เทิดทูนท่านสุดหัวใจ
วันที่ 2 กรกฎาคม. 2550 เวลา 7:40 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

เทิดทูนท่านสุดหัวใจ

         เมื่อวานไปกราบพ่อแม่ครูจารย์ที่สกลนคร ก่อนจะไปไหนก็กราบท่านเสียก่อน หลักใหญ่อยู่จุดนั้น อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุก็อยู่ที่นั่น เรียกว่าต้นตอใหญ่อยู่ที่นั่น เราจึงต้องไปกราบเสมอ พ่อแม่ครูจารย์มั่นแหม ซึ้งสุดหัวใจเรานะ สุดหัวใจเลย ไม่มีคำว่าจืดจาง เป่ากระหม่อมเราหมดเลย ทุกอย่างเราอยู่ในนั้นหมด เทิดทูนทุกอย่าง เราก็เอาเต็มกำลังของเราเวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วย เราเท่านั้น แน่ะ เข้ากันปั๊บเลย เราก็พอใจ ถึงจะโง่แสนโง่ ท่านเป็นจอมปราชญ์เราเป็นจอมโง่ก็ตาม เราก็ถวายหมดแล้ว ท่านจะสับจะเขกอะไรก็แล้วแต่

เรียกว่าเราภูมิใจได้ปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์องค์ที่เราเทิดทูนสุดหัวใจ ก็คือหลวงปู่มั่น เทิดทูนสุดหัวใจนะไม่มีอะไรเหลือเลย เรามอบถวายท่านหมด คิดดูซิเวลาท่านจะเอาเรา ท่านอยู่กุฏิ ตอนเช้ามาแต่เช้าเลย อาการไข้ของเรามันไข้มาลาเรียมันเป็นตั้งแต่เช้าอยู่แล้ว พอสว่างก็ขึ้นไปหาท่าน ตอนเช้าขึ้นไปทุกวัน ถ้าไม่ขึ้นไปท่านจะถาม ถ้าเราขึ้นไปท่านเห็นแล้วท่านก็ไม่ถาม บางวันเราไม่ขึ้นเราไปยืนอยู่บันได คอยดูพระเณรเอาของลงมา เพราะของทั้งหลายนั้นเราสั่งทั้งนั้น อย่าให้ขัดให้แย้งกัน ใครเคยเอาอะไรลงมาให้เอาอันนั้นลงมาๆ เราสั่งเสียทุกอย่าง

คือทีแรกก็มีแต่เราละ พอเปิดประตูปั๊บเราเข้าก่อนๆ ทุกอย่างจัดออกมาๆ ครั้นต่อมาท่านคงจะคิดเห็นเรื่องพระเรื่องเณร มีแต่เราทำพระเณรจะไม่ได้ทำ ข้อวัตรปฏิบัติจะไม่มีพระเณรทั้งหลาย เวลาท่านจะพูดก็ว่า เออ พระที่มีอายุพรรษาพอสมควรแล้ว การประพฤติปฏิบัติก็รู้สึกว่าพอสมควรแล้วก็ให้รามือบ้าง ถอยออกไป แล้วให้พระที่ยังไม่เคยทำข้อวัตรปฏิบัติได้ทำบ้าง เดี๋ยวจะไม่มีนิสัยติดหัวมันแหละท่านว่างั้น จากนั้นมาเราก็ถอย ถอยออกไปแล้วก็คอยดูพระเณรเอาของท่านออกมา เราคอยดูๆ

เพราะก่อนที่จะให้ใครเอาของอะไรออกมาเราสั่งแล้ว องค์นั้นเอาอันนั้นๆ ไม่ให้ก้าวก่ายกัน ใครหยิบอะไรลงมาเราคอยดูๆ บางวันเราก็ขึ้นไป ท่านออกมาปั๊บเราขึ้นไปนั่งอยู่นั้นแล้ว บางวันนะ บางวันเราไม่ขึ้น ถ้าไม่เห็นเราขึ้นสักสองวันท่านถามแล้ว ท่านมหามาไหม ท่านมหาไปไหน แน่ะ อย่างนั้นแหละเรื่อยๆ บอกว่า มาอยู่ข้างล่าง ก็หมดปัญหาไป เป็นอย่างนั้นละ ท่านคอยสังเกตเราตลอดเวลา เกี่ยวข้องกับพระกับเณรเราจะดูทุกอย่าง

ที่หนองผือนี้หนักมากนะเรา เหมือนเป็นบ๋อยกลางบ้านกลางเรือนพระเณร คอยสอดคอยแทรกคอยดูความเรียบร้อย ไม่ให้ระเกะระกะ ถ้าเราอยู่ที่นั้นพระเณรก็เรียบร้อยทุกอย่าง เพราะเราสอดเราแทรกตลอดเวลา จะเห็นได้ชัดเวลาเราจะลาท่านไปเที่ยว ดูอาการท่านไม่อยากให้ไป แต่ท่านเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเราคือการภาวนา พอถามถึงเรื่องการงานอะไรมีอะไรบ้างไหมเวลานี้ ถ้ามีเราก็จะพาพระเณรจัดทำ ถ้าท่านบอกว่าไม่มี ถ้าไม่มีแล้วก็อยากจะกราบพ่อแม่ครูจารย์ไปภาวนาสักชั่วระยะ แน่ะ ไปก็บอกว่าชั่วระยะ เท่านั้นแล้วก็นิ่งคอยฟัง

ท่านได้โอกาสเมื่อไรท่านก็จะพูดแหละ ถ้าท่านไม่พูดเราก็ไปไม่ได้ แล้วพูดเท่านั้นไม่ซ้ำอีกแหละ นั่นละพูดกับจอมปราชญ์เป็นอย่างนั้น ของเล่นเมื่อไร พอท่านทราบจากเราแล้วท่านจะเอาไปคิดอ่านไตร่ตรองเกี่ยวกับพระกับเณรในวัดในวา เพราะเกี่ยวกับเราทั้งหมด พระในวัดเราคอยดูแลสอดส่องตลอดเวลา เวลาเราจะลาท่านไปเที่ยว เห็นว่าไม่มีธุระอะไรในวัดในวาแล้วก็ว่า อยากจะไปเที่ยวภาวนาสักระยะหนึ่ง บอกระยะไว้ เท่านั้นก็หยุดแหละคอยฟังท่าน เหมือนว่าท่านลืมไปแล้วนะ ท่านเงียบไปเลย ต้องคอยฟัง

ได้โอกาสแล้ว เอ้อ ท่านมหาว่าอยากจะไปเที่ยวภาวนาก็ไปได้แหละ นั่นเปิดแล้วนะ ถ้าท่านไม่พูดเราก็ไปไม่ได้ แล้วไม่พูดซ้ำอีกเลยละ พูดเท่านั้นพอ ถ้าท่านมหาจะไปเที่ยวก็ไปได้ละ ท่านว่าอย่างนั้น แล้วจะไปทางไหนล่ะ คิดว่าจะไปทางนั้นทางนี้ ท่านถามว่าไปกี่องค์ ไปองค์เดียว ขึ้นทันทีเลยนะ พอว่าไปองค์เดียวคือพระทั้งหลายเข้าไปหาท่านไปลาท่านมีหลายแบบหลายฉบับที่ท่านต้อนรับพระนะ องค์นี้เข้าไป องค์นั้นเข้าไป เหอ ตั้งแต่อยู่นี้มันก็ตกนรกต่อหน้าต่อตาให้เห็นอยู่วันยังค่ำคืนยังรุ่ง แล้วออกไปนี้มันจะไปตกหลุมไหนล่ะ นั่นแสดงว่าท่านไม่ไว้ใจ ไม่ให้ไป ท่านพูดเท่านั้นละ พระเหล่านั้นก็ไม่กล้าไป

เวลาเราไปลาท่าน ท่านไปแบบหนึ่งนะ เพราะท่านเห็นความตั้งใจเรา เราตั้งใจจริงๆ ทำทุกอย่าง เรียกว่าผาดโผนจนกระทั่งท่านได้รั้งเอาไว้ๆ ทำอะไรถ้าลงใจแล้วเอาจริง ไม่ได้เหมือนใครนะ ถ้าได้ลงใจแล้วหมดตัวเลยๆ ชีวิตจิตใจไม่ได้เสียดาย เวลาลาท่านไปเที่ยวพอว่าอย่างนั้นแล้วนิ่งไว้เลยละคอยฟังท่าน ถ้าท่านไม่พูดเลยเราก็ไม่พูดซ้ำอีกและไม่ลาอีก ได้โอกาสพอสมควรแล้วท่านว่า เอ้อ เหมือนกับว่าท่านระลึกได้ ความจริงท่านเอาไปคิดหมดแล้ว คิดเกี่ยวกับเรานี้ก็เกี่ยวกับพระกับเณรในวัด เพราะเราดูแลพระเณรทั้งวัดเลย

เอ้อ ที่ท่านมหาอยากจะลาไปเที่ยวไปได้ละ เรียกว่าท่านเปิดทางแล้ว เอ้อ จะไปทางไหนล่ะ คราวนี้คิดว่าจะไปทางนั้น เอ้อ ทางนั้นดี จะไปกี่องค์ล่ะ ไปองค์เดียว ขึ้นทันที เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ บางองค์ๆ ขึ้นมานี้ตั้งแต่อยู่ในวัดนี้มันก็ตกนรกให้เห็นทั้งเป็นทั้งกลางวันกลางคืน มันจะออกไปตกหลุมไหนล่ะ ออกจากนี้ไปแล้วมันจะไปตกหลุมไหนล่ะ ท่านว่า นั่นแสดงว่าไม่ให้ไป สำหรับเราแล้วเปิด เพราะท่านเห็นความตั้งใจเราทุกอย่างไปอยู่กับท่าน เรียกว่าท่านไม่ได้หนักใจก็ไม่ผิด เบาใจก็ได้ เพราะเราสอดส่องดูหมดพระเณร

ไปอยู่ที่นั่นความเพียรไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย คอยสอดส่องดูพระดูเณรเพื่อความเรียบร้อยสงบร่มเย็น เพราะทั้งหลายนี้มาอยู่กับท่านท่านไม่ได้นิมนต์มา เรามาแล้วจะทำให้ท่านหนักใจไม่ได้ ไม่สมควรกับผู้ที่มาศึกษา นี่เราคอยสอดคอยแทรกแนะนำสั่งสอนดุด่าว่ากล่าว สุดท้ายพระเณรเลยกลัวเรามากกว่ากลัวท่าน ท่านก็อยู่กุฏิกลัวจริง แต่ท่านไม่ได้ลงมา แต่เรามันออกนั้นเข้านี้สอดแทรกอยู่นั้น เดี๋ยวจี้องค์นั้นเดี๋ยวจี้องค์นี้อยู่เรื่อย พระเณรเลยกลัวเรา เป็นอย่างนั้นละ

เพราะฉะนั้นเวลาเราจะไปที่ไหนท่านจึงไม่อยากให้ไป คือพระเณรเรียบร้อยถ้าเราอยู่ที่นั่น คงจะเป็นอย่างนั้นเราคิดว่านะ เวลาเราจะลาไปที่ไหนท่านรู้สึกว่าขัดข้อง แต่ท่านไม่พูดเราหากรู้ จนกระทั่งท่านเปิดโอกาสให้แล้ว ท่านจะเปิดเมื่อไรก็แล้วแต่ท่าน เรากราบเรียนท่านแล้วนิ่ง บางที เอ้อ ที่ท่านมหาอยากจะไปเที่ยวไปได้ละ นั่นเปิดแล้ว จากนั้นท่านก็พูดแล้วจะไปกี่องค์ ไปองค์เดียว พอว่าอย่างนั้น เอ้าท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ก็เพราะเห็นความตั้งใจ ไม่ได้พูดแบบยกยอตัวเองนะ เราพูดตามหลักความจริง พอว่าเราไปองค์เดียว ท่านขึ้นทันทีเลย เด็ดเฉียบ ส่ายมือไปตามพระเณรที่นั่ง ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านมหาให้ไปองค์เดียว

เหตุที่ท่านรู้ อยู่ในวัดท่านก็รู้อยู่แล้วความตั้งใจของเราเป็นอย่างไร ทีนี้ออกจากวัดไปกลับมานี้หนังห่อกระดูกทุกครั้งเลย มาหาท่านมีแต่หนังห่อกระดูกมา เนื้อไปไหนหมดไม่รู้ นั่นละทรมานอย่างหนัก ดูว่าเนื้อไม่มีละ มีแต่หนังห่อกระดูก เป็นร่างมนุษย์เอาหนังหุ้มมาเท่านั้น นั่นละท่านดูท่านก็รู้ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ใครไปยุ่งกับเรา เพราะท่านรู้นิสัยเราว่าทำอะไรจริงจังมากทุกอย่าง ถึงท่านรั้งเอาไว้บางทีความเพียรเหมือนกัน ท่านก็ได้รั้งเอาไว้ มันเอาจริงเอาจัง นี่พูดถึงพ่อแม่ครูจารย์ เราจึงว่าลงหมด ไม่มีอะไรเหลือเลยกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ลงหมดเลย สดๆ ร้อนๆ อยู่ในหัวใจตลอดเวลา

เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ตอนนั้นตอนสำคัญ เวลาท่านเจ็บไข้ได้ป่วยเราจะพัวพันอยู่ในนั้นเลย ไม่ไปไหน คอยสั่งพระสั่งเณร จะทำอะไรเราเป็นคนสั่งออกมาๆ ให้พระเณรปฏิบัติตามเรา เราอยู่ใกล้ชิดกับท่าน คอยสั่งพระเณร องค์ไหนให้ทำอะไรๆ เกี่ยวกับท่านเวลาป่วยไข้ เป็นอย่างนั้นละเราจะอยู่กับท่าน เวลาท่านเจ็บมากเข้าจริงๆ แล้วเราจะอยู่ในมุ้งกับท่านเลย กลางคืนอยู่ในมุ้งเลย อยู่กับท่านสองต่อสองเท่านั้นแหละ พระเณรนั่งล้อมอยู่นอกมุ้งเต็มไปหมดนั่นละ พอเรายื่นอะไรออกไปพระเณรจะจับปุ๊บๆๆ

การถ่ายหนักถ่ายเบาเราไม่ให้ใครเห็น เราเป็นคนจัดการเองหมดเลย ถ่ายหนักถ่ายเบาก็มีกระป๋องสำหรับถ่าย เราเองเป็นคนปฏิบัติต่ออวัยวะของท่าน จะไม่ยอมให้ใครเห็นเลย เพราะเรารักเราสงวนเราเทิดทูน เป็นเราเท่านั้นที่จะเห็นอวัยวะของท่านส่วนใดก็ตาม นอกนั้นเห็นไม่ได้เลย เพราะความรักความสงวนท่าน เราจะเป็นคนจัดการเสร็จแล้วยื่นออกมาๆ ถ่ายเบาก็ตามถ่ายหนักก็ตามเราจะทำเลย แต่ก่อนไม่มีถุงพลาสติก เราเอามือกอบเลย เวลาท่านถ่ายออกมาเรากอบรอรับใส่กระโถนปั๊บ เสร็จเรียบร้อยทำความสะอาดเรียบร้อยหมด แล้วก็ยื่นออกไปให้พระให้เณร ไม่ให้ใครเข้าไปเห็นอวัยวะท่าน เราเทิดทูนขนาดนั้นละ มีแต่เราเท่านั้นเห็นอวัยวะท่านทุกสัดทุกส่วนเราคนเดียว เราก็เหมือนกับอวัยวะท่าน

นั่นละเราทำอย่างนั้น เราเทิดทูนท่านสุดหัวใจทุกอย่าง ทีนี้เวลาท่านมรณภาพไปแล้วนี้สดๆ ร้อนๆ อยู่นะ ทุกอย่างท่านเป่ากระหม่อมเราหมดเลยหลวงปู่มั่น ท่านเป็นผู้เป่ากระหม่อมความรู้ตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา เรื่อยมาจนกระทั่งวาระสุดท้ายท่านจากไป เราก็ทำเต็มความสามารถของเรา เราจึงพอใจเทิดทูนสุดหัวใจพ่อแม่ครูจารย์มั่น เทิดทูนสุดหัวใจ เรียกว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย มอบหมดเลย หาครูบาอาจารย์อย่างนี้หาไม่ได้แล้วนะ เท่าที่เราผ่านครูบาอาจารย์ทั้งหลายมา จะว่าเราเป็นนักล่าอาจารย์ก็ไม่ผิด ไปหาครูบาอาจารย์องค์นี้สังเกตสังกาเต็มเหนี่ยว แล้วก็ไปไป พอไปหาพ่อแม่ครูจารย์ ตั้งแต่ไปแล้วจนกระทั่งวันท่านมรณภาพไม่ไปไหนเลย

เราก็ได้ปฏิบัติท่านเต็มกำลังของเรา ทั้งที่โง่เขลา ท่านจอมปราชญ์เราจอมโง่ เราถวายท่านหมดแล้ว ท่านจะว่าอะไรสังเกตอะไรเรามอบหมดแล้ว จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป ไม่ลืมนะ ดูลมหายใจจนกระทั่งวาระสุดท้าย ดู จ้อเลย ท่านไปอย่างละเอียดลออมาก เวลาท่านจะนิพพานสมชื่อสมนามจริงๆ วาระของท่านที่ท่านจะนิพพานได้ดูอาการของท่าน ดูตลอดนะ จนกระทั่งวาระสุดท้ายลมหายใจท่านสิ้น ไม่ทราบว่าสิ้นไปเมื่อไรไม่รู้นะ คือละเอียดลงไป ละเอียดลงๆ ลมหายใจทีแรกก็หายใจปลา หายใจแล้วค่อยละเอียดลงๆ ลงจนไม่ทราบเลยว่าท่านสิ้นเมื่อไร ความละเอียดลมหายใจของท่านไม่รู้นะ

เห็นว่าจ้ออยู่นาน ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์นี่ละ ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเรา ดูเห็นว่าไม่ได้การแล้ว เหอ ไม่ใช่ท่านสิ้นแล้วเหรอ เลยเอานาฬิกามาดูตีสอง ๒๓ นาที ดูด้นเดาเฉยๆ นะ ไม่ได้เห็นวาระของท่านขณะที่ท่านสิ้นลมจริงๆ ไม่รู้ นั่นละละเอียดขนาดนั้น ลมหายใจตั้งแต่หายใจปลานะ หายใจค่อยละเอียดลงๆ ละเอียดๆ จนหมดไม่รู้เลย พ่อแม่ครูจารย์มรณภาพเราเห็นด้วยตาของเรา น้ำตานี้พังเลยนะ ก็พ่อแม่ครูจารย์ แหม น้ำตาพังเลยนะเรา มันบอกว่าหมดที่พึ่งความหมายว่าอย่างนั้น ทั้งบุญทั้งคุณท่านอยู่ในนี้หมดเลย แล้ววาระนี้เป็นวาระที่ท่านจะจากไป ทั้งเช้าทั้งสายทั้งบ่ายทั้งเย็นทุกเวลาเราขึ้นหาท่าน เพราะตอนนั้นธรรมะนี้หัวใจเรามันหมุนเป็นธรรมจักร มันไม่ได้อยู่นะ

จึงได้บอกว่าท่านเพียบทางธาตุขันธ์ เราเพียบทางด้านจิตใจ ทางธาตุขันธ์ก็อ่อนลงๆ ธาตุขันธ์ท่าน ทางหัวใจเรากับกิเลสมันก็ฟัดกันตลอดเวลา บางคืนไม่ได้นอนตลอดรุ่งเลย ต่างคนต่างเพียบ เราเพียบทางด้านจิตใจ แต่ก็สละ เหมือนไม่มีงานอะไรนะเวลาอยู่กับท่านทำงาน แต่จิตกับกิเลสมันฟัดกันมันก็ฟัดอยู่ภายใน งานก็ทำไปๆ นี่ละกิเลสกับธรรมเวลามันแก้กันโดยอัตโนมัติ มันเป็นเองนะ ไม่ได้บังคับ มันหากเป็นของมันหมุนอยู่ภายใน ทางเราทำงานเราก็ทำไปทางนี้ก็หมุนอยู่ภายใน นี่ละที่ธรรมะทำงานฆ่ากิเลส เหมือนกิเลสมันทำงานฆ่าอรรถฆ่าธรรมในหัวใจสัตว์โลกมันก็เป็นของมันอย่างนั้น แต่เวลาธรรมะมีกำลังแล้วมันก็เป็นอย่างนั้นอีกเหมือนกัน

ท่านมรณภาพแล้วหมดเลย น้ำตาพังเลยเรา หมดแล้วที่พึ่งของเรา เข้าหาท่านตอนเช้าตอนสายตอนบ่ายตอนเย็น ท่านไม่เคยว่าเลยละกับเรา ไม่มีที่ท่านจะว่าคำนั้นคำนี้ต่อเรา ตั้งแต่ไปอยู่กับท่านมาจนกระทั่งท่านมรณภาพท่านไม่เคยดุเรา ไม่เคยว่าทำไมทำอย่างนั้น ทำไมทำอย่างนี้ เวลาปฏิบัติต่อท่านผิดพลาดไปอย่างนี้ไม่เคยมีนะ จนกระทั่งวาระสุดท้าย นี่ละที่มันน้ำตาพัง คุณของท่านอยู่ในนี้หมดอยู่ในหัวใจเรา พอท่านสิ้นลงแล้วเลยนั่งอยู่นั้นน่ะ นั่งรำพึง นั่งเหมือนหัวตอนะแต่จิตมันหมุนของมัน

เออ ธรรมะเวลานี้เป็นธรรมะเข้าด้ายเข้าเข็ม ใครจะมาสอนเราสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ นอกจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นเท่านั้น พอขึ้นไปท่านนอนอยู่ก็ตามนะ ไม่เคยมีที่ว่าท่านห้ามเราหรือตำหนิเรา ว่าขึ้นมาหาอะไร ไม่เคยมี ท่านนอนอยู่องค์เดียว ขึ้นปั๊บๆ กราบที่เท้าท่าน เราก็ทราบแล้วว่าท่านไม่ได้หลับ ท่านนอนสงบเฉยๆ เราขึ้นไปก็กราบเรียนให้ท่านฟัง ท่านฟังท่านก็นอนนิ่ง จิตของเราเป็นอย่างนั้นๆ เวลานี้ เพราะจิตอันนี้เป็นจิตสติปัญญาอัตโนมัติฟัดกับกิเลสไม่มีเวล่ำเวลา ใครมาแก้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ต้องเป็นช้างประจำควาญ ประจำควาญจริงๆ

ทีนี้พอเราพูดจบลงแล้วนิ่ง ท่านนอนอยู่นะ แทนที่ท่านจะนอนพูดกับเราไม่นะ เวลาท่านลุกนี้แต่ก่อนได้พยุงนะ เวลาท่านลุกขึ้นจะตอบธรรมะเราปุ๊บปั๊บ นั่นเห็นไหมล่ะพลังจิตพลังเมตตา ปุ๊บปั๊บนั่ง เอาฟังนะ คือเรากราบถวายหมดแล้วที่เป็นข้อข้องใจ ท่านก็ว่า เอา ฟัง ท่านก็ใส่เปรี้ยงๆๆ เข้าใจหรือยัง ถ้าเรายังนิ่งอยู่ท่านย้ำอีกนะ คือนิ่งนั่นแสดงว่ายังไม่เข้าใจนัก แต่พอเราเข้าใจแล้วเรากราบท่านปั๊บๆ ท่านก็ล้มตูมนอนเลย บางวันถึงสองครั้งสามครั้งก็มี

ท่านไม่เคยคัดค้านไม่เคยดุเคยด่าเราที่ขึ้นหาท่าน เพราะท่านเห็นหัวใจเราในตอนนั้นจะไม่ฟังเสียงใคร หัวใจเราอยู่กับท่านเท่านั้น เพราะฉะนั้นเวลาท่านจะพูดท่านจึงปึ๊บทันทีเลย พอจบแล้วเรากราบปั๊บๆ ท่านล้มนอนปั๊บไปเลย ไปหาท่านเวลาไหนไม่เคยมีที่ท่านจะห้ามเราหรือดุเรา ไม่มี เพราะท่านรู้ความจำเป็นของเรา เวลาจิตกับธรรมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วเป็นอย่างนั้น มันจะหมุนของมันตลอดเวลา แล้วใครมาแก้ก็แก้ไม่ได้ ถ้าแก้ไม่ถูกช่องถูกทางมันดูถูกเอา หือ ความรู้ขนาดนี้มาแก้เราได้ นั่นมันจะดูถูก นอกจากไม่ได้รับประโยชน์อะไรแล้วยังดูถูกอีก

แต่สำหรับท่านผู้ที่ผ่านไปแล้วพอเราเล่าถวายปั๊บๆ ใส่ปั๊วะๆ อันนี้ตกพังๆ เลย เข้าใจหรือยัง ถ้ายังไม่สนิทใจเราก็นิ่ง ท่านซ้ำอีก พอเราสนิทใจแล้วกราบปั๊บท่านล้มปั๊บนอนลงเลย เป็นอย่างนั้นแหละ ถ้าเข้าใจแล้วก็กราบเป็นการแสดงชัดเจนว่าเข้าใจแล้ว เข้าใจปัญหาท่านที่ตอบมา ท่านก็นอนปั๊บ การเมตตาสงสารทางด้านอรรถธรรมนี้ท่านจะหนักขนาดไหนก็ตาม เราก็หนักของเราเต็มที่ในหัวใจนะ ท่านเห็นใจเรามากกว่าเห็นใจท่าน เห็นธาตุขันธ์ท่านไม่ได้มากเท่าเรา พอเราขึ้นไปกราบเรียนท่านท่านจะลุกปุ๊บปั๊บ ธรรมดาได้พยุงนะ เวลาท่านลุกขึ้นมาตอบธรรมะกับเราไม่ได้พยุง ใส่ปั๊วะๆ เลย

นี่ละสุดขีดพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่แก้ธรรมะเรา ปัญหาเรา ขึ้นไปนี่พอกราบเรียนจบแล้วนิ่งเลย ท่านปุ๊บขึ้นมาเลย ใส่ปั๊วะๆ ฟังนะ นั่นอย่างหนึ่ง เอา ฟัง ใส่ปั๊วะๆ เข้าใจหรือยัง ถ้าเรายังนิ่งอยู่ท่านซ้ำอีกๆ พอเราเข้าใจแล้วกราบเลย ท่านรู้แล้วว่าเราเข้าใจ ท่านล้มนอน ที่ท่านจะห้ามว่า มาทำไมเรากำลังลำบากลำบนไม่เคยมี ไม่ทราบเป็นอย่างไร มันอะไรพูดไม่ถูกนะ ท่านไม่เคย กับเราแล้วท่านไม่เคยว่า เคยห้าม เคยดุ เคยด่า ว่าขึ้นมาทำไมอะไรอย่างนี้ไม่เคยมี จะเวลาไหนหนักเบาขนาดไหนในธาตุขันธ์เราขึ้นไปไม่มีเลยแหละกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น เป็นอย่างนั้นนะ เราจึงได้เทิดทูนสุดหัวใจ

นี่ท่านก็ล่วงไปแล้วดูเหมือน ๕๗ ปีแล้ว เดือนพฤศจิกา วันที่ ๑๒ ท่านล่วงไป วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เราก็ผ่านนั่นละเวทีหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ เดือนพฤษภา ตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤศจิกา ๒๔๙๒ พอท่านผ่านไปเราก็วันที่ ๑๕ พฤษภา ปี ๙๒ ท่านผ่านนะ เราไปผ่าน ๙๓ เราลืมเมื่อไร ไม่ลืม ธรรมะประเภทนี้เป็นธรรมะอัศจรรย์มากทีเดียว ไม่ใช่ธรรมะธรรมดา เป็นธรรมะอัศจรรย์ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีลืม ไม่มีคำว่าจืดว่าจาง เสมอแน่วกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น สดๆ ร้อนๆ ตลอดเวลา พอมองเห็นท่านปั๊บจิตมันเป็นแล้วนะ

เราโผล่ออกมามองเห็นรูปใหญ่ๆ ท่านนะ ไม่เคยคำว่าชินไม่มี พอมองเห็นปั๊บน้อมปุ๊บเลย เป็นอยู่ภายในนะ น้อมปุ๊บทันทีเลย นี่เห็นท่านยืนอยู่ เราโผล่มานี่ โผล่มาทางไหนก็ตาม พอมองเห็นปั๊บมันจะลงโดยหลักธรรมชาติ น้อมปั๊บเลย น้อมกราบไหว้บูชามหาคุณของท่านที่อยู่บนกระหม่อมของเราพูดง่ายๆ จึงไม่มีคำว่าจืดว่าจางพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ เวลามรณภาพไปแล้วอัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ ไม่นานนะปุ๊บปั๊บเป็นเลย เพราะท่านผ่านมานานแล้ว ตั้งแต่พรรษาเท่าไรนาท่านผ่าน ท่านก็บอกหมดแล้วละ พรรษา ๒๒ อยู่วัดถ้ำสาริกา อันนั้นเป็นวันท่านเริ่มทีแรก ที่ว่าจิตของท่านสว่างจ้าครอบโลกธาตุ มีผีใหญ่แบกตะบองเหล็กมา จะมาตีท่าน นั่นจิตของท่านลงเต็มที่ จากนั้นมาแล้วท่านก็ผ่าน แต่ปีท่านผ่านไม่ทราบว่าพรรษาเท่าไร ผ่านพ้นพูดง่ายๆ

นี่ละการปฏิบัติธรรม ธรรมเหมือนแร่ธาตุต่างๆ มีอยู่ใต้พื้นดิน เดินเหยียบย่ำไปมาอยู่อย่างนั้น เอาของสกปรกโสมม มีขี้ฝุ่นขี้ฝอยกลบไว้เหยียบไปเหยียบมา แร่ธาตุที่เลิศเลออยู่ภายใต้ เหยียบไปเหยียบมาอยู่นั้นละ นี่ละธรรมแท้กิเลสทับไว้ๆ ธรรมแท้อยู่ภายใน เวลามีผู้ขุดค้นขึ้นมาก็ขึ้นมาๆ ที่ว่าสว่างจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ สาวกทั้งหลายบรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรม มีแต่แร่ธาตุเลิศเลอขึ้นเต็มหัวใจท่านๆ ถ้าผู้ตั้งใจปฏิบัติก็ได้อย่างนั้น ถ้าไม่ตั้งใจก็มานอนเฝ้ากระดูกเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร

นี่เราพูดเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเราจวนจะตายแล้วเก็บไว้ๆ ทำไม ถ้าควรจะเป็นประโยชน์ก็เอาออกๆ ตามที่จะเป็นประโยชน์ ถ้าไม่เป็นประโยชน์ก็หูหนวกตาบอดไปเสีย เขาเป็นอะไรเราก็เป็น เขาหูหนวกเราก็หนวก เขาบอดเราก็บอดไปเสีย ถ้าที่ไหนที่ควรจะแย็บออกเป็นประโยชน์แก่ผู้เข้ามาเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กันก็แย็บออกๆ ถ้าที่ไหนที่สมควรที่จะทุ่มเลยมันเป็นเองนะในจิต มันจะพุ่งของมันออกเลย ถึงเวลาที่จะออกแล้วไม่มีเหลือในใจ พุ่งเลย ถ้าไม่ใช่เวลาจะออกดึงก็ไม่ออก หูหนวกตาบอดไปอย่างนั้น คือธรรมแท้ท่านไม่มีผาดโผนโจนทะยาน ไม่มีความอยากอันเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของธรรม ถ้าว่าอยากก็เป็นเมตตาไปเสีย ถึงกาลเวลาที่จะออกออกทันทีเลย เมื่อไม่เหมาะสมกับกาลที่จะออกก็อยู่เฉยๆ อย่างนั้นละ

เราบวชมาคราวนี้ก็ได้ทำประโยชน์ให้โลกเต็มกำลังความสามารถของเรา อย่างพี่น้องลูกหลานทั้งหลายเห็น เราก็ไม่เคยคิดว่าเราจะได้ช่วยโลกมาขนาดนี้ ไม่เคยคิด ก็มีแต่หมุนตัวตลอด เวลาออกประกอบทำความพากเพียรนี้เป็นเราคนเดียว ผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถก็คือเรา อยู่ในป่าในเขาอดอยากขาดแคลน ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนไม่ถือเป็นประมาณ แต่ถือธรรมคือมรรคผลนิพพานที่จะน้อมเข้ามาให้ครองหัวใจๆ ให้ได้ อันนี้รุนแรงตลอด ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนไม่เห็นสำคัญยิ่งกว่ากับพระนิพพาน จิตใจมันคว้าพระนิพพานหวุดหวิดๆ นั่นไม่ลืมนะ อันนี้หนักมาก

ธาตุขันธ์จะอ่อนแอขนาดไหนจิตนี้ไม่อ่อน คว้าพระนิพพาน เรียกว่าคว้าผิดคว้าถูกๆ เพราะฉะนั้นบางวันจึงไม่ได้นอน กลางคืนตลอดรุ่งไม่ได้นอน นอนไม่หลับ กลางวันมันจะไม่หลับอีก เพราะมันหมุนของมันเพื่อพระนิพพาน เหมือนว่าพระนิพพานชั่วเอื้อมๆ เลยจับผิดจับถูกๆ มันก็หมุนของมัน เลยลืมหลับลืมนอน นี่ละถึงกาลที่จะไปแล้วไม่อยู่นะ เอาอะไรมาไว้สามโลกธาตุไม่อยู่ จะเอาอะไรมาผูกมามัดไว้ให้จิตดวงนี้พรากจากมรรคผลนิพพานไม่พรากไม่อยู่ ผึงๆ เลย

นี่ละที่ว่าพระยสกุลบุตร พ่อแม่มีลูกคนเดียว พระยสกุลบุตร สมบัติเงินทองกองพะเนินเทินทึก ลูกบอกว่าที่นี่วุ่นวายที่นี่ขัดข้อง ที่อยู่ไม่สะดวกสบาย ไม่สะดวกสบายอะไรกองเงินกองทองเรากองเท่าภูเขานี่ ทำไมว่าไม่สะดวกสบาย ไม่มีอะไรที่ว่าอดอยากขาดแคลน โอ๊ย อันนี้บกพร่อง อันนี้เครื่องวุ่นวาย แน่ะ บอกว่าอันนี้เครื่องวุ่นวาย จิตจะไป คือจะออกจากนี้ไปเสียจะไม่วุ่นวาย เพื่อพระนิพพาน พอไปก็บ่นไปตามทาง พอไปถึงสำนักพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเดินจงกรมอยู่ เอ้อๆ มานี่ยส มานี่ที่นี่ไม่ว้าวุ่นไม่ขุ่นมัวไม่วุ่นวาย เอาๆ มานี่ๆ นั่นเห็นไหมล่ะ พระองค์ทรงรับทันทีเลย

เมื่อถึงกาลแล้วมันอยู่ไม่ได้นะ จะเอาอะไรมาหลอกไม่ได้ สมบัติเงินทองข้าวของทั้งหลายในสามโลกธาตุไม่มีความหมาย ธรรมแย็บขึ้นในหัวใจเท่านี้ อันนี้จะมีความหมายอันใหญ่หลวงขึ้นมาทันที แล้วจากนั้นก็จางเข้ามาจืดเข้ามาจางเข้ามา ทางนี้จะดูดดื่มเรื่อยๆ ยิ่งปรากฏขึ้นในใจมากเท่าไรยิ่งปล่อยเข้ามาๆ นั่นละจิต ธรรมถ้าลงได้สัมผัสแล้วเลิศเลอยิ่งกว่าสิ่งทั้งหลายมากมายนะ เพียงเริ่มได้ปรากฏจิตสงบเย็นใจ วันนั้นทั้งวันไม่ลืมนะ แต่สมบัติเงินทองไม่ได้คิดอะไรกับมันนัก ส่วนจิตใจกับความสงบร่มเย็นอัศจรรย์ในขณะที่จิตรวมไปนั้นคิดทั้งวัน เป็นอารมณ์ทั้งวัน แล้วยิ่งได้มากกว่านี้ยิ่งหมุนเลย นั่นละธรรมเลิศขนาดไหน ให้พากันพาทำบ้างซิ

มองดูแต่อันนั้นดีอันนี้ดีๆ เจ้าของเลวไม่ดู มองดูหัวใจนี้ตัวมันเลวมันวิ่งกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ อันนั้นก็ดีอันนั้นลมอันนี้ไฟ อันนั้นแร่ธาตุต่างๆ มันประเสริฐประโสอะไร เหมือนกับธรรมธาตุล่ะ ธรรมธาตุนี้เลิศเลอ ถ้าลงได้เข้านี้ปั๊บมันจะเริ่มปล่อยข้างนอก ปล่อยเข้ามาเรื่อยเลย ทางนี้หนักแน่นเข้าไปปล่อยเข้าไป ทางนี้เต็มที่ปล่อยหมดไม่มีเสียดายอะไรในโลก ให้มันเห็นอยู่ในหัวใจซิน่ะ ถ้าเห็นอยู่ในหัวใจมันเต็มเม็ดเต็มหน่วยการพูด พูดทุกอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตามไม่ได้สนใจกับใคร อันนี้มีรสมีชาติมันเป็นอยู่ในหัวใจ ใครเชื่อไม่เชื่อไม่สำคัญ ยิ่งกว่าความแน่ในหัวใจ ความเลิศเลออยู่ในหัวใจ แสดงมาเป็นฤทธิ์เป็นเดชทั้งนั้นละ เอาละนะหยุด สายแล้ว

วันนี้วันที่ ๒ วันจันทร์ไปตามโรงพยาบาลได้ ถ้าวันเสาร์วันอาทิตย์ส่วนมากมักไปตามวัด วันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ไปตามโรงพยาบาล ไปแต่ละโรงมอบของให้เต็มรถนะ ทุกวัน มันก็แปลกเหมือนกันนะ ของในโกดังไม่ทราบมาจากไหน ขนมาเต็มๆ แล้วไม่กี่วันละ ๒-๓ วันหมดๆ มาอีกเต็มอีกๆ ขนออกอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เต็มในนั้น สักเดี๋ยวหมด ขนออก ทางนั้นมาทางนี้มาโรงพยาบาล โรงพยาบาลมาหมด เฉพาะภาคอีสานมากกว่าเพื่อนโรงพยาบาลที่มา ภาคอื่นก็มาแต่ห่างนะ ภาคอีสานมามาก มาก็เต็มรถๆ พระท่านจัดให้เรียบร้อยเสมอกันหมด ไม่ให้มีคำว่าลำเอียง คือให้เสมอ ให้พักนี้ก็เสมอพักไหนก็เสมอ ถ้าพักธรรมดานี้ก็ในเขต เช่นอย่างตั้งแต่อุตรดิตถ์เข้ามานี้เป็นธรรมดา โคราชเข้ามานี้ ยโสธร อุบล เข้ามานี้เป็นธรรมดา พอแยกจากนี้ออกไป ยโสธรออกไป โคราชออกไป อุตรดิตถ์ออกไปนี้เป็นพิเศษทั้งนั้น ออกไปไกลเท่าไรยิ่งพิเศษ ฟาดเต็มรถ นี่ให้เต็มอยู่นะ

แล้วมันก็มาของมันเต็ม ที่โกดังเราเต็ม แล้วก็มีปั๊มน้ำมัน เดี๋ยวนี้มีปั๊มน้ำมันแล้วนะ รถคันไหนๆ มาเอาของที่โกดังเรา พอเอาให้เสร็จแล้วก็ให้ไปเติมน้ำมันๆ ไม่ว่ามาใกล้มาไกลเติมเต็มถังๆ หมดเลย ปั๊มน้ำมันเราก็มี เป็นอย่างนั้น แล้วโกดังก็มีสำหรับรับของไป.เราทำอย่างนั้นเราพอใจ เพราะทำด้วยความเมตตา จึงไม่เคยคำนึงว่ามันหมดมันยังอะไรไม่มี มีเท่าไรทุ่มลงๆๆ เรื่อย

พอพูดนี้เราก็ระลึกถึงพระสีวลี ท่านเป็นเอตทัคคะ เลิศเลอทางมีอติเรกลาภมาก ในบรรดาสาวกทั้งหมด ยกเว้นพระพุทธเจ้าเสีย พระสีวลีเป็นที่หนึ่ง ไปที่ไหนอติเรกลาภ จตุปัจจัยไทยทานเกลื่อนไปหมดเลย เป็นยังไงถึงเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทรงรื้ออดีตให้ฟัง โหย การทำบุญให้ทานเธอเปิดอ้าไว้เลยเชียว ตั้งแต่เป็นภพใดชาติใดก็ตาม เป็นฆราวาสเป็นโยม แม้แต่เป็นสัตว์เธอก็เสียสละเพื่อเพื่อนฝูงว่างั้นนะ คือเป็นสัตว์เป็นหัวหน้าสัตว์ เป็นนักเสียสละ ให้หมู่เพื่อนได้กิน เจ้าของอดยอม นี่ละนิสัยท่านเป็นมาตั้งแต่โน้น

เป็นสัตว์ท่านก็ยอมเสียสละ ท่านเป็นหัวหน้าสัตว์ท่านยอมอด บรรดาลูกน้องให้อิ่ม ให้ท่านยอมอด มาเป็นมนุษย์เป็นหัวหน้าคนก็เหมือนกัน ไปที่ไหนท่านเสียสละๆ สุดท้ายอยู่เฉยๆ ท่านไม่มีธุระอะไรเขาก็เชิญไปเป็นประธานในงานของเขาแต่ละงานๆ ไปเป็นหัวหน้าๆ การเสียสละของท่านยกเป็นที่หนึ่งเลย เพราะฉะนั้นท่านไปที่ไหนมาที่ไหน ก็ผลบุญของท่านนั้นแหละที่ทำไว้แล้วมันไหลอย่างว่า.นั่นท่านบอก พระพุทธเจ้าเสียเองเป็นคนเล่าเรื่องอดีตชาติของท่านเป็นมายังไง เป็นมาอย่างนี้ ท่านเป็นนักเสียสละ

ทีนี้เวลามาบวชเป็นพระครั้งสุดท้ายนี้ ยกเอตทัคคะเลิศในอติเรกลาภ ไปไหนไหลจตุปัจจัยไทยทาน ประชาชนญาติโยมอดอยากขาดแคลนที่ไหนก็ตามไม่อด ถ้าพระสีวลีไปที่ไหนไม่อด อำนาจบุญกุศลของท่าน ท่านหน่วงเหนี่ยวจิตใจของคนให้มาเองๆ นั่นละเป็นอย่างนั้น ก็คิดดูซิที่จะไปเยี่ยมพระเรวัตตะ พระเรวัตตะเป็นน้องชายของพระสารีบุตร เป็นพระอรหันต์ชอบอยู่ในป่า พระพุทธเจ้ารับสั่งว่า เอ้อ วันนี้เราไปเยี่ยมพระเรวัตตะอยู่ในป่านะ อู๊ย จะไปได้ยังไงพระเรวัตตะอยู่ในป่าในเขาไม่มีอะไรที่จะอยู่จะกิน เอ้า เราก็เอาพระสีวลีไปด้วยซิ พระพุทธเจ้าเพื่อจะยกลูกศิษย์ท่านขึ้นเข้าใจไหม สาวกของท่าน ใครจะเป็นเอกยิ่งกว่าศาสดา ตอนนั้นไม่พึ่งนะศาสดา ยกให้พระสีวลี เราต้องเอาพระสีวลีเราไปซิ ไปไหนไม่อดอยากละ

ก็เป็นจริงๆ ไม่จริงยังไงก็พระพุทธเจ้าครอบไว้นั้นด้วย เข้าใจไหม แต่ท่านไม่ยกท่านนะ ท่านยกพระสีวลี เอาพระสีวลีไปด้วยซิ ไม่อดถ้าพระสีวลีไปไหนไม่อด ส่วนศาสดาที่เสด็จนำหน้าไม่พูดถึงนะ ปิดพระองค์ออก ยกพระสีวลีขึ้นๆ แล้วใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดา อำนาจของศาสดาไป สีวลีก็เป็นที่สอง ไปด้วยกันมันก็อึกทึกละซิ ใช่ไหมล่ะ แต่ท่านไม่ยกท่าน ท่านยกพระสีวลี อดอยาก เอ้า ก็เอาพระสีวลีไปซิ เอาตถาคตไปไม่พูด ตถาคตไปไหนจะว่าไง การทำบุญให้ทานใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ถ้าพูดถึงการเสียสละ

พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เป็นนักเสียสละ ทุกสิ่งทุกอย่างหมดเนื้อหมดตัวตลอดมากว่าจะได้เป็นศาสดา นี่พระองค์ไม่ยกขึ้น ยกพระสีวลีขึ้น เห็นไหมเวลาท่านจะยกลูกศิษย์ของท่านท่านยกขึ้น เอาละพอ ถ้าเทศน์แล้วจบไม่เป็น มันจบไม่เป็น ขึ้นชั้นนี้แล้วขึ้นชั้นนั้นเรื่อย พระสีวลีมีอติเรกลาภมาก ยกเป็นเอตทัคคะในบรรดาสาวกทั้งหลาย พระโสณะยกให้เป็นทางความเพียรกล้า เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก นั่นท่านยกขึ้น แล้วพระสารีบุตรยกทางปัญญา พระโมคคัลลาน์ยกทางฤทธาศักดานุภาพ ยกพระอานนท์เป็นพระพหูสูต ยกครอบไปหมดเลย อย่างนั้นละ สาวกแต่ละองค์ๆ ๘๐ องค์ ยกให้เลิศคนละทางๆๆ ไปเลย ให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก