ต้องให้ได้พระนิพพาน
วันที่ 3 มิถุนายน 2550 เวลา 7:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

ต้องให้ได้พระนิพพาน

ก่อนจังหัน

เห็นผ้าอังสะพระเปียกหมดไปบิณฑบาตกลับมา ผ้าอังสะเปียกหมดเลย คือเหงื่อ ไปบิณฑบาตกลับมา ที่เราพูดอย่างนี้คือเราเคยเป็นแล้ว กำลังหนุ่มน้อยนี้ โอ๋ย เหงื่อ มานี่จีวรเปียกหมดเลย สังฆาฏิซ้อนกันเปียกเป็นอันดับสาม อันดับหนึ่งจริงๆ คืออังสะ เหมือนซัก อันดับสองจีวร คล้ายซัก อันดับสามสังฆาฏิ ส่วนสบงไม่ต้องพูด เปียกหมดเลย กำลังหนุ่มน้อยเหงื่อออกง่ายมาก

วันไหนนั่งตลอดรุ่งนี้ เรียกว่าเปียกหมดเลย สบง จีวร เหมือนซัก เปียก เหมือนเอาผ้าซักมาห่มเลย อันนั้นมันยางตาย นั่งภาวนาตลอดรุ่ง เอา ลองดูซิใครเก่ง นี่ผ่านมาหมดแล้วจึงพูดได้อย่างเต็มปากด้วยความกล้าหาญชาญชัยต่อมรรคผลนิพพาน เอา เป็นก็เป็น ตายก็ตาย บูชาพระนิพพาน ไม่อยู่ที่อื่น ไปพระนิพพานอย่างเดียว มันจึงรุนแรงความเพียรของเรา ที่เขียนในประวัตินั้นเราไม่อยากอ่าน ก็คนหนึ่งเก็บตามรอย คนหนึ่งเป็น มันจะเหมือนกันได้ยังไง ผู้ที่เขาไม่เคยอ่านเขาก็จะว่าเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดนะนั่น ตัวจริงจริงๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น โธ่ ถึงขั้นจะสลบก็มี นี่ก็เพราะอำนาจของใจ ใจมันรุนแรง พุ่งๆ

อย่างไรก็จะไม่ให้กลับมาเกิดอีกในชาตินี้ บอกตรงๆ เลย คือมันบอกตั้งแต่กิเลสยังเต็มหัวใจอยู่นะ คือความมุ่งมั่น อย่างไรจะต้องให้ได้พระนิพพาน เวลาไปฟังเทศน์ของหลวงปู่มั่นมาแล้วมันเพิ่มเอามากนะ แต่ก่อนความศรัทธาเลื่อมใสในพุทธศาสนา มรรคผลนิพพานก็มี อ่านตามตำรับตำราก็ท่านผู้สิ้นกิเลสนั่นละเทศน์สอนเอาไว้พระพุทธเจ้า มันก็ไม่สนิทใจ มันต้องให้พบสดๆ ร้อนๆ มันถึงถึงใจดี นี่ก็ไปเจอเอาพ่อแม่ครูจารย์มั่น มุ่งใส่ท่านเลยละ ใครจะมาปลดเปลื้องความสงสัยเราเรื่องมรรคผลนิพพาน เราจะมอบกายถวายตัวเลย แล้วเราก็จะเอาตายเข้าว่าให้ได้มรรคผลนิพพานนี่แรงนะ จิตมันรุนแรงมาก

เพราะฉะนั้นการอยู่การกินใช้สอย ไม่ได้มีอะไรมาเป็นอุปสรรค พอได้ยังชีวิตให้เป็นไปวันหนึ่งๆ ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเขาอยู่ภูเขา ได้ข้าวเปล่าๆ มาสองสามก้อน บ้านใหญ่ไม่อยู่เพราะอาหารการกินสมบูรณ์ ธรรมะจม ถ้าอาหารการกินบกพร่องๆ ธรรมะดีดๆ เพราะเราไปเราไปเพื่อธรรมะ เราไม่ได้ไปเพื่ออาหาร จึงต้องไปหาอยู่ที่ขาดแคลนกันดารในป่าในเขา เขาได้อะไรเขาก็ใส่ ส่วนมากมักจะมีแต่ข้าวเปล่าๆ มีข้าวเปล่าๆ เดินจงกรมตัวปลิวไปเลย ไม่ง่วง นั่งภาวนากลางคืนก็ไม่ง่วงถ้ามีแต่ข้าวเปล่าๆ ขึ้นอยู่กับกับ ถ้ากับแบบวัดป่าบ้านตาดนี้พระนี้ตายกันหมดเลย มีแต่อาหารดีๆ ตามโลกสมมุตินิยม แต่เลวสำหรับธรรมซี ถ้าอาหารดีๆ กินมากๆ แล้วง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจขี้คร้านมานั้นหมดเลย

อาหารกินลงไปมีแต่ข้าวเปล่าๆ ได้กับก็กับอย่างว่าแหละ มีน้ำพริกบ้างอะไรบ้างนี้ดีหน่อย คือจิตมันไม่ได้อยู่กับอันนี้ อยู่กับมรรคผลนิพพาน ถ้าอย่างนั้นแล้วเอาละที่นี่ เราคิดย้อนหลัง โถ เรามาเห็นพระเณรก็ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราก็ไม่ได้ยกตนข่มท่าน แต่เราดูนี้เราบังคับใจเรานะ ก็นิสัยวาสนาไม่เหมือนกัน ไปอย่างนั้นเสียมันก็ปล่อยลง ถ้าให้เป็นอย่างที่เราเป็น อู๋ย พระเหล่านี้อยู่กับเราไม่ได้นะ

พอพูดอย่างนี้แล้วก็คิดถึงท่านอาจารย์คำดี ท่านเทศน์สอนพระที่วัดถ้ำผาปู่ เราขบขันนะ พระละเล่าให้ฟัง ท่านเองท่านไม่ค่อยเล่า แต่พระองค์ไหนๆ เล่าให้ฟังทั้งนั้น การเทศน์นี่ต้องยกท่านอาจารย์ขึ้น คือท่านอาจารย์คำดีต้องยกเราขึ้น ไม่หลังเทศน์ก็ต้องก่อนเทศน์ พูดเรื่องปฏิปทา พระเหล่านี้ถ้าไปอยู่กับท่านมหาบัวนี้ไม่ได้พอ ๓ วันหรอก ถูกไล่เปิงไปหมดว่างั้น คือแต่ก่อนท่านดุเก่ง ความดุนี้ทำให้เสีย ท่านเลยพลิกใหม่ไม่ดุใครเลย แต่เราไม่ได้พลิกซีมีแต่จะเพิ่มเข้าเรื่อยๆ ความเด็ดความดุ ไปอยู่กับท่านมหาบัวพวกนี้ไม่ได้อยู่ถึง ๓ วันแหละ ถูกไล่จากวัดว่างั้น

ไม่ขึ้นต้นการเทศน์ก็ลงตอนปลาย ที่ว่ามันขบขันนะ ท่านพูดถึงเรื่องปฏิปทาของเรานำมาสอนพระ แล้วเด็ดด้วย อย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย พระเณรพอมองสายตาเท่านี้สลบไปแล้วนะ อย่ามาว่าตาฝ้าตาฟางอย่างทุกวันนี้เลย ตาแต่ก่อนไม่ได้เป็นอย่างนี้นะ สอดปั๊บๆ จี้เรื่อยๆ ก็กิเลสมันเก่งขนาดไหน ธรรมไม่เก่งไม่ทันกัน เอากันตรงนั้นนะ

นิมิตของท่านเก่งนะ ตอนนั้นเรามาจากห้วยทราย หลีกจากหมู่เพื่อนมาโดยถือเอามารดาเป็นเหตุ จะไปเยี่ยมมารดา ถ้าไปธรรมดาไม่ได้พระรุม จะไปเยี่ยมมารดาก่อน ใครก็มาด้วยไม่ได้ ก็ไปเยี่ยมมารดาจะไปหาวิเวกที่ไหน มันก็รอดได้ๆ มานี้ก็ให้เขาไปตีตั๋วให้ ไปพักอยู่กับมารดาเพียง ๒ คืนพอเป็นพิธี ออกจากนั้นไปเลยไปขอนแก่น ไปวัดศรีฐานแหละ ทุกวันนี้มันเป็นกลางหมู่บ้านแล้วแหละ ท่านได้นิมิตแล้วนะนั่นท่านอาจารย์คำดี ได้นิมิตแล้ว

ตื่นเช้าขึ้นมา เอ้อ เราจะได้พบพระองค์สำคัญในเร็วๆ นี้ว่างั้น แล้วก็จัดพระให้ไปเฝ้าศาลา เผื่อเวลาพระกรรมฐานมาอย่าให้ท่านไปไหน ต้องได้พบเราเสียก่อน หมายถึงพระกรรมฐาน เราจะได้พบพระองค์สำคัญๆ ท่านบอกสำคัญๆ ในเร็วๆ นี้ ได้สักสองคืนเราก็โผล่ไป ให้พระมารักษาศาลา เราก็ดูศาลา หรือท่านจะเอาเรื่องให้พระมารักษาศาลานั้นด้วยอาศัยเหตุอื่น เราก็ดในศาลามีสาระแก่นสารอะไร ดูกระโถนก็เป็นกระบอกไม้ไผ่ตัดครึ่งๆ แล้วดูไปที่ไหนก็ไม่เห็นมีสาระ โอ คงจะเป็นความจริง ท่านให้มาเฝ้าศาลาเพื่อจะพบเห็นพระจริงๆ

พอดีเราไปองค์เดียวเสียด้วย ก็หลีกจากหมู่เพื่อนหาความสบาย พอเราไปพระท่านก็เล่าให้ฟังตามเรื่องราวที่ท่านได้นิมิต สั่งพระมาเฝ้าศาลา นิมิตของท่านเก่งนะ คือสั่งพระมาเฝ้าศาลาเพื่อจะได้พบพระองค์สำคัญ แต่ไม่ทราบว่าองค์ไหนสำคัญ จะได้พบอยู่เร็วๆ นี้ ทีนี้ก็มาสรุปละที่นี่ พอพบกันแล้วก็คุยกัน ตอนเช้าเคยเล่าให้ฟังแล้วนะ ตอนเช้าละตอนสำคัญมาก เรานั่งอยู่ หูเราก็ดี ท่านนั่งอยู่นี้ พอพระเอาปิ่นโตอะไรเข้ามา ต้องมาหัวหน้าก่อนใช่ไหม หัวหน้าตักแล้วถึงเอาไปแจก พอพระองค์ไหนก้มเข้ามาใกล้ๆ เสือนั่นรู้ไหม ท่านบอก เสือนั่นรู้ไหม ท่านกระซิบนะ องค์ไหนเข้ามานี้ รู้ไหมเสือนั่น ขบขันจะตาย เสือนะนั่น องค์ไหนเข้ามาใกล้ๆ เสือนะนั่นรู้ไหม

ทีนี้เราก็หูดี ท่านกระซิบองค์ไหนเราก็ได้ยินทุกคำ พระพอออกจากนี้ไปเรียบนะ เรียบๆ พอวันหลังมานี่เรียบหมดวัดเลย แสดงว่าท่านปล่อยตามเรื่อง เพราะท่านไม่ดุนั่นเอง พอเห็นเราท่านว่าเสือนะนั่น ระวังให้ดี ขนขันดี นี่ละการพาหมู่เพื่อนปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างนี้ เด็ด เฉียบขาด เฉพาะตัวเองยิ่งแล้ว มาหาหมู่เพื่อนมันก็เป็นเรือพ่วงๆ ไปเสีย ถึงอย่างไรมันก็เด็ดของมัน เพราะฉะนั้นท่านถึงได้อ้างขึ้นมาเรื่อยๆ นี่ถ้าไปอยู่กับท่านมหาบัวไม่ถึง ๓ วันนะ ถูกไล่หมด คือท่านไม่ดุเลย นี่ละความเด็ด การประพฤติปฏิบัติ

อย่างทุกวันนี้ธาตุขันธ์แก่ชราคร่ำคร่าก็ตาม แต่จิตใจสติปัญญา ธรรมทั้งหลายอยู่ในหัวใจไม่ได้มีวัยนะ มองแพล็บๆ มันรู้ตลอดเวลา แต่หลับตาเอา แบบหลับตาเอา อยู่แบบทุกวันนี้อยู่แบบหลับตา ไปเซ่อๆ ซ่าๆ ไป แต่สติปัญญาหลักธรรมชาติอยู่ภายในจิตนี้ไม่ได้เป็นนะ พูดให้ฟังชัดๆ เสีย แพล็บๆ รอบตลอดเวลา นี้คือหลักธรรมชาติของจิตที่ได้ฝึกให้เต็มที่แล้ว เป็นหลักธรรมชาติแล้ว ไม่มีคำว่าจะอ่อนตัว รอบอยู่ตลอดเวลา ร่างกายจะคลานไปก็ตาม แต่จิตไม่มีวัย ธรรมไม่มีวัย หมุนติ้วๆ ท่านทั้งหลายจำเอา

ธรรมเข้าในหัวใจใดเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ จะไม่กราบท่านได้ลงคอยังไง เลิศเลอขนาดไหนธรรมดวงนี้เข้าสู่หัวใจใด หัวใจนั้นเป็นอย่างนั้นละ ของง่ายๆ เมื่อไร ท่านฝึกมาแทบเป็นแทบตาย นี้เพียงตัวเท่าหนูก็ได้มาเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง ยังพูดอวดหมู่เพื่อนได้ด้วย ปฏิปทาที่ดำเนินมานี้กับเราดำเนินมาแต่ก่อนเป็นยังไงว่างั้นเถอะ อวดได้เลย เอาจริงเอาจังทุกอย่าง ไม่งั้นไม่ได้กิเลส ถึงได้รู้ว่ากิเลสนี้แหลมคมมาก ใครยังไม่ได้รบกับกิเลสอย่าด่วนพูดอวดนะว่า การงานของเราหนักแน่นๆ อย่ามาพูด ถ้าไม่ได้ฟัดกับกิเลสเสียก่อน ตัวครอบโลกธาตุคือกิเลส ไม่ฉลาดแหลมคมมันจะครอบหัวใจสัตว์โลกให้ตายกองกันอยู่ได้ยังไง ธรรมเท่านั้นจะปัดมันออกได้ ธรรมต้องฟิตให้เหนือกิเลสซิ ธรรมฟิตเหนือกิเลสมันต้องมีลวดมีลายตลอดเวลา อยู่ที่ไหนอย่างน้อยสติติดแนบๆ จากนั้นก็ปัญญาออกเป็นระยะๆ  พระเราทั้งหลายให้ตั้งอกตั้งใจนะ มานี้มาเพื่อเปิดโอกาสให้พระเรา เราไม่ได้ไปแตะต้องพระนะ

การทำการทำงานนั้นๆ นี้ๆ จุ๊บๆ จิ๊บๆ อย่ามาทำให้เห็นนะ เราไม่เคยส่งเสริมมาแต่ไหนแต่ไรเรื่องวัตถุ เป็นการทำลายศาสนาสำหรับวงกรรมฐานผู้ปฏิบัติภาวนา งานการนั้นๆ นี้ๆ เป็นข้าศึกนะ ผู้ปฏิบัติภาวนาอย่าเอาอะไรมายุ่ง ยุ่งอะไร ทำโน้นแล้วไปทำนี้ ทำนั้นทำนี้ไม่ได้นะ นี่พูดจริงๆ ไม่ทำ นี่เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่ออกปฏิบัติมางานอะไรมายุ่งไม่ได้ ไปก็ไปองค์เดียวเสียด้วย พ่อแม่ครูจารย์ยิ่งชมเชยยิ่งเสริมอีกด้วย ท่านว่าจะไปกี่องค์ ไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันทีเลย ท่านมหาไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ นั่น นี่เป็นองค์หนึ่งอย่างนี้

ทีนี้อีกประเภทหนึ่งเข้ามาลาไปเที่ยว เหอ ขึ้นเลยนะ ตั้งแต่อยู่ในวัดมันก็ตกนรกให้เห็นต่อหน้าต่อตา แล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีก ใครจะตามทันตามเห็นล่ะ นั่นเห็นไหมล่ะ พระประเภทนี้มี ก็ดูจะปรากฏแต่เรา เราก็ไม่เคยได้ยินจากผู้ใด พูดอย่างแบบที่ท่านพูด พอว่าจะไปองค์เดียวเท่านั้นท่านขึ้นทันที เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ นั่นบอกแล้ว เพราะท่านเห็นความตั้งใจของเรา อยู่กับหมู่กับเพื่อนท่านก็ดูตลอดเวลา เราไม่ได้นอนใจนะอยู่กับหมู่กับเพื่อน เพื่อพ่อแม่ครูจารย์ท่านอยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร อย่าให้อะไรระเกะระกะสายหูสายตาให้เป็นที่หนักใจ ทีนี้เราก็ต้องคอยดูสอดส่องพระเณรตลอด

เวลาเราจะลาท่านไปไหนนี้ โถ ดูลักษณะท่านจะเปลี่ยนทันทีนะ มีอาการเปลี่ยน คือท่านไม่อยากให้ไป ถ้าไปแล้วเรื่องพระในวัดระเกะระกะ แต่ท่านเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเรา ท่านก็เปิดให้ๆ ไปเป็นระยะๆ ไปก็จริงจังด้วย ที่เป็นพยานก็คือท่านมหาต้องไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่าน ท่านเห็นตอนกลับมา หนังห่อกระดูกไม่มีเนื้อละ อายุ ๓๐ สามสิบกว่า ไม่มีเนื้อติดตัว หนุ่มๆ ขนาดนั้นละ คือการฝึกทรมานนั่นเอง มาทีไรมีแต่หนังห่อกระดูกๆ ท่านดูอยู่ทุกระยะ แม้แต่อยู่ในวัดก็เหมือนกัน เราไม่ได้ฉันจังหันอิ่มนะ บิณฑบาตเราไม่เอาของที่เขาตามมาถวายจากในบ้าน แต่ไม่ให้ใครทราบ สำหรับท่านทราบจนได้ เห็นไหมล่ะ

บิณฑบาตกลับมาแล้ว มีอะไรจัดเสร็จปั๊บๆ ซุกเข้าฝาไปจัดอาหารให้ท่าน เราเอานิดๆ พอ สำหรับพระในวัดจะไม่มีใครสนใจ ไม่ค่อยมีใครรู้ละ นอกจากจะรู้ที่ว่า ห้ามใส่บาตรเราเป็นอันขาด ใครจะไปใส่บาตรเราไม่ได้ เด็ดขาดมากนะ พ่อแม่ครูจารย์นานๆ ท่านใส่ทีหนึ่ง ถ้าเป็นเรื่องท่านใส่แล้ว ท่านจอมปราชญ์ เราจอมโง่ ยอมรับ ถ้าท่านใส่บาตรแล้วต้องฉันอันนั้นละ ถ้าไม่ใช่ของท่านใครมาใส่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระจึงกลัวเราเหมือนเสือ อยู่หนองผือก็ดี กลัว ไม่กลัวยังไงจิตใจของเราเป็นธรรมตลอด

ไม่ใช่ดุๆ ด่าๆ แบบสัตว์แบบเสือแบบยักษ์แบบผีนะ ดุเด็ดด้วยอรรถด้วยธรรมต่างหาก พระจะไม่เคารพได้ยังไง พระในวัดเช่นอย่างวัดหนองผือนี้กลัวมากสำหรับเรา รองพ่อแม่ครูจารย์ลงมา แต่ที่จะกลัวมากจริงๆ ประจำก็คือกลัวเรา ท่านอยู่กุฏิท่านไม่มีอะไร แต่เราไปสอดไปแทรกอย่างนั้นตลอดเวลา นี่ละการอยู่กับหมู่กับเพื่อนเราก็หนัก เพราะบางรายมันเหมือนขอนซุงไม่ได้เรื่องได้ราว อืดๆ อาดๆ เนือยนาย ดูไม่ได้นะเรา

ฟังซิพระในวัดนี้เป็นยังไง ที่พูดเหล่านี้พูดให้ใครฟัง ให้พากันพินิจพิจารณานะ นี่ละการปกครอง ปกครองตัวเองก็เข้มงวดกวดขันอย่างที่ว่า บิณฑบาตได้เท่าไรมาในบาตรเท่านั้นพอ หยิบใส่นิดๆ พอ ไปซ่อนไว้ต้นเสาบ้าง ฝาบ้าง ใครมาแตะไม่ได้นะ นานๆ ท่านมาใส่บาตรทีหนึ่ง เวลาท่านจะใส่ ก็ของเรานั่นแหละจัดถวายท่าน พอถึงเวลาจวนจะฉันแล้ว ท่านจัดไว้แล้ว ปุ๊บปั๊บถึงแล้วนะ เปิดฝาบาตร เอ้า ขอใส่บาตรๆ ตาแหลมคมมากนะ เป็นอย่างนั้นละพ่อแม่ครูจารย์ ท่านจดจ้องกับเราตลอดเวลา

บางทีอยู่เฉยๆ ไม่ใช่คุย พูดตามความจริง พระขึ้นไปหาท่านตอนบ่ายๆ เราก็อยู่กับท่านนั่นแหละ หากทำไมจึงพูดอย่างนี้ขึ้นมา มีเหตุอันหนึ่งอันใดที่เป็นเครื่องสะดุดใจให้เกี่ยวกับเราจนได้นั่นแหละ คุยกันไปๆ อยู่ดีๆ ท่านมหาไปไหน แน่ะ อยู่เฉยๆ ท่านมหาไปไหน บอกว่าท่านอยู่วัดนี่แหละ ท่านก็เงียบไปเสีย จิตของท่านคงจะมาประหวัดๆ กับเรา เป็นอย่างนั้นพ่อแม่ครูจารย์มั่น

โถ จอมปราชญ์กับจอมโง่ เราจอมโง่ท่านจอมปราชญ์ ต้องฟิตตัวให้ทัน การเกี่ยวกับเรื่องอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ดูแลพระเณรด้วยและดูแลท่านด้วย คอยแนะเพื่อนฝูงที่เข้าไปปฏิบัติต่อท่านด้วย เราต้องได้แนะทุกรายๆ ก่อนจะเข้าหาท่านติดสนิท เอาเครื่องบริขารใช้สอยอะไรของท่านมาซักมาฟอก เราต้องติดแนบตลอดเวลา ขนาดนั้นนะ อย่างเซ่อๆ ซ่าๆ อย่างนี้ตายเลย นี่เราปล่อย พอดีเราก็ยกให้ข้อวัตรปฏิบัติรวมกันในวัดในวา ให้เป็นความพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พระในวัดนี้ก็ทำได้ดีเราก็ไม่ต้องติ เราจึงปล่อยไปหาทางนี้เสีย เรื่องของเราเราไม่ให้มาเกี่ยว

บางทีมันอาจจะลืมตัวก็ได้พระ เหมือนจะมาเป็นอิสระอิสโรอยู่นี้ ไม่มีครูมีอาจารย์ อาจริโย เม ไม่มีก็ได้ มันนอนใจ คือเราทิ้งงานนี้ให้ทำอย่างนั้นแทนเรา ส่วนตัวของเรานิสัยเป็นอย่างนี้ไม่ให้ใครมายุ่งง่ายๆ แหละ เป็นปรกติอยู่คนเดียวๆ อย่างนี้ตลอดแต่ไหนแต่ไรมาจนกระทั่งป่านนี้ ใครไปยุ่งไม่ได้นะ อยู่ในกุฏิมันเป็นอารมณ์อันเดียว พูดให้ฟังชัดๆ เสียพี่น้องทั้งหลาย จิตนี้อยู่คนเดียวยิ่งจ้า ถ้าอยู่กับหมู่กับเพื่อนมันก็มีกิริยาออกไปเกี่ยวกับนั่นกับนี่ ถ้าอยู่คนเดียวจริงๆ แท้ๆ มันจ้าครอบโลกธาตุ ฟังเสียนะ มันจวนจะตายแล้วเปิดให้ฟังเสีย คิดว่าเราสอนโลกหลอกๆ ลวงๆ เหรอ เรารอดตายมามาสอนโลก ทีนี้ธรรมได้มามากน้อยก็ถอดออกมาสอนโลก พระเป็นอันดับหนึ่งได้ฟังบนศาลานี่ ยอดธรรมทั้งนั้นละมาสอน ผึงๆ เลย ทุกวันนี้มันกลายเป็นแกงหม้อใหญ่ แกงหม้อเล็กอย่างนั้นไม่ค่อยได้ฟัง แกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วพระบนศาลาจะได้ฟังก่อนเพื่อน

แต่ก่อนไม่มีใครมาเกี่ยวข้อง เทศน์สอนพระฟัดลงเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ เลย นั่นละคนที่เขาได้ไปฟังว่าธรรมะเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ก็คือเราเทศน์สอนพระล้วนๆ ออกมานี่แล้วสะเปะสะปะ ครั้นจะตีแรงก็หัวเด็กมันมีอยู่นั้น แล้วหัวคนแก่อยู่ข้างๆ นั้น หัวอันธพาลมันก็หลบซ่อนได้ละซีใช่ไหมล่ะ  ครั้นจะตีแรงก็จะถูกหัวเด็กถูกหัวคนแก่ หัวอันธพาลมันก็หลบซ่อนอยู่นั้นมันก็ตีไม่ถูกเข้าใจไหมล่ะ นี่ละแกงหม้อใหญ่ พากันจำเอานะทุกคนๆ

การปฏิบัติธรรมะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย โธ่ กว่าจะได้มาสั่งสอนหมู่เพื่อน เราก็ไม่เคยได้คิดว่าจะได้มาสั่งสอนหมู่เพื่อน มันหากเป็นไปเอง ไม่เคยสนใจกับใครที่จะมาสั่งสอนหมู่เพื่อน จนกระทั่งนำพี่น้องทั้งหลายช่วยชาติบ้านเมืองเราก็ไม่เคยคิด แต่เหตุจำเป็นมันหากมา มาแล้วก็ต้องได้ออกรับๆ จนกระทั่งทุกวันนี้เห็นไหม มันก็เลยเป็นการช่วยชาติบ้านเมืองอยู่ตลอดมาอย่างนี้แหละ เราเคยคิดเมื่อไร ไม่เคยคิด

เราช่วยชาติ ผลแห่งการช่วยชาติก็เห็นแล้วใช่ไหมล่ะ ทองคำเราได้ตั้ง ๑๑ ตัน กำลังถึง ๕๐๐ กิโล ๑๑,๕๐๐ กิโลเข้าคลังหลวงเป็นของง่ายเหรอ (๕๐๕ แล้วเจ้าค่ะ) นั่น ได้ ๑๑,๕๐๕ กิโลแล้ว นี่ละที่เรานำช่วยชาติ เราก็ไม่เคยได้คิดว่าเราจะได้นำอย่างนี้นะ มันหากเป็นเอง จะเป็นนิสัยหรือวาสนาอะไรเกี่ยวโยงกัน อันนี้เราไม่ปฏิเสธ มันเกี่ยวโยงกันยังไงมันก็มาตามสายเกี่ยวโยงๆ ว่าอะไรก็ฟัง ว่าอะไรก็เชื่อถือ การงานก็เจริญขึ้นๆ มันก็เป็นไปได้อย่างที่ว่านี่

ทองคำก็ได้ตั้ง ๑๑,๕๐๕ กิโล แล้วดอลลาร์ที่เข้าคลังหลวงแล้ว ๑๐ ล้าน ๒ แสนกว่าดอลล์ สำหรับทองคำแต่ต้นจนอวสานจะรั่วไหลไปไหนไม่ได้เลย เข้าคลังหลวงล้วนๆ ส่วนดอลลาร์แยกดังที่เคยเล่าแล้ว เพราะเงินไทยเราที่เราหยุดการเทศน์ รายได้ที่จะนำมาช่วยชาติก็ร่อยหรอลงๆ  แต่คนจนทั่วประเทศไทยเราที่เข้ามารุมกับเรา เห็นทุกวันมิใช่เหรอ คนนั้นขอนั้นคนนี้ขอนี้ ก็ต้องได้แยกได้แจก ทีนี้เงินไทยไม่พอก็ต้องไปเอาดอลลาร์มาช่วยกันหนุนช่วยโลกเรา

เราก็ไม่ได้คิดว่าเราจะช่วยชาติบ้านเมืองแต่มันก็เป็น เห็นไหมล่ะ การเทศน์ก็เหมือนกัน เทศน์ให้ใครฟัง ตั้งแต่ออกปฏิบัติมาแล้วไม่เทศน์ให้ใครฟังเลย เขาบอกว่าเขาไม่เชื่อ เขานิมนต์ไปเทศน์ โอ๋ย อาตมาเทศน์ไม่เป็น อู๊ย ลงเป็นมหาแล้วใครจะไปเชื่อ แน่ะ คำว่ามหามันฆ่าตัวได้นะ ตกลงก็ได้เทศน์ให้เขา เวลาจำเป็นเช่นเราไปเที่ยว ไปพักอยู่นอกบ้านเขา เขามีงานในวัด เขาก็ไปเอาเรามาเทศน์ เราบอกเราเทศน์ไม่เป็น อู๊ย อย่าพูดเลยลงเป็นถึงขั้นมหาแล้ว ยังแต่ว่าอย่าโกหกเท่านั้นเอง เขาก็ถือเป็นความถ่อมตนของเราไปเสีย นานๆ เทศน์ทีหนึ่งๆ นี่เราไม่เคยจะสนใจเทศน์กับใคร การปฏิบัติของตัวเองเทศน์สอนเจ้าของ จนถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ มหาสติมหาปัญญา เทศน์สอนเจ้าของจนเป็นสติปัญญาอัตโนมัติและมหาสติมหาปัญญา ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไป เพราะเจ้าของสอนเจ้าของ

เรียนปริยัติมาแล้วไม่สอนใครนะ ท่านจะให้เป็นครูสอนพวกนักธรรมพวกบาลี ก็ถึงขั้นมหาแล้วมันก็สอนได้หมดละซี ไม่เอา ไม่เอาเลย จะสอนตัวเองบอกอย่างนี้ เราก็สอนตัวเองมาตลอด พอออกจากการเรียนแล้วเข้าป่า ทีนี้สอนแต่ตัวเองเรื่อย จนกระทั่งออกจากป่าจากเขามาแล้ว เห็นไหมสอนใครบ้างดูซิ เต็มอยู่ที่ศาลานี้ พูดอยู่เดี๋ยวนี้มันก็ออกทั่วประเทศไทยแล้ว สอนใครออกทั่วประเทศไทย นั่นฟังซิ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ

มันจะเกี่ยวกับเรื่องนิสัยวาสนาอะไรก็ไม่รู้ เราก็ไม่ได้คิดว่าจะเทศน์สอนใครละ มีแต่เทศน์สอนเจ้าของให้เต็มภูมิ กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วเราเป็นที่พอใจ ทีนี้กิเลสขาดลงไปแล้วมันก็ยังได้สอนอยู่นี่ละ พูดตรงๆ กิเลสมันขาดสะบั้นไปแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ พูดให้ชัดเจน ผลของดีของเลิศของเลอนำมาพูดให้โลกฟังพูดไม่ได้มีหรือ ไม่งั้นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ได้ ออกมาพูดว่าได้ตรัสรู้แล้วก็ขัดกับพวกเปรตพวกผีพวกปากอมขี้เข้าใจไหม พูดเรื่องเป็นศาสดาไม่ได้ สอนธรรมสอนโลกสอนไม่ได้ แต่นี้ทำไมศาสดาเอกจึงปรากฏมาจนกระทั่งป่านนี้ ก็เพราะสอนได้พูดได้ใช่ไหมล่ะ

สาวกเราถือเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ อยู่ทุกวันนี้ ทำไมเราจึงกราบท่านลงคอ ก็เพราะท่านรู้ท่านเห็นท่านสอนได้พูดได้ ธรรมะเป็นของเลิศเลอพูดไม่ได้มีเหรอ ตั้งแต่ขี้อยู่ในปากมันยังอมออกมาพ่นได้ เข้าใจไหมพวกปากอมขี้มีเยอะนะ ถ้าพูดของดิบของดีมันไม่ฟัง ถ้าพูดเรื่องปากอมขี้ โอ๊ย สมัครไปเลย เขียนใบสมัคร พวกนี้เขียนใบสมัครเสร็จแล้วยังปากอมขี้ พูดตั้งแต่เรื่องสกปรกรกรุงรัง อมอรรถอมธรรมไม่ได้เอามาพูดนะ มีแต่ปากอมขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เต็มไปหมดในปากคนในหัวใจคน ส่วนในหัวใจจริงๆ จะมีอรรถมีธรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ เจริญภาวนานี้ไม่ค่อยมีนะ หัวใจใดก็ตาม มันฟังหรือไม่เดี๋ยวนี้น่ะที่เทศน์ หรือเป็นบ้าผู้เดียวแต่หลวงตาบัวเหรอ

