เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
เอาอัฐิธาตุมาให้ดู
ก่อนจังหัน
เมื่อวานนี้เห็นพวกจัดงานศพหลวงพ่อทามา ที่เขาจะเอาไฟเผาเรา วานนี้จะมาแก้ตัวแบบไหนก็ไม่รู้ เขาบอกว่าเอาอัฐิธาตุมาให้เราดู เราบอกเราไม่ดู นี้เรามีทั้งอัฐิทั้งกระดูก เราพาลอย่างนี้พวกที่จะเผาเรา เอ๊ แปลกอยู่นะความหยาบ เราไปจุดศพหลวงพ่อทา มันมีอะไรอยู่เกี่ยวกับเรา ธรรมดาเราจุดนี้มันก็จะค่อยลุกลามไป อันนี้จุดแล้วพรึบขึ้นเลยพุ่งออกมา แต่ก็อย่างว่าละพระธรรมท่านช่วย แปลกอยู่ เราก็ไม่เห็นมีอะไรตื่นเต้น มันพุ่งออกมาเราก็หลบฉากไปนี้ มันก็ออกเต็มเหนี่ยวของมัน เขาเอาเก้าอี้มาตั้งไว้เตรียมพร้อมให้เรานั่งเก้าอี้ ออกมานี้เผาเราเลย เก้าอี้เราก็โยนออกไปเสียเราไม่นั่ง ออกไปจุด พอจุดปั๊บพุ่งออกมาเลย พุ่งออกมาก็ไม่ถูกเรา
เมื่อวานนี้มาแก้ตัวท่า เอาอัฐิธาตุของหลวงพ่อทามาให้ดู เราไม่ดู นี่กระดูกเรามีเราว่า หนีไปเลย จะมาแก้ตัว คือจะทำมันไม่สำเร็จ ทีนี้จะมาหาวิธีออกตัวแก้ตัว เราไม่ตอบรับสักคำเลย ให้ดูอัฐิ ของเราก็มีอัฐิ เราว่าแล้วเดินผ่านเลย อัฐิกระดูกของเราก็มี แปลกอยู่นะมนุษย์ ระยะนี้รู้สึกมีคนพยายามที่จะทำลายเราเยอะขึ้น แต่เรานี้เฉย ไม่มีอะไรกับโลก คือตายไปก็ตายไปแบบหลวงตาบัวร้อยเปอร์เซ็นต์ตาย อย่างหนึ่งเราตายไปเท่าเดิม เราไม่มีอะไรกับใครนะ นี่ละที่ว่าศพหลวงพ่อทา ตั้งหน้าจะเอาจริงๆ เอาเก้าอี้มาวางไว้จะให้เรานั่งเก้าอี้ จุดนี้พุ่งออกมาเลย เก้าอี้เราโยนหนีเสีย เราไปจุดเอง พอจุดปั๊บพุ่งออกมา เราอยู่ข้างๆ ก็ไม่สำเร็จใช่ไหม
เมื่อวานนี้มาแก้ตัว มากันหลายคนทั้งพระด้วยมา คงจะมาแก้ตัว แก้ก็ไม่หลุด พอมาถึงที่นี่บอกว่าจะเอาอัฐิธาตุหลวงพ่อทามาให้ดู ไม่ดู ของเราก็มีกระดูกเราว่างั้น เราเดินผ่านไปเลย คนเต็มอยู่ไม่เข้านะ ไปเลย มันหยาบเกินกว่าจะมาเกี่ยวข้อง มันหยาบขนาดนั้นไม่เกี่ยวข้อง กลับหรือไม่กลับก็ตามเราไม่ต้อนรับเลย มานี้บอกว่าจะเอาอัฐิธาตุมาให้ดู ไม่ดู อัฐิเราก็มีเราว่าแล้วก็ผ่านไปเลย คือจะมาฆ่าเรามันไม่สำเร็จ ทีนี้ก็เลยจะมาแก้ตัว แก้ตัวก็ไม่สำเร็จอีก ก็เราไม่รับคำแก้ตัว พูดถึงเรื่องจะเอาอัฐิธาตุมาให้ดู ไม่ดู ของเราก็มีกระดูก เดินผ่านไปเลย
บรรดาลูกศิษย์ลูกหาเขาให้ระมัดระวังเขาว่างั้น เวลานี้หลวงตาไม่ปลอดภัย ข้าศึกรอบด้าน เขาบอกจริงๆ อย่างนี้ ไปที่ไหนส่อแววให้เห็นตลอดที่จะรุมล้อมฆ่าหลวงตา ฆ่าก็ฆ่าซิ เขาฆ่าเราก็คือเขาฆ่าเขา เราเป็นเราเต็มตัว ยังอยู่ก็เต็มตัว ตายไปก็เต็มตัว เราไม่มีอะไรกับสามโลกธาตุ ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ หัวใจเราไม่มี สามโลกธาตุนี้ใครจะมามีอะไรให้ไม่มี หมด หมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีหวั่นมีไหว ใครจะทำอะไรไม่หวั่นไม่ไหว เราเป็นเราเต็มตัวๆ พยายามที่จะทำลายเราหลายจุดแล้วแหละ แต่ก็ไม่สำเร็จ แปลกอยู่ คราวที่ผ่านมารู้สึกว่าพระธรรมท่านรักษาดีอยู่ พอจุดพุ่งมานี้เราก็อยู่ข้าง มันก็พุ่งออกเลย เราก็อยู่ข้างนั่นเสีย จะทำทีไรเป็นแต่อย่างนั้น
เมื่อวานนี้มาแก้ตัว แก้ก็ไม่ตกเพราะเราไม่รับคำแก้ตัว เราเฉย เขาบอกจะเอาอัฐิธาตุมาให้ดู ไม่ดู กระดูกเราก็มีเราว่า เดินหนีเลย เป็นอย่างนั้นละ โอ๊ มนุษย์นี่หยาบขึ้นทุกวันๆ ใจที่เป็นธรรมล้วนๆ แล้วไม่เอียงหน้าเอียงหลังกับใครในสามโลกธาตุนี้แล้ว ถ้าว่าสนุกดูก็สนุกดู คือเราไม่เอนไม่เอียง เหล่านี้หวั่นไหวอยู่ตลอดเวลา อันนี้ไม่เอน ยังอยู่ก็เป็นเราเต็มตัว ตายไปก็เป็นเราเต็มตัว ไม่มีอะไรลดละ มันก็รู้อยู่ชัดๆ ในตัวของเราเอง ก็ไม่ทราบจะให้ตื่นเต้นกับอะไร ไม่ตื่น พูดจริงๆ จิตถึงขั้นไม่ตื่นไม่ตื่น จะทำอะไรสามโลกธาตุนี้ให้ตื่นไม่มีทาง ไม่ตื่น เรื่องเหตุการณ์อย่างนี้มาผ่านเป็นเครื่องประจักษ์ คือมันทดลองกันอยู่ในตัวของมัน มาทีไรก็ไม่ตื่น ไม่ตื่นอยู่งั้นตลอด
ให้ภาวนานะพระ พระตั้งใจภาวนา สติเป็นสำคัญนะอย่าลืมคำว่าสติ ใครตั้งสติได้คนนั้นตั้งฐานได้ สติเป็นสำคัญ เราพูดนี้เราเอาตัวของเรามายืนยันด้วยนะ ธรรมพระพุทธเจ้าก็เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว แต่เน้นหนักเข้าไปอีกว่า สติเป็นของสำคัญ คำว่าความเพียรอยู่กลางๆ สติธรรมเป็นสำคัญ ติดปุ๊บเลย ก็เราเคยพูดให้ฟังแล้ว จิตเราเสื่อมพยายามฟื้นขึ้น เจริญอยู่ปีกับห้าเดือน ขึ้นไปถึงจุดแล้วลงๆ เป็นอย่างนี้อยู่ปีกับห้าเดือน ถึงเวลามันจะลงแล้วไม่อยู่นะ อะไรห้ามไม่อยู่พุ่งๆ จากนั้นไสขึ้นมาแทบเป็นแทบตาย ๑๔-๑๕ วัน ไปถึงจุดนั้นอยู่ได้เพียงสองคืน พอถึงนั้นแล้วมันไม่อยู่ละ ลงผึงเลย
เอ๊ จะทำยังไง พิจารณาแล้วพิจารณาเล่า มันก็มาแหว่งอยู่จุดที่ว่า เราตั้งสติกำหนดดูผู้รู้เฉยๆ เจริญแล้วเสื่อมๆ อยู่ถึงปีห้าเดือน เป็นอย่างนั้นมาตลอด ทีนี้เลยพลิกใหม่ มันอาจจะขาดคำบริกรรมติดกับจิตก็ได้มันถึงได้เสื่อมลง เอ้า คราวนี้จะเอาคำบริกรรม แต่เราชอบพุทโธนะ เอาคำบริกรรมติดกับพุทโธๆ สติติดเข้าไปไม่ยอมให้เผลอ เอา มันจะเสื่อมให้เสื่อมไป คราวนี้จะเอาจุดนี้ละ ยังบกพร่องอยู่จุดนี้ สงสัยจุดนี้จะเอาจุดนี้ให้ได้ พุทโธๆ สติติดอยู่นั้นเลย แต่นี่เราไม่ค่อยเหมือนใครง่ายๆ นะ ว่าอะไรเป็นอันนั้น ว่าสติไม่ให้เผลอไม่ให้เผลอจริงๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่ให้เผลอเลย
อยู่อย่างนั้นสามวัน วันแรกเหมือนอกจะแตกมันอยากคิดอยากปรุง คือสังขารนี่มันออกจากอวิชชา สังขารเป็นสมุทัย อวิชชาดันออกมาอยากให้คิดให้ปรุง สติตีเอาไว้ไม่ให้ออก ทีนี้ไม่ออก ความคิดนี้ออกไม่ได้ สมุทัยคือกิเลสก็ออกไม่ได้ติดกัน วันแรกเหมือนอกจะแตกทีเดียว ไม่ยอมให้เผลอเลย ไม่ให้เผลอ บังคับไว้ เอา เป็นยังไงให้รู้กัน เราต้องการจะรู้จุดนี้จุดนี้บกพร่อง เราได้คำบริกรรมติดกับใจ คำว่าพุทโธติดกับใจ และสติติดแนบ เราขาดนี้ ทีนี้จะให้สมบูรณ์ สติติดแนบกับคำบริกรรม เอา เสื่อมๆ ไป เจริญๆ ไป หายห่วงแล้วเรา แต่พุทโธคำบริกรรมกับสตินี้ติดแนบ เอา เสื่อมเจริญจะดูตรงนี้ ซัดกันเอาตรงนี้
พอถึงขั้นมันเจริญไปถึงนั่นแล้วทีนี้มันจะลง เอาๆ ลงบอกเลย แต่สติกับคำบริกรรมไม่ปล่อย สุดท้ายไม่ลงไม่เสื่อม แล้วขึ้นๆ อ๋อ นั่นจับได้แล้ว มันเผลอ เพียงกำหนดสติรู้เฉยๆ เผลอ พอเอาคำบริกรรมติดแนบ สติบังคับเข้าอีกไม่ให้เผลอ ทีนี้กิเลสออกไม่ได้จิตก็เสื่อมไม่ได้ เจริญขึ้นเรื่อยๆ นี่ก็เป็นวิธีหนึ่งที่เราได้เหตุผลมาแล้วมาสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย เอา จับให้ติดไม่เสื่อม ถ้าลงสติดีแล้วไม่เสื่อม ตั้งฐานได้ขึ้น เราก็ตั้งได้ ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยเสื่อมอีกเลย ทะลุเลย จนกระทั่งนั่งหามรุ่งหามค่ำไปจากสติที่ตั้งได้ พอไม่เสื่อมๆ ก็ซัดใหญ่เลย จำให้ดีผู้ปฏิบัติ
นักภาวนาไม่มีธุระอะไรนะพระเรา เราสงวนมากสงวนพระ ไม่อยากให้ทำการทำงานอะไร เพราะงานเหล่านั้นเป็นงานสั่งสมกิเลสไปในตัวของมันนั่นแหละ เราว่าเป็นงานชอบธรรมท่านั้นท่านี้ชอบธรรม แต่ธรรมมันมีหลายขั้นซิ ธรรมขั้นละเอียดลออคือสติกับจิตไม่ให้เผลอนี่ถูกต้อง เอาตรงนี้ให้ได้ มาภาวนาจิตตั้งเป็นความสงบเย็นใจเป็นสมาธิไม่ได้เหลวไหลพระเรา ไม่เป็นท่านะ เราจะทรงอะไร ผ้าเหลืองมันก็มีเต็มร้านตลาด เอาคำบริกรรม สติติดเข้าไป ตั้งได้ตั้งฐานคือความสงบได้ ขอให้มีสติเถอะ สตินี้ควบคุมได้อยู่ กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนเท่าภูเขาทั้งลูกสติครอบไว้หมดออกไม่ได้นะ กิเลสคือความปรุงได้แก่สังขารออกไม่ได้ เพราะสติครอบเอาไว้แล้วกิเลสก็ไม่เกิด จากนั้นจิตก็เป็นความสงบ จากสงบแล้วก็แน่นหนามั่นคงขึ้นไปเป็นสมาธิ
จากนั้นเอาปัญญาออกคลี่คลายดู ตจปัญจกกรรมฐาน กรรมฐานมีหนังเป็นที่ห้าแปลแล้วนะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มีอยู่กับทุกคนแบกหามอยู่ทุกวัน ทำไมไม่ดูกันบ้าง ไปดูแต่คนนั้นเป็นอย่างนั้นคนนี้เป็นอย่างนี้ บวชมาอบรมอรรถอบรมธรรมมันไม่ได้ดูตัวเอง หันมาดูความผิดความพลาดความดีอะไรของคนอื่น ความชั่วของเจ้าของที่มันคิดมันปรุงไม่ดูนะ พวกนักภาวนาเสียตรงนี้แหละ เสียเอามากจริงๆ นักภาวนามีแต่มักดูคนอื่นไม่ได้ดูตัวเอง คนนั้นเป็นยังไงคนนี้เป็นยังไง พอเห็นแล้ววิพากษ์วิจารณ์เขา เจ้าของเป็นยังไงไม่ดู
นักภาวนาต้องดูความเคลื่อนไหวของจิต จิตมันเคลื่อนออกจากไหน คิดดีคิดชั่ว ตาสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใด หูสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดสังขารมันจะเกิดจากจิต คอยดูจิต เมื่อสติมีอยู่แล้วมันจะไม่ลุกลาม มันจะหยุดๆ การภาวนาต้องมาดูเจ้าของ อย่าไปดูคนอื่น ถ้าดูคนอื่นได้แต่ความติฉินนินทา แล้วก็เป็นหมากัดกันเงียบๆ อยู่ในทุกแห่งนั่นแหละ ถ้าลงดูตัวของเรา ตัวของเราเป็นตัวอันธพาลดูตรงนี้ อันธพาลนี้สงบตัวลงก็ไม่มีอะไรกับใคร เพราะไม่มีอะไรกับตัวเองออกไปแสดงฤทธิ์เดชบ้าบิ่นว่างั้นเถอะ พอสติตีตัวนี้ไว้แล้วมันก็ไม่ออก ไม่ออกก็สงบได้ จำให้ดี นักภาวนาไม่ดูหัวใจจะดูอะไร หัวใจมันดีดมันดิ้นตลอดเวลา เอาสติตีหน้าผากมันเข้าไปซิ หน้าผากมันเหมือนหน้าผากเราละ ฟาดหน้าผากเจ้าของเข้าไปมันก็เจอสติตรงนั้นละ เอาละให้พร
๓-๔ วันนี้จิตมันขยะๆ กับอาหาร ๓ วัน ๔ วันนี้ มันไม่อยากอะไรเลย เราพิสูจน์ตัวเอง อายุ ๒๓ กำลังนี้ขึ้นเต็มเหนี่ยว อายุ ๒๓ ปี ได้รำพึงรำพัน โถ กำลังพิลึก เหมือนว่ามันดีดผึงๆ กำลังในร่างกายของเราอายุ ๒๓ ปี สังเกตดู เต็มเหนี่ยวจริงๆ ๒๓ ปี ๒๔-๒๕ ไม่ขึ้น ทรงตัวๆ จากนั้นก็เสมอไปเรื่อย ไม่แสดงผาดโผนเหมือนอายุ ๒๓ ๒๓ นี้ช้างเดินมากลางทุ่งนาเตะช้างล้ม เข้าใจ กำลังมันแรง ได้เห็นชัดเจน พอจากนั้นไปแล้วมันก็ทรงตัว แล้วลดลงเรื่อย พออายุ ๔๕ รู้ เดินจากนี้ไป แต่ก่อนไม่มีรถ เดินจากนี้ไปออกไปสนามบิน พอไปถึงสะพานนั้นธรรมดามันนะ ถึงสะพานปั๊บ จากนี้ไปถึงสะพานปั๊บ ๑ ชั่วโมงเป๋ง
ครั้นอยู่มาเป็นปีๆ มานี้ลดนะ ยังไม่ถึงสะพาน มองเห็นสะพานนี่ได้ ๑ ชั่วโมงแล้ว โอ้ ลดแล้วเดี๋ยวนี้ลด ตั้งแต่นั้นลดมาเรื่อย หลังจากนั้นมาแล้วเราก็ขึ้นแต่รถเลยไม่ได้ดูสะพาน ลดอายุ ๔๕ ปี พอถึง ๔๕ ลด ลดเรื่อย สะพาน พอไปถึงนั้นปั๊บ ดูนาฬิกาชั่วโมงเป๋ง ถึงสะพานจากนี้ไป เป็นอย่างนั้น ครั้นต่อมานี่มองเห็นสะพานทางนี้ได้ชั่วโมงแล้ว แสดงว่าช้า จากนั้นมาก็ไปรถเสีย เราสังเกตดูธาตุขันธ์ ปีอายุ ๒๓ เต็มที่เลย การกินนี้เอาให้ตายได้นี่ ทางนี้ใส่ปากทางนี้ใส่ย่าม เข้าใจไหม ใส่ย่ามทางนี้ใส่ย่ามทางนี้ ปากเต็มแล้วย่ามยังไม่เต็มต้องใส่ย่าม อายุ ๒๓
คือเวลาธาตุขันธ์มันเร่งอาหารเต็มที่รำคาญนะ ก็เราไม่ได้มุ่งต่ออาหารการกิน ทีนี้เวลาธาตุขันธ์มันเร่งตามประสาของมันนั่นแหละ มันหิวมันโหย กินอะไรก็ไม่อิ่มอะไรไม่พอๆ เจ้าของเลยรำคาญนะ รำคาญ ให้เท่าไรก็ยังกินไม่พอ เจ้าของรู้สึกรำคาญ คืออายุ ๒๓ พอ ๒๖ ไปแล้วที่นี่ก็ค่อยๆ เสมอละ เดี๋ยวนี้มีแต่ลด นั่งอยู่นี้ก็ดี ที่จะให้มันคิดอยากนั้นอยากนี้ไม่มี มาเป็น ๑๐ กว่าปีแล้ว คิดอยากนั้นไม่มี หากกินไปอย่างนั้น
จะอะไรก็ตาม เรื่องที่กล่าวมาเหล่านี้เราพูดตามกิริยาอาการของธาตุของขันธ์มันเป็น ใจจะหวั่นจะไหวไปตามอะไร เรียกว่าไม่มี ธรรมดาพอธาตุขันธ์อ่อนกำลังวังชา เช่นอย่างไม่สบายจะวิตกวิจารณ์เรื่องเป็นเรื่องตายเป็นทุกข์อันหนึ่งเพิ่มเข้าไป อันนี้ไม่มี อะไรจะเป็นยังไงก็ไม่เห็นมี ครั้นว่าเราจะตายเดี๋ยวนี้ก็ไปเดี๋ยวนี้ไม่มีอะไร อารมณ์เข้าแทรกไม่มี อารมณ์เสียอกเสียใจอย่างนี้ไม่มี ก็สบายอย่างหนึ่ง เรียนให้จบธรรมเป็นอย่างนั้น เรียนให้จบธรรมไม่มีหวั่นนะ อาการใดจะเป็นยังไงๆ ไม่หวั่นทั้งนั้น ถึงขั้นจะไปไม่ได้ ไปไม่ได้ก็ปล่อยเสีย ดีดเลย ที่จะให้หวั่นให้ไหวด้วยความเป็นอยู่ตายไป ตายไปแล้วจะไปเกิดที่ไหนๆ หมด ไม่มีอะไร เหมาะแล้วกับปัจจุบันชาติที่จิตเป็นอยู่เวลานี้เหมาะ จะเป็นจะตายเมื่อไรได้ทั้งนั้นๆ ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหนๆ ไม่มี ปัญหาไม่มีเลย หมด ปัจจุบันมันก็หมดอยู่แล้วในปัจจุบัน ขาดจากสมมุติพูดง่ายๆ
สมมุติเป็นฝั่งหนึ่ง วิมุตติเป็นฝั่งหนึ่ง ก็เห็นขาดกันอยู่คนละฝั่งอย่างนี้แล้วจะไปสงสัยหาอะไร เข้าใจไหมล่ะ นั่นละจิตถ้าให้หายสงสัยเป็นอย่างนั้น มันขาดไปคนละฝั่ง ประจักษ์อยู่ในใจ จึงไม่มีอะไรวิตกวิจารณ์ ตายไปแล้วจะไปเกิดที่ไหน อันนี้ก็แน่ตลอดแล้วจะไปสงสัยอะไร สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดประกาศลั่นอยู่ในหัวใจนี้แล้วหมดปัญหา นี่ละการฝึกฝนอบรมจิตใจ เมื่อขั้นพอพอตลอด หายสงสัยความเป็นอยู่ความตายไปมีน้ำหนักเท่ากัน ไม่เป็นกังวลทั้งนั้น
เมื่อวานนี้เอาอาหารไปส่งโรงพยาบาลจิตเวชจังหวัดเลย จังหวัดเลยนี้ได้ส่งตัวจังหวัดด้วยนะ คือโรงพยาบาลอื่นเราไม่ไปส่งตามจังหวัด จะส่งเฉพาะโรงพยาบาลอำเภอๆๆ แต่โรงพยาบาลจังหวัดเลยนี้ได้ส่งทั้งจังหวัดด้วย ขาดแคลนมากโรงพยาบาลจังหวัดเลย นี่ก็ส่งทั้งตัวโรงพยาบาลจังหวัดทั้งจิตเวชด้วย โรงพยาบาลประสาทจิตเวช เราส่งให้ทั้งสองโรง ส่งทุกวัน ส่งอาหารนี้ส่งทุกวันๆ
หลังจังหัน
นั่งตามสบาย นั่งคุกเข่าหรือนั่งขัดสมาธิมันไม่ดี มันจะเป็นสูสุดทอ เข้าใจไหม เราจะเล่านิทานสูสุดทอให้ฟัง คือเขาเป็นคนในป่า เขาไปหาอาหารในป่าพวกผักพวกปูพวกปลาพวกตะกวด พวกเต่าพวกอะไร ไปในป่า แล้วเขาเอาไปให้นาย นายเขาทำงานอยู่ในเมือง เช่นอยู่ในที่ว่าการอำเภอบ้าง ที่ว่าการจังหวัดบ้าง ได้อาหารเขาก็เอาไปให้นายเขา นายเขาเห็นมีความดีความชอบเขาก็ตกรางวัลให้
ทีแรกไม้นี่หามไป คือเอาไม้นี้หามของไปให้นาย ไม่ได้หาบละ หามเอา หามของไปให้นาย ใส่ถุงใส่อะไรหาบไป พอเอาของไปให้นายแล้ว นายก็ตกความดีความชอบให้ ตั้งเขาให้เป็น ทีนี้ได้ยศนะ มานี้ได้ยศเพราะความดีความชอบ เอาของมาให้นาย นายก็ตกความดีความชอบให้ ตั้งยศตั้งแต่นี้ต่อไป คุณได้ยศเป็นสูสุดทอแล้วนะ ยศสูสุดทอ ได้ยศออกมาแล้ว ทีนี้เพื่อนที่ไปด้วยไม่ได้ยศซิ ออกมาไม้ที่หามของไปนั้น ให้เพื่อนถือเพื่อนไม่ถือ แกเป็นสูสุดทอ เราเป็นเพื่อนของแกเราก็ต้องเป็นสูสุดทอด้วยกัน ตกลงไม้คานที่หามของไปให้นาย ตกลงผู้เป็นสูสุดทอจะให้เพื่อนถือไม้ มันไม่ยอมถือ มันว่าเธอเป็นสูสุดทอ เราก็เป็นสูสุดทอเหมือนกันเพราะเป็นเพื่อนกัน
เขามีเหตุมีผลดีนะ เอ้อ ถูกต้อง เอ้า ถ้างั้นหามไม้ออกมา แล้วใครจะไปก่อนไปหลัง ครั้นจะไปก่อนก็ว่าไม่ได้ คือเราไปก่อนหรือให้เธอไปข้างหน้าเราไปตามหลังไสไป เธอเป็นสูสุดทอ เราก็เป็นสูสุดทอเหมือนกัน ตกลงใครจะไปข้างหน้าก็ไปไม่ได้ เลยต้องหามไม้ขวางทาง นี้เป็นสูสุดทอ ทางนี้เขาไม่ได้เป็นแต่เขาเป็นเพื่อนคนนี้ คนนี้เป็นสูสุดทอ เขาก็ต้องเป็นเหมือนกัน ฟังซิน่าฟังไหมล่ะ
พอไปเพื่อนมันคงเบื่อจะตายละ พอมาถึงบ้าน ไม้ลำนั้นละที่หามของไปแล้วหามมานั้น เข้ามาจนกระทั่งถึงบ้าน พอมาถึงบ้าน เพื่อนก็เอาไม้นี้ฟาดเข้าป่าแล้วก็ไปบ้าน พอไปถึงบ้านแล้ว เพื่อนเขาก็เป็นธรรมดาเขาไม่ได้เป็นบ้ายศ นี่พูดถึงเรื่องบ้ายศ ยศพาคนพาพระให้เป็นบ้าทุกวันนี้ ยศไม่ใช่ของเล่นนะทำคนให้เป็นบ้าได้ พระก็เป็นบ้า พอได้เป็นปลัด สมุห์ ใบฎีกา พระครูพระคัน ขึ้นเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ เป็นสมเด็จแล้วเป็นบ้าใหญ่ขึ้นพระเรา นี่เราเอาข้อเปรียบเทียบมา
พวกฆราวาสเหมือนกัน ยศนั้นยศนี้ก็เป็นบ้า ถ้าหลงยศเป็นบ้าด้วยกันทั้งนั้น นี่พวกบ้ายศ พอมาถึงบ้าน เพื่อนก็เอาไม้ปาเข้าป่าแล้วไปบ้าน ทางนี้ไปถึงบ้านก็บอกว่า สู เดี๋ยวนี้กูได้ยศใหม่แล้วนะ สูดูกูซิมันเป็นกูไหม ดูพ่อว่าเป็นพ่อไหม อู๋ย ก็เป็นพ่อละจะเป็นอะไรไป โอ้ กูได้ตำแหน่งใหญ่มา ตำแหน่งอะไร เออ กูก็ชักลืมๆ มันเหมือนกะทอนี่ละ ไปถามเพื่อนกูดูซิน่ะ เพื่อนเขามาเขาก็ขึ้นบ้านเขา ทางนี้ให้ลูกสาวไปถาม ลูกสาวก็ว่า ดูพ่อรู้สึกแปลกมากวันนี้ พ่อไปได้อะไรมาถึงแปลกมาก อย่างว่าละสู กูดูกูก็ดูไม่ออก ให้สูดูกูหน่อย กูนี่มันเป็นกูไหมหรือมันเป็นอะไร กูได้ยศใหญ่มาวันนี้ ก็เป็นพ่อละแต่กิริยามันผิดแปลกมากวันนี้ ดูลักษณะพ่อเหมือนจะเป็นบ้า หือ เป็นสูงขนาดนี้ยังจะเป็นบ้าเหรอ มันก็เป็นบ้ายศนั่นแหละ ลูกสอนพ่อ
ทีนี้ลูกเขาก็ไปถามเพื่อนที่ไปด้วยกัน พ่อรู้สึกเป็นยังไงวันนี้ มาอยู่บ้านดูตัวเองไม่ออกให้ลูกมาดู ว่ากูได้ยศใหญ่มา ครั้นถามว่าเป็นยศอะไร ก็ว่ากูจำไม่ได้ มันเหมือนกะทอ ละสู เป็นสูสุดทอ เอ้อๆ ใช่ ทีนี้เขาหาข้าวมาให้กิน คนไม่เคยกินข้าวนั่งขัดสมาธิ ก็นั่งชันเข่าตามประสาบ้านนอกกินไปธรรมดาๆ วันนั้นไปได้สูสุดทอมาก็นั่งขัดสมาธิกิน ทีนี้คนไม่เคยนั่งขัดสมาธิ กินไปกินมาเผลอเตะสำรับลงตูมเลย อ้าว ทำไมพ่อจึงเตะสำรับ ความจริงมันไม่เคยขัดสมาธิ ทำไมวันนี้จึงเตะสำรับ ก็สำรับนี้มันไม่สมยศกู ความจริงมันเผลอต่างหาก มันไม่ได้ตั้งใจเตะ มันเผลอดีดออกไป ทำไมพ่อจึงได้เตะสำรับ มันไม่สมยศกู ความจริงพ่อเผลอเป็นบ้ายศ เรื่องเป็นอย่างนั้น เขาเรียกสูสุดทอ เป็นบ้ายศถึงขนาดเตะสำรับ
ตามธรรมดาเราไม่ค่อยไปโรงพยาบาลจังหวัดนะ เราจะไปแต่โรงพยาบาลอำเภอๆ แต่จังหวัดเลยนี้จำเป็น ขาดแคลนมาก เราต้องเข้าโรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลจิตเวช ทั้งสองอยู่ในจังหวัดเราได้ให้ทั้งสองโรง ตามอำเภอก็ให้เหมือนกัน ช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วย การทำบุญให้ทานวันหนึ่งไม่ทราบไหลออกเท่าไร เราไม่คำนึงคำนวณว่าหมดไปเท่าไรยังเหลือเท่าไร มีแต่จะให้ๆ ตลอด นี่อำนาจแห่งความเมตตามันเป็นในหัวใจ แต่ก่อนก็ธรรมดาๆ จากนั้นมาการบำเพ็ญธรรมจะเป็นอะไรก็ไม่ทราบ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วเลยมีแต่ความเมตตาอ่อนนิ่มไปหมด กิริยาท่าทางจะเป็นยังไงก็ตามก็สักแต่ว่าการแสดงออก แต่จิตนี้มันนิ่มตลอดไม่มีการเปลี่ยนแปลง คือจิตนิ่มไปด้วยความเมตตา จิตนี้ขอให้ธรรมบริสุทธิ์เต็มที่ เลยกลายเป็นจิตที่อ่อนนิ่มไปหมดเลยกับคนทั่วๆ ไป มีตั้งแต่สงสารๆ ทั้งนั้น ให้พร
เมื่อวานนี้พวกศพหลวงพ่อทา ที่ว่าเผาศพนั่นน่ะ ที่เขาเอาไฟพุ่งใส่จะเผาเราทั้งเป็น เก้าอี้ตั้งไว้นี้ด้วยนะ เขาเตรียมฆ่าเขาจะเผาเราจริงๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ เก้าอี้ตั้งตรงนี้ให้เรานั่งตรงนี้ พอจุดนี้มันพุ่งเลยไฟ แต่พอดีพอไปนั้นเราจับเก้าอี้โยนไปโน่นเสีย เราหลีกไปอยู่ทางนั้น จุดปั๊บนี้พุ่งจริงๆ เราอยู่ข้างๆ มันจะไม่เป็นอะไร ทีนี้เขาจะมาแก้ตัวละเมื่อวาน เขาเอาอัฐิของหลวงพ่อทามา เขาเต็มอยู่นี่เขาจะมาแก้ตัวเขา พูดง่ายๆ มันไม่สำเร็จจะฆ่าเรา พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ พอมันออกมาตรง ถ้านั่งเก้าอี้นี้เผาเราทั้งเป็นเลยวันนั้น แต่พอไปนั้นเราจับเก้าอี้โยนไปเสีย เราหลีกไปทางโน้น พอจุดนี้ปั๊บพุ่งออกเลย มันก็เลยไม่ถูกเรา เป็นอย่างนั้นละ
แล้วจะมาแก้ตัวเมื่อวานนี้ เอาอัฐิธาตุมาให้เราดู ไม่ดู นี่กระดูกเราก็มีเราว่า เดินผ่าน อย่างนั้นละจะมาแก้ตัวแก้ไม่ตกกับเรา อะไรก็ตามสามโลกธาตุแก้ไม่ตกกับเรา ถ้าว่าอะไรแล้วขาดสะบั้นไปเลย เมื่อวานนี้ก็มาเต็มอยู่นี้จะมาแก้ตัว เอาอัฐิมาแก้ตัว ที่ทำมานั้นมันจะเผาเราทั้งเป็นมันไม่สำเร็จ เข้าใจไหมล่ะ จุดไฟ มันมีอะไรอยู่ข้างใน ระเบิดใหญ่ของมันพุ่งออกมาตรงนี้เลย เขาเอาเก้าอี้ไปให้เรานั่ง พอนั่งนี้ปั๊บ จุดปั๊บมันก็พรึบนี้เผาทั้งเป็นเลย แต่นี่มันไม่เป็นอย่างนั้นซิ พอไปนี้เราจับเก้าอี้โยนไปนี้เสีย เราไปข้างโน้น จุดปั๊บนี้พุ่งออกเลย วันนั้นนะ เขาใหญ่ ศพหลวงพ่อทา
ใครๆ ก็ไม่ต้องวินิจฉัยกันเป็นอย่างอื่นละ ตั้งหน้าตั้งตาจะฆ่าหลวงตานั่นเองเขาก็ว่า ทีนี้เมื่อวานเขามาแก้ตัว เอาอัฐิมาให้ดู ไม่ดู กระดูกเรามีเต็มตัวอยู่แล้วเราไม่ดู เต็มนั่งอยู่นี้ เราเดินไปจากนี้มา ออกไปศาลาโน่น เดินผ่านเข้ามานี่ พอมานี้พระมาบอก ว่าแขกเขามา เอาอัฐิหลวงพ่อทามาให้ท่านอาจารย์ดู ไม่ดู กระดูกเรามี เราก็เดินผ่านไปเมื่อวานนะ นี่กระดูกที่มันจะเผาเรา มันจะมาแก้ตัว แก้ก็ไม่ตกกับเรา ถ้าลงได้ไปยังไงแล้วแก้ไม่ตก เราไม่ได้เหมือนใคร ว่าอะไรเป็นอันนั้นนะ ขาดสะบั้นไปเลย ภูเขาทั้งลูกขาดสะบั้นไปเลย
จิตอันนี้ไม่ใช่จิตเล่นๆ นะ ว่ายังไงเป็นยังงั้น ถ้าลงได้ลงใจแล้วขาดสะบั้นเลย นี่ก็มาเมื่อวานนี้เอาอัฐินี้มาให้เราดู ไม่ดู กระดูกเรามีแล้วเราไม่ดู เดินผ่านไปเลย เขานั่งเต็มเห็นไหมล่ะ นั่นละเขามาแก้ตัว จะแก้หรือไม่แก้มันก็ไม่ตก เราก็เป็นเราไป อย่างนั้นก็มาทำกันมนุษย์นะ จะมาแก้อะไรให้มันตก มันจะตกอะไร ก็เจ้าของเป็นผู้ทำเอง บาปบุญอยู่กับเจ้าของ เราไม่ได้ทำอะไรจะมีอะไรอยู่กับเรา ไม่มี เราตายก็เป็นเราเต็มตัว ยังอยู่เราเต็มตัว เราจะมีได้เสียหายอะไรไม่ได้ ผู้ทำต่างหาก ได้และเสียอยู่ที่นั่นต่างหาก เอาละไป
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |