เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
พุทโธจะพาลงนรกให้เห็นเสียที
ก่อนจังหัน
นี่ดูเอาท่านทั้งหลายไม่เคยเห็น หลักพุทธศาสนาคือหลักแห่งความสวยงามอันเลิศเลอ มาร้อยกรองพุทธบริษัทเป็นประเภทๆ ร้อยกรองพระให้เรียบร้อยตามหลักธรรมหลักวินัย พระที่มีธรรมมีวินัยเสมอกันแล้ว ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดเข้ากันได้สนิท ถ้าแยกจากหลักธรรมหลักวินัยแตกกระจัดกระจาย นี่ละเรื่องพุทธศาสนาคือหลักธรรมหลักวินัยสำคัญมาก สำหรับร้อยกรองผู้นับถือพุทธศาสนาตามเพศของตน เช่นเพศพระ เพศฆราวาส ถ้าปฏิบัติถูกต้องตามนั้นแล้วสวยงาม
นี่พระมาจากชาติชั้นวรรณะใดเต็ม มีธรรมวินัยกรอง คือร้อยกรองไว้เรียบร้อย ดูตรงไหนสวยงามหมด ถ้าเป๋ไปจากนี้ไม่ได้นะ หลักพุทธศาสนาจึงเป็นหลักที่ร้อยกรองสัตว์โลกให้มีความสวยงาม ตามขั้นภูมิและเพศวัยของตน ท่านสอนอย่างนั้น เวลามาต่างองค์ต่างมีหลักธรรมหลักวินัยเป็นเครื่องยึดให้ถูกต้องอย่างเดียวกัน มาก็สวยงาม ถ้าขัดต่อหลักธรรมหลักวินัยไปแล้วเป็นก้างขวางคอ อยู่ด้วยกันไม่สนิท เป็นอย่างนั้น ถ้าต่างองค์ต่างถือหลักธรรมหลักวินัยเป็นเกณฑ์แล้วคล่องๆ ไปเลย มาจากไหนมาเถอะ เอาหลักธรรมหลักวินัยเป็นเครื่องกลั่นกรองร้อยรัดให้สวยงามเสมอกันหมด นั่นละหลักศาสนา
ศาสนาพุทธเรานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอมากทีเดียว ไม่มีศาสนาใดเทียบ เราไม่ได้ยกเอามารบราหรือต่อสู้กัน เทียบตามหลักความจริง พุทธศาสนาเป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว แสดงออกแง่ใดเป็นแง่ของผู้สิ้นกิเลสๆ สวยงามไปหมด สะอาดไปหมด ถ้ากิเลสเข้าไปตรงไหนๆ สกปรกๆ ผิดกันอย่างนี้นะ พุทธศาสนาหรือเพศของพระเป็นเพศที่นำหลักธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้วด้วยความถูกต้องแม่นยำ จากพระทัยที่บริสุทธิ์สั่งสอนโลก เวลานำมาปฏิบัติก็น่าดูน่าชมสวยงาม
ขอให้ทุกๆ ท่านดูตัวเอง อย่าไปดูที่อื่นที่ใดไม่สำคัญไม่สำเร็จประโยชน์ ความได้ความเสียอยู่กับการดูของเราเอง เราดูใครจะมาเสียเราส่วนมาก ถ้าดูเราแล้วไม่ค่อยเสีย มันบกพร่องตรงไหนความเคลื่อนไหว ความคิดความปรุงแต่ง การพูดการจาขัดข้องต่อเพื่อนฝูงยังไงบ้าง ให้นำมาตรอง แล้วก่อนที่จะพูดออกไปให้ใช้ความพิจารณาก่อนแล้วค่อยพูดออกไป จะไม่ค่อยกระทบกระเทือนกัน การพูดก็ให้พูดด้วยความเห็นอกเห็นใจ มีความเมตตาต่อกัน อย่าพูดด้วยความเป็นใหญ่อำนาจบาตรหลวง ไม่มีหลักธรรมหลักวินัย นั่นเรียกว่าก้างขวางคอ พูดออกมาคำไหนขวางคนอื่นๆ ใช้ไม่ได้ ต้องเดินตามหลักธรรมหลักวินัยจะสวยงามไปหมด
คิดดูเราภาวนา ถ้าวันไหนกิเลสมันดื้อด้านมันขวางคอกลืนไม่ลงๆ จิตหาความสงบไม่ได้ วันนั้นพระองค์นั้นหรือคนๆ นั้นต้องเป็นทุกข์ พอพูดอย่างนี้เราก็ได้เคยผ่านกันมาแล้ว ภาวนาจะทำจิตให้ลงมันไม่ลง สู้กับกิเลสไม่ได้ พัก หยุดเสียก่อน แต่จิตมันไม่หยุดซิ นี่ละที่มันถึงใจมันไม่ลืมนะ จิตมันไม่หยุด วันนี้มาภาวนาตั้งหน้าตั้งตาจะฆ่ากิเลส กิเลสเพียงเท่ากำปั้นนี้สู้มันไม่ได้ แล้วเราจะสู้กิเลสกองเท่าภูเขาครอบโลกธาตุวัฏวนนี้ไปได้ยังไง กิเลสเพียงเท่านี้เราสู้ไม่ได้ นี่ละซัดกัน ลุกคึกคัก เอา กิเลสไม่ตายเราต้องตาย ซัดกัน สุดท้ายกิเลสหมอบ อย่างนั้นนะ เราไม่ลืม อันไหนมันถึงใจจะไม่ลืม
สู้กิเลสไม่ได้ทีแรก ไปนอนนอนไม่หลับ จิตนอนด้วยความแพ้ไม่หลับนะ คึกคักขึ้นมาสู้ ฟาดเอาความชนะ คำว่าชนะนี่ชนะเป็นพักๆ ไป ไม่ใช่ชนะอย่างเลิศเลอ ต้องอย่างนี้ ตรงไหนที่เราแพ้ให้ดูตัวเอง ความพากความเพียรที่แพ้กิเลสของตัวเองใช้ไม่ได้นะ เวลาไหนมีแต่เวลาแพ้กิเลสๆ ใช้ไม่ได้ หมดค่าหมดราคา ถ้าเป็นพระเป็นเณรก็หมดค่าหมดราคา ไม่มีค่าอันใดที่จะเป็นประโยชน์สำหรับตนบ้างเลย ถ้าต่อสู้ก็สู้กิเลสไม่ได้ มีแต่แพ้ๆ ใช้ไม่ได้นะ
ในวัดนี้เราเปิดโอกาสให้พระปฏิบัติจิตตภาวนาเป็นอันดับหนึ่ง เราไม่ให้มีอะไรเข้ามายุ่งในวัดนี้ เข้มงวดกวดขันมากทีเดียว เรื่องจิตตภาวนาวัดป่าบ้านตาดพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะเราเป็นผู้ปกครองรักษาเอง การปฏิบัติภาวนาของพระเราถือเป็นอันดับหนึ่ง งานการภายนอกนั้นเป็นงานสั่งสมกิเลสเสียมากต่อมาก วัตถุนั้นงานนี้สร้างนั้นสร้างนี้ยิ่งไปใหญ่นะ นี่ไม่ใช่เป็นงานแก้กิเลส เป็นงานสั่งสมกิเลส
คิดดูซิเราไปพักภาวนาอยู่ในป่าในเขา เพียงวันหนึ่งที่เราทำร้านเล็กๆ ที่พักภาวนาไม่เสร็จมันยังเป็นกังวล วันนี้งานแคร่นี้ยังไม่เสร็จ ทางจงกรมยังไม่เสร็จ เพียงวันสองวันเท่านั้นมันก็เป็นกังวล ยิ่งจะสร้างความกังวลทั้งวันอย่างนี้ตายเลยนะ ต้องเข้มงวดกวดขันเร่งรีบใส่เวล่ำเวลา เพื่อจะประกอบความพากเพียรให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เอา ร้านทำ แคร่เล็กๆ พอได้อยู่ แล้วทางจงกรม พอเสร็จแล้วไล่โยมเขาหนี คือการทำเราทำเองไม่ได้ ต้องอาศัยญาติโยมเขา เราบอกยังไงเขาก็ทำตามอย่างนั้น พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไป เลิก ไม่ให้ใครมายุ่งเลย ทีนี้เอากันละ นั่น หายกังวลแล้วก็มีแต่ความพากเพียร
พากันจำเอาไว้นะ ที่เหล่านี้พระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายท่านเดินมาเรียบร้อยแล้ว มีในตำรับตำราอย่างชัดเจน อย่าเอากิเลสเข้ามาอวดธรรม อวดตรงไหนก็เหมือนเอาส้วมเอาถานไปอวดทองคำทั้งแท่งใช้ไม่ได้นะ พระให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไปที่ไหนอย่าเผลอสติ คนเดินไปมีสติน่าดู ไม่มีสติเลอะๆ เทอะๆ นะ สติติดอยู่กับตัว ถ้าไม่เจาะจงกับธรรมบทใดก็ให้เจาะจงอยู่ในตัวของเราเป็นสัมปชัญญะ สติมีค่ามากทีเดียว กระจายออกจากสติก็เป็นสัมปชัญญะ มีความรู้รอบตัวๆ ไม่เสีย ถ้าเผลอสติก็ไม่มี สัมปชัญญะก็ไม่มีนั้นไปหายาแก้บ้ามาเลย หนักเข้ากว่านั้นก็เป็นบ้า ไม่มีสติ หนักเข้าเป็นบ้าได้ พากันตั้งใจปฏิบัติ
กิเลสเป็นของแก้ง่ายเมื่อไร ต้องเอาให้หนักมือเชียว เช่นอย่างการอยู่การกินการหลับการนอนมีแต่ฝึก เพื่อจะแก้กิเลสให้ลดน้อยลงไปโดยลำดับลำดา ที่ว่าฝึกที่ว่าทรมาน ก็คือกิเลสตัวมันดื้อด้านนั่นแหละ มันต้องเอากันอย่างหนักเรื่อยๆ ถ้าธรรมดาๆ แล้วมันก็ยาก ถ้าหากว่าธรรมมีในใจหนักเข้าๆ แล้วนั่นละทีนี้เราจะรู้ได้ชัดเจนว่าธรรมนี้มีกำลังมาก กิเลสอ่อนตัวลงๆ แย็บออกตรงไหนมีแต่ธรรมออกหน้าๆ ฆ่ากิเลสตลอดไปเลย ท่านเรียกว่าภาวนามยปัญญา หรือภาวนาโดยอัตโนมัติ สติปัญญาอัตโนมัติ
อะไรสัมผัสสัมพันธ์สติปัญญาจะออกประหัตประหารกันทันทีๆ แต่ก่อนมีแต่กิเลสสับเอาฟันเอาๆ เวลาความเพียรมีสติปัญญากล้าขึ้นๆ ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลายเป็นทางด้านสติปัญญาเป็นธรรมแล้วฆ่ากิเลสเป็นลำดับ จนกระทั่งก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาไม่มีคำว่าเผลอ ไม่ต้องตั้งใจว่าจะไม่เผลอ หากเป็นเองโดยอัตโนมัติของสติปัญญาขั้นนั้นๆ ให้พากันตั้งใจภาวนา อย่ามาเหลาะๆ แหละๆ ผมนี่ร่างกายเหลาะแหละอยู่ อ่อนแอมาก แต่จิตใจไม่เคยเหลาะแหละ จิตใจไม่มีวัย มองดูหมู่ดูเพื่อนนี้ไม่ได้ดูแบบคนแก่ๆ อีตาบัวอายุ ๙๔ ปีนะ ดูด้วยสติปัญญา ดูด้วยธรรม แย็บไปนี้มองเห็นรู้ปั๊บๆ นอกจากทำหูหนวกตาบอดเฉยไปอย่างนั้นเอง ให้พากันตั้งใจ
สติมีปัญญามีจะมีทางแก้ไขกิเลส แล้วกิเลสจะได้เบาบางลงไป เราจะได้ทรงอรรถทรงธรรมในหัวใจของเรา ไปที่ไหนผาสุกเย็นใจ ถ้าว่าสมาธิ เอา นั่งเหมือนหัวตอ เพราะจิตไม่ปรุงไม่รบกวน สงบแน่ว ถ้าออกทางด้านปัญญาก็หมุนเป็นธรรมจักร นั่นวิธีการฆ่ากิเลสแก้กิเลสมีหลายวิธีการให้นำไปปฏิบัติ อย่าอยู่เฉยๆ จะใช้สติปัญญามี สติปัญญานั้นแหละจะฆ่ากิเลส ความโง่เขลาเบาปัญญามีแต่กิเลสล้วนๆ เอาเราให้แหลกนะ ไม่มีวันไหนที่ชนะ ชนะอะไรมันโง่เหมือนหมาตาย เอาละให้พร
จวนเข้าพรรษามาแล้วพระมากเข้าๆ ต้องได้กันเอาไว้ไม่งั้นจะมากเกินไป ต้องได้กันเอาไว้กั้นเอาไว้ให้อยู่พอดี ถ้าธรรมดา ๔๐-๕๐ กะกำหนดความเพียรพอดีๆ ไม่งั้นจะเลยเถิด มันหากเผลอ เวลาเราไปกรุงเทพ กลับจากกรุงเทพจวนเข้าพรรษาพระมาอยู่แล้ว แล้วจะไล่ไปไหนล่ะที่นี่ ถ้าเราได้อยู่นี่แล้วถูกต้องแล้ว กลั่นกรองเรียบร้อย ที่จวนจะเข้าพรรษาถึงมาพระท่านเตรียมท่าไว้แล้ว เตรียมท่าอยู่จะว่าไง จะไล่ไปไหน ก็ตั้งหน้าตั้งตามาประกอบความพากเพียรกับครูบาอาจารย์แล้วจะไล่ไปไหน แน่ะ มันก็ต้องอยู่ด้วยกัน
(วันนี้เป็นวันครบรอบมรณภาพคุณแม่แก้วค่ะ) เราจำไม่ได้ ปี ๓๔ แกเสีย ๑๖ ปีแล้วนะ พูดถึงเรื่องแม่นยำแม่ชีแก้วแม่นยำมาก ไม่มีผิดเพี้ยนแม้นิดหนึ่งเลย เราไปไหน นู่นสำนักเขาอยู่ฟากบ้านทางนู้น บ้านอยู่ทางนี้ วัดเราอยู่ทางด้านนี้ ตามธรรมดานิสัยเราจะไปไหนบอกใครเมื่อไร ว่าจะไปก็เตรียมของปุ๊บปั๊บไปเลยๆ ไม่ได้บอกใคร ทางนู้นรู้แล้วนะ พอฉันจังหันเรียบร้อยแล้ว ไปแล้วนะวันนี้ บอกแล้วนะนั่นบอกพวกเดียวกัน ไปแล้วนะวันนี้ ไปดูก็ไปแล้วจริงๆ บางทีอย่างมากก็ว่า ไปแล้วนะวันนี้ เย็นไปหมด ว่างั้น แกแย็บออกว่าเย็นไปหมด ทั้งไปทั้งกลับแม่นยำมาก
เวลาขากลับมานี้ อย่างมากแกก็ว่าจวนจะถึงแล้ว อย่างหนึ่งไม่พูด เฉย พอมาถึงก็ว่า มาถึงแล้วนะ เตรียมหุงข้าวหม้อเท่านี้ละ เราก็ไม่ค่อยฉันละเขาทำของเขา แล้วจีบหมาก เราก็ถาม หุงข้าวทุกวันหรือ จีบหมากทุกวันหรือ โอ๋ย ไม่ได้หุงทุกวัน พึ่งทำวันท่านมานี่แหละ ทราบได้ยังไงว่ามา คุณแม่บอก แน่ะ อันนี้ไม่ผิดเลย แม่นยำ พอมาถึงแล้ว มาถึงแล้วนะ บางทีกลางคืนดึกๆ จึงมาถึง ตอนเช้าบอกให้เตรียมหมากไว้แล้ว มาถึงแล้วว่างั้น ใครจะมาดูกลางคืน พอไปก็ว่าไปแล้วนะ อย่างมากก็ว่าเย็นหมด ทีนี้เวลามาก็เหมือนกัน จวนแล้วนะอบอุ่นเข้ามาแล้ว
นี่กระแสของธรรมเห็นไหมล่ะ ค่อยอบอุ่นเข้ามาแล้ว เวลาไปไปแล้วนะเย็นหมด เราไม่ลืม อันนี้แกแม่นยำมากไม่มีผิดมีเพี้ยนเลยการไปการมาของเรา เก่งมากความรู้อันนี้ของแก ก็มีเราเท่านั้นที่แกลง นอกนั้นแกไม่ได้ลงใครง่ายๆ ดีไม่ดีความรู้สู้แกไม่ได้ ไปให้แกสอนเอา กับเราไปสอนเราไม่ได้ ไล่ลงภูเขาร้องไห้เลย เห็นไหมล่ะ ไปเล่นกับเราถูกไล่ลงภูเขาร้องไห้ นอกนั้นไม่เห็นมีสู้แกไม่ได้ แต่กับเราไล่ลงภูเขาร้องไห้เลย
นี่ละความรู้ถ้าสูงกว่ากันรู้กันทันที สมมุติว่าผู้ต่ำกว่าจะไปให้ผู้สูงกว่ายอมลงมานี้ลงไม่ได้ นอกจากผู้สูงกว่าดึงขึ้นไปๆ ทีนี้เมื่อดึงขึ้นไปหนักเข้าๆ สุดท้ายก็อย่างที่ว่าไล่ลงภูเขาร้องอี๊ๆ อย่างนั้น คือมันไม่ลง ที่จะให้อยู่ต้องไล่ลง ไม่ฟังเอาไว้ทำไม ตั้งใจเพื่อมาศึกษาที่สอนไม่เอาจะเป็นสาระอะไร นั่นละที่นี่ไล่ละ ร้องไห้ลงภูเขาเราไม่ลืม เราก็ตั้งใจจะมอบกายถวายตัวต่อครูบาอาจารย์องค์นี้ แล้วทีนี้ก็ถูกท่านไล่ลงภูเขาเราจะไปพึ่งใคร สุดท้ายแกก็มาพิจารณาตามที่ท่านไล่เพราะเหตุไร นั่นละจับเอา เพราะไม่ฟังคำท่าน แล้วท่านสอนว่ายังไงจึงไม่ฟัง เอา ปฏิบัติตามนี้ นั่น
ทีนี้ก็หมุนมาหาเราที่สอน ปฏิบัติตามที่สอนมันก็ถูกต้องๆ แล้วก็หมอบเลย อย่างนั้นแหละ ก็คนหนึ่งถูกแล้ว คนหนึ่งผิดบืนไปเฉยๆ ไม่ยอมฟัง ก็ไล่ลงภูเขาเท่านั้นซิจะว่าไง เราไม่เคยพูดนะสิ่งเหล่านี้เพราะเป็นเรื่องนอกๆ เรื่องภายในเป็นยังไงผ่านมาๆ ผ่านไป ทีนี้เวลามาสัมผัสเลยพูดเสีย แกแม่นยำมาตั้งแต่ ปีนี้จะมีครูอาจารย์มาสอนพวกเรา ว่างั้นเลย พูดอย่างเด็ดด้วย คล้ายคลึงกับหลวงปู่มั่นปีหนองน่อง ปีนี้พระจะมามาก เวลาองค์ไหนมา ใช่ไหม ให้คนไปดู ไปดูแล้วใช่ไหม ไม่ใช่ บอกเรื่อยเลย พอไปเจอองค์นี้เข้าเท่านั้น มันเป็นยังไงไม่รู้นะ พอไปเจอองค์นี้กลับออกมา ใช่ไหม ใช่องค์นี้แหละ พอไปเจอเข้าทั้งปวดหนักปวดเบา นั่นเห็นไหม มันเป็นคู่ทรมานกัน ทั้งจะปวดหนักทั้งจะปวดเบา มันตื่นเต้นไปหมดเลย เป็นอย่างนั้นนะ คอยดู องค์นี้แน่ แต่ท่านจะสอนเราหรือเปล่าเท่านั้นละ คอยดู บทเวลาไล่ลงภูเขาร้องไห้อี๊ๆ สอนหรือเปล่า ก็อย่างนั้น
ความรู้ของแกเก่งมากเรื่องภายนอก ตีเอาไว้ๆ ที่ไล่ลงภูเขาคือออกรู้ๆ ก็เหมือนเราเดินไปนู้นเห็นนั้นเจอนั้นเจอนี้ก็ธรรมดาไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส เรื่องแก้กิเลสอยู่ภายในเราตีเข้ามา เข้ามาแก้ภายใน แกยิ่งเพลินดูนั้นดูนี้ ก็เหมือนเราไปดูสิ่งนั้นสิ่งนี้มันไม่ใช่แก้กิเลส แก้กิเลสมันต้องเข้ามาดูภายใน ทีนี้แกก็เพลินดูอันนั้น เพลินเข้าๆ หนักเข้าๆ ห้ามหนักเข้าๆ ไม่ฟังก็ไล่เลย บทเวลายอมลงแล้วไม่พูดเลยนะ คงจะไปเห็นโทษของตัวเอง พอถูกเราไล่ลงภูเขาร้องไห้ลงไปได้ ๔ วันกลับขึ้นมาอีก ฟัดกันอีก เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อนๆ ยอม มาก็เล่าพอถูกต้องแล้วทีนี้ก็แก้ จากนั้นแกไม่พูดถึงเรื่องรู้นั้นรู้นี้อีกเลย เงียบนะ มีแต่หมุนไปตามเราที่สอน สอนยังไงหมุนไปตาม ก็จิตมันเร่งอยู่แล้วนี่ มันยังจับหลักไม่ได้ พอจับหลักยื่นให้เท่านั้นปั๊บคว้ามับๆ เลย เพราะฉะนั้นแกถึงเร็ว
หลังจังหัน
(พระฝรั่งจากมาบจันทร์มากราบนมัสการหลวงตา) มาบจันทร์เราเคยไปแล้ว มาบจันทร์ดี สถานที่นั่นเหมาะสม เราเคยไป ไปพักกลางวันที่นั่นละ ไปเทศน์ช่วยชาติ ตั้งใจภาวนาให้ดีนะ ไม่ว่าพระฝรั่งไม่ว่าพระไทยคนไทยตัวขี้เกียจมันมีเหมือนกันเข้าใจไหม มันขี้เกียจมันไม่ได้กลัวใครนะ ให้ระวังตัวนี้ ใครมาจากที่ไหนๆ ให้ระวังตัวขี้เกียจให้ดีมันจะขึ้นบนหัวทันที เอาละพอ เอาจริงเอาจังนะ สติเป็นสำคัญภาวนา นี่เคยสอนเสมอ ย้ำแล้วย้ำเล่าสติ วัดมาบจันทร์เราก็เคยไปแล้ว ดูว่าไม่ได้ค้าง ไปเทศน์ที่นั่น พักกลางวันแล้วเทศน์ที่นั่น ดูว่าไม่ได้ค้าง อย่างว่าละค้างหรือไม่ค้างมันก็ไปทั่วทุกแห่งทุกหน ค้างที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ลืมไปเรื่อย แถวนั้นดีอยู่ แถวมาบจันทร์ป่า
นักภาวนาให้พากันตั้งสติให้ดี สติเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าสติติดต่อกันไปแล้วการตั้งรากฐานเพื่อความสงบเย็นใจตลอดถึงขั้นจะก้าวเดินทางวิปัสสนาได้ รับรองเลย สติเป็นเครื่องรับรองฐานแห่งความสงบ เท่าที่จิตไม่สงบคือสติมันขาดไป ถ้าสติติดต่อกันตลอดเวลาแล้วจิตนี้ไม่ได้คิดทางไหนได้ สติตีตะล่อมเข้ามาอยู่กับที่แล้วสงบ เรียกว่าจิตแน่นหนามั่นคงก็เป็นสมาธิ ออกจากนั้นก็ออกทางด้านปัญญาออกได้
เรื่องสตินี้สำคัญตลอด สตินี้ไม่เห็นมีวรรคใดตอนใดที่จะไม่สำคัญเท่าที่เราผ่านมา สติสำคัญตลอดเลย ก็ไปเข้าในบทธรรมที่ท่านแสดงไว้ว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ฟังซิ ไม่ยกเว้นที่สติจะไม่เข้าไปแทรก ไม่มี สตินี้จำเป็นตลอด ในพุทธพจน์พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้เรียบร้อยว่าสติเป็นของสำคัญ สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวงไม่มียกเว้น จึงต้องตั้งสติให้ดี
ถ้าไม่เอาจริงเอาจังมันก็ไม่ได้เหตุได้ผลนะ ให้มีข้อพิสูจน์กัน ทดสอบหาความจริง ลงในจุดใดจับให้ติด จับไม่ปล่อยก็เป็นผลขึ้นมา เคยเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังเพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจ ว่าเราได้ทำมาแล้วด้วยความจริงจังจากการพินิจพิจารณาเรียบร้อยแล้วค่อยทำ มาลงสตินะ เจริญแล้วเสื่อมๆ มันอย่างไรกัน เวลาพยายามผลักดันจิตให้ขึ้นสู่ที่สูงคือที่ละเอียดลออสงบร่มเย็น ไปอยู่ได้เพียง ๒ คืน ๓ คืน ลด เอาไว้ไม่อยู่เลย เหมือนกลิ้งครกลงจากภูเขาไหลปื๊ดเลย ห้ามไม่อยู่
เอ๊ มันอย่างไรกันน้า พิจารณา ก็ลงจุดที่ว่าจะเป็นเพราะเราขาดคำบริกรรม สติที่กำหนดรู้ใจเฉยๆ ไม่พอ ต้องมีคำบริกรรมติดไว้นั้น สติจับติดอีกทีหนึ่ง เอาๆ แบบนี้ พิจารณาลงจุดนี้ ทีนี้ทำแบบนี้จริงๆ เลยได้เห็นผลขึ้นมา แล้วทำจริงเสียด้วยนะ ตั้งแต่ตื่นนอนไม่มีเผลอเลย เอาละเรียกว่าลงใจแล้วที่นี่ พอว่าตั้งสติเหมือนว่าระฆังดังเป๋งสติจับปุ๊บไม่ให้ปล่อย ทั้งวันไม่ปล่อยเลย มันก็เป็นจังหวะที่ดีที่เราฝึกเราแต่ละบทละบาทที่จะได้หลักได้เกณฑ์ออกมา เรียกว่าอยู่คนเดียวเท่านั้น ถ้ามีอยู่หลายผู้หลายคนเคลื่อนได้ สติเคลื่อนได้ ยิ่งมีหน้าที่การงานสับสนปนเปยิ่งแล้วใหญ่นะ ไม่มีอะไรมีแต่สติกับจิตจับกันอยู่นั้นเป็นความเพียรล้วนๆ
นี่ก็เอาพุทโธ เราชอบพุทโธ สติจับติด ไม่มีใคร อยู่คนเดียว จับติดตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่ให้เผลอเลย โถ การบังคับจิตไม่ให้เผลอมันของเล่นเมื่อไร ติดคุกติดตะรางยังดี อันนี้มากกว่านั้นหนักกว่านั้น ตกนรกทั้งเป็นว่าอย่างนั้นเถอะ บังคับไม่ให้จิตคิดปรุงไปไหน ให้ปรุงเฉพาะงานของธรรมคือพุทโธ เรียกว่างานของธรรม สติควบคุม บังคับเอาไว้ ๓-๔ วันเห็นผลนะ ติดต่อกัน ตั้งแต่ตื่นนอนกระทั่งหลับๆ ๔ วันเห็นผล ทีแรกมันอยากคิดอยากปรุงนี้เหมือนอกจะแตก มันดันๆ สติบังคับไม่ให้มันออก เคยคิดมาเท่าไรแล้วตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นได้เรื่องได้ราว จะบังคับให้เข้าสู่อรรถธรรมเพียงเท่านี้ไม่ได้เหรอ ต้องได้ บังคับเลย.. ได้
จากนั้นสติถึงขั้นที่มันเจริญแล้วเสื่อม ไม่เสื่อม ทอดอาลัยตายอยากทั้งหมด คือจิตเราไปถึงขั้นนั้นเจริญแล้วเสื่อมๆ ได้ปีกับ ๕ เดือน ไม่ได้ไปหน้ามาหลังที่ไหน พอไปถึงนั้นแล้วมันก็เสื่อมของมันห้ามไม่อยู่ แล้วไสขึ้นอีกเหมือนไสครกขึ้นภูเขา มันจะเป็นจะตาย ไปอยู่นั่นได้สองสามคืนพลิกเหมือนครกจะลงจากภูขา กลิ้งปื๊ดลงแล้ว ทับหัวเราไปด้วย มันอย่างไรกันๆ พิจารณาหาเหตุหาผล ทดสอบไปมา มาจับติดตรงที่ว่าคำบริกรรมคือเรากำหนดจิตเฉยๆ สติมีแต่มันเผลอได้
ทีนี้กำหนดจิตมีคำบริกรรมด้วย สติจับอยู่กับคำบริกรรม ไม่ยอมให้เผลอ ได้ละที่นี่ ถูก กำหนดจิตเฉยๆ เผลอ เราเคยทำมาแล้วเผลอ เวลาเอาคำบริกรรมใครจะชอบคำบริกรรมใดก็ตาม คำบริกรรมนี้เป็นงานของจิต สติควบคุมงานของจิตคือคำบริกรรม พุทโธก็ตาม ธัมโมก็ตาม บังคับไว้ไม่ให้ออก ทีนี้จิตมันไม่ได้คิด ความคิดของจิตเป็นเรื่องสมุทัย เป็นกิเลสลากออกไปเอาไฟมาเผาเรา ไม่ให้มันคิดมันก็ออกไม่ได้ มีแต่ไฟคือตปธรรมเผาอยู่ด้วยสติแล้วสงบ
จำไว้นะทุกคน ที่สอนนี้สอนไม่ผิด เราได้ทดสอบมาทุกอย่างแล้ว พอจับติดแล้วทีนี้ขึ้นไม่เสื่อมนะ คือพุทโธไม่ปล่อย สติกับพุทโธไม่ปล่อย เอามันจะเจริญไปแล้วมันจะเสื่อมไปไหนเอาเสื่อม เราเป็นทุกข์หัวอกจะแตกนี่ก็เพราะจิตเสื่อม เสียดายไม่อยากให้เสื่อมมันเสื่อมต่อหน้าต่อตา คราวนี้เราจะเอาแต่พุทโธ เพราะเราชอบพุทโธ พุทโธกับสติจับติด เอาๆ เสื่อมไปไหนเสื่อมไป อะไรจะเสื่อมเสื่อม แต่พุทโธกับสติจะเสื่อมจากกันไม่ได้ ฟัดกันตรงนี้เลย
นี่ละมันถึงได้เห็นเหตุเห็นผลกัน เอาจริงเอาจังเห็น แต่เหลาะแหละๆ ไม่ได้เรื่องนะ ภาวนาจนวันตายก็ไม่ได้เรื่อง ต้องหาเหตุหาผลซิ พินิจพิจารณา นี่ก็พูดมาจากการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว เจริญแล้วเสื่อมๆ ปีกับ ๕ เดือนเราไม่ลืม ได้แต่ความทุกข์ความทรมานเวลาจิตเสื่อมเสียดาย ไปถึงขั้นนั้นแล้วเสื่อมต่อหน้าต่อตา มันเป็นอย่างไร จึงได้จับตรงนี้ละ ไม่ปล่อยพุทโธ สติกับพุทโธติดกัน เอา มันจะขึ้นตรงไหนขึ้น จะลงตรงไหนลง แต่สติกับพุทโธไม่ยอมปล่อย ลงนรกก็ลงด้วยกัน นู่นน่ะเอาขนาดนั้นนะ ปักใหญ่เลย เอา พุทโธจะพาลงนรกให้เห็นเสียทีน่ะ พระพุทธเจ้าสอนโลกพุทโธพาไปสวรรค์นิพพาน นี่เรานำมาสอนเราพุทโธจะพาลงนรก เอา ให้เห็น เด็ดนะ นี่นิสัยมันไม่เหมือนใคร เอาจริงเอาจังมาก
พอพุทโธๆ เจริญขึ้นไปแล้ว เอาๆ เสื่อม บอกเลยนะ ท้ากันเลย ท้าเพราะว่าพุทโธกับสติจะไม่ยอมให้เผลอกัน เอาอันนี้ติดไป อันนั้นมันจะเสื่อมไปไหนให้เสื่อมไป ไม่เสื่อม พอถึงนั่นก็ค่อยขยับขึ้นๆ จนกระทั่งได้ที่ได้ฐาน แล้วก็มาย้อนหลัง อ๋อ จิตเราเสื่อมเพราะเหตุนี้เอง เพราะปล่อยคำบริกรรม ทีนี้เตลิดเลยไม่เสื่อม นี่ก็มาเป็นคติสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาให้รู้ จับให้ติด อย่าทำเหลาะแหละไม่ได้เรื่องนะ ทำอะไรไม่ได้เรื่อง ที่มาสอนนี้เคยทำหมดแล้ว ทดสอบนั่นละไม่ใช่อะไร นิสัยเรามันก็ชอบคิดชอบอ่าน ชอบทบทวนหาเหตุหาผลตลอดมา ไม่ใช่แบบขอนซุงไปทีเดียว เมื่อมันผิดมันพลาดเอามาพิจารณาแก้ไขกันไป จึงได้อย่างนี้
พอถึงขั้นที่ว่าพุทโธไม่ปล่อย สติกับพุทโธไม่ปล่อยแล้วขึ้นขึ้น เอาลงลง พุทโธกับสตินี้ไม่ยอมลง ตกนรกตกด้วยกัน เลยไม่ลง ขึ้นเลย นั่นเห็นไหมล่ะ จับได้ เออ เป็นเพราะเผลอ ทีนี้ก็ติดทางสมาธิแน่นปึ๋งเหมือนภูเขาทั้งลูก ไม่อยากคิดอยากปรุง ความคิดปรุงแต่ก่อนไม่ได้คิดไม่ได้ปรุงอยู่ไม่ได้ มันคับหัวอก มันอยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทีนี้พอสมาธิมีกำลังมากแล้วทับหัวมันไว้ ความคิดความปรุงเป็นเรื่องรำคาญนะ ไม่อยากคิด มีแต่ความรู้แน่ว
มันหากติดแล้วนั่นติดสมาธิ แต่เราไม่รู้ จนพ่อแม่ครูจารย์มาลากออกถึงออก ออกทางด้านปัญญาไปใหญ่เลย เพราะนิสัยเรามันผาดโผน ท่านต้องรั้งเอาไว้ทุกอย่าง ถ้าลงใจตรงไหนแล้วซัดใหญ่เลย ท่านต้องรั้งเอาไว้ นิสัยเราเป็นอย่างนั้นผาดโผน ทางความเพียรนี่ได้รั้งเอาไว้ ถ้าลงใจตรงไหนแล้วเอาจริงนี่นะ ท่านต้องคอยรั้งเอาไว้ๆ อย่างที่เคยพูดให้ฟังนั่งสมาธิตลอดรุ่งๆ ฟาดเสีย ๙ คืน ๑๐ คืน เว้นคืนหนึ่ง ๒ คืนนั่งตลอดจนก้นแตก เชื่อไหมว่าก้นแตก ก็ก้นเราแตกแล้วนี่ใครไม่เชื่อก็ตาม ก็ก้นเราเองแตกเราก็เห็นอยู่นี่
คือทีแรกมันไม่แตก เรานั่งทีแรกมันออกร้อนมาก ออกร้อนก้น เหมือนเอาน้ำร้อนลวกก้นเรา คืนที่ ๑ ที่ ๒ ไป พอออกร้อนมากๆ แล้วมันก็พอง จากพองมันก็แตก นี่มันเป็นขั้นๆ ไป จากแตกก็เลอะ ซัดใหญ่เลย จนพ่อแม่ครูจารย์มารั้งเอาไว้ จากนั้นมาก็ไม่นั่งตลอดรุ่งอีก ท่านรั้งเอาไว้ พอขึ้นไปปั๊บท่านจะสอน นี่เราก็พูดแล้วนายสารถีฝึกม้า อันนี้ก็ไม่นั่งตลอดรุ่งอีก ถ้าไม่สอนมันจะไปของมันเพราะนิสัยผาดโผน จนกระทั่งถึงก้าวขึ้นสู่ปัญญา เวลามันติดในสมาธินี้ติดไม่ยอมออก อยู่ทั้งวันอยู่ได้เหมือนหัวตอ ความคิดความปรุงอะไรกวนไม่ได้ มันไม่กวน ไม่คิด คือความคิดปรุงแย็บๆ นี่กวนนะ เมื่อจิตเป็นสมาธิเต็มที่แล้วความคิดทั้งหลายนี้กวนใจ มันไม่อยากคิด แน่ว แต่อยู่ได้เท่านั้น ไม่มากกว่านั้น
พอออกทางด้านปัญญา ท่านไล่ลงทางด้านปัญญานี้หมุนติ้ว ติ้วๆๆ เลย เอาอีกแหละ กลับมาหาท่านอีก มันไม่ได้นอน กลางคืนก็ไม่หลับ กลางวันไม่หลับ สติปัญญามันหมุนของมันตลอด ก็มาเล่าให้ท่านฟังว่า ที่พ่อแม่ครูจารย์ให้ออกทางด้านปัญญาเวลานี้มันออกแล้วนะ มันออกยังไง ก็มันไม่นอนทั้งวันทั้งคืน นั่นละมันหลงสังขาร ขึ้นเลย คือมันคิดไม่รู้จักประมาณ สังขารที่เป็นฝ่ายมรรคก็กลับกลายเป็นฝ่ายสมุทัยไปได้ สมุทัยแทรกเพราะความไม่รู้จักประมาณ จับไว้แต่ไม่ถอย หากมีข้อยับยั้งจากที่ท่านเตือน เรื่อยเลย
จากนั้นพอก้าวเข้าถึงขั้นปัญญาจริงๆ แล้วนี่ ลงได้ลงทางจงกรมแล้วจนกระทั่งก้าวขาไม่ออกถึงจะออกจากทางจงกรม คือมันไม่อยู่กับร่างกายนะ จิตนี้มันอยู่ภายใน มันหมุนอยู่ ระหว่างกิเลสกับจิตมันฟัดกันอยู่ภายใน ตานี่ฝ้าฟาง ไม่เห็นนะ ตาเรานี่ไม่เห็น คือจิตมันเข้าอยู่ข้างในหมุน เดินจงกรมเข้าป่าโครมคราม เอ้า เข้าป่าออกมา คนอื่นเขาเห็นเขาจะว่าบ้าแหละ บ้าก็ตามเราไม่ได้เป็นบ้า เราชำระบ้าเราต่างหาก จนกระทั่งจะก้าวขาไม่ออก ออกละ ที่จะให้มันอยากออกเฉยๆ ไม่มีทาง มันหมุนของมัน นี่เรียกหลักธรรมชาติ เป็นเอง
อย่างพระโสณะประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตก แต่ก่อนเราก็ฟังในตำรา เราก็ไม่สนิทใจนัก จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ธรรมดา แต่พอมาเป็นในเรานี้แล้วเข้าทันทีเลย พระโสณะเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก คือความเพียรกล้า ไม่กล้ายังไงถ้าลงได้ลงทางจงกรมแล้วไม่รู้จักขึ้นนะ จนจะก้าวขาไม่ออกถึงได้ออก ก้าวขาไม่ออกคือหมดกำลัง แล้วมาพักเสีย นั่น ถ้าไม่เช่นนั้นมันไม่ออกนะ ทางนี้มันหมุนของมันอยู่ตลอด นี่ถึงเวลาจะไปแล้วปิดไม่อยู่นะ ถึงขั้นเวลาที่จะไปแล้วยังไงก็ไม่อยู่ เป็นก็เป็นตายก็ตายพุ่งตลอดเลย ที่จะให้ถอยขึ้นมาหากิเลสวัฏวนไม่ถอย มันเป็นหัวใจมันก็พูดได้อย่างชัดเจนละซิ
พอพูดอย่างนี้ก็มีพระองค์หนึ่งคุ้นกันกับเรา ท่านรู้นิสัยเราตั้งแต่เป็นฆราวาสชอบเล่นกับหมา แล้วก็องค์หนึ่งมาถามหาเรา ว่าท่านอาจารย์ไปไหนไม่เห็น คงไปเดินจงกรมละมั้ง แล้วหมาตัวนี้วิ่งมานี้ นี่ๆ หมาว่างั้นนะ ไล่หมาตัวนี้ไป ถ้าท่านเดินจงกรมอยู่ทางไปบ้านนาในแล้วเสียงหมาจะร้องแง็กๆ ท่านพูดท่านรู้นิสัยนี่นะ เราก็เดินจงกรม พอดีพระท่านไล่หมาไป หมาก็วิ่งปุบปับๆ มาถึงนี้เราก็ไล่หมา ฟังเสียงหมาร้องแง็กๆ นั่นอยู่ตรงนั้น คือท่านรู้นิสัยเรากับหมามันถูกกัน เราก็เดินจงกรมเพลินธรรมดา ทีนี้ทางนู้นก็ไล่หมามา หมาก็วิ่งตาลีตาลานมา มาถึงเราเราก็ไล่ ฟังเสียงร้องแหง็กๆ นั่นละอยู่ตรงนั้นละ เป็นอย่างนั้นนะนิสัย เราชอบหมา
เดินจงกรมไม่รู้จักหยุดละ แต่ก่อนนี้เอาผ้าปกคลุมนะ คือเดินจงกรมเอาหนองผือเป็นเกณฑ์ ข้างบนไม่มีร่มไม้ ทางเป็นสวนร้างเขา ข้างบนเป็นฟ้าเป็นแดดเลย ผ้าคลุมเลยมัดติดหัวเดิน อย่างนั้นแหละไม่มีแดดมีฝน ถ้าฝนนี้ไปละ ถ้าแดดไม่ไป ทำอย่างนั้น ก้าวขาไม่ออกมันถึงจะออกจากทางจงกรม นี่เรียกว่าความเพียรอัตโนมัติ พากันเข้าใจเอาไว้ ความเพียรฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ เหมือนกิเลสทำลายจิตใจของสัตว์โลกโดยอัตโนมัติ คิดเอะอะเป็นกิเลสทั้งนั้นๆ ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสสัมพันธ์กับอะไรเป็นกิเลสออกหมดเลย ทีนี้เวลาเข้ามาสู่ธรรมะที่มีกำลังกล้าแล้ว สัมผัสสัมพันธ์อะไรเป็นธรรมทั้งนั้นฆ่ากิเลสตลอด แย็บปั๊บนี้ขึ้นเป็นธรรมแล้วๆ ฆ่ากิเลส
นี่ละที่ว่าความเพียรอัตโนมัติ หมุนติ้วๆ เลย เอาจนกระทั่งหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ภายในจิตใจโล่งว่างเปล่า สุญฺญโต โลกํ ไปหมด กิเลสเท่านั้นเป็นก้างขวางคอ พอถอนกิเลสซึ่งเป็นก้างขวางคอออกแล้วว่างหมดเลย นั่น มันก็รู้อะไรเป็นก้างขวางคอ กิเลส แต่ก่อนรู้ได้เมื่อไรว่ากิเลสเป็นก้างขวางคอ แต่พอกิเลสถอนตัวออกหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว ก้างขวางคอก็คือกิเลส ทีนี้มันก็โล่งไปหมดเลย นั่นจิต หมดที่นี่ งานการหนักๆ หนาๆ ไม่มีงานใดที่จะเท่างานฆ่ากิเลสนะ หนักมาก หนักจริงๆ แต่ว่าอันหนึ่งกำลังของธรรมมันก็หนักเหมือนกัน มันไม่ถอยกัน กิเลสมันจะหนาขนาดไหนธรรมนี้ไม่มีถอยกัน นี่ละมันจะเป็นจะตายตรงนี้ ถ้าลงได้เดินจงกรมนี้ก้าวขาไม่ออกถึงจะหยุด ไม่ว่ากลางวันกลางคืนถ้าลงได้ลงแล้วเป็นอย่างนั้น คือมันหมุนของมัน ธรรมก็หมุนของธรรม กิเลสก็หมุนของกิเลสฟัดกัน เพลินกันอยู่ในนี้ไม่ได้ออกข้างนอก
ตาฝ้าฟางไม่ได้มองเห็นนะ กลางวันแสกๆ มันไม่ได้มองเห็นต้นไม้ภูเขา คือจิตนี้เวลามันเข้าข้างในแล้วตานี้จะฝ้าฟางไม่เห็นนะ โครมครามเข้าป่า เข้าป่าแล้วถอยออกมา เอาอีก เดี๋ยวโครมครามเข้านั่นอีก ก็มันมีตั้งแต่ร่างไป แต่จิตกับกิเลสมันฟัดกันอยู่ภายในนี่มันไม่ถอย ตาก็เลยฝ้าก็เลยฟาง โครมครามเข้าป่า เอ้า เข้าป่า ถอยออกมา ไปโครมครามๆ เข้าป่านู้น เหมือนบ้านะ คือจิตมันไม่ถอยกัน นี่ละถึงวาระของจิตที่มันเข้มแข็งของมันเต็มที่แล้วจะไม่มีคำว่าถอยกับกิเลส ไม่มี เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย กิเลสไม่ตายเราเท่านั้น นั่น ที่จะให้ถอยกันไม่มี ถึงขั้นธรรมะขั้นนี้แล้วท่านเรียกว่าความเพียรกล้า
พระโสณะที่ว่าความเพียรกล้า ท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก เดินไม่หยุดมันก็แตกเองซิ วันนี้ก็เดินกลางคืนก็เดินกลางวันก็เดิน เดินไม่หยุดไม่ถอยฝ่าเท้าก็แตกเอง คือคำว่าแตกไม่ใช่แตกอย่างนี้นะ คือมันจะกัดเข้าไปๆ ทีแรกก็หนังหยาบๆ ค่อยกัดเข้าไปๆ เข้าหนังบาง เข้าไปถึงเนื้อ นั่นละเรียกฝ่าเท้าแตก ไม่ได้แตกอย่างนี้นะ มันค่อยกัดเข้าไปๆ บางเข้าไปจนกระทั่งถึงเนื้อ เรียกว่าฝ่าเท้าแตก นี้ก็ได้มาเอาเราเป็นพยาน เวลามานั่งพักนี้ฝ่าเท้านี้มันเหมือนไฟลนนะ ออกร้อน แหม เอ๊ะ มันเป็นยังไงฝ่าเท้าเรา มันแตกเหรอ เอามาดู ดูตรงไหนก็ดีไม่แตก ได้ดูจริงๆ ไม่ใช่มาพูดเฉยๆ นะ มาดูมันก็ไม่เห็นแตกนี่นะ พอเอามือลูบอย่างนี้นะมันเสียวมันจะถึงเนื้อแล้วนั่น มันเสียวแปลบๆ ถ้าจากนั้นแล้วก็เข้าถึงเนื้อเรียกว่าฝ่าเท้าแตก
เราเพียงเสียวเท่านั้น แต่กิเลสแตกเสียก่อน ถ้าหากว่ากิเลสไม่แตกฝ่าเท้าจะแตก ถึงขั้นนี้มันรู้กันเอง อย่างพระโสณะท่านทำความเพียรจนฝ่าเท้าแตก ไม่แตกยังไงถอยไม่ได้นี่ ถ้าลงได้เข้าทางจงกรมไม่ว่ากลางวันกลางคืนถอยไม่ได้เลย เดินแล้วเดินเล่าสุดท้ายฝ่าเท้าก็แตก ของเรายังไม่แตกเพียงเสียวๆ เท่านั้น คือถ้ามันถึงนั้นแล้วมันยอมรับละ เอาอันนี้เป็นพยานยอมรับกัน ถ้าหากว่ากิเลสยังไม่แตกฝ่าเท้าจะแตกแน่ๆ ไม่สงสัย เพราะมันหมุนตลอด เดินจงกรมไม่รู้จักหยุด จนก้าวขาไม่ออกถึงจะหยุด มันเพลิน เพลินอยู่ภายใน ข้างนอกเซ่อๆ ซ่าๆ ไป แต่ภายในมันหมุนอยู่นี้
ระหว่างกิเลสกับธรรมต่างคนต่างไม่เผลอให้กัน ต่างสู้กัน มันก็เข้มแข็งทั้งกิเลสทั้งธรรมฟัดกัน ร่างกายก็เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน เดินเซ่อๆ ซ่าๆ บางทีโครมครามเข้าป่า เราเข้าแล้วนี่นะ เข้าป่า ออกมา เดินไปเซ่อๆ ซ่าๆ ทางนี้มันหมุนของมัน เดี๋ยวโครมครามเข้าป่า เอ้า ป่า เป็นอย่างนั้นนะ มันขบขัน คนอื่นเขามาเห็นเขาจะว่าเราบ้า ความจริงมันหมุนอยู่ภายในมันไม่ได้ออกข้างนอก นี่ละฆ่ากิเลสเป็นอย่างนั้น ถึงขั้นมันไม่ถอยไม่ถอย เหมือนว่านิพพานนี้อยู่ชั่วเอื้อมๆ หวุดหวิดๆ อยู่อย่างนั้นนิพพาน แต่ก่อนที่ว่าเชื่อว่านิพพานมีหรือไม่มี พอถึงขั้นนี้แล้วอยู่ชั่วเอื้อมเลย หวุดหวิดๆ อยู่ โอ้ สนุกดีนะความเพียร เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละนะ
(ลูกถามนิดหนึ่งเจ้าค่ะ ลูกนั่งภาวนา เริ่มแรกนั่งสมาธิอยู่ แล้วลูกก็เริ่มต่อทางด้านปัญญา ลูกก็ค่อยๆ ลอกเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ไปเรื่อยๆ ลอกกลับไปกลับมา แล้วทีนี้ภาพมันเปลี่ยนปึ๊บกลายเป็นหัวกะโหลก มันเปลี่ยนไปลูกก็เลยดูอันนี้ต่อ) เป็นเป็นโครงกระดูกแล้วเป็นไง (หน้าเป็นหัวกะโหลก) กระดูกเราจะเอาไฟเผาก็ได้ ตั้งขึ้นมาใหม่เป็นรูปร่างเหมือนคนธรรมดาเต็มสัดเต็มส่วน แล้วพิจารณาให้มันเป็นความตายแล้วพองขึ้นแตกกระจัดกระจายออกไป แล้วก็เข้าจนกระทั่งถึงกระดูก เนื้อหนังพังไปหมดเหลือแต่กระดูก ไฟเผา เข้าใจเหรอ นี่เรียกว่าฝึกซ้อมทางด้านปัญญา ฝึกซ้อมแล้วมันเร็วเข้าๆ พอตั้งพับมันดับของมัน เป็นขั้นนะ ปัญญาก็เป็นขั้นๆ
(หมายถึงว่าเรากำลังดูอยู่มันเปลี่ยนขึ้นมาเป็นกะโหลกอย่างนี้ค่ะ มันเปลี่ยนของมันเอง) เปลี่ยนก็ให้มันเปลี่ยน เราเป็นคนรับทราบตามเรื่องความเปลี่ยนของมัน มันจะเป็นยังไงก็ให้ทราบตามเรื่องของมัน อย่าไปหลงของมันก็แล้วกัน มีอุบายของปัญญาที่จะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงแก้ตัวเองออกจากสิ่งผูกพัน คือสิ่งเหล่านี้ละที่จิตไปผูกพัน พอจิตรู้อันนี้แล้วมันจะปล่อยของมัน เบาออกๆ อุปาทานเบาออก ถูกต้องแล้ว เอาอย่างนั้นนะ
(บางทีเราจะนั่งภาวนา จะเอาแต่ความสงบก่อน แต่มีภาพขึ้นมาให้เราพิจารณา) ถ้าหากว่าเราพิจารณาทางด้านปัญญา เมื่อเวลามันหนักมากมันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเหมือนกันนะ คือปัญญานี้มันอ่อนอยู่ภายในหัวอก พิจารณาทางด้านปัญญามันอ่อน ถ้าอย่างนั้นเข้าสู่สมาธิเสียให้จิตสงบแน่ว นี่พักงาน พอจิตสงบแน่วแล้วมันจะมีกำลังภายในใจ พอมีกำลังออกมาแล้วทีนี้ออกทางด้านปัญญาอีก เวลามันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเข้ามาอีก เข้าใจเหรอ นี่วิธีการดำเนินทางด้านปัญญา คือการทำงานพิจารณาแยกนั้นแยกนี้ เวลามันเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านี้เข้าพักงาน เข้าสู่สมาธิ สมาธิเป็นสถานที่พักงาน พักผ่อนนอนหลับ เข้าสมาธิเย็นใจ เข้าใจ
(เวลามันออกมากๆ แล้วมันเข้ายาก มันดึงกลับมายาก) ถ้ามันดึงกลับได้ยากเอาพุทโธติด หลวงตาเคยทำแล้วเหล่านี้ คือเวลาพลังของสติปัญญามันรุนแรง มันจะพุ่งๆ ของมันเลย เอารั้งเข้ามาเฉยๆ ไม่อยู่ รั้งเข้ามามันก็พุ่งของมันออก ต้องเอาพุทโธ เอาพุทโธมาไว้นี้ จับกับพุทโธ ติดกับพุทโธ สติบังคับไม่ให้ออก ให้อยู่กับพุทโธ เดี๋ยวก็สงบแน่วลง เข้าใจไหม พอพุทโธมัดเอาไว้แล้วก็สงบแน่ว พอได้กำลังแล้วปล่อย ปล่อยมันก็พุ่งเลย เข้าใจเหรอ นั่นละถูกต้องแล้ว อย่างนี้ละถ้ามันเข้าช่องแล้ว พูดปั๊บมันเข้าใจทันที เข้าใจแล้วนะ เอาละเท่านั้นละ ให้พร
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |