เทศน์อบรมฆราวาส
ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
จิตเบิกด้วยธรรม
(ท่านผู้หญิงหน่อยมากราบถวายปัจจัย ๑๖,๐๐๐ แด่องค์หลวงตา) มารยาทนี้งามเหมือนคุณพ่อนะ คำพูดคำจามารยาททุกอย่างเป็นแบบพิมพ์เดียวกันกับคุณพ่อท่านราชเลขาที่ล่วงไปแล้วนั้นเหมือนกัน แต่มาเข้ากันได้ยังไงกับแมว ปั๊บตีปุ๊บๆ เข้ากันได้สนิทนะ แปลกดี ทางนี้เหมือนลิงด้วย เหมือนแมวด้วย ทางนั้นเรียบเลย
พอพูดอย่างนี้ทำให้ระลึกถึงที่ท่านแสดงไว้ในตำรา พระองค์นั้นนามท่านชื่อพระสันตกายท่านนิ่มทุกอย่างเลย พระองค์ไหนชี้เป็นเสียงเดียวกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ คือเหมือนผ้าพับไว้ เหลือบซ้ายมองขวาอะไรนี้เหมือนมีสติตลอดเวลา พระเห็นแล้วงามตางามใจจึงไปทูลถามพระพุทธเจ้า ว่าท่านองค์นี้สำเร็จพระอรหันต์แล้วเหรอ เพราะดูอะไรนี้เหมือนพระอรหันต์ ท่านองค์นั้นก็ไม่เคยเห็นอรหันต์ ว่าดูอะไรเหมือนพระอรหันต์ เหมาใส่เลย
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ายัง พระชื่อสันตกาย พระองค์นี้ท่านเคยเป็นราชสีห์ ทุกวันนี้เขาคงจะเรียกว่าสิงโตละมัง กิริยาราชสีห์ กิริยาเสือโคร่ง มันกิริยาเรียบเหมือนกัน นิ่มเหมือนกัน มีสติตลอดเวลา พระทั้งวัดเห็นนี้ชมเชย เหมากันตามกิริยานั้นละว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แล้วเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าท่านสันตกายนี้เป็นพระอรหันต์หรือยัง บรรดาพระทั้งหลายสงสัยค่อนข้างจะหนักไปทางอรหันต์ ไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ก็รับสั่งว่ายัง ทำไมกิริยามารยาทท่านถึงได้อ่อนนิ่มเอานักหนา ผิดพระทั้งหลายอยู่มากทีเดียว ถ้าว่าท่านเป็นพระอรหันต์จะสม
พระองค์ก็รับสั่งว่ายัง ยังไม่ได้เป็นอรหันต์ แต่กิริยามารยาทนี้เธอเคยสั่งสมมาแล้วตั้งแต่สมัยเธอเป็นราชสีห์ เธอเป็นราชสีห์ติดๆ กันมาห้าร้อยชาติ นู่นน่ะฟังซิ เพราะฉะนั้นกิริยามารยาทราชสีห์จึงเป็นเหมือนเสือโคร่ง นุ่มนวลไปหมด ราชสีห์เวลาจะไปจะมา จะไปที่ไหนมีสติสตังรอบคอบทุกอย่าง พระองค์นี้ท่านเคยเป็นราชสีห์มา บอกว่าติดๆ กันถึงห้าร้อยชาติ เพราะฉะนั้นกิริยานั้นจึงติดนิสัยท่านมา เวลามาเป็นมนุษย์แล้วเป็นกิริยาอย่างนี้ มาเป็นพระแล้วก็แบบนี้แหละ แต่เธอนั้นยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์
ท่านเลยยกธรรมเทศนาขึ้นว่า สนฺตกาโย สนฺตวาโจ สนฺตมโน สุสมาหิโต วนฺตโลกามิโส ภิกฺขุ อุปสนฺโตติ วุจฺจติ ผู้มีกายอันสงบจากบาปจากกรรมทั้งหลาย วาจาสงบจากวาจาที่เหลวไหลโลเล มีใจสงบด้วยการสำรวมดีเรียบร้อยแล้ว เป็นผู้ถึงความบริสุทธิ์ คายโลกามิสเสียได้โดยสิ้นเชิง ผู้นั้นแลคือเป็นบัณฑิตแท้ ยกคำนี้ขึ้นเทศน์สอนพระ พระได้สำเร็จมรรคผลนิพพานในคราวนั้นมากนะ พระสันตกายองค์นี้ก็ได้สำเร็จเป็นอรหันต์ในครั้งนั้น ครั้งที่ยกท่านเป็นต้นเหตุ เพราะท่านกิริยาสวยงามมาก นี่เป็นนิสัย
อย่างพระสารีบุตรยังได้ถูกตำหนิ เดินไปตามทางกับพระ เป็นพระอัครสาวกข้างขวาด้วย เป็นพระอรหันต์ด้วย เวลานำหน้าพระไปฉัน เวลาขากลับมาเดินมาท่านมาเห็นคลองเล็กๆ ท่านคิดสนุกตามนิสัยเดิมนะ ท่านไม่ได้คึกคะนองอะไรในใจแหละ หากเป็นนิสัยที่เคยคึกคะนองมันติดตัวมา พอท่านเดินไปนี้พระทั้งหลายก็เดินตามหลังมา เดินมาโดดข้ามปุ๊บทางนู้น โดดข้ามปุ๊บทางนี้ เดี๋ยวนี้โดดข้ามทางนู้นข้ามนี้ ทำไม เป็นทั้งพระอรหันต์ เป็นทั้งอัครสาวกข้างขวา แล้วทำไมจึงเป็นเหมือนลิง เลยยกโทษกัน
นำเรื่องนี้ขึ้นไปทูลพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงรับสั่งว่า เออ ถูกแล้วพระสารีบุตรเราเคยเป็นลิงมาเท่าไร นิสัยของเธออันนั้นละมันติดมา จะให้เธอมีความคึกความคะนองในใจนี้ไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง เหมือนพระอรหันต์ทั่วๆ ไปนั้นแหละ แต่กิริยาที่เป็นนิสัยนี้เพราะนิสัยวาสนาของบรรดาพระสาวกทั้งหลายละไม่ได้ ละได้เฉพาะพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว พระสารีบุตรนิสัยเธอเคยเป็นลิงมา เป็นเรื่องคึกคะนองตามกิริยานิสัยเดิม ไปนี้โดดข้ามทางนู้นกลับมาโดดข้ามทางนี้ โดดข้ามไปข้ามมา พระดูแล้วยกโทษท่าน
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ปลดเปลื้องให้ อะไรก็ตามถ้าพระพุทธเจ้ารับสั่งหรือตัดสินให้แล้วขาดสะบั้นเลยไม่มีเงื่อนต่อ อธิกรณ์อะไรๆ ก็ตามพระพุทธเจ้ารับสั่งคำเดียวขาดสะบั้น เพราะทรงยืนยันในพระทัยเรียบร้อยแล้วด้วย อย่างพระทัพพมัลลบุตร เขาหาว่าท่านเป็นปาราชิกราเชิกอะไร ว่าเป็นปาราชิกนะไม่ใช่ธรรมดา ขึ้นทูลพระพุทธเจ้าพระองค์รับสั่งคำเดียวเท่านั้น จะไปฟ้องร้องเธออะไร เธอเป็นสติวินัย หลุดพ้นแล้วจากสมมุติโดยประการทั้งปวง ว่าเท่านั้นพอ ทางนี้บรรดาผู้สงสัยก็หายสงสัยหมด นั่นพระพุทธเจ้าตัดสินให้ เธอเป็นสติวินัยอย่างยอดเยี่ยม สุดสมมุติแล้ว บอกอย่างนั้นแหละ
แต่ก่อนมีพระพุทธเจ้าทรงตัดสินๆ จากนั้นมาแล้วก็ไม่มีละ ต้องวินิจฉัยใคร่ครวญเป็นอธิกรณ์อะไรๆ กันนี้ยุ่งกันใหญ่ ผิดกลายเป็นถูกก็มี ถูกกลายเป็นผิดก็มี มันไม่เป็นความจริงเหมือนพระพุทธเจ้าทรงรับสั่งเองหรือตัดสินเอง ถ้าพระพุทธเจ้าตัดสินปั๊บนี้ขาดสะบั้นไปเลย เพราะพร้อมด้วยพระญาณหยั่งทราบทุกอย่าง
ในครั้งพุทธกาลพระบวชมานี้ส่วนมากต่อมากมุ่งต่อมรรคผลนิพพานๆ ทั้งนั้น ต่อมาก็ค่อยหดเข้ามา ย่นเข้ามาๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้เลยกลายเป็นเรื่องตรงกันข้ามไปแล้ว บวชเข้ามาเพื่อมรรคผลนิพพานดังครั้งพุทธกาลแทบจะไม่มี บวชเข้ามาเพื่อยศเพื่อลาภ เพื่อสรรเสริญเยินยอ บ้าอำนาจ บ้ายศ บ้ายกบ้ายอไปหมดแล้ว นี่ละธรรมกลายเป็นโลก พระเป็นผู้เสียสละกลายเป็นผู้มาสั่งสมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตำหนิ สิ่งที่ทรงชมเชยสรรเสริญคือความเสียสละโดยสิ้นเชิง ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องของกิเลสไม่ให้มีเหลือเลย เสียสละ พระคือนักเสียสละ
แต่นี้มันก็มากลายเป็นพระคือนักสั่งสมไปแล้วนี่ อย่างนี้ละกิเลสมันหนาแน่น มันแทรกเข้าไปๆ ในจิตใจนั้นแหละ ดังที่ว่าครั้งพุทธกาลบวชมาไล่เข้าป่า รุกฺขมูลเสนาสนํ บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อัพโภกาส ที่เป็นที่เวิ้งว้างสะดวกสบายในการบำเพ็ญสมณธรรม ปราศจากสิ่งรบกวน ให้ท่านทั้งหลายจงอุตส่าห์พยายามอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด
นี่อนุศาสน์ที่พระองค์ทรงพร่ำสอน หลังจากบวชแล้วสดๆ ร้อนๆ ก็สอนในเวลานั้นเลย จนกระทั่งทุกวันนี้โอวาทข้อนี้ก็เป็นโอวาทที่นำหน้า ถึงอุปัชฌาย์จะไม่ชอบเข้าป่าเข้าเขาอะไรก็ตาม เวลาสอนกุลบุตรผู้มาบวชต้องสอนให้เข้าป่าเข้าเขารุกขมูลร่มไม้ในป่า อุปัชฌาย์ไม่ชอบก็ต้องได้สอน ไม่สอนไม่ได้ ผิดหลักของอุปัชฌาย์ นั่นละครั้งพุทธกาลแท้บวชแล้วไล่เข้าป่า เพราะฉะนั้นในครั้งพุทธกาลบรรดาเศรษฐีกุฎุมพีและมหากษัตริย์ที่เสด็จออกบวชได้สำเร็จมรรคผลนิพพานมีจำนวนไม่น้อยนะ พอออกแล้วตัดขาดไปหมด คำว่าเศรษฐีก็ไม่มี มีแต่ชื่อ ธรรมเต็มหัวใจแทนที่กัน เป็นอย่างนั้น
อะไรๆ ตัดหมด พระราชามหากษัตริย์ตัดออกหมด เหลือแต่ผู้เสาะแสวงหาเพื่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้ในครั้งพุทธกาลเศรษฐีกุฎุมพี-พระมหากษัตริย์ ที่เสด็จออกทรงผนวชนั้นจึงได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์จำนวนไม่น้อย ในตำราท่านแสดงไว้อย่างนั้น พอออกแล้วตัดหมดคำว่าราชามหากษัตริย์-เศรษฐีกุฎุมพีนี้ตัดขาด ไม่เยื่อใยเลย ออกเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียว แล้วก็สมมักสมหมายตามที่ออกจริงๆ เพราะท่านออกด้วยความตั้งอกตั้งใจมุ่งอรรถมุ่งธรรมอย่างแท้จริง
เมื่อมุ่งอรรถมุ่งธรรม ธรรมเป็นของมีอยู่ทำไมจะไม่เจอ ทำไมจะไม่พบ มันมีอยู่ทั้งกิเลสทั้งธรรม เสาะแสวงหากิเลสมากน้อยก็ต้องได้กิเลสมากน้อยตามที่เสาะแสวงหา เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมมากน้อยก็ต้องได้ตามที่เสาะแสวงหา เพราะเป็นของมีอยู่ด้วยกันทั้งสองอย่างนี้ นี่ละพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว บรรดาพี่น้องทั้งหลายเกิดมาได้พบพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอด ท่านผู้เป็นเจ้าของศาสนาคือพระพุทธเจ้า เป็นผู้สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิง ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์บริสุทธิ์สุดยอดทีเดียว
การแสดงออกแห่งธรรมทั้งหลายนี้จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ไม่มีผิดมีเพี้ยนแม้แต่น้อยเลย เป็นคำสอนที่ตรงแน่วต่อบุญต่อกุศลต่อมรรคผลนิพพานโดยแท้ ผู้ปฏิบัติตามนั้นธรรมเหล่านี้ก็เป็นอกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา มีอยู่เป็นปัจจุบัน เหมือนกันกับกิเลสที่มีอยู่ประจำหัวใจสัตว์เป็นปัจจุบันตลอดเวลา ถ้าชำระกิเลสก็ขาดไปๆ หมดไป ธรรมะถ้าบำเพ็ญก็เจริญรุ่งเรืองขึ้น ถึงขั้นวิมุตติพระนิพพานได้เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเรียวแหลม เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบหมดในธรรมทุกขั้นทุกภูมิ
ผู้ปฏิบัติตามย่อมได้รับผลเป็นที่พอใจ นอกจากไม่ปฏิบัติเท่านั้น กอดคัมภีร์อยู่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าตั้งใจปฏิบัติ ศาสนธรรมมรรคผลนิพพานอยู่กับผู้บำเพ็ญ บำเพ็ญจะเกิดขึ้นที่ใจๆ ใจนั้นมีทั้งกิเลส มีทั้งธรรม เวลานี้กิเลสหุ้มห่อปิดบังจนมองหาใจไม่มี ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสสัมพันธ์อะไรกิเลสจะออกหน้าออกตาทำหน้าที่ของมันก่อนธรรมทั้งนั้น จนกว่าว่าได้รับการอบรมทางด้านธรรมะหนักเข้ามากเข้าโดยลำดับลำดาก็มีความเข้มแข็งมากขึ้นและก็ทันกิเลส
เวลากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายนี้ธรรมออกได้ทันๆ ต่อไปพอกระทบอะไรนี้เป็นธรรมล้วนๆ กิเลสออกไม่ได้ มีแต่ธรรม ตาเห็นนี้พิจารณาเป็นธรรมแล้ว หูได้ยินพิจารณาเป็นธรรม ไม่ได้เป็นกิเลสเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนนั้นพอตาเห็นหูได้ยินนี้เป็นกิเลสออกหน้าออกตาไปเรื่อยๆ ทั้งท่านทั้งเรา แต่เวลาได้ชำระจิตใจให้มีกำลังมากขึ้นๆ ธรรมก็ทันกิเลส สุดท้ายกิเลสก็อ่อนข้อลงไป ธรรมกล้าแข็งขึ้นโดยลำดับ กิเลสโผล่ขึ้นมามากน้อยเพียงไรขาดสะบั้นไปเลยๆ
เมื่อจิตได้ก้าวเข้าถึงธรรมอัตโนมัติ ความเพียรอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติ ก้าวเข้าสู่มหาสติ-มหาปัญญาแล้วกิเลสจะนับวันหมอบลงๆ โผล่หน้าขึ้นมาไม่ได้ ธรรมสังหารอย่างรวดเร็วๆ สุดท้ายก็ขาดไปจากใจ ไม่มีกิเลสเหลือเลย มีแต่ธรรม ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วเรียกว่าธรรมธาตุ แม้จะอยู่ในจิตของพระอรหันต์ท่านก็เรียกตามสมมุติ เวลาธาตุขันธ์ยังมีอยู่ท่านก็เรียกเป็นพระอรหันต์ พอสิ้นชีวิตหรือนิพพานไปแล้วคำว่าอรหันต์ท่านนิพพาน หมด จากคำว่านิพพานเป็นอะไร จิตของท่านเป็นอะไร จิตของท่านเป็นธรรมธาตุ
นี่ละที่นี่ที่สุดของจิตที่ไม่เคยสูญเลย ถึงขั้นสุดท้ายก็เป็นธรรมธาตุ จิตนี้ไม่เคยสูญ จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ยอมรับว่าทุกข์ ตกนรกตั้งกัปตั้งกัลป์ก็ยอมรับความทุกข์ในนรกหลุมนั้นๆ จนกระทั่งกลายขึ้นมาเป็นคนดีด้วยกฎของอนิจฺจํ ในนรกก็มีกฎ อนิจฺจํ เปลี่ยนช้าขึ้นมา หากเปลี่ยน เปลี่ยนช้าขึ้นมาจนพ้นนรกขึ้นมาได้ เปลี่ยนขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงขั้นบำเพ็ญความดีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทีนี้ธรรมก็มีกำลังกล้าขึ้นมา สังหารกิเลสออกจากใจ คำว่ากฎอนิจฺจํจึงไม่มีในใจของท่านผู้บริสุทธิ์ หมด คำว่าอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ในใจที่บริสุทธิ์นั้นไม่มี จะมีแต่ในธาตุในขันธ์เป็นอย่างนั้นทั่วๆ ไปกับโลกทั้งหลาย แต่ใจของท่านที่บริสุทธิ์แล้วปราศจากกฎของอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มีเลย
นี่แหละจิตนี้ละเป็นธรรมธาตุ แต่ท่านไม่ค่อยเรียกละธรรมธาตุ จะเรียกเป็นพระอรหันต์ๆ พอนิพพานแล้วพื้นเพสำคัญที่รับไว้อย่างตายตัวก็คือจิตนั้นเป็นธรรมธาตุ คำว่าพระอรหันต์ก็นิพพานแล้วเท่านั้น นิพพานกับธรรมธาตุจึงเป็นอันเดียวกัน นี่ละอำนาจแห่งการบำเพ็ญจิตใจ ใจดวงนี้ไม่เคยสิ้นเคยสูญ ไม่เคยดับ มีอยู่อย่างนี้ตลอดมา จนกระทั่งถึงที่สุดหลุดพ้นแล้วก็กลายเป็นธรรมธาตุไป ไม่มีคำว่าสูญ ท่านจึงให้อบรมความดีงาม พอถึงขั้นนี้แล้วเรียกว่าตัดบรรดาสมมุติทั้งมวลในสามแดนโลกธาตุนี้ที่ได้เคยคละเคล้ากันมาแต่ไหนแต่ไรนี้ ขาดสะบั้นลงไปในขณะที่จิตได้ถึงขั้นบริสุทธิ์เป็นธรรมธาตุแล้ว จึงไม่มีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย
นั่นละท่านว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นความสุขอย่างยอดเยี่ยม ก็คือธรรมธาตุนี้แหละ คำว่านิพพานเป็นสุขอย่างยอดเยี่ยม อันนั้นท่านก็คาด เรียกว่าบัญญัติขึ้นมา เพราะโลกมีสมมุติก็ต้องตั้งเป็นสมมุติขึ้นมา ว่านิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง ธรรมชาติอันหนึ่งที่นอกจากนิพพานนั้นคืออะไร นั้นละเรียกว่าธรรมธาตุ สุขอย่างยิ่ง ไม่สุขอย่างยิ่งก็ไม่มีอะไรเกินธรรมธาตุของใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้ว และปราศจากขันธ์ที่เป็นสมมุติโดยสิ้นเชิงแล้ว นั่นละจิตเป็นธรรมธาตุโดยสมบูรณ์
ท่านผู้บำเพ็ญความดีงามทั้งหลายตั้งแต่ต้นๆ จนอวสาน เมื่อบำเพ็ญไม่หยุดไม่ถอยความดีงามเพิ่มขึ้นๆ สุดท้ายก็ถึงวิมุตติหลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย ไม่มีคำว่าทุกข์ ตั้งแต่บัดนั้นไปท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง ก็คือธรรมธาตุนั้นแหละเที่ยง ให้ชื่อว่านิพพานหรือว่าธรรมธาตุ ออกจากใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้ว ปราศจากสมมุติทั้งปวง เป็นธรรมธาตุ หรือว่าเป็นนิพพาน นิพพานทั้งเป็น นิพพานเวลาตายแล้วก็มี นิพพานทั้งเป็นก็คือท่านผู้บริสุทธิ์แล้วเป็นพระอรหันต์ ท่านได้ครองสอุปาทิเสสนิพพานคือจิตบริสุทธิ์ ทรงวิมุตติเต็มหัวใจแล้วแต่ธาตุขันธ์ยังได้ครองกันอยู่ รับผิดชอบกันอยู่ ท่านเรียกว่าสอุปาทิเสสนิพพาน
ทีนี้พอธาตุขันธ์ขาดสะบั้นลงไปจากจิตดวงนี้ หมดความรับผิดชอบกันแล้วก็เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน เป็นนิพพานปราศจากสมมุติโดยสิ้นเชิง เรียกว่าปราศจากสมมุติล้วนๆ หมดเลย นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ มีศาสนาใดที่จะนำคำสอนที่มาสอนอย่างนี้โดยถูกต้อง ก็มีแต่พุทธศาสนาศาสนาเดียวเท่านั้น เพราะศาสนานี้ผู้เป็นเจ้าของศาสนาก็คือผู้บริสุทธิ์แล้วได้แก่เป็นศาสดา บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วนำธรรมมาสอนโลก จึงเป็นธรรมไม่แปลกปลอม เป็นธรรมที่บริสุทธิ์เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วๆ ถ้าใครฝืนธรรมนี้ก็เรียกว่าไม่ชอบ
ฝืนธรรมก็คือวิ่งตามกิเลส ให้กิเลสฉุดลากไป ฉุดลากไปก้าวหนึ่งก็ผิดไปก้าวหนึ่ง สองก้าวผิดไปสองก้าว สามก้าวสี่ก้าวก็ห่างจากความดีงามไป ห่างจากความสุขความเจริญความถูกต้องดีงามนี้ไป มีแต่ความผิดพลาดๆ ไปเรื่อย สุดท้ายคนทั้งคนก็ผิดพลาดไปหมดทั้งตัว ตายแล้วก็จม ไม่มีค่ามีราคาอะไรเลย นี่การกระทำความผิดพลาดแก่ตน จึงไม่ควรอย่างยิ่งสำหรับผู้มีพุทธศาสนาเป็นเครื่องพร่ำสอนอยู่
ขอให้พากันยึดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ให้ดี ไม่มีอะไรที่จะถูกต้องแม่นยิ่งกว่าศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า นอกจากนั้นมันปลอมแปลงทั้งนั้น อย่างกิเลสนี่ร้อยสันพันคม มันปลอมแปลง ต้มตุ๋นหลอกลวงสัตว์โลกไม่ให้มีวันเบื่อหน่ายอิ่มพอก็คือกิเลสหลอกลวงสัตว์โลก อย่างชาตินี้ว่าเป็นทุกข์ๆ ก็ยังอยากไปเกิดชาติหน้าอีก จะไม่ให้เป็นทุกข์ยังไง ความเกิดกับความตายมันไปด้วยกัน ความทุกข์ก็ไปด้วยกัน ชาติไหนมันก็เกิดเหมือนกันเป็นทุกข์เหมือนกัน
ถ้าผู้ที่ต้องการอย่างถูกต้องก็คือว่าไม่ให้เกิด เกิดนี้เกิดมาพอแล้ว แบกหามกองทุกข์มามากแล้ว ทีนี้จะสลัดความทุกข์ทั้งหลายที่มีกิเลสเป็นตัวสำคัญแทรกอยู่ในนั้น เพื่อสร้างกองทุกข์ให้แก่สัตว์ให้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ ให้ใจได้ถึงขั้นบริสุทธ์แล้วนั้นแหละหมด ไม่มีอดีต-อนาคต ทั้งปัจจุบันเป็นสมมุติด้วยกัน อันนั้นเป็นวิมุตติหลุดพ้นเรียบร้อยแล้ว นี่ธรรมของท่านผู้เลิศเลอ พระพุทธเจ้าหนึ่ง-พระอรหันต์หนึ่งเป็นผู้ครองธรรมประเภทนี้ไว้ได้โดยสมบูรณ์ เป็นธรรมธาตุ ที่ว่าเกลื่อนอยู่ในโลกธาตุนี่ก็คือธรรมธาตุนั้นเอง จะเป็นอะไร จากจิตที่บริสุทธิ์ละธาตุละขันธ์หมดแล้วก็กลายเป็นธรรมธาตุไปเลย บรรดาท่านผู้สิ้นกิเลสจิตของท่านเป็นธรรมธาตุ นี่ละแยกออกไปก็เป็นธรรมธาตุ จึงว่าไม่มีอะไรสูญ
ให้พากันตั้งอกตั้งใจ ระยะนี้รู้สึกว่าประชาชนชาวพุทธเราลืมเนื้อลืมตัวกันมาก พากันกระโดดโลดเต้น ดีดดิ้น ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ลืมเนื้อลืมตัว ชิงดีชิงเด่น มันไม่ใช่ชิงดีชิงเด่นมันชิงความชั่วความทุกข์กันต่างหาก แต่แล้วก็มาสมมุติเอาว่าชิงดีชิงเด่น ชิงความทุกข์ความเดือดร้อน ชิงความชั่วช้าลามกเต็มตัวๆ ด้วยกัน มันจึงมีตั้งแต่กองทุกข์ ให้พูดอย่างนี้ถ้าพูด เหมาะสมดี ชิงดีชิงเด่นก็ต้องชิงการสร้างความดีงามนั่นซิ เขามีความขยันหมั่นเพียรสร้างบุญกุศล เราก็ต้องขยันหมั่นเพียร
เอา..เฉพาะอย่างยิ่งผู้ออกปฏิบัติภาวนา ออกไปปฏิบัติภาวนาแข่งกันทำความเพียร อยู่ในป่าในเขาแข่งกันทำความพากความเพียร ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้นั้นยิ่งสนุกทำความเพียร เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาไม่มีกลางวันกลางคืน เว้นแต่เวลาหลับพักผ่อนธาตุขันธ์เท่านั้น นอกนั้นเป็นเวลาแข่งกิเลสที่มันเป็นวงล้อมอันใหญ่หลวงครอบงำจิตใจ เบิกกิเลสให้มันกระจายออกไปๆ จิตก็ขยายตัวออกไปเป็นความสว่างไสวกว้างขวางเบิกบานจนกลายเป็นจิตว่างไปๆ ว่างไปด้วยความแปลกประหลาดอัศจรรย์ด้วย นี่ละจิตเบิกด้วยธรรม คือด้วยความพากเพียรอยู่ในป่าในเขา
มองดูโลกที่ไหนก็ไม่มี เห็นแต่ความรู้ที่เด่นชัดอยู่ภายในหัวใจ ความรู้นี้เป็นความรู้ที่ละเอียดลออมาก เพราะได้ชำระอยู่ทุกเวล่ำเวลาด้วยความเพียรประเภทต่างๆ อยู่ในป่าในเขาก็มีแต่ความพากเพียรชำระกิเลส ไปอยู่ที่ไหนก็สะดวกสบาย ใจก็ว่างไปเป็นลำดับ เบาบางลงเป็นลำดับ จนกลายเป็นใจว่าง จิตว่าง ต่อจากจิตว่างแล้วก็วาง คำว่าวางนั้นมีอยู่สองประเภท จิตที่ชำระเข้าไปถึงขั้นที่ว่า..คือทีแรกเราอาศัยร่างกายนี้ก่อน อาศัยร่างกายดังที่ท่านอุปัชฌาย์สอนให้กุลบุตรบวชใหม่ว่าเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ให้พิจารณาอันนี้ก่อน นี้เป็นด้านวัตถุเป็นส่วนหยาบๆ
จากเกสา-โลมา สกลกายนี้ทั้งหมดเป็นส่วนหยาบ พิจารณาแยกส่วนแบ่งส่วนออกเป็นธาตุเป็นขันธ์ ออกเป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตาอสุภะอสุภัง แยกไปๆ จากนี้แล้วจิตพอ การพิจารณาร่างกายที่ว่านี้หมดไป ใจกลายเป็นใจว่างไปแล้ว พิจารณาอสุภะอสุภังในส่วนร่างกายนี้ผ่านแล้ว ขั้นนี้หมดไปก็ไปถึงขั้นที่ว่าง คือไม่ได้พิจารณาร่างกาย คือร่างกายผ่านไปเรียบร้อยแล้ว นี่ละจิตผู้ปฏิบัติภาวนารู้ได้ชัดๆ ไม่ต้องไปถามใคร เวลานี้จิตอิ่มตัวแล้วในการพิจารณาร่างกาย จะเป็นอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ก็ตามในส่วนร่างกายนี้หมดหรือว่าอิ่มพอไปโดยสิ้นเชิง ไม่เอา ไม่ต้องการอีกแล้ว อิ่ม
เมื่อถึงขั้นอิ่มนี้แล้วก็เข้าสู่ขั้นนามธรรม คือความเกิดความดับเข้าถึงขั้นว่างที่นี่ พอว่างเข้าแล้วจิตก็เบาลงๆ ร่างกายวัตถุนี้หมด ไม่เอาแล้ว พอแล้ว นั่น การพิจารณาร่างกายเมื่อถึงขั้นพอพอ จะพิจารณาอะไรก็ไม่ได้มันกลายเป็นจิตว่างไปหมดแล้ว พอพิจารณาอันนี้จะตั้งเป็นว่าอสุภะอสุภังได้อย่างไร มันเหมือนฟ้าแลบแพล็บเท่านั้นแล้วดับ ปรากฏขึ้นเป็นรูปพับดับพร้อมแยกไม่ทันว่าเป็นอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
เพราะฉะนั้นจิตจึงผ่าน มีความเกิดความดับของจิต ความคิดความปรุง เกิดขึ้นจากจิต เกิดขึ้นแล้วก็ดับๆ ตามลงไปๆ จนกระทั่งถึงจิต เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดมาจากจิตดับแล้วไปอยู่ที่จิต สิ่งที่แฝงอยู่ในจิตคืออะไร คืออวิชชา อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา ทำให้คิดให้ปรุงให้แต่ง พิจารณาเข้าไปๆ ถึงขั้นอวิชชาซึ่งเป็นรากเหง้าแห่งความเกิดแก่เจ็บตายของสัตว์โลก จนกระทั่งอวิชชาขาดสะบั้นลงไป ไม่มีสิ่งใดเหลือเลยแล้วนั้นละที่นี่เรียกว่าจิตว่างโดยแท้ วางโดยแท้ ทั้งว่างทั้งวางบริสุทธิ์สุดส่วน เรียกว่าว่างภายนอก ว่างภายใน คือใจตัวเองก็ว่าง ว่างภายนอก วางภายนอก ว่างภายในและวางภายใน
ทีนี้หมด ไม่มีอะไรเหลือเลยละที่นี่ เลยใจเป็นใจที่ว่างไม่มีสิ่งใดเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพันอีกเหมือนแต่ก่อนที่กิเลสตัวเป็นสาเหตุสร้างเหตุการณ์ต่างๆ ดับลงไปแล้วไม่มีอะไร ใจของพระอรหันต์จึงเป็นใจที่ว่างครอบโลกธาตุ ไม่มีเรื่องมีราวอะไรที่จะมาเกิดขึ้นอีก นอกจากกิเลสอย่างเดียวที่เป็นตัวก่อเรื่องก่อราว แต่ก็ดับไปเรียบร้อยแล้ว ยังเหลือแต่ความว่างเปล่า ภายนอกก็ว่าง ภายในก็ว่าง วางไปหมด ทั้งภายนอกก็วาง ภายในก็วาง นั่นคือจิตพระอรหันต์ว่างไปหมด ทีนี้เรื่องราวภายในใจตั้งแต่ขณะนั้นไม่มีอีกต่อไปเลย ท่านครองบรมสุขตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ ความทุกข์ไม่มีภายในใจเลย จนกระทั่งถึงนิพพานหรือว่าดับสลาย ท่านนิพพานไปเรียกว่านิพพานเที่ยง ไม่มีอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันอีกเลย นี่การบำเพ็ญธรรม
พุทธศาสนาสอนให้ถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพาน นอกจากนั้นจะเป็นศาสนาใดก็ตามไม่มีใครอาจเอื้อมสอนกันและกันให้ถึงพระนิพพาน ไม่มี อย่างมากก็แค่สวรรค์สอนก็สอนไปแบบด้นเดา ส่วนพระพุทธเจ้าสอนทั้งนรก สอนทั้งสวรรค์ สอนทั้งพรหมโลก สอนทั้งนิพพาน เพราะพระองค์ทรงทราบตลอดทั่วถึงหมดแล้ว ศาสนาจึงรวมยอดอยู่ที่พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอด เมื่อเรียนจบพุทธศาสนานี้แล้วเรียกว่าพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านเรียนจบศาสนา เรียนจบธรรม เมื่อเรียนธรรมจบภายในจิตใจแล้วใจก็เป็นธรรมอันเดียวกัน เรียกว่าว่างหมด วางหมด นี่ละเรียนจบ พุทธศาสนาสอนถึงขั้นนี้แหละ นอกนั้นไม่มี มีแต่พุทธศาสนาเท่านั้นสอนโลกให้ถึงนิพพาน ใครจะไปพูดได้นิพพาน กล้าพูดได้ แต่พระพุทธเจ้าทรงประกาศลั่นโลกธาตุมาเฉพาะองค์ปัจจุบันนี้ก็ ๒๕๐๐ กว่าปี ประกาศตั้งแต่ต้นถึงพระนิพพานอย่างอาจหาญชาญชัย ไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน เพราะพระองค์ทรงไว้หมดเรียบร้อยแล้ว สอนโลกจึงไม่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปไหนเลย
เราผู้ที่ล้างมือเปิบคอยฟังอรรถฟังธรรมท่าน นำไปปฏิบัติทำไมจะปฏิบัติไม่ได้ ตามกำลังความสามารถของเรา ถ้าจะให้กิเลสซึ่งมันเป็นเจ้ากี้เจ้าการอยู่แล้วมาจัดแจงเรา สั่งเสียเรา มันจะสั่งเสียตั้งแต่ความไม่ว่างทั้งนั้น การที่จะทำความดีไม่ว่ามากว่าน้อยไม่ว่างทั้งนั้น กิเลสปิดตันไว้หมดเลย แต่การที่จะเป็นไปตามกิเลสนี้เปิดโล่งๆ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงไปทางต่ำมากกว่าทางสูงคือทางดีงาม นี่ธรรมพระพุทธเจ้าก็เปิดให้ทราบทั้งสองทาง
ทางกิเลสเป็นทางปิดตันอั้นตู้ หาทางออกทางไปไม่ได้ มีแต่จมโดยถ่ายเดียว ทางด้านธรรมนี้เปิดโล่งๆ ด้านธรรมคือการสร้างความดีงามไม่ว่าจะเป็นประเภทใด การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา ซึ่งเป็นความดีงาม เอา สร้างลงไป เราสร้างเพื่อเรา แต่กิเลสมันก็มากีดขวาง ฟาดกิเลสให้ขาดสะบั้นออกไป เราก็มีทางที่จะเบิกกว้างออกไปเรื่อยๆ ต่อไปเมื่อใจกับธรรมเข้าสัมผัสสัมพันธ์กันแน่นแฟ้นเข้าทุกวันๆ ไม่ได้ทำไม่ได้นะ การบำเพ็ญธรรมต้องบำเพ็ญ ไม่บำเพ็ญไม่ได้ หนักเข้าๆ เอาทะลุไปเลย
นี่ละการบำเพ็ญทีแรกก็ยากลำบาก เพราะกิเลสกีดขวาง เมื่อชำระกิเลสเบาลงไปๆ ธรรมมีกำลังแก่กล้าก็ก้าวเดินออกๆ จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ได้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจ การสอนธรรมเหล่านี้เราเองแม้จะตัวเท่าหนูก็ตามเราไม่ได้สอนด้วยความสงสัย สอนด้วยความแม่นยำแน่ใจ ถอดจากหัวใจสอนท่านผู้ฟังทั้งหลาย จึงควรเป็นที่แน่ใจ การสอนนี้แน่ใจ เพราะหัวใจดวงนี้หมดความผิดพลาดทั้งหลายแล้ว เหลือแต่ความถูกต้องดีงามตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงขั้นสุดยอดแห่งความบริสุทธ์ อยู่ในหัวใจนี้หมด ครองไว้เรียบร้อยแล้ว สอนออกมาจึงไม่ผิด
ดังธรรมพระพุทธเจ้าท่านว่าสวากขาตธรรม หรือสฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ธรรมท่านตรัสไว้ชอบเรียบร้อยแล้ว ทีนี้เมื่อเข้าถึงใจได้กลั่นกรองเต็มที่เต็มฐานแล้วก็กลายเป็นใจที่บริสุทธิ์สุดส่วน แสดงออกแง่ใดมุมใดจึงไม่ผิด ตรงแน่วๆ เลย จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติ การประกอบความพากเพียรศีลธรรมประจำใจ นี้เป็นคุณธรรมประจำตนด้วย เป็นผลเป็นประโยชน์แก่หน้าที่การงานและสังคมต่างๆ ไม่มีสิ้นสุด เพราะธรรมมีในใจของผู้บำเพ็ญธรรมแล้วการเข้าคบค้าสมาคมกันนี้ก็ง่าย เชื่อถือกันได้ง่ายดาย
แต่ถ้าไม่มีธรรมมีแต่กิเลสแล้วไว้ใจกันไม่ได้ คอยแต่จะตลบตะแลง ต้มตุ๋นกันหลอกลวงกันตลอด ถ้าเป็นธรรมแล้วไม่ต้มตุ๋นหลอกลวง ต่างคนต่างมีความซื่อสัตย์สุจริต วางใจหรือเชื่อถือกันได้ สนิทสนมกันได้ไม่ต้องสงสัย จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้นำธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติ อุตส่าห์กำจัดสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายซึ่งอยู่ในหัวใจของเราด้วยกันทุกคน ให้ชำระล้างด้วยน้ำที่สะอาดคือธรรม ใจจะค่อยมีความสง่างามขึ้นมาๆ ผลสุดท้ายที่ว่าเลิศเลอขนาดไหนก็เรานี้แหละ จะเป็นผู้รับมรดกอันเลิศเลอของเราเอง ไม่ใช่ผู้อื่นใดจะมาแบ่งสันปันส่วนเอาได้ เราทำหนักก็เป็นเรื่องของเรา เบาก็เป็นเรื่องของเรา หลุดพ้นโดยสิ้นเชิงถึงวิมุตติก็คือเรานี้แหละ
จึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ อย่าห่างเหินจากศีลธรรม การห่างเหินจากศีลธรรมแล้วมันเข้าใกล้ชิดติดพันกับความชั่วช้าลามก ความเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ได้ตลอดนะ ถ้าใกล้ชิดติดพันกับอรรถกับธรรม ความทุกข์ทั้งหลายอันกิเลสจะสร้างขึ้นมานั้นก็ค่อยจางไปๆ เอาจนกิเลสหมดจากหัวใจไม่มีทุกข์ ให้พากันจำ การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุขันธ์และกาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|