จิตใจอย่าให้แห้งผาก
วันที่ 6 กรกฎาคม. 2550 เวลา 7:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

จิตใจอย่าให้แห้งผาก

         พูดให้ตรงไปตรงมาเสียเลยว่า วัดนี้ไม่เก็บเงิน ให้ท่านทั้งหลายทราบ หลวงตาบัวลงได้พูดคำไหนแล้วขาดสะบั้นไปเลย ไม่มีคำเหลาะแหละปลิ้นปล้อนหลอกลวงสำหรับหลวงตา มันจะเป็นนิสัยตั้งแต่เริ่มต้นเป็นฆราวาสแหละ จริงจังมาก ถ้าลงได้ลั่นคำไม่ทำไม่ได้ ถ้าว่าทำต้องทำ ถ้าไปต้องไป ไม่ไปไม่ได้ ทีนี้พอบวชพระเห็นในหนังสือ โอ๋ นี่เราเคยมีความสัตย์ความจริงมาตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว ธรรมแท้เป็นความสัตย์ความจริง นั่นละเรื่องราว พูดถึงเรื่องความสัตย์ความจริง เราเอาจริงเอาจัง อย่างที่ว่าเราช่วยโลกเราไม่เอาเลย บาทหนึ่งเราก็ไม่เอา ฟังซิ ใครจะมีได้อย่างนั้น เรามีได้ ลั่นคำไหนลงไปขาดเลยๆ ไม่มีเหลาะแหละ ถ้าลงได้ลั่นคำแล้วตายใจได้เลย ถ้ายังไม่ได้รับ โอ๊ย ยกมาทั้งอำเภอก็ไม่ได้ถ้ายังไม่ตอบ เฉย ถ้าว่าเอา เอาเลย เป็นอย่างนั้น

คือสมบัติเงินทองนี้เราช่วยโลกทั้งนั้นสำหรับวัดป่าบ้านตาด เราไม่เอา มีเท่าไรๆ ออกหมดๆ แบตลอด กำอย่างนี้ไม่มี ให้หมด จึงเรียกว่าเป็นคำสัตย์คำจริง มีเท่าไรให้จริงๆ ให้หมดเลย มาทางใกล้ทางไกลทางไหนไม่ว่า ขอแต่ความจำเป็นเข้ามา จำเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสองถ้ามาขอพร้อมๆ กัน ต้องเป็นอันดับหนึ่ง อันดับสองไปเรื่อยๆ ถ้ามาขอธรรมดาก็ให้เป็นธรรมดา ให้มากให้น้อยก็ให้ธรรมดา ถ้ามีหลายรายต้องเป็นอันดับหนึ่งอันดับสอง ให้อยู่ตลอด

ช่วยโลกคราวนี้ช่วยเสียให้พอ เราบวชมาก็ช่วยตัวเอง พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอ พระพุทธเจ้าช่วยฉุดลากสัตว์โลกสักเท่าไร กามภพ รูปภพ อรูปภพ ตั้งแต่มนุษย์มนาเราไปถึงเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม อยู่ในตาข่ายพระพุทธเจ้าที่ฉุดลากทั้งนั้นให้ธรรมะ นี่เราก็มาปฏิบัติตัวของเรา ก็ฉุดตัวเองขึ้นได้โดยลำดับๆ จนกระทั่งได้ออกช่วยชาติบ้านเมืองของเรา

แต่ก่อนเราก็ไม่ได้คิด บวชมาก็มีแต่มุ่งต่ออรรถต่อธรรมอย่างเดียว แก้กิเลสๆ พอพูดถึงแก้กิเลสนี้ ตอนฉันจังหันระลึกได้ บทเวลาจะระลึกมันระลึกได้เอง ไปอยู่ในภูเขา จะว่าเป็นบ้านก็ไม่ใช่ ว่าเป็นทับก็ไม่เชิง อยู่ในหินดานสามสี่หลังคาเรือน ที่หาอยู่หากินของเขาเป็นป่า จะทำไร่ทำนาก็ไม่มีที่ทำ ก็ได้ของป่าอาหารพวกเนื้อพวกปลาในป่าเอาลงไปแลกทางเขามีไร่มีนา มาแลกกันกิน ทีนี้เราก็ไปบิณฑบาตกับเขา เราก็ไม่ใช่จะมีเฉพาะบาตรเปล่าแล้วไปขอเขากินเสียทีเดียว พระก็คน

ยกตัวอย่างเช่นท่านอุทัย ที่วัดภูวัว ท่านไปอยู่นั่นหลายปีเพราะอะไร เพราะท่านสงสารญาติโยมเขา ท่านไปบิณฑบาตกับเขา อยู่นั้นภาวนาก็ดี ญาติโยมดูมี ๓ หลังคาเรือนหรือไง เขาย้ายมาจากไหนเราก็ไม่ถามถึงแหละ มาอยู่นั่น ๓ หลังคาเรือน ท่านไปสององค์ ท่านไปพักอยู่ก็เกรงใจเขา เขาคุ้ยเขี่ยหากินพอจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเขาก็จะไม่หวาดไม่ไหว เราก็ไปกินกับเขาด้วย ก็เลยลาจะไป ทีนี้พวกนี้ศรัทธาเหนียวแน่นนะ ถึงจนก็ตามวัตถุ แต่น้ำใจเขาไม่จน เขาบอกยืนยันเลยเชียวว่า ถ้าพวกผมไม่ตายท่านอาจารย์ไม่ตาย ไม่ให้ไป ให้พวกผมตายเสียก่อนค่อยไป เขายันเลย สุดท้ายท่านก็เลยอยู่กับเขาเรื่อยมา

นั่นละเรื่องราวนะ ต้นเหตุที่ท่านอยู่มาหลายปี ท่านเกรงใจเขา เขาอดอยากขาดแคลน ท่านไปอยู่ประเดี๋ยวประด๋าวท่านก็จะไป ทีนี้เขาไม่ยอมให้ไป พวกผมไม่ตายแล้วยังไงท่านก็ไม่ตาย ให้อยู่นั้น สุดท้ายต่างคนต่างสงสารกันอยู่ด้วยกันสองสามองค์ ท่านอุทัย เราฟังมานานแล้วแหละแต่ไม่มีโอกาสไป พอได้โอกาสไปละที่นี่ ตั้งหน้าจะไปดูวัดนี้ ว่าสถานที่วิเวกสงัดดีมากเป็นอันดับหนึ่งของทำเลภาวนา เราไปลงรถปั๊บไปเลย แต่ก่อนยังหนุ่มอยู่ ขึ้นเขาไปตามพลาญหิน ไปซอกแซกซิกแซ็ก ไปหมด

พอกลับมาแล้วก็ประกาศป้างเลย เอา ท่านอุทัย สถานที่นี่เป็นสถานที่บำเพ็ญธรรมอย่างเอกชั้นเอกแล้ว ที่นี่พระจะมาเท่าไรให้มา ถ้าเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอา มาเถอะมาเท่าไรผมจะรับเลี้ยง บอกเลยนะ แต่พระโกโรโกโสไล่ลงภูเขาให้หมด มันเสียศักดิ์ศรีภูเขา เราว่า เด็ดทั้งสอง ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาเท่าไรมา ผมจะรับเลี้ยง บอกเลย ถ้าโกโรโกโสให้ไล่ลงภูเขาให้หมด แน่ะเด็ดอย่างนั้นนะเรา จากนั้นมาท่านก็รับพระมากขึ้น

เราก็ส่งเดือนละครั้งๆ ไปแต่ละคราวรถ ๔ คัน หกล้อก็มี สี่ล้อก็มี บองขึ้นเต็มเอี๊ยดๆ ไปให้พอในเดือนนั้น เอา พระจะมาเท่าไรให้มา สถานที่นี่ผมไปดูหมดแล้วเหมาะสมมาก ผมจะรับเลี้ยง ถ้าหากว่าเลี้ยงไม่ไหวผมก็จะบอก ก็ไม่เห็นได้บอกกัน ถามทีไรว่าเหลือเฟือๆ ก็เราทำไม่ได้ทำเหยาะแหยะนี่นะ เอาจริงเอาจังมาก ไปแต่ละครั้งรถตั้ง ๔ คัน บองขึ้นเต็มหมดเลย เต็มๆ เดือนละหนพอ ข้าวสาร น้ำตาล แล้วพวกเครื่องกระป๋งกระป๋อง ทีละ ๗๐-๘๐ ลังกะไว้พอดีๆ อย่างน้อย แล้วเผื่อเอาไว้ๆ

พระท่านอยู่ตามนั้นมีนะ ท่านมาเอาจากวัดนี้แหละ วัดนี้เราไปส่งให้ ทางโน้นมารับ แล้วเปิดเลย เอ้าให้ท่านมา ผมไปส่งซอกแซกไม่ได้ มันไปด้วยรถก็บอก มาได้แค่นี้ ถ้าท่านต้องการให้มา ถ้าหมดผมจะเอามา ตลอดทุกวันนี้ พระดูว่า ๒๘ องค์ตอนเราไป ก็อย่างนั้น ท่านคงตั้งจุดไว้ ๓๐ พอดี ๓๐ กว่าบ้าง ๒๐ กว่าบ้าง อยู่ในย่านนี้แหละ เราเอาไปไม่ให้ขาดแหละ ๔ คันรถเป็นอย่างน้อย ถ้าไม่พอให้เอารถอีกๆ อย่างนั้นเป็นประจำ ไม่ว่าข้าวสาร ไม่ว่าน้ำตาล ไม่ว่าเครื่องกระป๋งกระป๋อง เต็มเลยไปแต่ละครั้งเป็นประจำมาได้ ๒๐ กว่าปีแล้วแหละ เรียกว่าวัดนี้เราเลี้ยงทั้งวัดตลอดมาเลย พระตอนที่เราไปก็ ๒๘ องค์ อยู่ในย่านนี้ ๓๐ บ้าง ๓๐ กว่าบ้าง อยู่ในย่านนี้

เราไปเห็นที่เช่นนั้นมันพอใจนะ เพราะสถานที่เช่นนั้นจะเป็นสถานที่ทรงมรรคผลนิพพาน สำหรับผู้ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ สถานที่เหมาะสมมากทีเดียว กลางคืนจะเดินจงกรมกลางลานหินก็ได้ ลานหินเรียบๆ เดินกลางแจ้งได้ กลางวันก็มีร่มไม้ กลางคืนก็มีที่เปิดเผย เดือนมืดเดือนแจ้งเห็นทั้งนั้นแหละ อยู่มาตลอดเดี๋ยวนี้ก็ ๒๘ องค์ตอนเราไป ตั้งแต่นั้นมาก็ ๓๐ กว่าบ้าง ๒๐ กว่าบ้างเป็นประจำ บอกว่าให้มา จะมาเท่าไรให้มาเถอะผมจะรับเลี้ยง รับเลี้ยงตลอดมา

เอาของไปแต่ละครั้งๆ ต้องเผื่อวัดนั้นๆ ท่านอยู่เป็นแห่งๆ แห่งละสององค์บ้างสามองค์บ้าง อยู่ตามแถวนั้น ให้ท่านเอาตาปะขาวหรือพวกเณรมา หรือพาญาติโยมมารับไป เอาไปจากที่นี่ ทางนี้จะหมดเราไปส่งให้ เพราะเป็นจุดเดียวที่รถเข้าได้ ทางนั้นรถเข้าไม่ได้ ตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เรียกว่าวัดนี้ทั้งวัดเราเลี้ยงทั้งหมดเลย ใครจะมาหรือไม่มาก็ตามไม่เป็นกังวลสำหรับอาหาร เพียงพอ

แต่เรากระซิบถามพระดู เป็นยังไงแถวนี้มี ๓ อำเภอ อำเภอเซกา อำเภอไหนบ้างถึงอำเภอบ้านแพง รวมเป็น ๓ อำเภอ อำเภอโขงหลง อำเภอเซกา อำเภอไหนบ้าง ใน ๓ แห่งนี้เขาเคย เราก็ถามไปอย่างนั้นแหละ เขาเคยมีศรัทธารวมหัวกันปรึกษาหารือซึ่งกันและกันแล้วนำสิ่งของเป็นชิ้นเป็นอันยกมาถวายพระมีบ้างไหม เอ๊ะ ไม่เห็นมี ท่านบอกไม่มี ก็มีแต่ของหลวงตาเท่านั้น เออ เอาละไม่มีก็ไม่เป็นไร ผมถามเฉยๆ

๓ อำเภอ ถ้าธรรมดาแล้วอำเภอทั้งอำเภอก็ต้องปรึกษาหารือกันคนเรามันถึงถูก ถ้าไม่ใช่ใจดำน้ำขุ่นเสียจริงๆ แล้วเป็นได้ ถึงกาลเวลาแล้วควรจะรวบรวมปรึกษาหารือ ผู้ใหญ่ก็มีผู้น้อยก็มีปรึกษาหารือกัน แล้วรวมสิ่งของต่างๆ เอาไปถวายพระเป็นครั้งคราวก็ยังดีนะ นี่บอกไม่มีเลย สุดท้ายก็มีแต่เราคนเดียว เราก็ถามไปอย่างนั้นแหละ มันเป็นยังไง แสดงว่าใจดำน้ำขุ่นมาก เพียงหาอยู่หากิน ทำไมจะหาอยู่หากินไม่ได้ แยกไปทานนิดหน่อยเท่านั้นก็ไม่ได้ ทางใจแห้งผาก ทางท้องตะเกียกตะกายหาก็ไม่พอกิน ทางท้องก็เป็นไปด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาละซิ มันกินไม่อิ่มไม่พอ ถ้ามีธรรมเข้าแทรกก็ต้องแบ่งให้จิตใจอย่าให้แห้งผาก ให้เต็มตั้งแต่ธาตุแต่ขันธ์ไม่ดี

กินก็ให้ได้กิน ทานก็ให้ได้ทาน ถูกต้อง ทางด้านจิตใจก็ให้มีบุญมีกุศลเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ภายนอกก็มีอาหารการบริโภคเลี้ยงอัตภาพร่างกายพอถึงวันตาย พูดง่ายๆ นี่ไม่เห็นมีว่างั้น ก็ทำให้เราคิดเหมือนกัน คิดถึงจิตใจของคน เป็นอำเภอๆ จะมาคิดสักนิดสักหน่อยเท่านี้ไม่ได้มีเหรอ นั่นมันอดคิดไม่ได้นะ เพราะนี้เสาะแสวงหาบุญตลอดเวลา ตั้งแต่บวชมานี้ภูมิใจเรา เราไม่เคยได้ตำหนิติเตียนเจ้าของว่าขัดข้องหรือศีลด่างพร้อยขาดทะลุไปตรงไหน ไม่มี นี่ละการบำเพ็ญกุศลตั้งแต่วันบวชมาจนกระทั่งป่านนี้ บำเพ็ญตลอดเลย กับที่ว่าคนตั้งสองสามอำเภอจะหาของมา รวบรวมกันจะได้สักเท่าไรก็ตาม พอเป็นชิ้นเป็นอันบ้างนี้ไม่มีเลยมันน่าคิดนะ อดคิดไม่ได้ละ เป็นยังไงเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธน่ะ

ไปอยู่ที่ไหนก็ต้องมีวัดมีวา สร้างบ้านใหม่ก็ต้องสร้างวัดใหม่ขึ้นมา แต่แล้วเป็นยังไงจิตใจที่คับแคบตีบตันเอานักหนา หาความกว้างขวางต่อกันไม่ได้ การให้ทานเป็นน้ำใจที่กว้างขวาง สนิทกันได้หมดนะคนเรา การเสียสละนี่ไม่ใช่ของเล่น พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เลิศเลอด้วยการเสียสละ กว่าจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้า เรียกว่าหมดเนื้อหมดตัวตลอดมา นั่นเห็นไหมเป็นพระพุทธเจ้า เราเป็นลูกศิษย์ตถาคต ได้กินก็ให้ได้ทานบ้าง ไม่มากให้น้อยก็ให้ได้ถึงถูกต้อง อันนี้มีแต่โกยเข้าใส่พุงๆ ตายแล้วเน่าเฟะ เอาไปเผา ไม่เผาก็ฝังเท่านั้นเอง ส่วนจิตใจก็แห้งผากจากอรรถจากธรรม ตายแล้วจมอีก ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

ใครจะพูดได้ถูกต้องแม่นยำ เรียกว่าสวากขาตธรรมๆ ตรัสไว้ชอบแล้วคือศาสดาองค์เอก บุญเป็นบุญ บาปเป็นบาป บุญมี บาปมี นรกสวรรค์มี พรหมโลกนิพพานมี ใครจะเก่งกว่าศาสดาองค์เอก แล้วทำไมเราจึงไปบืนลงตั้งแต่นรกที่จมๆๆ ที่จะขึ้นบ้างด้วยอำนาจแห่งความดีที่สร้างไว้ไม่มีเลย เป็นยังไงมนุษย์เราให้คิดกันนะ เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธควรคิดบ้าง มันพิลึกกึกกือเหลือเกิน ใจดำน้ำขุ่น ตื่นขึ้นมาหาอยู่หากินไม่พอปาก กิเลสเอาไปกินด้วย ได้ไม่พอๆ หาจนวันตายตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ส่วนจิตใจไม่มีคุณงามความดีติดใจเลย อย่าหวังความดีนะ ไม่มีหวังละถ้าจิตใจได้แห้งผากจากศีลจากธรรมจากความดีงามแล้ว ไปโลกไหนก็โลกจนตรอกจนมุมทั้งนั้นว่างั้นเถอะ ถ้าเป็นโลกที่มีศีลมีธรรมติดตัวหากมี บุญกุศลจะพาไปๆ สถานที่ดีคติที่เหมาะสม ถ้าบาปพาไปมีแต่จมทั้งนั้นๆ จำเอานะทุกคน เอาละเทศน์เท่านั้นละวันนี้

(ลูกขออนุญาตบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเทิดทูนบูชาพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่ได้มีเมตตาอบรมสั่งสอนพระธรรมทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง จนถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นนั้น ได้ประจักษ์แจ้งภายในหัวใจของลูกแล้ว ลูกจึงขอกราบบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อแม่ ธรรมทั้งหมดลูกหมดสงสัย สนฺทิฏฺฐิโก ได้ประกาศก้องกังวานภายในหัวใจของลูก พรหมจรรย์ของลูกได้อยู่จบแล้ว กิจที่จะทำต่อไม่มี ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ต่อจากนี้ลูกจะถวายชีวิตนี้เพื่อประกาศธรรม ตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสืบต่อไป เพื่อยืดอายุพระพุทธศาสนาให้ครบ ๕๐๐๐ ปี ชีวิตนี้จะเป็นไปเพื่อเป็นทาสรับใช้พระพุทธศาสนาเจ้าค่ะ)

เอ้อ เอาละจบ เอาทำลงไปซิ อย่างนั้นซิ อยู่ไหนอยู่ได้ ขอให้สมบัติมีในใจ บุญกุศลมีในใจไม่จนตรอกจนมุมคนเรา สมบัติเงินทองข้าวของ พอใจมีหลักเกณฑ์ทีนี้เหล่านั้นมันจะหดเข้ามาๆ จืดจางเข้ามา มันจะมาดูดดื่มอยู่ที่ใจ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยแต่ก่อนถือว่าเป็นจิตเป็นใจจริงๆ คนเราประดับตนด้วยสมบัติเงินทองข้าวของ คนนั้นมีนั้นคนนี้มีนี้ เอาอันนั้นมาเป็นเครื่องประดับกันอวดกัน แต่ธรรมในใจไม่ได้มาอวดซิ เสียตรงนี้นะ ทีนี้เอาให้ธรรมในใจอวดดูซิน่ะ อยู่คนเดียวก็สง่างามอยู่ที่ไหนสง่างาม

นี้เราก็ได้พูดให้ฟังแล้ว ไปอยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ เราเคยพูดแล้ว เป็นอะไร เพื่อโอ้อวดหรือ เราไม่ได้โอ้อวด เวลามันเป็นมันเป็นจริงๆ จิต ตี ๔ ลงไปเดินจงกรมอยู่ วัดดอยธรรมเจดีย์ ทางจงกรมมันไปนู้นไกลนะ ตั้งแต่ตี ๔ ลงไปเดินจงกรม ตอนนั้นจิตมันว่างหมดแล้ว ว่างหมดเลย ยังเหลือแต่ตัวจิตนี้ยังไม่ว่าง มันก็เกิดความอัศจรรย์ โอ้โห จิตเราทำไมถึงได้อัศจรรย์เอาขนาดนี้เชียวนา มองที่ไหนนี้สว่างจ้าครอบไปหมดเลย สักเดี๋ยวธรรมท่านกลัวว่าจะลืมตัว พอรำพึงเจ้าของเรื่องอัศจรรย์ในใจเจ้าของมันสว่างจ้าไปหมด เออ จิตเราทำไมจิตเราถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา

สักเดี๋ยวธรรมะขึ้นมาแล้วนะ พอทางนั้นสงบลงธรรมะขึ้น ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ จุดต่อมก็คือความสว่าง จุดสว่างเหมือนตะเกียงเจ้าพายุ ไส้ตะเกียงมันสว่างจ้าอยู่นั้น นั่นละจุดต่อม จุดสว่างนั้นยังเป็นจุดภพจุดชาติอยู่ จุดหัวใจที่เราสว่างจ้านี้ยังเป็นจุดของภพของชาติ ท่านถึงบอกว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ เราก็งงแก้ไม่ตก ถ้าพ่อแม่ครูจารย์ยังมีชีวิตอยู่ท่านก็จะใส่ผาง ก็นั่นแล้วขึ้นทันที ดีไม่ดีบรรลุธรรมในขณะนั้นเลยก็ได้ อันนี้จนว่าท่านก็ผ่านไปมันถึงมาเป็นทีหลัง จุดต่อมที่ว่านั้นขาดสะบั้นลงไปหมด ทีนี้ความสว่างอันนี้ไม่มีจุดไม่มีต่อม ครอบโลกธาตุเลย กับจุดกับต่อมที่สว่างกระจ่างแจ้งซึ่งเราอัศจรรย์เป็นบ้าอยู่นั้นมันผิดกันคนละโลก เหมือนกองขี้ควาย

สว่างทีหลังนี้มันไม่มีจุด สว่างจ้าครอบไปหมดเลย อ๋อ ถึงได้รู้ สว่างอันนั้นมันมีจุดแห่งความสว่างไสวเหมือนไส้ตะเกียงเจ้าพายุ พออันนั้นดับลงไปแล้วมันสว่างเลยไม่เห็นดวงไม่มีดวง พระอาทิตย์ก็ยังเห็นดวง แต่ใจดวงนี้ไม่มีดวง มันครอบโลกธาตุไปเลย นั่น นี่ละการปฏิบัติจิตใจ นี่ก็บวชมาได้ ๗๓ ปีเต็มแล้ว สร้างตั้งแต่ความดีงามมาตลอดจนกระทั่งป่านนี้ ไม่ได้ตำหนิติเตียนเจ้าของว่าทำผิดพลาดจากธรรมวินัยข้อไหน ด้วยความไม่มีหิริโอตตัปปะ ด้วยความดื้อด้านที่ตรงไหนไม่มี ก็ได้ภูมิใจมาเรื่อยโดยลำดับ จนกระทั่งได้มาสอนโลกอยู่ทุกวัน

สอนโลกสอนด้วยความอิ่มพอนะ เราไม่ได้สอนด้วยความบกพร่อง ว่าเราบกพร่องตรงไหน ธรรมที่นำมาสอนโลกเป็นเรื่องธรรมที่ออกจากหัวใจล้วนๆ แล้ว บรรจุไว้ในนี้หมด ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วจ้าเลยที่นี่ ดวงไม่มี ดวงที่ว่าหายหมดเลย มีแต่จ้าครอบโลกธาตุไปเลย จะจับเอาจุดไหนล่ะ นั่นละจิตถ้าบำเพ็ญแล้ว เพราะฉะนั้นจึงได้สอนโลกเต็มเม็ดเต็มหน่วยมาได้ ๕๖-๕๗ ปีนี้แล้ว ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นั้นแหละ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี นั่นละกิเลสขาดสะบั้นออกจากใจ คือกิเลสเท่านี้มันปิดใจไว้ให้มืดดำ พอกิเลสถูกทำลายออกหมดแล้วจ้านี้ครอบโลกธาตุเลย

มีกิเลสเท่านั้นปิดบังไว้ จะไปเกิดก็เกิดไปด้วยกำดำกำขาวไม่รู้ว่าจะไปเกิดที่ไหน มาเกิดเป็นมนุษย์นี้ก็ดี พอเป็นเครื่องหมายได้แล้วว่า คนไม่มีบุญมาเกิดอย่างนี้ไม่ได้นะ เกิดเป็นมนุษย์สักแต่ว่ามนุษย์ก็เป็นอย่างหนึ่ง เกิดเป็นมนุษย์รู้ศีลรู้ธรรมนี้เป็นอีกอย่างหนึ่ง เรารู้ศีลรู้ธรรมให้ส่งเสริมศีลธรรมของเราไว้ให้ดีนะ ไม่เช่นนั้นจะตายจม นี่ละเราได้นำมาพูด เวลาจิตมันสว่างแล้วไม่มีอะไรครอบ กิเลสเท่านั้นครอบ พอกิเลสออกหมดแล้วไม่มีครอบเลย สว่างจ้าครอบโลกธาตุธาตุ นั่นจำเอานะ นี่ละการบำเพ็ญธรรม อกาลิโก นี้ให้ผลตลอดทั้งทำดีทำชั่วให้ผลตลอด ไม่มีที่ลับที่แจ้งขอแต่ทำลงไปทั้งดีทั้งชั่ว เป็นผลดีผลชั่วขึ้นมา จำเอานะ เอาละให้พร

(หมอสานิตย์และครอบครัว ๑,๐๐๐ บาท) อันนี้หมอเรามีน้อยมากนะ หมอที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับวัด เราพูดจริงๆ พูดอย่างตรงไปตรงมา ทางหมอนี้เข้าวัดน้อยมากทีเดียว เป็นเพราะเหตุไร มันก็มีข้อเทียบเคียง หมอเรียนสรีรศาสตร์ เรียนเรื่องร่างกายเหมือนกันกับพุทธศาสนา พุทธศาสตร์นี้เรียนอีกแง่หนึ่ง เรียนสรีรศาสตร์เหมือนกัน แต่สรีรศาสตร์ทางพุทธศาสนาเรียนเพื่อแก้กิเลสแก้ภพแก้ชาติ ซึ่งเป็นกองทุกข์อันใหญ่หลวงขาดสะบั้นลงจากใจถึงนิพพานปึ๋ง แต่ส่วนหมอนี้เขาเรียนทางสรีรศาสตร์แก้โรคแก้ภัย ต่างกันอย่างนี้

เรียนสรีรศาสตร์แก้โรคแก้ภัย ประสาทเส้นนี้เส้นนั้นๆ มันทำงานยังไงๆ ขัดข้องยังไงหมอตรวจดู เพราะฉะนั้นจึงเป็นหมอตรวจโรคภัยไข้เจ็บของคนเพื่อแก้โรคแก้ภัย ส่วนพุทธศาสตร์เรียนสรีรศาสตร์นี้เรียนเพื่อแก้กิเลสตัณหา คว่ำทุกข์ลงไม่มีอะไรเหลือ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์เรียนสรีรศาสตร์จบ ต่างกันอย่างนี้ บางคนจะไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นหมอบางคนอาจเย่อหยิ่งก็ได้ ว่าเรียนสรีรศาสตร์ หมอก็เรียน ทางศาสนาเหมือนกันเรียนสรีรศาสตร์ เขาคิดอย่างนี้ก็ได้ แต่สรีรศาสตร์ของหมอแก้โรคแก้ภัย สรีรศาสตร์ของทางพุทธศาสนานี้แก้กิเลสตัณหา คว่ำวัฏวนซึ่งเป็นมหาภัยออกจากใจหมดโดยสิ้นเชิง ต่างกันอย่างนี้ เข้าใจ นี่พูดเปิดเผยให้ทราบชัดอย่างนี้

สรีรศาสตร์ทางหมอกับสรีรศาสตร์ทางพุทธศาสนาต่างกันมาก ทางพุทธศาสนานี้เรียนเพื่อจะคว่ำกองทุกข์ภายในใจออก มันยึดมันถือในสิ่งเหล่านี้ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสกลกายทุกสัดทุกส่วนมันถือเอง แต่เวลาเรียนพุทธศาสตร์เปิดออกๆ ปล่อยวางๆ ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือภายในใจ ต่างกันอย่างนี้ เอาละให้พร

อันนี้เอาไปให้ธรรมลี เราเรียกแต่ธรรมลี เราพูดให้เพื่อนฟัง คือเราไปเราไปแต่คนเดียว อันนี้เกาะติดธรรมลี ให้หมู่เพื่อนไปหมด เราหลบทางนี้ออกไปคนเดียวไปภาวนา พอดีธรรมลีเกาะติดนะ ตามเราไปจนได้ นอกนั้นเต็มอยู่โน้นละ เราไปองค์เดียว ธรรมลีเกาะติด ทีนี้พอไปถึงบ้าน เขาเรียกว่าบ้านชะโนดดง เป็นดงหนา เราจะไปคนเดียวละเรา นิสัยเราเป็นอย่างนั้น พอไปถึงที่นั้นแล้วมันจนตรอกจะว่าไงธรรมลีเกาะติดนี่ ไปก็ให้เขาไปหาที่พักภาวนาให้ เราก็ว่าดัดธรรมลีถนัดว่างั้น บุญมันสู้บาปไม่ได้อย่าว่านะ พอไปถึงนั้นแล้วก็ถามโยมเขา ที่ไหนที่เป็นที่พักดี เขาบอกมีแต่ป่าช้าเขาว่างั้น อยู่ทางไหน ทางนั้น เอ้อ จะไปที่นั่นละ ไป

พอไปก็ไล่ธรรมลีอยู่ที่ริมทุ่ง เราเข้าไปอยู่ในกลางนั่นเลย เราไม่รู้ว่าธรรมลีกลัวผี เข้าใจไหม เราไล่ธรรมลีไปอยู่ที่ริมทุ่งนา เราเข้าไปอยู่กลางนู้น เราอยู่คนเดียวสบาย แต่ทางนี้อยู่ทางนี้ก็สบายละซิคนกลัวผี โอ๊ย ถ้าเรารู้ว่ากลัวผีเราจะไล่เข้าไปในโน้น เราอยู่ข้างนอกเราเปิดหนีเลย เข้าใจไหม นี่ละบุญสู้บาปไม่ได้อย่าว่านะ พอมาแล้ว อู๊ย ใจคว่ำใจหาย พอดีไปอยู่ในป่า ท่านอาจารย์ไล่ผมไปอยู่ริมทุ่งนา ท่านไปอยู่ในกลางป่าช้า ท่านบอกว่าท่านสบาย เราสบายกว่าท่าน แปลกอยู่นะ เราไล่ธรรมลีให้อยู่ริมทุ่งนา เราไปอยู่ในกลางป่าช้าเลย เราไม่รู้ว่าธรรมลีกลัวผี ถ้าเรารู้เราจะไล่เข้านั้น เราอยู่นี้แล้วเราจะเปิดหนี เวลาธรรมลีเผลอ

นี่ละบาปกับบุญมันสู้บาปไม่ได้นะ เราจะดัดอยู่แล้วนี่ แต่พอดีมันดัดไม่ถูก ธรรมลีละไปเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง โอ๊ย ไปเป็นบุญเป็นจริงๆ เราใจคว่ำใจหาย ท่านจะให้เราอยู่ยังไงนา สุดท้ายท่านก็ไล่ให้เราไปอยู่ริมทุ่งนา ท่านไปอยู่ในกลางดงลึกๆ คนเดียว ในกลางป่าช้า เราไม่รู้ว่าธรรมลีกลัวผี ถ้ารู้เราจะไล่ธรรมลี เราจะอยู่นี้แล้วเปิดหนีเลย ขบขันดี เอาละไปละ

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก