นิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม
วันที่ 5 มิถุนายน 2550 เวลา 7:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

นิสัยของผู้ปฏิบัติธรรม

ก่อนจังหัน

ให้พากันตั้งใจภาวนานะพระ เอาให้เร่งนะ อย่าอ่อนใจ อย่าอ่อนแรง ทางด้านภาวนาเป็นสำคัญมาก พุทธศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนา พระสงฆ์สาวกที่เป็นสรณะของพวกเรานี้ เป็นขึ้นมาด้วยการภาวนา ไม่ได้เป็นขึ้นมาด้วยการเตร็ดเตร่เร่ร่อนสร้างนั้นสร้างนี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี้ กวนห้ากวนสิบกับชาวบ้าน เขาอกจะแตก ไม่เป็นอย่างนั้นนะ ทุกวันนี้มันเป็นศาสนาปลอมเข้ามา ไปที่ไหนมีแต่เรื่องการก่อการสร้างยุ่งไปหมด เอาวัตถุนั่นละออกหน้า วัตถุก็เรื่องของกิเลสความกังวลวุ่นวายรบกวนกันนั่นแหละ

พุทธศาสนาแท้ๆ ของผู้ปฏิบัติธรรมท่านไม่กวนใครนะ บิณฑบาตได้มาเท่าไรเท่านั้นพอๆ ท่านมุ่งต่อมรรคผลนิพพานเป็นหลักใหญ่สุดหัวใจท่าน เพราะฉะนั้นความอดอยากขาดแคลนจึงไม่มาเป็นอุปสรรคแก่ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานได้ ให้ตั้งใจปฏิบัตินะ ที่ว่าเหล่านี้ก็จะไม่มีแล้วเดี๋ยวนี้ จะไม่มีนะ พอว่ามรรคผลนิพพานหัวเราะกันทั่วโลก กิเลสมันหัวเราะ ถ้าว่าเข้าส้วมเข้าถานเข้าโรงระบำรำโป๊ โอ๋ย รื่นเริงบันเทิง พวกนี้พวกส้วมพวกถานพวกระบำรำโป๊ พวกรื่นเริงบันเทิง พอพูดถึงเรื่องศีลเรื่องธรรม เข้าวัดเข้าวาภาวนาหาความสงบใจ หัวเราะกันลั่น

ให้เขาไปสวรรค์นิพพานกันหมดเสีย จะไม่มีใครแย่งปลาในบึงในบ่อกับพวกเรา ไปอย่างนั้นนะ มันหนาเข้า กิเลสหนาเข้าเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจำให้ดีนะหลวงตาบัวตายแล้วเรื่องเหล่านี้จะยังไม่ตาย จะเป็นสาระสำคัญต่อไป จะเป็นอย่างนี้แน่นอน เวลานี้ออกมาวัดมาวามาได้อย่างออกหน้าออกตาสง่าผ่าเผยนะ ต่อไปนี้จะหดเข้าไปๆ ผู้มาวัดมาวาต้องได้ด้อมๆ มองๆ มาเหมือนจะไปเที่ยวฉกเที่ยวลักเขานั่นแหละ คือพวกส้วมพวกถานพวกสกปรกมันหัวเราะเยาะเย้ย นี่เขาจะไปวัดกันละนะ ไปๆ ให้เขาไป จะไม่มีใครแย่งปลาในบึงในบ่อกับพวกเรา จะเป็น เรื่องของกิเลสต้องเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น เรื่องของอรรถของธรรมที่จะเล็ดลอดออกไปได้น้อยมากนะ

ท่านทั้งหลายจำเอานะ หลวงตาบัวตายแล้วคำพูดคำนี้จะผิดไปไหน ยิ่งเรียวแหลมลงไป กิเลสหนาแน่นขึ้นมาโลกยิ่งร้อน แล้วก็เป็นบ้ากันว่าโลกที่นั่นเจริญที่นี่เจริญ มองดูที่ไหนไม่เห็นเจริญ เอาหัวใจนี้ดูหมดเลย ไม่มีที่ไหนว่าบ้านใดเมืองใดเจริญ มันมีตั้งแต่เจริญด้วยฟืนด้วยไฟไปจากการขวนขวายไม่พอ วิ่งเต้นไม่พอ สร้างนั้นสร้างนี้ ถนนหนทางตึกรามบ้านช่อง โรงงานใหญ่ๆ สร้างขึ้นมาเพื่ออวดกัน ไม่มีอะไรอวดก็เอาสิ่งเหล่านี้ละ เอาอิฐปูนหินทรายเหล็กหลานี่มาอวดกัน อันนี้ที่ไหนมันก็มี เรานั่งอยู่นี้มันก็มี เอาธรรมมาอวดกันบ้างซิ พระพุทธเจ้าเอาธรรมมาอวดโลก โลกไหนแข่งได้มีไหม พระพุทธเจ้าเอาธรรมมาอวดโลก ไม่ปรากฏว่าโลกไหนแข่งธรรมพระพุทธเจ้าได้ เลิศเลอตลอด สุดท้ายผลสุดยอดก็คือนิพพาน นิพพานํ ปรมํ สุขํ ไม่มีอะไรที่จะสงบร่มเย็นยิ่งกว่าพระนิพพาน

ตรงกันข้ามก็ไม่มีอะไรที่สงบร่มเย็น ยิ่งกว่าพวกส้วมพวกถานแย่งกันกินแย่งกันอยู่ ชิงดีชิงเด่น มันชิงตั้งแต่ส้วมแต่ถานกันนะ มันไม่ได้ชิงเอาดิบเอาดีอะไร มันว่าเฉยๆ ให้ไพเราะเพราะปากเท่านั้นก็เอา เพราะหูเท่านั้นก็เอา มันไม่ได้เรื่องนะ มันร้อนเป็นฟืนเป็นไฟจากกิเลสเผาหัวใจสัตว์โลก ไปที่ไหนดูแล้วมันดูไม่ได้ อย่างเราไปตอนเช้าออกไปอย่างนี้เหมือนกัน ต้องเตรียมยาเอาไว้ๆ จะเดินออกไปนี้จะไปดูนั้นดูนี้ พอไปแล้วก็มารุมละ ทีนี้ได้วิชาติดตัวไปแล้วที่นี่ เฉย ใครรุมเข้ามาก็เฉยๆ รุมมาเท่าไรก็เฉยแบบเฉย ถึงวัดไม่มีเรื่อง

ถ้าว่าเขา อะไร โอ๋ย นั่นเกิดเรื่องแล้วนะ อะไร คนนั้นก็รุมนี้ก็รุมไม่ได้ฉันจังหันละวันนี้ ถ้ามาถึงวัดนี้ก็ต้องบ่ายโมง ใครจะไปฉันจังหันบ่ายโมง เพราะฉะนั้นถึงสะพายยาแจกไปด้วย ไปเฉย ยาแก้นี้ยาวางเฉย ใครจะมาหารุมนี้เฉยเรื่อยๆ เขาจะว่าบ้า บ้าก็ตามก็เราไม่ใช่บ้า เข้าใจไหม ใครจะไปรู้ยิ่งกว่าเรารู้เราวะ ต้องมีวิชาหลายขนาน ไม่งั้นไม่ได้นะ แก้ไม่ตก แก้บ้าไม่ตก เอาวิชาหลายขนานไป รุมละไปไหนรุมๆ เราหลบนี้ปั๊บทางนั้นรุมเข้ามา หลบนี้ปั๊บทางนู้นรุมเข้ามา หลบนั้นปั๊บ เหมือนกระต่ายหลบหมานั่นแหละ มันหากเป็น เราก็เห็นใจที่เขามีความเคารพเลื่อมใส แต่เราจะไปคอยทักทายคนนั้นคนนี้ น้ำหนักอันนี้จะบอบช้ำ เพราะฉะนั้นจึงปล่อย เวลาปล่อยปล่อยไป เวลาสอนสอน จะให้เป็นแบบเดียวกัน.อย่างเวลาเดียวกันไม่ได้

พระเณรให้ละเอียดลออนะ เรื่องหลักวินัยสำคัญมาก พระวินัยนี้เคลื่อนคลาดไม่ได้ สำหรับวัดนี้เคลื่อนไม่ได้ ถ้าเคลื่อนด้วยเจตนาไล่ออกจากวัดทันที เคลื่อนด้วยความผิดความพลาดธรรมดา ท่านก็บอกแล้วเครื่องเยียวยา เครื่องเตือนโทษ เช่นแสดงอาบัติ เตือนโทษ นั่น เรียกว่าลดหย่อนผ่อนผันให้เตือนโทษให้รู้โทษ อันนี้เป็นโทษ ถ้าตั้งใจทำผิดแล้วไม่ได้ สำหรับวัดนี้แต่ไหนแต่ไรมา ถ้าเป็นเจตนาไล่ออกทันทีไม่ให้อยู่ มันหมดทางที่จะแก้แล้ว อลชฺชิตา หาความละอายบาปไม่ได้ หมดท่า เช่นอย่างท่านบอกว่าต้องอาบัติ ต้องด้วย อลชฺชิตา นี้ขาดสะบั้นไปเลยแก้ไม่ได้ ถ้าต้องด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง

ท่านจึงมีไว้หลายแบบหลายฉบับที่แก้ความผิดของตัวเอง ถ้าลงผิดด้วยเจตนาไม่มีหิริโอตตัปปะแล้วขับออกไม่ให้อยู่ เป็นเนื้อร้ายทำลายของดีที่มีอยู่จำนวนมากให้เสียไปนั่นละ เห็นพี่น้องทั้งหลายมาวัดมาวาขอให้พิจารณานะ อย่ามาเพ่นๆ พ่านๆ แบบนิสัยสันดานที่เคยมา มานี้เพ่นๆ พ่านๆ ดูนั้นดูนี้เพลินด้วยนิสัยที่เคยเพลิน มันไม่มีจิตใจใฝ่ธรรมนะ มาอย่างนั้นละ มาดูเพลินกันไปอย่างนั้นละ เขาว่าไปดูวัดนั้นดีนะวัดนี้ดีนะ เจ้าของดีหรือไม่ดีไม่ดู ไปดูวัดนั้นวัดนี้ แต่มาวัดป่าบ้านตาดมักจะโดนบ่อย ถ้ามานี้ละมักจะเจอ ถ้ามาเจอกับหลวงตาโดนละ คือองค์อื่นท่านเฉยทั้งนั้น แต่กับหลวงตานี้ไม่ได้

บางทีไปยืนจังก้าอยู่หน้ารถใหญ่ ๓ คัน ๔ คันนี้ เขาจะเข้ามารุมวัดนี้ นี่จะไปไหนมาไหนกัน ดูตะวัน ๔-๕ โมงแล้ว มีธุระอะไร จะไปเที่ยววัด สถานที่นี่ไม่ใช่สถานที่เที่ยว ไปเดี๋ยวนี้ นั่นเห็นไหมล่ะ มันวิเศษวิโสอะไรขี้หมูขี้หมา ธรรมนี้เลิศเลอจอมโลกธาตุสู้ได้ไหม นั่น อันนี้ที่เรารักษาอยู่ อันนั้นประสาขี้หมูขี้หมารักษาอะไร มันเป็นอยู่กับทุกคน ส่วนที่ดีเลิศเลอที่เรารักษานี้อย่ามาแตะอย่ามาทำลาย ความหมายว่าอย่างนั้น ผู้รักษาท่านรักษาอยู่นี่มาทำลายทำไม เพ่นพ่านๆ ไม่ได้หน้าได้หลัง

ดูซิเราเขียนไว้นั้นก็หลายแบบหลายฉบับ “ที่นี่เป็นวัด เป็นสถานที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจจำเป็นไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน” นี่พักหนึ่ง ขึ้นพักที่สอง “กูจะฟ้องท่านเปา มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน” ชุดที่สามกลัวจะถือมีดอีโต้ใหญ่ๆ เงือดเงื้อไว้ตรงประตูวัด เข้าใจไหม มันต้องเอาเป็นขั้นๆ ซิ ไม่งั้นไม่ได้ เพราะเรื่องภัยมหาภัยมันมีหลายด้าน ที่จะตอบรับมหาภัยก็ต้องมีหลายเครื่องมือซิ ให้ระวังนะพวกนี้ มาวัดนี้จะไม่ค่อยเหมือนวัดทั้งหลายนะ นี่เรารักษาจริงๆ เราไม่รักษาเล่นๆ รักษาศาสนา

พระพุทธเจ้าเลิศเลอจริง ธรรมเลิศเลอจริง เรารักษาด้วยความเข้มงวดกวดขันทุกสิ่งทุกอย่างจริงจังทุกอย่าง อย่ามาเหลาะแหละโลเลอันแบบส้วมแบบถานของกิเลสให้เห็นนะ ใครมาให้สังเกต ตามีหรือหูมีฟังสังเกต นี่เรียกว่ามาได้คติเครื่องสอนใจ มาเพ่นๆ พ่านๆ เล่อๆ ล่าๆ ดูไม่ได้นะ ส่วนมากมักมาอย่างนั้นเข้ามาในวัดนี้ สำหรับพระในวัดนี้ท่านไม่ว่าอะไร ไม่ว่าองค์ไหนเหมือนกันหมด ก็มีแต่หลวงตาบัว เพราะหลวงตาบัวเอาจริงเอาจัง สอนเป็นธรรมจริงๆ ไม่ได้สอนให้ผู้รับฟังเกิดความพินาศเสียอะไรนี่นะ เป็นอรรถเป็นธรรมทั้งนั้น เด็ดก็เด็ดเป็นธรรมเป็นดีทั้งนั้นไม่ได้เสียหาย การที่จะออกจากปากแต่ละคำๆ พิจารณาเรียบร้อยๆ ออกๆ จะผิดไปไหน เราถึงได้เตือนเสมอเพ่นพ่านๆ ดูไม่ได้นะ เอาละให้พร

ที่พูดตะกี้นี้ พระท่านไปอยู่ในป่า นี่ละตำรา แบบฉบับของท่าน พระท่านไปภาวนาในป่าตั้ง ๓๐-๔๐ องค์ในป่าใหญ่ พวกญาติโยมเขาไป เขามีน้ำปานะน้ำอะไรเขาไปถวาย ไปไม่เห็นพระสักองค์ เดินซอกแซกไปมา เห็นพระองค์เดียวอยู่ในที่ชุมนุมที่รวม นอกนั้นไม่มี อ้าว พระไปไหนหมดไม่มีพระ พระท่านอยู่ในป่าท่านเดินจงกรมอยู่ในป่า นั่นเห็นไหมล่ะฟังซิ แล้วจะพบท่านได้ยังไง นี่พวกน้ำปานะ น้ำส้มน้ำหวานเอามามาก เพราะได้ทราบว่าวัดนี้มีพระมาก โอ๋ มากก็ไม่เป็นไร ถ้าอยากพบท่านก็ไปเคาะระฆัง หรือเคาะเครื่องสัญญาณ แล้วท่านก็จะมา

พอไปเคาะระฆังหรือเครื่องสัญญาณก็แล้วแต่เถอะ เคาะโป๊กๆ เดี๋ยวองค์นั้นก็มาองค์นี้มา มาจากทุกทิศทุกทาง มากิริยาเคร่งขรึม ดูลักษณะเหมือนจะกัดจะฉีก เห็นไหมล่ะ ทีนี้มาเขาก็ดูพระ องค์ไหนมานั่งปั๊บเงียบๆ นั่งๆ เงียบไม่พูดไม่จา มีแต่หัวหน้าที่คอยพูดคอยจากับเขาบ้างเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็จัดน้ำปานะถวาย พอเสร็จแล้วก็ถาม พระเหล่านี้ท่านทะเลาะกันเหรอ พวกญาติโยมเขาถาม พระที่มาหลายๆ องค์ เห็นองค์ไหนมีแต่หน้าเคร่งขรึมไม่มีหน้ายิ้มบ้างเลย ท่านทะเลาะกันเหรอ ท่านไม่ได้ทะเลาะ นิสัยของผู้ปฏิบัติธรรมท่านปฏิบัติอย่างนี้ แบบไม่ให้ลืมตัว แบบไม่ลืมตัวคือมีสติระมัดระวังตลอด นี่ละตัวอย่าง ในคัมภีร์มี

พระตั้ง ๓๐ เวลามานั่งแล้วเคร่งขรึม เขาจัดน้ำปานะอะไรถวายท่านก็ฉัน ฉันแล้วหายเงียบไปเลยๆ นั่นผู้มุ่งปฏิบัติธรรมแท้ท่านเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่เก้งๆ ก้างๆ โอ้เอ้ๆ ก็ได้ตำรามาเทียบๆ ผู้จะปฏิบัติก็ต้องดูตามตำรา ปฏิบัติอย่างนั้นมันก็เป็นอย่างนั้นขึ้นมา เอาละ เท่านั้นละ

อาหารการขบฉันเวลาท่านแยกออกไปๆ แจกจ่ายให้สม่ำเสมอทั่วศาลานะ ความเสมอภาคนั่นละเป็นธรรม มีมากมีน้อยไม่สำคัญยิ่งกว่าความเป็นธรรม มีน้อยให้เสมอมีมากให้เสมอ อย่าเห็นแก่เราไม่ได้ ผิดธรรม ถ้าผิดธรรมนี้โลกแตก ผิดมากๆ โลกแตก

พ่อแม่ครูจารย์ท่านเล่าให้ฟัง ท่านเล่าทุกอย่างขบขันหมดนะ องค์ท่านเองเล่าเล่าเฉย เรื่องขบขันขนาดไหนท่านก็เล่าตามเรื่อง แต่ท่านไม่แสดงความขบขัน พูดเฉย พูดเรื่อยเฉย ไอ้เราเป็นนิสัยลิงมันอกจะแตก มันจะหัวเราะออกมาก็ไม่ได้เดี๋ยวแมวจะฟาดเอา เลยอกจะแตก ท่านพูดถึงเรื่องตั้งแต่เป็นเณร ท่านเล่าเรื่องของท่านเอง ตั้งแต่เป็นเณร ใครมาบวชใหม่ไม่ได้ ปฏิสงฺขา โยนิโส ปิณฺฑปาตํ ก็ต้องให้หัวหน้าเสกเป่า แล้วก็ยื่นให้องค์นี้ยื่นให้องค์นั้น ตั้งแต่สมัยท่านเป็นเณรเป็นอย่างนั้นท่านว่า แต่ท่านพูดเฉยซิ ไอ้เรามันจะตาย พอเป่าฟู่ๆ ยื่นทางนี้ เป่าฟู่ยื่นให้องค์นั้นๆ เป่าเสก ผู้นี้เสกเป็น เป่า ปฏิสงฺขา โย เสก ปฏิสงฺขา โย เป็น พวกนั้นเสกไม่เป็นจึงต้องเสกเป่ายื่นให้กัน

ท่านเล่าท่านเฉยนะ แต่เรามันจะตายซิ เพราะนิสัยพ่อแม่ครูจารย์ โอ๊ย จับไม่ได้นะ เราอดหัวเราะจะตาย นิสัยพ่อแม่ครูจารย์เรียบมาก ลักษณะพูดตลกหัวเราะไม่มี ครูอาจารย์องค์อื่น คืออันนี้มีตามนิสัยเลยนะ อย่างหลวงปู่มั่นท่านไม่มีเรียบๆ องค์อื่นท่านก็เป็นธรรมเหมือนกัน แต่ท่านก็มีตามนิสัย มีตลกขบขันบ้างเล็กๆ น้อยๆ ตามนิสัยว่างั้น มี แต่หลวงปู่มั่นไม่มี สำหรับเรานิสัยลิง อยู่ในท่ามกลางราชสีห์ ลิงมันก็ออกลวดลายของมันได้เหมือนกัน ไปอยู่ในท่ามกลางราชสีห์ ลิงมันก็เล่นละครลิงอยู่ข้างๆ ราชสีห์ได้ บางทีพ่อแม่ครูจารย์ท่านก็หัวเราะเหมือนกัน นิสัยลิง แต่มันหากป้วนเปี้ยนออกจนได้นั่นแหละ ท่านเป็นราชสีนี่ เราเป็นลิงจะไปแสดงเป็นแบบราชสีห์ได้เหรอ มันก็ไปแบบลิง บางทีท่านก็หัวเราะเหมือนกัน

เท่าไรพระ (๓๖ ครับผม) พระ ๓๖ นะวันนี้ หนองผือก็ขนาดนี้ อย่างมากท่านไม่ให้เลย ๓๖ นอกจากนั้นก็พักอยู่ตามหมู่บ้านเล็กๆ น้อยๆ ๙ หลังคาเรือน ๑๐ หลังคาเรือน บ้านนั้นๆ ๔ กิโล ๕ กิโล ๙ กิโล ๑๐ กิโล ถึงวันอุโบสถเต็มวัดเลย พอฉันเสร็จแล้วประมาณ ๑๑ โมงหรือเที่ยงพระจะมาพร้อมหน้ากันเต็มหมดเลย แต่อยู่ประจำในวัดนั้นมีแค่ ๓๕-๓๖ เพราะไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่ทำทางเดินจงกรม ดงกว้างก็จริงอยู่ แต่พระมากต่อมากมันก็รับไม่ไหวเหมือนกัน

หลังจังหัน

         พระเณรตลอดถึงครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านก็มาตามนิสัยวาสนาเดิมของท่าน จริตนิสัยไม่เหมือนกัน ผู้จะดัดนิสัยวาสนานี้ตามที่บอกไว้ในตำรา ตัดขาดเฉพาะพระพุทธเจ้าองค์เดียว นอกนั้นนิสัยยังไงๆ เคยเป็นมาก็เป็นนิสัยเดิม แต่พระพุทธเจ้าตัดขาดนิสัยวาสนามาดั้งเดิมขาดหมด ก็มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นตามที่ท่านแสดงไว้ในตำรา นอกนั้นเป็นตามนิสัยเดิม ยกตัวอย่างนิสัยในทางเรียบร้อยก็เช่นอย่างพระสันตกาย พระสันตกายนี้ท่านไปที่ไหนๆ พระเณรดูท่านเหมือนท่านเป็นพระอรหันต์ เขาต้องหมายเอาว่าความเรียบร้อยนั่นแลคืออรหันต์ คงจะหมายอย่างนั้น ไม่ได้หมายถึงกิเลสขาดจากใจแล้วเรียกอรหันต์

เพราะท่านสันตกายนี้ ท่านมีกิริยามารยาททุกอย่างเหมือนมีสติตลอดเวลา เรียกว่าเหมือนผ้าพับไว้ พระทั้งวัดเคารพเลื่อมใสท่าน และเหมาท่านว่าเป็นพระอรหันต์ บางรายไปถามท่านก็มี ถามท่านเองก็มี ท่านก็บอกว่ายัง จนกระทั่งไปถึงพระพุทธเจ้า ไม่ลงใจกับพระสันตกายนี้ ใครก็เหมาว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านเรียบร้อยเหลือเกิน ทุกอย่างเหลือบสายมองขวานี้เหมือนว่ามีสติรอบตลอดเวลา จึงเรียกว่าเหมือนผ้าพับไว้ สนฺตกาโย ผู้มีกายสงบเรียบร้อย สนฺตวาโจ ผู้มีวาจาสงบเรียบร้อย สนฺตมโน ผู้มีจิตอันผ่องใสบริสุทธิ์ สุสมาหิโต ท่านฝึกฝนดีแล้ว แปลตามภาษา วนฺตโลกามิโส ภิกฺขุ อุปสนฺโตติ วุจฺจติ คายโลกามิสภายในจิตใจออกหมดโดยสิ้นเชิง นั้นคือนักปราชญ์ นี่ในบาลีโดยยกพระสันตกายนี้ขึ้น

จนถึงขนาดได้ประชุมกัน พระสงฆ์ทั้งหลายพูดภาษาโลกๆ เราตามความเข้าใจก็ว่าใครก็เหมาว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ซุบๆ ซิบๆ เพราะท่านเรียบร้อยมาก กายวาจาเรียบตลอดเลย บางองค์ไปถามท่านเองว่าท่านเป็นพระอรหันต์เหรอ ท่านก็บอกว่ายัง ไปทูลถามพระพุทธเจ้าพระองค์ก็รับสั่งอย่างนั้น เลยเอาสันตกายนี้เป็นต้นเหตุยกภาษิตนี้ขึ้นเทศนาว่าการ ได้สำเร็จพระอรหันต์มากมาย พระสันตกายก็ได้สำเร็จอรหันต์ในการฟังเทศน์คราวนั้น ปัญหาของท่านเอง ได้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา

คือพระสงฆ์ทั้งหลายสงสัย ด้วยความเรียบร้อยของมารยาทท่าน เป็นอย่างนั้นนะ คือนิสัยเดิมละไม่ได้ เวลาพระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงว่าพระสันตกายนี้ โห ท่านเคยเป็นราชสีห์มานี้ ๕๐๐ ชาติ ไม่มีสัตว์ตัวใดเข้ามาแทรกในภพชาติต่างๆ ได้เลย ท่านเคยเป็นราชสีห์มาตั้ง ๕๐๐ ชาติ ไม่สับปนกัน เพราะฉะนั้นนิสัยนี้จึงเป็นเนื้ออันเดียวกัน คล้ายกันกับราชสีห์ พวกเสือ พวกแมว ท่านยกราชสีห์เป็นที่หนึ่ง กิริยามารยาทเรียบร้อยมีสติสตัง สวยงามมาก น่าเกรงขาม ราชสีห์ทุกวันนี้เขาจะเรียกสิงโตมัง แต่ในบาลีเรียกว่าราชสีห์

ท่านแสดงไว้ในตำราราชสีห์เวลาจะหลับนอนนี้ต้องวางอวัยวะ ราชสีห์เป็นตัวอย่างของสัตว์จริงๆ จึงได้นำมากล่าวไว้ในตำรา ว่าเวลาราชสีห์จะนอนนี้วางอวัยวะทุกสัดทุกส่วนของตัวเองไว้ด้วยความมีสติ กำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ ขาไว้อย่างไรๆ หางไว้อย่างไรกำหนดไว้เรียบร้อย ตื่นขึ้นมาถ้ามีอวัยวะส่วนใดเคลื่อนไปจากกำหนดไว้เดิมแล้วจะไม่ยอมลุกหากิน นอนใหม่ ในตำราบอก ตื่นขึ้นมาถ้ามีอวัยวะปรกติดังที่วางไว้ตามเดิมนั่นละออกหากิน ถ้าเคลื่อนคลาดไม่ยอมออกหากิน นี่เป็นราชสีห์ที่เป็นตัวอย่าง ดังที่เขียนว่าสีหไสยา คือนอนแบบราชสีห์แปลแล้ว ไสยา นอน สีหไสยา นอนแบบราชสีห์ ท่านบอกไว้ในตำรา

พระสันตกายใครก็ว่าท่านเป็นอรหันต์ พอดีพระพุทธเจ้าเลยยกเรื่องพระสันตกายขึ้นประชุมเทศน์ในเย็นวันนั้น พระเลยสำเร็จอรหัตอรหันต์ตั้งมากมาย พระสันตกายองค์นั้นก็ได้สำเร็จกับพระทั้งหลาย แต่ก่อนท่านไม่สำเร็จ สำเร็จในกัณฑ์นั้นละกัณฑ์เทศน์ปรารภเรื่องของท่าน ที่พูดเรื่องท่านฟังเทศน์สำเร็จอรหัตอรหันต์นี้มาสมัยทุกวันนี้ พวกกองมูตรกองคูถกองส้วมกองถานมันไม่ยอมเชื่อ มันว่าเหลือเชื่อไปหมด มันจะเชื่อตั้งแต่พวกส้วมพวกถานว่าเป็นของดิบของดี ของเลิศของเลอ มันจึงเสกสรรปั้นยอกันขึ้น ก็ส้วมถานเสกขึ้นไปไหนมันก็เป็นส้วมเป็นถาน จะให้มันเลิศเลอไปที่ไหน มันก็ไม่คิดอย่างนี้ มันก็ว่าเลิศเลออย่างเดียวเท่านั้น

ทองคำธรรมชาติถึงจะเหยียบลงไปไหนก็เป็นทองคำ อยู่ใต้ดินก็เป็นทองคำ ธรรมชาติที่เลิศเลออยู่ไหนก็เลิศเลอ จิตใจถ้าลงมันได้ต่ำแล้วสิ่งใดเป็นของสูงมันเข้ากันไม่ได้ ถ้าอะไรเป็นของต่ำเข้ากันได้กับระดับจิตของคนต่ำทราม เข้ากันได้ๆ จิตของผู้ที่สูงด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วเข้ากันไม่ได้ มันต่างกัน เราดูจิตของเราตอนเราฝึกหัดเบื้องต้น ไม่ต้องเอาใครมาเทียบนะ ให้มันได้ระดับแต่ต้นจนกระทั่งถึงที่สุดของธรรมนะ เราจะลำดับจิตใจของเรากิริยาอาการ ความตะเกียกตะกาย ความพากความเพียรแทบล้มแทบตายไปโดยลำดับๆ ตั้งแต่ส่วนหยาบๆ ถึงละเอียด ละเอียดสุดไปเลย ดูร่องรอยของตัวเองมามันก็ทราบ

เวลาเราไม่เข้าอกเข้าใจอะไรมันก็ล้มลุกคลุกคลานไป ฝืน ฝืนเพื่ออรรถเพื่อธรรมฝืนไปเรื่อย มันฝืนตามนิสัยของกิเลสที่มันหนาไม่ยอมฟังเสียงใครนั่นแหละพาให้ฝืนนะ ครั้นฝึกไปๆ มันก็ค่อยยอม ยอมธรรม ยอมจำนนธรรม ต่อไปธรรมว่าอย่างไรเป็นไปตาม หิริโอตตัปปะติดใจๆ ไม่ฝืน เวลาได้อบรมเข้าไปจิตใจค่อยผ่องใส อะไรถูกนิดรู้ว่ามันเปื้อนสกปรก เช่นผ้าขาวถูกอะไรดำๆ ด่างๆ ติดปั๊บรู้ทันที ไม่เหมือนหลังหมี หลังหมีมันดำปื๋อ ใส่อะไรลงไปก็ดำ จิตใจที่ค่อยผ่องใสออกมาก็เหมือนผ้าขาว ดำๆ ด่างๆ ไปเสียก่อน ต่อไปซักเป็นผ้าขาวแล้วก็ขาวจั๊วะ อะไรถูกนิดรู้ทันทีๆ เลยจิตที่ฝึกแล้ว

จนกระทั่งถึงจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่ พอเข้าไปติดปั๊บตกผล็อยๆ ไม่ติด จิตที่บริสุทธิ์จริงๆ แล้วเหมือนน้ำตกลงใบบัว น้ำหยดลงบนใบบัวแล้วกลิ้งตกไปๆ คือน้ำก็ไม่มีเจตนาจะซึมซาบใบบัว ใบบัวก็ไม่มีเจตนาจะรับซึมซาบของน้ำ ต่างอันต่างเป็นอย่างนั้นของตัวเอง น้ำตกลงบนใบบัวก็กลิ้งตกไปๆ ท่านจึงแสดงไว้ในธรรมว่า กิเลสเกิดหรือตกไปในจิตพระอรหันต์ย่อมกลิ้งตกไปเองอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วก็มีปัญหาอันหนึ่งแทรกขึ้นมาว่า ก็เมื่อพระอรหันต์สิ้นกิเลสแล้ว แล้วกิเลสอะไรจะไปตกในจิตพระอรหันต์ พอให้กลิ้งตกไป

สังขาร สังขารเอามาใช้ชั่วระยะๆ ปั๊บ มันแสดงแปล๊บๆ ตกไปๆ เท่านั้นเอง ไม่ใช่จะเป็นกิเลสในใจจริงๆ กิริยาเหล่านี้เป็นสมมุติ สังขารกับสมมุติเข้ากันได้ เวลาแสดงนี้มันก็แสดงออกมาปั๊บตกไปๆ ก็อย่างนั้นเองจะมีอะไร บางรายก็เป็นปัญหาพระอรหันต์ว่าสิ้นกิเลสแล้วกิเลสจะตกในจิตพระอรหันต์แล้วตกไปได้อย่างไร ก็คือสังขารสมมุติที่นำมาใช้ ขันธ์เป็นสมมุติอยู่นี้ จิตท่านเป็นจิตที่บริสุทธิ์ แต่ขันธ์เป็นสมมุติ คิดปรุงออกมาก็ต้องเอาสมมุติมาใช้ นั่นแหละสมมุติที่แย็บๆ ออกมาตกไปๆ นั้นแหละที่ว่ากิเลสตกในจิตพระอรหันต์ย่อมกลิ้งตกไป มันตกไปพร้อมๆ กัน อย่างนั้นเอง

ดังที่ท่านแสดงไว้ว่า ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตเดิมเป็นจิตที่ผ่องใส แต่อาศัยกิเลสจรมา อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ ท่านแสดง จิตจึงเศร้าหมอง พวกมหาเปรียญเรียนธรรมะขั้นนี้เถียงกันตาดำตาแดง ว่าจิตผ่องใสแล้วมันเศร้าหมองได้อย่างไร ที่ว่า.ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว คือจิตเดิมมันผ่องใสแต่เพราะอาศัยกิเลสมาคลุกเคล้ามันก็เศร้าหมองไป ก็เมื่อมันผ่องใสแล้วมันเศร้าหมองได้อย่างไร มันตกไปได้อย่างไร มันเศร้าหมองเฉยๆ เวลาปฏิบัติถึงรู้

คำว่าเศร้าหมองกับความบริสุทธิ์มันต่างกัน พอขั้นบริสุทธิ์แล้วหมดปัญหา อันนี้เพียงผ่องใส ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว คือจิตผ่องใสเฉยๆ มันเศร้าหมองได้จิตผ่องใส ถ้าจิตบริสุทธิ์ไม่มีทางเศร้าหมอง เวลาเรียนนี้ก็เถียงกันตาดำตาแดง เราก็นักเถียงเหมือนกัน พอเราออกไปปฏิบัติแล้ว อ๋อ แน่ะ คือจิตผ่องใสกับจิตที่บริสุทธิ์มันต่างกัน มันผ่องใสมันเศร้าหมองได้ พอบริสุทธิ์แล้วหมดทางที่จะตำหนิติเตียนว่าเศร้าหมองผ่องใสอะไร เลยสมมุติไปแล้ว ต่างกันอย่างนั้นนะ

ปริยัติที่ท่านแสดงไว้ไม่มีผิดมีพลาดนะ มันผิดอยู่กับผู้ไปศึกษาเล่าเรียน ผิดอยู่ตรงนี้ เจตนาก็อยู่ที่ตรงนี้ ถ้าผู้นี้มีเจตนาที่ถูกต้องดีงามมุ่งต่อปริยัติที่ได้เรียนมาแล้วเอาปริยัติมากางเป็นแผนผัง เป็นแบบแปลนได้ ปลูกบ้านปลูกเรือนสำเร็จรูปจากแปลนได้ การเรียนก็สร้างมรรคผลนิพพานขึ้นจากแปลนได้ ถ้าตั้งใจปฏิบัติตามนั้นจริงๆ แต่เรียนมาเป็นนกขุนทองใช้ไม่ได้ แน่ะมันต่างกันนะ

ก็ดีอย่างหนึ่งที่ทางปริยัติเราก็ได้เรียนมา ทางภาคปฏิบัติเราก็เรียนมา มันจึงเทียบกันได้อย่างรวดเร็วนะ ปั๊บวิ่งใส่กันปั๊บๆๆๆ ถ้ามีแต่ปฏิบัติอย่างเดียวมันก็ตรงไปตรงมาเลย ข้อเปรียบเทียบปลีกย่อยไม่มี ถ้ามีปริยัติมีข้อปลีกย่อยเปรียบเทียบเป็นเครื่องประดับกันไปๆ เป็นสายทางจูงไปด้วย นั่นต่างกันนะ ปริยัติปฏิบัติดี ถ้ามีแต่ทางปฏิบัติมันตรงไปตรงมา

ได้พูดให้ฟังเสมอว่าพระอะไรที่วัดนรนาถ สมบัติ บุญเรือง เหรอ เราก็เอามาพูดเสมอ คือมันสะดุดใจอยู่ พระสมบัติ บุญเรือง ท่านไปเรียนนิพนธ์นิเพนที่ไหนมา ท่านมาออกทางทีวี บอกว่าท่านอาจารย์มหาบัวการเทศนาว่าการถูกต้องแม่นยำหาที่ต้องติไม่ได้ พร้อมกับข้อเปรียบเทียบเข้ากันได้สนิทๆ แต่ท่านเป็นนิสัยตลก แน่ะ ตรงไหนที่เป็นอย่างไรท่านก็เล่าให้ฟัง เพราะเราก็เคยตลก ตลกตั้งแต่ท่านยังไม่เกิด ตลกมาพอแล้ว อันนี้ก็ตลกอีก

ข้อเปรียบเทียบสำคัญมาก ปริยัติเป็นเครื่องประดับ เป็นสายระโยงระยาง เกี่ยวกันปริยัตินะ มันเหมือนสายโซ่ ระโยงระยางเกี่ยวเนื่องกันไป ถ้าสายปฏิบัติตัดขาดๆๆ ไปเรื่อย มีปริยัติเข้ามาก็เป็นสายเกี่ยวโยง เหมือนเขาร้อยพวงดอกไม้ดูน่าชม

(โรงพยาบาลแวงน้อยอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร มากราบขอความอนุเคราะห์หลวงตาสร้างอาคารผู้ป่วยใน ๖๐ เตียง สองชั้น งบประมาณ ๑๑,๕๔๙,๐๐๐ บาท) เงินนี้เงินเพื่อโลกจริงๆ ดังที่เราพูดชี้นิ้วไม่มีสอง เงินที่ได้มาทั้งหมดเพื่อโลกทั้งนั้น เราแบ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ทัน จะว่าหาเราก็ไม่หา มันหากมาๆ ให้ไม่ทันนะ ใครก็ทราบจุดใหญ่ก็คือวัดป่าบ้านตาดที่สละให้ทาน วัดทั้งหลายเราไม่ได้ประมาท เราเคยอยู่วัดราษฎร์วัดหลวงทั่วประเทศไทยอยู่หมด กรุงเทพฯ วัดไหนวัดใหญ่ขนาดไหนเราเคยไปอยู่หมดแล้ว ครั้นเวลามาเจอก็มาเจอวัดป่าบ้านตาดเป็นวัดนักเสียสละ มันก็ลงจุดนี้ ทำไมเขาจะไม่รู้ก็เราเป็นคนทำอยู่ทุกวี่ทุกวันเรายังรู้ได้ เขาทำไมจะไม่รู้ นี่ละเหตุผลกลไกเป็นอย่างนี้ มีเท่าไรออกหมด

แวงน้อยนี่เท่าไร (๑๑ ล้านครับ) แบบแปลนมีในนี้แล้วเหรอ (เขาใช้แบบแปลนของกระทรวงสาธารณสุข) ก็มีแต่เอาส่งมากระทรวงสาธารณสุข เอาเงินมาให้ไม่ให้ ส่งมาเท่าไรก็ได้ ส่งเป็นคันรถก็ได้ประสาแปลนใช่ไหม แต่เงินไม่ส่งมาให้มันสำเร็จประโยชน์อะไร เอาจริงนะเรากระทรวงไหนกระทรวงมาหาเราเหตุผลเท่านั้นฟัดกัน อย่างอื่นไม่มี เราไม่เคยกล้าเคยกลัวกับสิ่งใด หมอบถ้าเป็นเรื่องธรรม อะไรเป็นธรรมหมอบทันทีเลย ถ้าไม่ใช่ธรรมซัดตกฟากแม่น้ำโขง เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่นนะ ถ้าธรรมนี้หมอบทันทีเลยเรา ถ้าไม่ใช่ธรรมไม่หมอบ ดีไม่ดีฟาดตกแม่น้ำโขง คือธรรมนี้เหนือโลกจะไม่เคารพได้ยังไง คนเคารพธรรมเป็นคนเหนือโลกเป็นลำดับลำดา คนไม่เคารพธรรมคนอยู่ในนรกอเวจี

ลองถามเอกดูให้ไปพิจารณาดู ประมาณอาทิตย์หนึ่งให้ได้ความมาหาเรา เพื่อให้เป็นความแน่นอน หากเป็นที่แน่ใจแล้วควรจะสร้างให้เราก็จะสร้าง (ที่อำเภอเพ็ญช่างเอกพบกับหมอแล้ว นัดแบบแปลนมาดูเป็นเดือนแล้ว) อย่างนั้นให้พวกแวงน้อยก่อน ทางนู้นควรให้ก็เอาไม่ควรให้ไม่เอา เราตัดขาดสะบั้นไปเลยนะเพราะผิดเวล่ำเวลามานานแล้ว อำเภอเพ็ญเราก็ได้ว่าหมาวิชัยอยู่แล้ว เรายังอุตส่าห์พยายามบึกบึนให้มันอยู่นะ พวกที่เขามาขอตึกทำไมไม่ไปหาหมาวิชัย เขาก็แฮ่ๆ ไปก็ไม่ได้สักสตางค์ใช่ไหม มาหาเรามันได้นี่ มันก็มาหาเรา ทีนี้ทางนั้นช้า ทางนี้ให้ทางนี้ก่อน ทางนั้นควรให้ ไม่ควรให้ไม่ให้ ยากอะไรเรา มันเลยเขตเลยแดนมาแล้ว

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก