เอาธรรมเป็นที่ยุติ
วันที่ 4 กรกฎาคม. 2550 เวลา 7:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

เอาธรรมเป็นที่ยุติ

         วันนี้จะไปไกลอยู่นะ วันที่ ๖ ก็ลงกรุงเทพแล้ว วันที่ ๘ เผาศพท่านชิตที่วัดอาจารย์เจี๊ยะ เราไปกรุงเทพวันที่ ๖ พอดี ทางด่านน้ำหนาวเราก็งดแล้ว ด่านน้ำหนาวสองด่าน คือเราไปส่งให้ต้นเดือนทุกๆ เดือนเลย นี้ไปไกลกว่าจะเข้าน้ำหนาวแล้วเลยเข้าไปนู้น เกือบจะถึงหล่มสัก ตั้งแต่เราไปสร้างตึกโรงพยาบาลหล่มสักให้ ๑๕ ล้าน ถมสระใหญ่ ภูเขาแถวนั้นเห็นจะหมดแหละ โกยลงมาถมสระใหญ่ ทางโรงพยาบาลเขาขอ ก็คงคิดว่าจะขอได้แหละเขาถึงขอเรา อยากได้ตึกสักหลังหนึ่ง แต่ที่ไม่มีก็เลยต้องถมสระ สระก็ต้องเป็นเราถมเอง ปาเข้าไป ๑๕ ล้าน ทั้งสระทั้งตึกรวมกัน ๑๕ ล้าน

นั่นละเราผ่านไปผ่านมาเราดูคนที่เขาเฝ้าด่านๆ ไปที่ไหนดู ดูจริงๆ หูเราความจริงหูหนวก ความสนใจสนใจตลอดแต่หูไม่อำนวย ไหนว่ายังไง ใจมันอยากจะทราบความจริง นี่ก็ผ่านไปผ่านมา เวลานี้ก็หยุดแล้วละ บอกเขาเรียบร้อยแล้วว่าสองด่านนี้เราจะไม่ไปส่งให้ ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราไม่ไปส่ง แต่ก่อนส่งมาตั้งแต่เราไปสร้างตึกโรงพยาบาลหล่มสัก ส่งให้เดือนละหนๆ สองด่านนี้ สงสารเขา ไปคราวนี้บอกว่าจะไม่ได้มาส่งอีกแล้ว ไปลำบาก หลวงตาแก่แล้วเราก็บอกตรงๆ มันลำบากลำบน ให้คนอื่นไปก็ไม่ถนัดใจ เราไปเอง

คือไปเองมันจะมีตามสายทาง ไม่ใช่จากนี้มุ่งไปให้นั้นๆ เท่านั้น มันจะมีตามสายทางอะไรขาดเขิน เขามาขายของอะไรก็จอดรถลงซื้อของเขา ซื้อนี่ซื้อด้วยความเมตตานะ จอดรถซื้อของเขา เอาสักชิ้นหนึ่งเท่านี้ ให้เงินเขา ถ้าลงได้จอดรถแล้วอย่างน้อยต้องเป็นพันๆ เรื่อยไปเลยอย่างนั้นละ นี่คือความเมตตา เพราะฉะนั้นเราจึงไปเอง ไม่ใช่ไปจากนี้ปุ๊บไปให้นั้นเลย ไปตามสายทางมันจะมีต่างๆ ตามสายทางทุกเที่ยวแหละไป ตามสายทางที่เราจะสงเคราะห์คนตามสายทาง

เช่นอย่างไฟเขียวเขามาขายดอกไม้อย่างนี้ ดอกไม้พวงหนึ่งก็สิบบาท แต่เราให้คนละสามร้อยๆ มีกี่คนก็คนละสามร้อยๆ สั่งคนขับไว้เรียบร้อยแล้ว บางทีเราอาจนอนไปก็ได้ แล้วเขาจะจัดการที่เราสั่งไว้เรียบร้อยแล้วนั้น เขามาขายดอกไม้ก็เอาเงินให้เขาคนละสามร้อยๆ ขายดอกไม้มีกี่คนตามไฟเขียวไฟแดงแห่งหนึ่งๆ ให้คนละสามร้อยๆ ไปเรื่อยอย่างนั้น ไม่เคยกลัวว่าจะหมดจะสิ้นนะ อำนาจแห่งความเมตตาไม่ได้มาดูเจ้าของจะมีมากมีน้อย มีแต่จะให้ตลอด

บางทีจนเขาว่าเงินหมดแล้ว หมดแล้วเหรอ ทีนี้อดละไม่ได้ให้ถ้าว่าเงินหมดแล้ว จ่ายตลอดไปอย่างนั้นละ ไปที่ไหนเหมือนกันหมด หากเป็นอยู่ในใจ เป็นอยู่ในหัวใจนี่ละความเมตตา เสมอไปหมดในโลกอันนี้ ไม่มีเอนมีเอียง ในใจจริงๆ เสมอหมดเลย ที่จะแบ่งรับแบ่งสู้ มีหนักมีเบาบ้าง ก็แยกออกไปตามความจำเป็น แต่เรื่องความเมตตานี้เสมอกันหมดเลย ไปอย่างนั้นละ สงสารจะทำยังไง เขาขายของอยู่ตามทางจอดแวะซื้อของเขา ซื้อก็เอาเท่านี้แหละไม่เอามาก นิดหน่อย พอเป็นเครื่องหมายว่าซื้อ เอานิดหนึ่งแล้วเอาเงินให้เขา ถ้าลงได้จอดแล้วต้องเป็นพันๆ ขึ้นไปละ อย่างนั้นตลอดเลย มันหากเป็นอยู่ในใจ มันเมตตาทุกหย่อมหญ้าไปเลยไม่ใช่ธรรมดา เสมอหมดความเมตตา ครอบไปหมดเลย

วันนี้ก็ยังจะไปอีก นี่ก็จวนจะไปกรุงเทพแล้ว วันที่ ๖ ลงกรุงเทพ เวลาเราไปกรุงเทพมันจะแห่ตามไปนะ พวกนี้ไม่ได้หน้าได้หลังอะไรแห่ไป ในครัวนี้เรียกว่าครัวร้างไปเลยแหละ พอเราไปไหนแห่ นิสัยอย่างนี้เราไม่เคยใช้นะ พึ่งมามีระยะนี้ ในครัวสำคัญมากนะ ไปไหนแห่ แซงหน้าแซงหลังไป เป็นอย่างนั้น ตามธรรมดานิสัยของเราเป็นอย่างนั้น ออกกรรมฐานก็ไปคนเดียวตลอดเลย ที่ออกเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดจริงๆ เป็นเวลา ๙ ปี ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖ นี่เรียกว่าลงเวที พรรษา ๑๖ เป็นเวลา ๙ ปี ตกนรกทั้งเป็นนะนั่น

เพราะฉะนั้นจึงไม่เอาใครไปด้วยไปเที่ยวกรรมฐาน มันเป็นน้ำไหลบ่า ถ้าไปสองความรับผิดชอบมันอยู่ลึกๆ รับผิดชอบกัน สองสามเป็นน้ำไหลบ่า กำลังไม่แรง ถ้าไปคนเดียวนี้ป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ อยากกินกี่วันไม่กินกี่วันก็แล้วแต่ ทำความพากความเพียร เอาเราเป็นป่าช้าในตัวของเราเลย ไม่แบ่งแยกกับผู้ใด เพราะฉะนั้นเราถึงไปคนเดียวๆ ตั้งแต่ออกกรรมฐานนี้ไปคนเดียวทั้งนั้นเลย พ่อแม่ครูจารย์ท่านก็ส่งเสริมด้วย สำหรับเราท่านพอใจในการไปองค์เดียว พูดให้เต็มยศก็คือว่าท่านเห็นความตั้งใจของเรา

อยู่กับท่านท่านก็ดูหมดแล้ว เรามีความตั้งใจขนาดไหนท่านก็ทราบแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาลาไปเที่ยว ถ้าไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันทีเลย ท่านมหาไปองค์เดียวนะใครอย่าไปยุ่งท่าน เป็นอย่างนั้นละ ถ้าองค์อื่นไม่ได้นะ ทีละสององค์สามองค์มาลาไปเที่ยว เหอ ขึ้นเลย ตั้งแต่อยู่ด้วยกันนี้มันก็ตกนรกให้เห็นต่อหน้าต่อตา ออกจากนี้ไปมันจะไปตกหลุมไหนล่ะ ไปได้ยังไงเมื่อท่านพูดอย่างนั้นแล้วใช่ไหม ก็หยุดเลยไม่ไป สำหรับเราไม่เคยมี พอว่าลาไปเที่ยว

การลาก็ต้องลาอย่างที่เคยพูดให้ฟัง ต้องมีมารยาท ด้วยความเคารพเทิดทูนท่าน ท่านเป็นจอมปราชญ์เราเป็นจอมโง่ กราบเรียนฝากท่านไว้แล้วแต่ท่านจะอนุญาตเมื่อไร เช่นว่าวัดนี้ระยะนี้มีธุระอะไรบ้าง กราบเรียนถามท่าน ถ้าท่านว่าไม่มีธุระอะไร ถ้าไม่มีธุระอะไรก็อยากจะกราบลาพ่อแม่ครูจารย์ไปเที่ยววิเวกสักชั่วระยะหนึ่ง บอกชั่วระยะ เพราะในวัดนั้นเรื่องทั้งหมดพระเณรอยู่กับเราหมด คอยดูแลสอดส่องตลอดเวลา แล้วแต่ท่านจะอนุญาต พอว่าอย่างนั้นแล้วก็ปล่อยเลย ท่านจะเอาไปคิดของท่าน พอถึงเวลาแล้วท่านก็เป็นลักษณะเอะใจ เอ้อ ที่ท่านมหาอยากไปเที่ยวก็ไปได้ละ

กี่วันก็ตามนะพอกราบเรียนท่านไว้แล้วก็ทิ้งไว้เลย แล้วแต่ท่านจะบอกมาเมื่อไร หลายวันท่านเอาไปคิดเรียบร้อยแล้ว เอ้อ ท่านมหาอยากจะไปเที่ยวก็ไปได้ละ เปิดทางแล้วนั่น ทีนี้ท่านก็จะถาม คิดว่าจะไปเที่ยวทางไหน เราก็กราบเรียน ไปกี่องค์ พอว่าไปองค์เดียวท่านขึ้นทันที เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่าน แน่ะ เป็นอย่างนั้นตลอดนะ ถ้าว่าไปองค์เดียวขึ้นทันทีเลย คือห้ามพระเณรไปยุ่งกับเรา มันเป็นน้ำไหลบ่าไม่รุนแรง เพราะท่านเห็นความตั้งใจของเรา เราเอาจริงเอาจังนะ เพราะฉะนั้นท่านถึงได้อ่านอัธยาศัยของคนโง่ ท่านเป็นจอมปราชญ์ เราเป็นจอมโง่ ท่านอ่านอัธยาศัยของเราหมดเรียบร้อยแล้ว ท่านว่า ไปได้ละ เปิดทาง ทีนี้ก็ไป

ไปกี่องค์ ถ้าว่าไปองค์เดียว ขึ้นทันทีเลย ห้ามไม่ให้พระเณรเข้าไปยุ่ง ท่านมหาให้ไปองค์เดียว เป็นอย่างนั้นตลอด เพราะฉะนั้นเราไปไหนจึงไปองค์เดียว คิดดูเที่ยวกรรมฐาน ๙ ปีไปองค์เดียวทั้งนั้น ไม่ได้ไปกับใครละ ไปองค์เดียว ป่าช้าอยู่กับเราเลย ถ้าพูดถึงเรื่องนิสัยรู้สึกจะผาดโผนอยู่สำหรับเรานะ แม้แต่ประกอบความพากเพียร ครูบาอาจารย์ท่านยังต้องรั้งเอาไว้ รั้งเอาไว้ด้วยอุบาย

เช่นเรานั่งตลอดรุ่งๆ ฟาดเรื่อยเลย ท่านเห็นว่าพอสมควรแล้วท่านก็รั้งเอาไว้ๆ ท่านยกข้อเปรียบเทียบเข้ามา เช่นม้า ม้าตัวไหนมันผาดโผนโจนทะยานมาก ไม่ฟังเสียงเจ้าของที่ฝึกมัน ม้าตัวนั้นเขาต้องฝึกอย่างหนัก ไม่ควรให้กินหญ้าไม่ให้กิน น้ำไม่ให้กิน หญ้าไม่ให้กิน แต่การฝึกฝึกอย่างหนัก เอาจนม้านั้นลดพยศลงๆ การฝึกของเขาก็จะค่อยลดลงตามกัน จนกระทั่งม้านี้ใช้การใช้งานได้แล้ว การฝึกเช่นนั้นเขาก็งดไป แน่ะ ท่านพูดเพียงเท่านั้น ก็คือม้าตัวนี้หมาตัวนี้

เรายังเคยพูดเสมอให้ลูกศิษย์ฟัง ท่านไม่ย้อนมาหาตัวเอง พูดถึงเรื่องเขาฝึกม้า ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไงฝึกตัวเอง คือมันไม่รู้จักประมาณ มันผาดโผน เราพูดตามความจริงคือ นิสัยจิตใจนี้มันรุนแรง ว่าอะไรนี้ขาดสะบั้นไปเลยๆ นี่เป็นนิสัยรุนแรง เพราะฉะนั้นท่านจึงรั้งเอาไว้แบบนั้น ความเพียรจะหนักไปท่านก็รั้งเอาไว้ๆ ถ้าว่าความเพียรไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืนก็กราบเรียนท่าน นี่ท่านก็รั้งเอาไว้ อย่างนี้ละมันไม่พอดีนะเรา เป็นนิสัยผาดโผน ท่านรั้งเอาไว้ให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี มันเป็นนิสัยอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นเวลาไปภาวนาไปทำความเพียร จึงไม่เอาใครไป ไปองค์เดียวๆ ตลอดเลย เพราะท่านทราบแล้วว่า ความเป็นอยู่ของเรากับท่านประสับประสานกันตลอดเวลา ท่านดูความได้ความเสียดีชั่วโง่ฉลาดของเราพอแล้ว ท่านถึงได้ปล่อยเวลาไป ถ้าไปองค์เดียวท่านพอใจทันทีๆ เลย เพราะท่านเห็นความตั้งใจของเรา อยู่กับหมู่กับเพื่อนนี้ก็เหมือนกัน เราเป็นบ๋อยกลางบ้านกลางเรือนในวัด เช่นวัดหนองผือนี้ ท่านก็อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรกลางวัด แต่ผู้ดีดผู้ดิ้นคือเรา คอยดูพระดูเณรตลอดเวลา นั่นซิเวลาเราจากไปนี่ ท่านอาจจะเห็นละพระเณรเรา เวลาเราอยู่ที่นั่นไม่ไปไหนนี้ดูว่าพระเณรจะเรียบร้อยดี ท่าจะเป็นอย่างนั้น ตอนที่เราไปพระเณรอาจจะระเกะระกะให้ขวางหูขวางตาท่าน เพราะฉะนั้นท่านถึงไม่อยากให้เราไป

เวลาเราจะลาไปเที่ยวที่ไหน ดูอาการท่านไม่อยากให้ไป แต่ท่านเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเราคือการภาวนา ท่านจึงนำเรื่องนี้มายกขึ้นเป็นเรื่องใหญ่ ให้ไปๆ ทั้งๆ ที่อาการของท่านไม่อยากให้ไปเพราะเกี่ยวกับหมู่เพื่อน ไปที่ไหนมันจะเป็นตามนิสัยวาสนาอะไรไม่ทราบ เรานั่นแหละได้คอยดูแลหมู่เพื่อนในวงเดียวกัน เราต้องได้ดูแลสอดส่องไม่ค่อยได้เป็นความสะดวกสบายเฉพาะเจ้าของนะ ต้องไปองค์เดียวสะดวก ทีนี้ปล่อยเลย ถ้าไปองค์เดียวเอาเต็มเหนี่ยวเลย

อยู่กับหมู่กับเพื่อนต้องสอดต้องแทรกต้องดู แนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าวพระเณรในวัดให้เป็นที่น่าดู เพราะเราไปเอง ท่านไม่ได้ขันตีนิมนต์เรามา มาแล้วอย่าให้ขวางหูขวางตาขวางใจท่าน ต้องให้เรียบร้อยอยู่ในฐานะกำลังของเราที่ควรจะเป็นไปได้ เราคอยแนะตลอดเวลา เราจึงไม่ค่อยได้สะดวกสบายอยู่กับหมู่กับเพื่อนนะ คอยแนะนำสั่งสอน

เวลาออกเอาเต็มเหนี่ยวละที่นี่ คือออกลำพังตัวเองแล้วป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ ซัดกันเลย เพราะเป็นนิสัยผาดโผน ถ้าพูดถึงเรื่องว่าความขี้เกียจขี้คร้านเราไม่อยากพูดนะ มันไม่ปรากฏในจิตใจ ความมุ่งมั่นนี้มันรุนแรงมาก ที่หวังผลประโยชน์มันรุนแรงมากเกินกว่าที่ความขี้เกียจขี้คร้านจะมาเหยียบย่ำได้ เหยียบไม่ได้ละ เป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลามาอยู่กับหมู่กับเพื่อน เราเคยอยู่กับหมู่กับเพื่อน เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์เราคอยดูแลสอดส่องทุกอย่าง ทีนี้เวลาเรามาเป็นหัวหน้ามาเป็นผู้ใหญ่นี้ เราต้องใช้แบบหูหนวกตาบอดเอา ใครจะทำยังไงเฉย นอกจากเหลือทนเราก็ว้ากเสียทีหนึ่ง เข้าใจไหม ถ้าไม่เหลือทนก็หลับหูหลับตาไปอย่างนั้น เฉยๆ

อยู่กับหมู่กับเพื่อน ไม่ได้อยู่แบบหลับหูหลับตานะ อะไรๆ มันจะต้องสอดส่องตลอดเวลา นี่ก็มาอยู่กับหมู่กับเพื่อนนี้สักเท่าไร ตั้งวัดนี้ได้ ๕๐ กว่าปีแล้วมัง ๙๙-๕๐๐ ดูเหมือนได้ ๕๒ ปีที่สร้างวัดนี้ นี่ละอยู่กับหมู่เพื่อน ทีแรกก็มีแต่เรากับโยมแม่อยู่ด้วยกัน ๓-๔ คน โยมแม่กับแม่ชีแก้ว แม่ชีแก้วที่มานี้ก็คิดเห็นบุญเห็นคุณเราที่ไปแนะนำสั่งสอนทางโน้น ได้ทราบว่าเราจะมาเอาโยมแม่บวช นี้ก็วิตกวิจารณ์ เลยขอติดตามมาเพื่ออยู่กับโยมแม่ ถ้าไม่มีโยมแม่หรือโยมแม่ไม่บวชจะไม่พบท่านอีกเลยแหละ ท่านจะไปทางไหนไม่ทราบ นั่นความคิดของเขาเขาคิดแบบนั้น

พอดีเราบวชโยมแม่จึงมีสำนักขึ้นมา จากนั้นก็ยั้วเยี้ยๆ อยู่ในครัว เป็นโรงหมัดโรงมวยโรงหมากัดกันอยู่ในนั้นหมด ใครไปหาหมากัดกันอย่าไปที่ไหนนะ ให้เข้าไปในครัว ไปดูโรงหมากัดกัน แฮ่ๆ ใส่กันอยู่ในโรงครัว เรื่องนั้นแล้วเรื่องนี้ เก็บความรู้สึกไม่เป็นผู้หญิง เอะอะก็เปราะๆ ออกมา ปากเปราะปากบอนอยู่กับผู้หญิงเลย แฮ่ๆ ใส่กันอยู่นั่น แทนที่จะมาปฏิบัติธรรมดูใจเขาใจเรา เทียบเคียงเข้าใส่ธรรม เอาธรรมเป็นที่ยุติมันไม่เอานะ มันมีแต่ออกทาง แฮ่ๆ ทะเลาะกัน คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ไปที่ไหนคนทั้งวัดไม่ดีทั้งนั้นแหละ ดีแต่เราคนเดียว ตัวนี้ละตัวดีแต่เราคนเดียว ตัวนี้ตัวหัวหน้าหมากัดกัน เข้าใจไหม ตัวดีแต่เราคนเดียว คนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ตัวหัวหน้าหมากัดกันคือตัวเองไม่ว่านะ

คนเราถ้าดูด้วยความรู้สึก ดูด้วยการเก็บความรู้สึกด้วยพินิจพิจารณาแล้วจะไม่ค่อยมีเรื่องมีราว คนเรามันมีด้วยกันนั่นแหละ แต่ไม่แสดงเก็บไว้ พอเรื่องผ่านไปมันก็ปรกติไปๆ ถ้าออกมาทางปากกระทบกันแล้วเกิดเรื่อง นั่น เมื่อเก็บความรู้สึกไว้ไม่ค่อยเกิด เงียบๆ สบายๆ ให้พากันจำเอานะ การปฏิบัติ ดูซิพระในวัดนี้ ตั้งแต่เราสร้างวัดมา พระมาอยู่กับเราไม่เคยว่าพระนี่ทะเลาะกัน ได้ชำระความหรือได้เรียกองค์นั้นมาเป็นยังไงองค์นี้เป็นยังไงไม่เคยมี เพราะต่างองค์ต่างปฏิบัติธรรมเก็บความรู้สึก เรื่องความผิดพลาดท่านก็ผิดเราก็ผิด ต่างคนต่างผิดต่างคนต่างให้อภัยกัน เก็บความรู้สึกไม่แสดงออก ก็ประหนึ่งว่าไม่มีเรื่องมีราว

ภายในใจนั้นมีด้วยกัน เมื่อไม่แสดงออกมาแล้วก็เหมือนไม่มี ก็อยู่ด้วยกันเป็นความสงบสุข เรื่องกิเลสอยู่ที่ไหนมี ความไม่สงบมี แต่ไม่ให้มันแสดงออกมากิริยาภายนอก เก็บไว้ภายในมันก็ดี พากันจำเอา ปล่อยไปตามมันไม่ได้นะ ปล่อยไปตามใจมันปากเปราะ เอะอะออกแล้วๆ อย่าด่วนออก การดูหมู่ดูเพื่อน ดูใครก็ตาม ให้จำให้ดีคำนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ใช้ในการอยู่ร่วมกันเป็นความสงบสุข ให้เก็บความรู้สึกไว้ให้ดี อย่าแสดงออก ความผิดนั้นมีด้วยกันทั้งเขาทั้งเรามี เก็บความรู้สึกเอาไว้ เมื่อไม่แสดงออกก็ไม่กระทบ เหมือนมีดเหมือนดาบเราอยู่ในฝักก็ไม่เป็นไร มีกี่เล่มก็เป็นมีดเป็นดาบอยู่ในฝัก ถ้าถอดออกมาแล้วเป็น เข้าใจไหมล่ะ

ปากของเรานี่ นี่ละปากดาบ ปากมีดปากดาบอยู่นี้ ถ้าถอดออกมาแสดงเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นภัย ถ้าให้อยู่ในฝักไม่เป็น เก็บความรู้สึกไว้ให้ดี.คนเราถ้ามองดูใจท่านใจเราไม่ค่อยจะมีเรื่องราวอะไร นี่มองดูแต่เขาไม่มองดูเรามันเสีย ใครที่ว่าเขาไม่ดี ตัวไม่ดีอยู่กับคนนั้นนะ คนที่ว่าเขาไม่ดีเขากลับเป็นคนดี ไอ้เราที่ไปว่าเขาไม่ดีนั้นตัวเราไม่ดีอันธพาล เสาะหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ใช้ไม่ได้นะ วันนี้วันที่ ๔ ที่ ๕ อยู่ ที่ ๖ ไปกรุงเทพแล้ว วันที่ ๖ ไปกรุงเทพ

เราก็บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ทุกอย่างเราบอกไว้แล้ว รถคันไหนๆ ที่จะออกจากวัดเราไปนี้ให้ไปเติมน้ำมันที่ปั๊ม นี่เรียกว่าปั๊มก็ได้แล้ว สำหรับวัดนี้เปิดโล่งหมด ไปเติมน้ำมันที่ปั๊มเสร็จแล้วออก น้ำมันมีเท่ากัน ถึงเวลาจะเติมก็ไปเติมพร้อมกันทีเดียว เดี๋ยวรถนั้นไปสองกิโลสามกิโลน้ำมันหมด แล้วนี้น้ำมันหมด เราอยากตีปากนะ เข้าใจไหม ถึงเวลาเติมเติมพร้อมกันเต็มเอี๊ยดแล้วไป ไปเลย อย่างนั้น เตรียมพร้อมๆ สำหรับเราที่จะมาสั่งเสียอย่างนี้ไม่ได้นะ งานเรามากต่อมาก เป็นแต่บอกกับใครต่อใครไว้ ให้เขาปฏิบัติหน้าที่ของเขาเอง เราไม่ได้บอก ไปแล้วก็ไปถึงที่เติมน้ำมันก็เติมพร้อมกันทีเดียว ไม่ต้องไปเติมน้ำมันตามทางที่ยังไม่ถึงจุดที่หมายซึ่งควรจะเติม ให้เติมให้เรียบร้อย

การขับรถเราก็ต้องได้ลดลง อย่างขับเร็วก็อยู่ในเกณฑ์ ๑๑๕ เพื่อหมู่เพื่อน กำลังวังชาของรถไม่เหมือนกัน คนขับรถก็ไม่เหมือนกัน ความโง่ความฉลาดต่างกัน กำลังวังชาของรถก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงถัวเฉลี่ย ให้วิ่งแค่ ๑๑๕ สั่งคนรถไว้แล้ว เอา ๑๑๕ เป็นเกณฑ์ อย่างเร็วไม่ให้เลย ๑๑๕ ถ้าลำพังเราไปอยากไปเวลาไหนดูท่า ควรจะ ๑๒๐ หรือเกินกว่านั้นเราก็เกินของเราได้ แต่ถ้าพะรุงพะรังอย่างนี้มันไม่ได้ ต้องได้ระวัง ทุกวันนี้ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรละ ความหลงลืมก็เก่งนะเดี๋ยวนี้ ตะกี้หมู่เพื่อนไปบอกพระบิณฑบาตกลับมาแล้ว ถึงได้รู้ นี่ยังไม่รู้เวลานะ ทั้งๆ ที่นั่งอยู่กุฏินั่น เป็นอย่างนั้นความจำไม่ดีเลย หมู่เพื่อนไปตามเอามาฉันจังหันก็มีหลายหนละเดี๋ยวนี้ คือความจดความจำมันหลงมันลืม เอาละให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก