ถึงขั้นบริสุทธิ์ไม่ถามกัน
วันที่ 6 มิถุนายน 2550 เวลา 7:35 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

ถึงขั้นบริสุทธิ์ไม่ถามกัน

         พวกที่ติดตามช้างยังไม่เจอตัวนะ (ยังไม่ส่งข่าว ก็แสดงว่าเขายังไม่พบครับ) ดูว่าช้างตัวอยู่ภูวัวงวงมันเสีย ให้เขาตามจับออกมารักษา การรักษาราคาเท่าไรๆ เราจะจ่ายให้ทั้งหมดเราบอก เขาคำนวณเอาไว้ประมาณ ๕ หมื่น ๕ หมื่นเราก็จะจ่ายให้ เขายังไม่เอา ให้ตามเจอเสียก่อน เจอช้างตัวนั้นก่อน เจอแล้วก็เป็นประโยคหนึ่ง รักษาหายแล้วเป็นประโยคหนึ่ง คือเราจะรับทั้งหมดเลย ทั้งจับได้และรักษาโรคหาย ช้างตัวนี้ราคาเท่าไรๆ เราก็จะจ่ายให้ทั้งหมดเลย สงสารนะ งวงมันเป็นอะไรไม่รู้ ว่าถูกฟันก็ยากที่จะสันนิษฐานอยู่ คนจะไปฟันงวงช้างมันยากอยู่นะ ถ้ายิงไปฉากเอาขาดไปถูกนะ ที่จะไปตัดไปฟันงวงช้างรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก ถ้าปืนเขายิงฉากขาดไปเลยถูก มันไม่ทะลุ มันขาดไปเลย

         ที่ช้างอยู่มันอยู่เป็นแห่งๆ นะ มันมีทำเลอยู่ มันเป็นหย่อมๆ ที่ช้างอยู่ เป็นดงละเมาะ ดงที่ช้างอาศัยเป็นแห่งๆ เหมือนว่าเป็นเกาะดง นอกนั้นเป็นหินดานหินลาดเต็มไปหมด แล้วดงนี้เป็นเกาะหนึ่งแล้วช้างอยู่สัตว์อยู่ ภูวัวเราไม่ค่อยได้เที่ยวละเอียดลออนัก ที่เราเที่ยวมากที่สุดคือภูเขาสกลนครกับกาฬสินธุ์ ระหว่างสกลนคร กาฬสินธุ์ ภูเขาลูกนี้ทะลุถึงภูจ้อก้อ เราไปมาก จะพูดว่าแหลกก็ได้ เพราะปีนี้ขึ้นเขาลูกนี้ ลงทางนี้ ขึ้นทางนี้ลงนี้ ปีนั้นขึ้นทางนั้นลงทางนั้น

พ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่เป็นจุดศูนย์กลาง เราเที่ยวสายนี้ละมากที่สุด ไปทางไหนก็มาหาท่านๆ ที่ภูเขาภูพานสกลนคร-กาฬสินธุ์เที่ยวมาก ถึงนู้นละถึงภูจ้อก้อ ภูเขาลูกนี้เราเที่ยวมากจริงๆ ๘ ปีอยู่แถวนี้ละ ตั้งแต่ภูเหล็กที่ท่านวันอยู่ เราไปตั้งแต่ต้นตลอดถึงหนองสูงคำชะอี ปีนี้ขึ้นทางนี้ลงทางนี้ ปีนั้นขึ้นทางนั้นลงทางนั้น ขึ้นไปขึ้นมาสุดท้ายต่อถึงหนองสูงคำชะอี เหตุที่เราไปต่อทางนู้นคือเราไปพักอยู่ห้วยทรายตั้ง ๔ ปี แถวนั้นละเที่ยว เที่ยวยืดยาวก็ภูเขาลูกนี้ละตั้งแต่สว่างไป จนกระทั่งถึงภูจ้อก้อถึงกันหมดเลย

คือเวลาเข้าป่าเข้าเขาที่ไหนมันก็เป็นทำเลเหมาะหมด ไปอยู่ที่ไหนก็เหมาะๆ ไปที่ไหนก็ตามเถอะน้ำสำคัญมาก จะเป็นที่ดีขนาดไหนก็ตามถ้าไม่มีน้ำอยู่ไม่ได้นะ อยู่บนภูเขาก็ไม่พ้นน้ำ ต้องลงไปเอาน้ำนู่น ขึ้นก็ลำบากอีกแหละ น้ำสำคัญ เอากระบอกไม้ไผ่สะพายขึ้นบนเขา กาน้ำหิ้ว กระบอกไม้ไผ่สะพายพอดี หมดเมื่อไรก็ลงมา คือการขบการฉันไม่แน่นอนนักกรรมฐาน ท่านไม่ค่อยเป็นอารมณ์อะไรกับเรื่องการขบการฉัน อยู่ไปกี่วันท่านก็พออยู่ได้ แต่น้ำนี่สำคัญมาก อาหารอยู่เป็นวันๆ หลายวันก็ได้ น้ำไม่ได้นะ

นี่ได้เที่ยวกรรมฐานเราก็พอพูดได้ พ่อแม่ครูจารย์นี้เรียกว่ากรรมฐานชั้นเอกในสมัยปัจจุบัน เป็นชั้นเอก ความสมบุกสมบันลำบากลำบนอยู่กับท่านหมด นี่ก็ชั้นเอกเหมือนกัน การประกอบความพากเพียรตลอดความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างจากจิตตภาวนาท่านก็เป็นชั้นเอก ชั้นเอกทุกอย่างภายในใจ การฝึกทรมานองค์ท่านก็เป็นชั้นเอกๆ คือท่านไปพักอยู่ที่ไหนเราจะพยายามติดตามเข้าไปดูๆ เข้าไปดูจนถึงสถานที่ท่านอยู่ ท่านอยู่โลกเขาไม่ปรารถนาแหละ ท่านไปอยู่ที่ไหนเป็นที่โลกเขาไม่ปรารถนา ท่านอยู่อย่างนั้นแหละ

ที่ท่านพูดถึงเรื่องถ้ำสาริกา ที่จิตของท่านสว่างจ้าครอบหมดโลกธาตุ แต่ท่านเจอผีใหญ่ ที่ว่านั้นนะ ถือกระบองใหญ่จะมาฆ่าท่าน นั่นละคราวที่ท่านว่าจิตท่านลงจ้าเลย มีผีใหญ่ เราก็ไม่เคยคาดเคยฝันนะ นี่เห็นไหมบทเวลามันจะรับกัน เป็นที่นี่ปั๊บเข้ากันได้เลยเชียว อยู่ที่หนองผือ อันนี้ก็แบบเดียวกัน แต่เราไม่ปรากฏพวกผีพวกเปรตอะไร ท่านปรากฏผีใหญ่ที่เป็นเจ้าเขื่อนใหญ่อยู่แถวนั้นหมด นครนายก-นครราชสีมาที่ไหนผีตัวนี้เป็นนายใหญ่ว่างั้นนะ เวลาเขาลงใจเขามากราบถวายตัวเป็นลูกศิษย์ท่านแล้วเขาบอกว่าในบริเวณนี้เขาเป็นใหญ่ทั้งหมดพวกผี แน่ะผีเขาก็ยังมีเขื่อนมีแขวง มีอะไรเป็นใหญ่เป็นน้อย เป็นเขตเป็นแดน

เวลาเขายอมตัว เขาจะมาฆ่าท่าน เวลาจิตสว่างจ้าขึ้นมาครอบโลกธาตุผีใหญ่มาแบกตะบองมาจะมาฆ่าท่าน ผีมันก็เป็นโลก ธรรมก็เป็นธรรมเลิศโลกเหนือโลก ซัดกันนี้ยอมกราบท่าน นั่น นี่มาพูดถึงเรื่องว่ามันเป็น เราเวลาจะเป็น เราไม่ได้วัดรอย แต่เราไม่ปรากฏเป็นพวกเปรตพวกผี ปรากฏเป็นแต่ความสว่างครอบโลกธาตุ เราเป็นอยู่หนองผือ พอมาเล่าให้ฟัง โห ท่านตื่นเต้นมากนะ มาเล่าให้ฟัง เอ้อขึ้นทันทีเลย อย่างนั้นละถ้าเป็นอย่างเดียวกันแล้วมันไม่ได้พูดกันหลายคำอะไรละ เราเป็นอยู่ที่หนองผือมันก็ลงแบบเดียวกัน

พอวันหลังได้โอกาสแล้วกราบเรียนท่านเรื่องราวมันเป็นอย่างไรๆ ท่านร้องโก้กเลย นั่นละถ้ามันเหมือนกันมันรับกันปุ๊บทันทีเลย ไม่เหมือนมันจะเอาอะไรมาพูด ไม่รู้พูดได้อย่างไร (หลวงตาภาวนาไปถึงจุดไหนถึงจ้าขึ้นมาคะ) ไปถึงจุดหมอนกับเสื่อ หมอนขาดเสื่อขาดถึงจุดนั้นละจ้าขึ้นมา คือหมอนแตกนุ่นแตกกระจายจ้าขึ้นมา ตรงนั้นแหละ พากันเย็บทั้งวันละเย็บหมอนเย็บเสื่อ ตื่นขึ้นมาก็เย็บเสื่อเย็บหมอน วันหลังฟาดอีก จ้าอีก ขาด แตกสะบั้น มันพูดไม่ถูกนะ ที่เราพูดนี่มันไม่ได้ตรงกับความจริงนะที่ว่าจ้านี่ ความรู้ความเป็นของจิตกับสิ่งภายนอกเข้ากันได้เมื่อไร เข้าไม่ได้นะ แต่เมื่อโลกมีสมมุติจิตก็ต้องแยกสมมุติเข้ามาหากัน เช่นอย่างว่านิพพานอย่างนี้ ใครไปเดาได้นิพพาน ถ้าเป็นปึ๋งไม่ต้องเดา แน่ะ พอจิตบริสุทธิ์ผึง นิพพานกับอันนั้นก็เป็นอันเดียวกันแล้ว ตั้งชื่อไม่ตั้งไม่เห็นสำคัญอะไร มันก็อยู่ตรงนั้นเอง

จิตจึงว่าเป็นของอัศจรรย์ เป็นที่รับทั้งสุขทั้งทุกข์ มหันตทุกข์ก็อยู่ที่จิต บรมสุขก็อยู่ที่จิต มาลงนี้หมดเลย รวมยอดลงในสามแดนโลกธาตุมาลงที่จิตแห่งเดียว เป็นผู้รับทราบทั้งหมดเลย ทุกข์มหันตทุกข์ก็มาอยู่ที่จิต สิ่งเหล่านั้นเขาไม่ได้แบกได้หาม จิตนี้แบก ด้วยความรู้รับดีชั่วสุขทุกข์ต่างๆ ทางดีก็ดี จนกระทั่งดีเลิศก็จิตเป็นผู้รับ มหันตทุกข์เลวที่สุดก็จิตเป็นผู้รับ ท่านจึงสอนลงที่จิตๆ ศาสนาใดที่จะเหมือนกับพุทธศาสนาไม่มี เอาภาคปฏิบัติยันกันเข้าซิ มีแต่ด้นเดาเกาหมัดไปอย่างนั้น ใครก็ว่าตนถือศาสนานั้นถือศาสนานี้เป็นของเลิศเลอๆ ก็ถูก เราเกิดมากับพ่อกับแม่ก็ต้องถือว่าพ่อว่าแม่ของเราๆ แล้วพ่อแม่มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน ศาสนามีความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ความจริงแล้วศาสนาพุทธรวมหมดเลย เป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส พอสิ้นแล้วมันจ้าหมดจริงๆ สงสัยอะไร

ว่าอะไรไม่ผิดไม่พลาด ก็คือความรู้ของพระพุทธเจ้า ที่เป็นเจ้าของศาสนา เป็นผู้สิ้นกิเลส สำคัญตรงนี้นะ ความรู้ที่เป็นไปตามกิเลสมันก็ไปตามแถวตามแนวของกิเลส กิเลสบ่งบอกที่ตรงไหนๆ ว่าดีอะไรก็ดีไปตามกิเลสเสีย ไม่ได้ดีไปตามธรรม นี่ละมันก็ผิดกันที่ตรงนี้ ถ้าว่าบอกก็บอกถึงนิพพาน ศาสนานั้นๆ ก็เดากันไปถึงสวรรค์ ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ต้องเดา ทะลุถึงนิพพานเลยไม่ต้องถามใคร จ้าขึ้นมาที่นั่นแล้วพอ ขอให้จิตบริสุทธิ์เถอะน่ะ จิตบริสุทธิ์เท่านั้นถามหานิพพานอะไร ที่ด้นเดาเกาหมัดนี่ซิมันไม่ได้เรื่องได้ราว

ศาสนาคือพุทธศาสนาที่บ่งบอกร้อยเปอร์เซ็นต์ตามหลักความจริงล้วนๆ ที่เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว นี่ละชอบในธรรมทุกขั้นๆๆ ตลอดถึงพวกเปรตพวกผีพวกสัตว์นรกอเวจีผิดที่ไหน ไม่ผิด ถึงสวรรค์ชั้นพรหมถึงนิพพาน จ้าไปหมดเลย จึงเรียกว่า โลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน โลกในกิเลสขาดสะบั้นไปหมดสว่างจ้า โลกนอกมองเห็นไปหมด นั่น ที่ว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลกๆ ให้เป็นซิ จิตถ้าลงได้เป็นเต็มที่แล้วไม่มีอะไรเหมือนในแดนสมมุติ ไม่มี หมด แดนสมมุตินี้เป็นสมมุติทั้งมวล อันนั้นไม่ใช่แดนสมมุติ แดนวิมุตติ ท่านก็แยกออกมาเป็นสมมุติอันหนึ่งเสีย ว่าแดนวิมุตติ ไม่เหมือนอะไรเลย แดนนั้นละท่านเรียกว่าแดนนิพพาน ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องเลย

สิ่งที่เกี่ยวข้องเป็นก้างขวางคออยู่ก็คือกิเลส หนักเบามากน้อยเป็นก้างขวางคอทั้งนั้น พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วโล่งหมด ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นก้างขวางคอ คือสมมุติก็ได้แก่กิเลสเป็นยอดแห่งสมมุติทั้งมวล สมมุติทั้งหมดรวมอยู่ในกิเลส พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วสมมุติก็ขาดไปตามๆ กัน จิตก็พ้นข้าศึก หมดข้าศึกตรงนั้นแหละ ถ้าจิตยังมีกิเลสอยู่ยังมีข้าศึก ไม่จัดว่าถึงขั้นบริสุทธิ์หรือถึงขั้นความสุขอันสมบูรณ์ถ้าลงกิเลสยังมีอยู่นั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วความสุขไม่ต้องถาม สมบูรณ์เต็มที่เลย พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน ตั้งแต่ท่านบรรลุธรรมมาจิตของท่านไม่มีอะไรเข้าผ่านได้เลย หมด นั่นละแดนวิมุตติ ไม่มีสมมุติเลย เป็นแดนวิมุตติล้วนๆ

การปฏิบัติธรรมรู้เป็นขั้นๆๆ นะ ขั้นธรรมขั้นโลก อย่างเขาเรียนชั้นนั้นชั้นนี้ ชั้นธรรมก็มีไปตามๆ กัน ธรรมก็ขั้นนั้นขั้นนี้ ที่เรียนนะขั้นธรรม เรียนปริยัติก็เป็นขั้นธรรม เขาเรียนทางโลกก็เป็นขั้นนั้นขั้นนี้ อันนี้เรียนทางขั้นปฏิบัติ ขั้นปฏิบัติก็เป็นวรรคเป็นตอนๆ ของความรู้ ละเอียดเข้าไปๆ เป็นขั้นเป็นตอน จนกระทั่งทะลุหมดไม่มีอะไรติดหัวใจเลย เรียกว่าถึงแดนวิมุตติโดยสมบูรณ์ นั่นท่านว่าถึงนิพพาน ถึงขั้นบริสุทธิ์ไม่ถามกันละ ถ้าลงถึงนั้นแล้วท่านไม่ถามกัน บริสุทธิ์จ้าขึ้นมาหมด ที่ว่าเหล่านี้ศาสนาพุทธเราเท่านั้น เป็นศาสนาที่ทรงไว้ซึ่งมรรคผลนิพพาน บาปบุญคุณโทษนรกสวรรค์ศาสนานี้ครอบหมด รู้หมด พูดได้ถูกต้องหมด นอกนั้นไม่ถูก ด้นๆ เดาๆ ไป ศาสนานี้ประจักษ์กับใจจริงๆ

วันนี้แปลกอยู่นะฉันจังหัน อย่างนี้ละธาตุคนแก่ เวลามันจะก็เป็นไปตาม เราก็ปล่อยให้มันเป็นนะวันนี้ เห็นมันเป็นอย่างนี้ปล่อย ฉันจังหันจนหมู่เพื่อนไปหมดแล้วเรายังเอาหวามๆ คือปล่อยตามธาตุขันธ์ มันเป็นยังไงดูมันไปอย่างนั้นละ เวลามันจะพลิกปั๊บไปอีกแบบหนึ่งนะ เช่นอย่างวันนี้ดีฉันจังหันก็ดี เมื่อเช้านี้สายลงมาลืมเวลานะนั่น ไม่ใช่อะไรนะลืมเวลาลงมา หมู่เพื่อนไปบอกถึงได้ลงมา หือ ไปบิณฑบาตมาแล้วเหรอ แน่ะอย่างนั้นแหละ บทเวลามันจะเป็น ลืมเวลา

วันนี้พูดเท่านั้นละ ไม่พูดมากอะไร เพราะมันพูดมากแล้ว นี้ก็จะไปธุระ ไปธุระก็ช่วยโลกๆ ทั้งนั้นนะ ไม่ได้ไปไหนช่วยโลก (มีปัญหาธรรมเล็กน้อยครับ เมื่อภาวนาจิตสงบระดับหนึ่ง เห็นเงาดำปรากฏขึ้นที่จิต มันเคลื่อนไหวแล้วก็หลบหนีได้ หากภาวนาย่อหย่อนเงาดำก็จะหนาแน่นขึ้น แต่ถ้าภาวนาดีต่อเนื่องเป็นเดือนๆ เงาดำก็จะจืดจางลง และถอยออกจิตไปเป็นเงาของร่างกายตนเอง แต่ก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่กับกายของเจ้าของ กราบเรียนถามว่า เงาดำนั้นคืออะไร จะแก้ไขอย่างไร มีอุบายการภาวนาอย่างไรบ้างครับ)

ไม่เห็นมีสาระอะไรพอจะตอบนะ เงาดำก็คือคนหลับตานั้นแหละ เอายังงั้นเลย เงาดำ ถ้าหลับหมดดำหมดเลย มันขี้เกียจตอบ ไม่ตอบละ มันเป็นสาระปั๊บมันปุ๊บเข้าถึงกันเลยนะ เรื่องปัญหาพอแย็บเท่านั้นมันจะรับกันทางนี้ออกผึงเลย ถ้าทำยังไงมันก็ไม่ออก แสดงว่าปัญหานั้นอย่างว่า เอาละไปละที่นี่ วันนี้ไม่พูดมากอะไร ก็ยังจะไปธุระอีก เรื่องทำธุระให้โลกเราไม่ได้หยุดแหละ อำนาจความเมตตาทั้งนั้นนะ ที่ดีดที่ดิ้นอยู่นี้ไม่ใช่อะไร อำนาจความเมตตา มันหากเป็นของมันเองในนี้ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยเป็น ความเมตตาของคนเราธรรมดาๆ ก็ทราบทั่วหน้ากัน แต่ความเมตตาของจิตประเภทนี้ผิดกันมาก เหมือนว่ามันครอบหมดเลย แดนสมมุติครอบหมดเลย

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก