวนมาก ให้ลดความชั่วไม่ทำ อันนั้นก็จะหยุดชะงักในการให้ผลต่อไปและเป็นความชั่วต่อไปไม่ได้ เราสร้างแต่ความดี ความดีก็จะเพิ่มพูนขึ้น สุดท้ายก็ข้ามพ้นไปได้เพราะการฝึกหัดดัดแปลงตนเอง ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ดีขึ้นเองๆ มันดีแต่ชื่อนั่นแหละ แต่ตัวของคนมันเป็นเปรตเป็นผีอยู่ใต้ก้นนรกเรารู้ไหมล่ะเวลานี้ ร่างเราเป็นมนุษย์แต่จิตใจต่ำทรามมันอยู่ก้นนรกแล้วเวลานี้ ตายแล้วก็ผึงลงนรกเรารู้ไหม
จ่านรกเขาเบื่อเขาจดทะเบียนบัญชีผู้ที่สมัครลงนรกมีมากขนาดไหน จนจ่านรกเขาจะตายแล้วนะเขาจดทะเบียนบัญชีผู้ที่ลงนรก ผู้ที่จะไปสวรรค์มีจำนวนน้อยๆ แล้วเราอยู่ทางไหนเวลานี้ อยู่ทางยมบาลเขาขี้เกียจขี้คร้าน เขาท้อแท้อ่อนแอ เขาอิดหนาระอาใจต่อการเซ็นชื่อเซ็นนามของพวกนักทำความชั่วทั้งหลายนั้นเหรอ หรือเราจะเอาทางท่านผู้ที่เซ็นชื่อเซ็นนามเราไปสวรรค์ ให้พากันพิจารณาเสียแต่บัดนี้นะ
อย่านอนใจนะ ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาสดๆ ร้อนๆ ปลุกคนให้ตื่นตลอดเวลา ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย เดือนนั้นปีนี้ไม่มี มีอยู่กับเรา มันจะทำความชั่วช้าลามกมาเท่าไร ก็ตัวของเราเป็นคนทำเองทำไมเราจะแก้ไม่ได้ เราทำเราทำหมดทั้งตัวเราแก้มันหมดทั้งตัวทำไมแก้ไม่ได้ ถ้าแก้ไม่ได้คนดีไม่มี พระพุทธเจ้าก็ไม่มีในโลกนี้ แก้ได้นั่นเอง พระพุทธเจ้าจึงมีในโลก ให้ไปแก้ตัวเองนะ ไม่อย่างนั้นตายทิ้งเปล่าๆ นะ
ศาสนานี้เรากอดคัมภีร์มานานแล้ว แต่เห็นเป็นกระดาษเศษหรือหนอนแทะกระดาษไปเสีย ไม่สนใจที่จะประพฤติปฏิบัติตามตำรับตำราที่ท่านสอนไว้ ซึ่งเป็นความถูกต้องแม่นยำอะไรเลย ให้พยายามปฏิบัติ แล้วยิ่งมีครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนสดๆ ร้อนๆ มรรคผลนิพพานก็ออกจากความสดๆ ร้อนๆ ของท่าน มันน่าจะเอาไปคิดบ้าง แล้วประการหนึ่งพอพูดนี้มันก็มาสัมผัสตัวเองที่สอนท่านทั้งหลาย
การสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ไม่ได้ไปหา ลูบๆ คลำๆ ที่ไหนนะ แต่ก่อนก็ไม่เป็น ลูบๆ คลำๆ อย่างนั้นแหละ แม้ที่สุดว่าบาปมีหรือไม่มีมันก็ลงไปทางจะไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มีไปแล้ว เพราะความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น ความมืดบอดของกิเลสมันปิดหมดในความจริงทั้งหลาย มันไม่ยอมรับ แต่สิ่งจอมปลอมมันยอมรับ มันก็ไปทางชั่วๆ ทีนี้อบรมเข้ามาๆ มันก็ค่อยคลี่คลายออกมาๆ ค่อยขยายตัวออก บาปบุญนรกสวรรค์ ต่อไปอยากละที่นี่ ความอยากไปสวรรค์อยาก อยากไปพรหมโลกก็อยาก ต่อไปหนักเข้าอยากไปนิพพานถ่ายเดียวไม่เป็นอย่างอื่น
เกิดมาในชาตินี้ขอให้ได้ถึงนิพพาน ขอให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ เอา จะทุ่มลงเลย ท่านผู้ใดแสดงธรรมให้ฟังเป็นที่ตายใจได้ว่า มรรคผลนิพพานมีอยู่โดยสมบูรณ์ เราจะมอบกายถวายตัวท่านผู้นั้นแล้วเราจะเอาตายเข้าว่าเลย นี่มันเป็นในหัวใจเราแล้วนะที่ได้มาสอนพี่น้องทั้งหลายอยู่นี่ สอนไม่สะทกสะท้านด้วย เวลานี้ไม่ได้สอนลูบๆ คลำๆ เพราะฉะนั้นขอให้ฟังให้ดีก็แล้วกันผู้ฟัง เอาจริงเอาจังนะปฏิบัติ พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ละมาเปิดแดนนรก สวรรค์ นิพพานให้เห็นชัดเจนเต็มหัวใจเลย
นั่นละที่นี่ทุ่มเลย เป็นก็เป็น ตายก็ตาย เหตุคือความเชื่อหนักในมรรคผลนิพพานขนาดไหน ทีนี้ผลก็คาดว่าจะหนัก เหตุอีกอันหนึ่งในทางที่ดีมันก็หนัก สร้างแต่ความดีงาม จะเอาให้หลุดพ้นๆ ไปที่ไหนจะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนเหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ แล้วนะ พอแม่ครูจารย์แสดงธรรมให้ฟัง นี่ละท่านเปิดมรรคผลนิพพานให้เห็นประจักษ์ใจ แต่ก่อนเรียนก็เรียน เราไม่ได้ประมาทตำรับตำราแต่เราเป็นผู้ประมาทเราเอง จึงไม่ค่อยเชื่อเท่าไร พอมาฟังธรรมของหลวงปู่มั่นเรานี้เปิดหมดเลย สวรรค์นิพพานอยู่ที่หัวอกๆ อยู่ชั่วเอื้อมๆ จากนั้นก็ทุ่มเลยทันที เอาจริงเอาจังนะไม่ใช่เล่นๆ
เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการกิริยาอาการจึงมีลักษณะเข้มข้นๆ ตามนิสัยที่จริงจังมาตลอด ทั้งๆ ที่บางทีเหมือนจะกัดจะฉีกแต่หัวใจไม่มี เต็มไปด้วยเมตตาแทน กับคนที่สำคัญว่าความโมโหโทโสมากนั่นน่ะ มันไม่มี มันมีแต่ความเมตตามากแทนกันเข้าไปเสีย นี่ละมันพลิกได้นะจิต เมื่อจิตไม่มีพิษจะทำอะไรให้มีก็ไม่มี กิริยาอาการจะแสดงได้ทุกแบบ แต่จิตนั้นเป็นของตายตัว เมื่อบริสุทธิ์แล้วจะให้เป็นแบบไหนไม่เป็น
เช่นสมมุติว่าเขามาฆ่านี่ จะคิดเคียดหรือโกรธแค้นให้เขาไม่มี ตายก็ตายไปเฉยๆ เอา พูดให้มันชัดเจนอย่างปัจจุบันนี้ เราไม่เคยกลัว ไม่เคยกล้ากับอะไร สามแดนโลกธาตุไม่เคยมี มีทุกแห่ง หลายแห่งหลายหนที่มีคนพยายามจะฆ่า ลูกศิษย์ลูกหาเขาก็เห็นประจักษ์ เราเองก็เจอแต่เราไม่เคยสนใจ เกิดกับตายมีอยู่กับเรา ใครไม่ทำอะไรมันก็ตายถึงวันมัน นั่น ลงแล้ว การเกิดการตายเราเรียนจบแล้วเราไปตื่นเต้นหาอะไร เราไม่ตื่น ใครจะว่าอะไรเราเฉยตลอดไปเลย เป็นอย่างนั้น นี่เวลาเรียนจบแล้วเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เคยกลัวไม่เคยกล้าต่อความเป็นความตาย ไม่กลัวไม่กล้า อยู่ตามหลักธรรมชาติแห่งความจริงที่ได้รู้เห็นอย่างเต็มหัวใจแล้ว
ธรรมประเภทนี้เคยมีที่ไหนแต่ก่อน มันก็เกิดขึ้นจากการอบรมศึกษาบำเพ็ญตลอดเวลาด้วยความอุตส่าห์พยายามแล้วจ้าขึ้นมาๆ จนกระทั่งว่าความเป็นกับความตายมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่เคยสะทกสะท้านกับฝ่ายไหนว่าฝ่ายเป็นฝ่ายตายไม่มี มีน้ำหนักเท่ากันกับคนๆ เดียวนี้ เกิดคนนี้ตายคนนี้เท่านั้นพอ นั่นเวลามันเรียนรอบแล้วไม่ตื่นเต้นนะ กลัวก็ไม่มีกล้าก็ไม่มี อยู่ตามหลักธรรมชาติ ธาตุขันธ์ที่เขาจะชำรุดทรุดโทรมไปไหนก็รู้ แก่มันรู้กันทั้งโลกนั่นละ แก่ไปทุกวันตั้งแต่เด็กขึ้นมาหาผู้ใหญ่ แก่ก็รู้ในตัวเจ้าของเองก็ไม่เห็นตื่นเต้นอะไร
เอา..มันแก่ แก่ขนาดนี้เป็นอย่างไรกลัวตายไหม ไม่ได้กลัว กล้าตายไหม ไม่กล้า ความกลัวความกล้าเป็นเรื่องสมมุติทั้งมวล แน่ะไปอย่างนั้น อันนั้นไม่ใช่สมมุติ ไปตรงกลางนั้นเลย ให้มันเรียนจบเถอะน่ะความกล้าความกลัวหายหมด ไม่มี มีแต่ธรรมทั้งแท่งอยู่ในหัวใจหนาแน่นยิ่งกว่าแผ่นดินทั้งแผ่น จิตใจของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วหนาแน่นยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกแผ่นดินทั้งแผ่น กิริยาอาการจะแสดงอาการอย่างไรบ้างก็ตามโลกสมมุตินิยม แต่จิตในหลักธรรมชาติของความบริสุทธิ์เต็มส่วนแล้วจะไม่มีอะไรไหวเลย ไม่มีอะไรกระดุกกระดิก พอตัวตลอดเวลา
นั่นละนิพพานเที่ยงเที่ยงอยู่กับจิตดวงนั้นแหละ คำว่านิพพานหรือว่าธรรมธาตุอันเดียวกัน มันเข้าถึงจิตแล้วไม่ต้องถามใครมันก็รู้เองๆ สนฺทิฏฺฐิโก อยู่กับผู้ปฏิบัติธรรม ไม่รู้ธรรมจะรู้อะไร ปฏิบัติธรรมต้องรู้ธรรม ผลของงานที่เราทำมาได้มากน้อยเพียงไรมันก็รู้อย่างชัดเจนๆ นั่นการปฏิบัติให้เป็นอย่างนั้นนะ ให้พากันอุตส่าห์พยายาม อย่าอยู่เฉยๆ กินเฉยๆ นอนเฉยๆ ลมหายใจหมดไปๆ ถึงวาระสุดท้ายก็ตายไป แล้วไปนิมนต์พระวัดนั้นวัดนี้มา พระทั่วประเทศไทยวัดจะร้าง นิมนต์มากุสลา ธมฺมา ผู้เฒ่าคนนี้ตายแล้วไปไหนนาๆ
ย่นเข้ามาหาหลวงตาบัวตายนี้ใครอย่าไปนิมนต์พระมากุสลานะ เราเรียนจบทุกอย่างแล้ว นิมนต์มาหาอะไร นั่นพูดให้มันชัดอย่างนี้ เราหมดสงสัยในสามแดนโลกธาตุ แม้ที่สุดกุสลา ธมฺมา ก็เป็นสมมุติอันหนึ่ง จิตผ่านไปหมดแล้ว กลับมากล้ามากลัวกับอะไรเหล่านี้อยู่ได้เหรอ นั่นซิจึงเรียกว่ารู้ ให้มันรู้อย่างนั้นซิ ไม่ได้ถามใคร เป็นขึ้นกับจิต นี่ละพอๆ พระพุทธเจ้าว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้ผลของงานตนไปโดยลำดับๆ ถึงขั้นใดภูมิใดรู้ จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นรู้ประจักษ์อย่างเต็มสนฺทิฏฺฐิโก นั่นเป็นอย่างนั้น
ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมครึล้าสมัยเหรอ ที่ทันสมัยล้ำยุคล้ำสมัยทุกวันนี้มีแต่กิเลสหรือ หลอกอะไรเชื่อๆ มันหมดจมูกแล้วนะ มันจูงจมูก จมูกขาด พวกนี้มีจมูกติดตัวมาบ้างไหม หรือกิเลสสนตะพายลากไปขาดไปหมดแล้วเหรอ ให้ธรรมท่านได้ฉุดลากบ้างซิ จะได้เป็นความดิบความดีต่อตัวของเราเอง ให้ฟังนะ ศาสนาพระพุทธเจ้านี้จ้ามาได้ ๒๕๐๐ ปีนี้ เรานอนหลับนอนฝันอยู่ไหน ตอนที่เราไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ยกให้ ตอนนี้เราเกิดเป็นมนุษย์แล้ว เราพบพุทธศาสนาแล้วให้ฟังให้ถึงใจ ให้นำไปปฏิบัติให้ถึงขีดถึงแดน ผลรายได้รายเสียถ้าตกนรกพระพุทธเจ้าจะตกแทน ถ้าเราทำตามพระพุทธเจ้าแล้ว
หรืออย่างหนึ่งหลวงตาบัวจะพาไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่า คนนี้ๆ เขาปฏิบัติแทบเป็นแทบตายเวลานี้จิตใจเขาเดือดร้อน ยมบาลรอจะมาลากแข้งลากขาเขาลงไปอยู่ต่อหน้าต่อตานี้ ให้หลวงตาบัวช่วย หลวงตาบัวช่วยไม่ได้ หลวงตาบัวจะพาไปฟ้องพระพุทธเจ้า ธรรมพระพุทธเจ้าสอนว่าคนทำดี เขาทำดีแล้วทำไมจึงเป็นอย่างนี้ จะไปฟ้องพระพุทธเจ้า นี้มันไม่เห็นน่ะซิพอจะไปฟ้องพระพุทธเจ้าได้ มันหากเป็นของตัวเอง ฟ้องตัวเองแล้วทำลายตัวเองไปในตัว ตัดสินก็กรรมของเจ้าของตัดสินเอง จะไปหาผู้พิพากษาที่ไหนมาตัดสิน ความดีความชั่วเป็นเครื่องตัดสินตัวเอง อยู่กับตัวทั้งหมด อย่าไปหาผู้พิพากษาที่ไหนมาตัดสินนะ
ให้ดูความคิดการกระทำดีชั่วของตัวเอง มันจะรู้กันที่นั่นละ ตรงนี้เป็นที่ตัดสินกันเด็ดขาด ธรรมพระพุทธเจ้าสอนลงที่นี่แหละ ไม่สอนที่ไหน อย่าไปเชื่อที่อื่นที่ใด ให้เชื่อคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วนำคำสอนเข้ามาเป็นเครื่องมือภาคปฏิบัติ เอา ให้มันเห็นจริงๆ จังๆ กันนี้ เอาตรงนี้มันก็ถูกต้อง พากันเข้าใจแล้วนะบรรดาลูกหลาน เทศน์ไปเทศน์มารู้สึกว่าเหนื่อยๆ สุดท้ายก็ลงแล้ว มันหมดกำลัง เอาละพอ
พระพุทธเจ้าสอนโลก สาวกทั้งหลายท่านสอนโลก กับธรรมดาที่มีกิเลสสอนโลกผิดกันมากนะ พระพุทธเจ้าสอนโลกเลิศเป็นอันดับหนึ่ง สาวกทั้งหลายรองลงมาเป็นอันดับที่สอง สดๆ ร้อนๆ ทำให้ผู้ฟังเคลิ้มไปตาม ไม่ใช่เคลิ้มหลับนะ คล้อยไปตาม คือจิตใจมันดูดดื่ม ฟังแล้วมันซึมซาบภายในจิต
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|