ท่านพฤกษ์ฟังเสียบ้างนะ เวลานี้เขาโจมตีท่าน สกุลท่านพฤกษ์เป็นสกุลที่มั่งคั่งสมบูรณ์ เต็มไปด้วยศีลด้วยธรรมอยู่สกุลนี้ จ.ชลบุรี คุณแม่บังอร สกุลนี้เป็นสกุลมั่งคั่งสมบูรณ์ สกุลที่มีศรัทธายกให้สกุลนี้ เวลานี้ถูกเขาโจมตี เขาเขียนจม.มาฟ้องร้องหลวงตา พระพฤกษ์ให้ฟังเสียนะอยู่เมืองชลน่ะ เขากำลังโจมตีทุกแง่ทุกมุม หาว่าพระพฤกษ์เอาเงินสงฆ์ ในเขาเขียวมีเงินสักกี่สตางค์เมื่อไร ท่านพฤกษ์นี่อยู่เขาเขียว ขวนขวายแต่อรรถแต่ธรรมทั้งนั้น เราไปดูแล้วกุฏิท่านในป่าของท่าน เราได้ชม เอ้อ เหมาะแล้ว เขาเขียวนี้เหมาะแล้วในการภาวนา เราว่างั้น มันก็เอาคำที่เราชมเชยท่านพฤกษ์ไปโจมตีท่านพฤกษ์อีก โจมตีเราอีก ครั้นโจมตีเรา เราให้มันยกมาทั้งโคตรก็ยกมาเถอะมาโจมตีเรา โคตรเราก็มีโคตรเราก็จะยกมาโจมตี

นี่เขากำลังทำลายท่านพฤกษ์แล้วก็อาจารย์ใช่ วัดเขาฉลาก เมืองชล เกี่ยวกับเราเข้าไปด้วย ถ้าเราออกตรงไหนเขาจะตามโจมตี คือเราพูดชมเชยองค์ไหน เขาจะโจมตีเราโจมตีผู้นั้นๆ ทีนี้เมืองชลหรือใครก็ไม่ทราบเขาโทรศัพท์ถึงกันฟ้องร้องท่านพฤกษ์ ท่านพฤกษ์ให้ทราบเสียนะ อันนี้ปากอมขี้อย่าไปสนใจ ปากอมธรรมที่ชักชวนเพื่อนฝูงทำบุญให้ทานนั้นดีเป็นปากอมธรรม ให้สั่งสมอันนี้ให้ดี ปากอมขี้มันไปโจมตีช่างหัวมันเถอะ มันจะพูดทั้งโคตรก็ช่างหัวมันเถอะ เรามีโคตรเราอย่าฟังถ้าไม่อยากสกปรกหูของคนทั้งโคตร เข้าใจไหม นี่ท่านพฤกษ์เป็นลูกศิษย์จึงเตือนให้รู้

พวกนี้มันไม่หาของดี หาแต่ของชั่ว คนหนึ่งหาของดีมันไปโจมตี คนชั่วทำดีไม่มีทำดีไม่ได้ ต้องทำแต่ชั่วได้ พวกนิสัยปากอมขี้เป็นอย่างนั้น นี่เตือนท่านพฤกษ์ไป อย่าสนใจนะ หลวงตาบัวไม่พาสนใจอย่างนี้ไม่ให้สนใจ ให้สนใจการทำบุญให้ทาน จิตตภาวนา เราพอใจมาก พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการสร้างความดี ไม่ได้ตรัสรู้ด้วยปากอมขี้ พากันจำเอา

ท่านพฤกษ์จำไว้นะ เขากำลังโจมตี เอาหลวงตาไปขวางหน้าไว้เลย หลวงตาให้มันยกมาทั้ง ๓ โคตร กามโคตร รูปโคตร อรูปโคตร ก็มาเถอะมาโจมตีหลวงตาบัว หลวงตาบัวจะกินเฉย ตดปึ๋งๆ ถ้าปวดตดนะ อ้าว จริงๆ เราไม่มีอะไรกับโลกนี่ พูดได้เต็มปาก เหนือหมดแล้ว

หลังจังหัน

         (หลวงตาครับ แม่บังอร ชลบุรี ถวายน้ำตาล ๑๑๔ กระสอบๆ ละ ๕๐ กิโลกรัม) นี่ละผู้ที่สกุลที่ถูกเขาโจมตีอยู่เวลานี้ สกุลคุณแม่บังอร สามีเป็นจีน ลูกเต้าก็มี ๒-๓ คน ท่านพฤกษ์คนหนึ่ง แล้วดอกเตอร์อะไร น่าจะมีเท่านั้น นี่สกุลที่ใจบุญ ใจบุญมากจริงๆ ถึงไหนถึงกันสกุลนี้ นี่ที่เขาฟ้อง ปากอมขี้เขาไปฟ้องท่านพฤกษ์ที่อยู่วัดเขาเขียว คือเราไปชมสถานที่นี่เหมาะสมอย่างนั้นอย่างนี้ เขาไปโจมตีตรงนั้น ว่าแต่หลวงตาพูดชมที่ไหนเขาจะตามโจมตี เขาบอกอย่างนั้น หลวงตาไปพูดที่ตรงไหน ถ้าเกี่ยวกับหลวงตานี้จะต้องถูกโจมตีๆ เขาว่า เป็นอย่างนั้นละ นี่ก็บังอรถวายน้ำตาล ๕๐ กิโล ๑๑๔ กระสอบ ชลบุรี นี่ละคุณแม่บังอรที่พูดถึงตะกี้นี้ ที่ถูกเขาโจมตีทั้งแม่ทั้งลูก ลูกมาโผล่ขึ้นวัดป่าบ้านตาด แม่โผล่ขึ้นวัดป่าบ้านตาด พวกนั้นโผล่ลงไปนรก เข้าใจไหม

คณะสงฆ์ ญาติธรรม สวนป่ากู่ทองโพธิญาณ อำเภอเชียงยืน จังหวัดมหาสารคาม ถวายปัจจัย ๑๐๕,๐๐๐ บาท ทองคำ ๙ บาท ๕๐ สตางค์ เอาสาธุพร้อมกัน ดีละ ต่างคนต่างช่วยกันอย่างนี้ บ้านเมืองเราจะแน่นหนามั่นคงขึ้น ตั้งแต่ออกช่วยชาติ พี่น้องทั้งหลายพร้อมหน้ากันช่วยชาตินี้ ทองคำเราได้เข้าคลังหลวงตั้ง ๑๑ ตันกับ ๕๐๐ กิโลกว่า ตั้งแต่เริ่มช่วยชาติมานี้ได้ทองคำเป็นชิ้นเป็นอัน ได้ ๑๑,๕๐๕ กิโล ทองคำล้วนๆ นะ เข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้ว

ไปกรุงเทพคราวนี้ดูก็มีเทศน์ที่นั่นที่นี่หลายแห่งเหมือนกัน ไปกรุงเทพคราวข้างหน้า คือไปคราวนี้กลับมาเข้าพรรษา ตามปรกติที่เราไปก็ไประยะนี้ ก่อนพรรษา กลับมาก็เข้าพรรษา แล้วก็ธันวา มกรา เดือนเมษาหรืออะไรนั้นหนึ่ง จะเข้าพรรษาหนหนึ่ง เมื่อเช้านี้ดูเหมือนพูดธรรมะบ้างก่อนจังหัน อย่างนั้นละเวลามันจะเป็น ปุบปับเอาเลย ไม่ต้องยกครู ขึ้นไปต่อยเลย สู้เขาไม่ได้ตกเวทีแล้วไปเลย ธาตุขันธ์มันก็มีของมันอยู่นั้น เป็นหวัดคราวนี้สองอาทิตย์ยังไม่หายนะ หวัดธรรมดามันก็อาทิตย์เดียวหายๆ อันนี้เป็นหวัดคนแก่ สองอาทิตย์แล้วยังไม่หาย ขากเสลดเหนียวเหมือนตังเม

วันนี้วันอาทิตย์เหรอ วันอาทิตย์นี้เป็นวันหยุดราชการ ถ้าวันราชการเราไป จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ ๕ วันนี้ไปโรงพยาบาลต่างๆ เอาของไปมอบให้โรงนั้นโรงนี้ พร้อมกับเงินสองหมื่นบาททุกโรงไป วันนี้วันอาทิตย์ไม่ได้ไปละ.ระยะนี้เราเพลียมาก ตั้งแต่เป็นไข้หวัดมาเรื่อยๆ มันหากมีอะไรแทรกๆ อยู่เรื่อย มันไม่มีแต่ไข้หวัดอย่างเดียว มีโรคอะไรแทรกๆ มันจึงหายได้ยาก สองอาทิตย์กว่าแล้วยังไม่หาย ว่าไข้หวัดๆ จะจามจะไอจริงจังก็ไม่เห็นมีเท่าไร หากมีแต่ไม่มาก ส่วนที่เป็นอยู่ในร่างกายลักษณะมันบ่มมันสุมอยู่ในนั้น การพูดอย่างนี้เราพูดตามเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เฉยๆ นะ พูดให้สมใจที่สอนโลกมานาน สอนโลกมานี้ได้ ๕๖-๕๗ ปี

เทศน์ก่อนจังหันก็ดูว่าเผ็ดร้อนดีอยู่ไม่ใช่เหรอ เทศน์ก่อนจังหัน ถ้ามันออกมาปุบปับจะเผ็ดร้อน ถ้าออกธรรมดาก็ไม่เท่าไร ถ้าแบบปุบปับนี่เผ็ดร้อน พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น แต่เราไม่ได้วัดรอย เรื่องมันเป็นคล้ายๆ กันก็บอกว่าเป็นคล้ายกัน เป็นตามนิสัยวาสนาของใครของเรา แต่มันคล้ายกัน เราไม่ได้วัดรอย พ่อแม่ครูจารย์ก็เหมือนกัน ถ้าปุบปับแล้วเอาเลย ไอ้เรามันคนนิสัยขี้ดื้อ ขึ้นไปทั้งๆ ที่วันนี้จะประชุม พระแถวๆ นั้นมาหมด กลางคืนมา อยู่ตาม ๔-๕ กิโล ๓-๔ กิโล บ้านเล็กบ้านน้อย พอถึงวันที่ท่านจะประชุมเป็นพิเศษ พระหลั่งไหลมาฟังเทศน์ คือถึงเวลาแล้วมานั่งพร้อมกันแล้วฟังเทศน์ท่าน

ท่านเทศน์ถึงนิพพานทุกครั้งเทศน์กับพระ ฟาดถึงนิพพานปึ๋งๆ ถึงก็ถึงเงียบๆ นะ ถ้าท่านเอะอะแล้วนี่ อู๊ย ทะลุนิพพานอีกด้วยนะ ทีนี้เราก็เป็นพระขี้ดื้อ พอได้เวลาก่อนจะถึงเวลาเทศน์ เรานี่ละออกหน้า อะไรก็มีแต่เรา ขี้ดื้อก็เรา ท่านก็เมตตาด้วยไม่เห็นท่านว่าอะไรกับเรา ดุก็เรานี่ละ แต่ดุเป็นธรรมไปหมด ก็เป็นเรื่องธรรมรื่นเริงไปเลย ท่านดุเรานะ มันหากมีแง่นั้นแง่นี้ สอดนั้นสอดนี้ แล้วก็ไปโดนท่านเข้าไป ไมใช่สิ่งนั้น ทีนี้ขึ้นแล้วนะธรรมะ นี่เรียกว่าเปิดปากโอ่งไว้เลย ฝนกระหึ่มแล้วนั่น นั่นละเทศน์ฟังถึงใจ ถ้าท่านค้านแบบปุ๊บปั๊บเอาละ ถ้าฟังอย่างนี้ฟังถึงใจ ถ้าให้ท่านเทศน์ไปเรื่อยๆ ธรรมดานี้ ถึงนิพพานก็ยังรู้สึกว่าขาดอะไรๆ สุดท้ายขาดน้ำปลา ถ้าท่านปึ๋งปั๋งใส่ท่าน พอท่านปึ๋งออกมา นั่นละฟังละที่นี่ พุ่งๆ เลย

เรามันไม่อยากฟังธรรมดา มันหากมีแง่นั้นแง่นี้ สอดนั้นนี้ สักเดี๋ยวก็ไปโดนท่านเข้าก็ปึ๋งเลยละ เอาละทีนี้ได้การ เรียกว่าได้การว่างั้นเถอะ ไหลเลยนะที่นี่ เปิดให้แล้ว เปิดอันนั้นแล้ว เรามันนิสัยขี้ดื้อ กับพ่อแม่ครูจารย์นี้เวลาโต้กันของง่ายเมื่อไร จนพระแตกมาทั้งวัด เวลามันอ่อนมันก็อ่อน เวลามันแข็งมันก็แข็งนะกับพ่อแม่ครูจารย์เรานี้ ใครไปแตะท่านได้ แต่พระขี้ดื้อมันเข้าได้ทั้งนั้น ซัดนี้พระมาทั้งวัด ถกเถียงกันเรื่องสมาธิปัญญา นานๆ จะมีทีหนึ่ง คือเราไม่ได้ตั้งใจให้มีนะ มันหากบังเอิญ สอดนั้นแทรกนี้ไปเดี๋ยวไปโดนเข้าผางออกมาเลย ถ้าอย่างนั้นฟังถึงใจ

คือธรรมะที่ออกด้วยความสะดุดใจท่าน สะดุดใจก็คือสะดุดธรรม พอว่าไม่ใช่อย่างนั้นละ เอาละนะ ผึง เราหากมีของเรา พูดไปนั้นพูดไปนี้ พูดไปพูดมาท่านโมโหท่านก็เอาสันพร้าอีโต้ใส่เสียทีหนึ่ง ตูม นี้ก็ขึ้นเลย เป็นอย่างนั้น นิสัยเรารู้สึกว่าขี้ดื้ออยู่นะ กับพ่อแม่ครูจารย์จะได้ฟังเทศน์ถึงใจก็เรานี่ละไม่ใช่ใคร อยู่ด้วยกันมากๆ ครูอาจารย์ทั้งหลายท่านก็เรียบๆ ท่านก็เทศน์ไปเรียบๆ ถ้าหากว่ามีอะไรเข้าไปอย่างนี้ ความเรียบหายไปมีแต่ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด พุ่งๆ เลย เป็นอย่างนั้น ธรรมะท่านไม่ทราบมาจากไหน

นี่ละธรรมะไม่ติดเขาติดเราเสียอย่างเดียวพุ่งทะลุเลย ไปไหนไปได้หมด ธรรมะเหนือโลกอยู่แล้ว พอเข้ามาสวมใจใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันเหนือโลกไปด้วยกันเลย ไม่มีคำว่าสะทกสะท้านกับสิ่งใดชื่อว่าสมมุติ อันนี้เป็นวิมุตติผ่านหมด นี่ละมันต่างกันอย่างนี้ ถ้ายังติดเขาติดเราเทศน์ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนะ ไม่ติดทั้งเขาทั้งเราไม่ติดอะไรเลยนี้พุ่งเลย ตามแต่เหตุการณ์ที่จะให้เทศน์หนักเบามากน้อยมันจะออกเต็มเหนี่ยวๆ เลย เพราะใจทั้งดวงเป็นธรรมทั้งแท่ง จึงว่าไม่ติดเขาติดเรา ติดเขาติดเราก็คือกิเลสอยู่ในนั้น มันเป็นก้างขวางคอ ออกไม่สะดวก ถ้ากิเลสขาดสะบั้นลงหมดโล่งไปหมด ออกที่ไหนได้หมด ตามแต่เหตุการณ์ที่ควรจะให้ออกหนักเบามากน้อยมันจะพุ่งของมาเลย เป็นอย่างนั้นละ จิตที่ไม่มีอะไรมาผ่าน สมมุติไม่มี มีแต่วิมุตติความบริสุทธิ์ล้วนๆ มันเหนือหมด ออกทางไหนออกได้หมด พุ่งๆ

ไม่ว่าธรรมะขั้นใด ไม่ต้องไปเรียนกับใคร ธรรมะแท้ๆ อยู่ที่หัวใจ พระพุทธเจ้าที่แสดงไว้ในพระไตรปิฎกนั้นเพียงเล็กน้อยนะไม่มาก อยู่ในพระทัยพระองค์สักเท่าไร นั่นละที่ออกล้วนๆ ฟังถึงใจๆ ออกในตำราเป็นตำราไปแล้ว ผู้เขียนก็เป็นคนปุถุชน ผู้เทศน์เป็นพระอรหันต์เป็นพระพุทธเจ้าก็จริง แต่เวลาปุถุชนเข้ามาไปจดจารึกผิดพลาดไปได้ เนื้อธรรมนี้เบา จึงทำให้คิดย้อนหลังถึงผู้ที่แต่งพระไตรปิฎกมา แต่ก่อนเราก็ไม่ได้อ่าน เราไม่อ่าน อ่านปั๊บรู้ทันทีภูมิของผู้เขียนคือภูมิเช่นไรบอก มันบอกอยู่ในสำนวน ถ้าเป็นพระอรหันต์นี้จะลงใส่จุดปุ๊บๆๆ ไม่เคลื่อนคลาด เป็นพระอรหันต์ท่านแต่ง ถ้าสมมุติว่าท่านเทศน์หรือแต่งออกมานี้ ถ้าคนมีกิเลสมันหากมีขัดมีข้องไม่สะดวกอยู่ในนั้นแหละ อ่านปั๊บรู้ทันที

พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงท่านเจ้าคุณสมเด็จมหามุนีวงศ์ วัดนรนาถ ท่านหาอุบายมานะ ท่านมาด้วยอุบายสุภาพอ่อนโยนเมตตา ท่านจะมานิมนต์จริงๆ ก็ยังไงอยู่ เพราะท่านเจ้าคุณท่านไม่กล้ามานิมนต์ไปประชุม ประชุมยังไงขาดเราไม่ได้ นี่ซิสำคัญ แล้วใครจะไปล่ะ ไปก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรละท่านเจ้าคุณวัดโพธิ ตกลงก็ขอนิมนต์พระเดชพระคุณสมเด็จนี่ละไป หาอุบายไปเยี่ยมวัดเยี่ยมวาแล้วก็ลากมาพร้อม พูดดี ก็ท่านสนิทกันนี่นะ หาอุบายพูดแล้วลากมาพร้อมท่านว่านี้ ท่านบอกว่าลากมาพร้อม ก็ไปจริงๆ เราก็ดี มาพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ มาเยี่ยมอะไร

พอเข้าไปสัมผัสตรงที่จะไปประชุม ไปหรือไม่ไปประชุม เอ้อ ไปฟังเขาประชุมหน่อยนะ ท่านว่างั้น ท่านไม่ได้บอกว่า เราจะเข้าองค์ประชุมองค์หนึ่งไม่ว่านะ ให้ไปฟังเขาประชุม เขาจะประชุมกันเรื่องอะไรท่านว่างั้น ไปฟังด้วยนะ ไปฟังพวกนี้เขาประชุมกันยังไงบ้าง มีฝ่ายปริยัติก็เยอะ ฝ่ายปฏิบัติก็มีเราไม่กี่องค์ แต่เราเป็นสำคัญ ในนั้นขาดไม่ได้ฟังว่า นี่ละพอคุยไปๆ ถึงเรื่องปริยัติ ท่านพูดถึงเรื่องปริยัติที่พูดๆ ไป มันมาสะเทือนใจซิ พอสะเทือนใจมันออกเลยทันทีนะ พอออกท่านก็รีบหยุดกึ๊กทันทีเลย ทางนี้ก็ออกไม่มากนะ ถ้าหากว่ามีอะไรต่อมันจะไปใหญ่นะมันออกแล้วนี่เตรียมแล้ว ท่านก็รู้ทันที ท่านเลยพลิกคำใหม่ไปเสียเราก็หยุดเสีย เป็นอย่างนั้นละ

ประการหนึ่งท่านรู้นิสัยเราอยู่แล้ว ว่าจริงจังมากทุกอย่าง คิดดูซิ เขาเขียนภาพอวิชชา ภาพอวิชชาในกระดาษ เขาเขียนไว้หยดย้อยนะ สวยงามน่าดู มานี่ ดูซิอวิชชา ท่านว่างั้นนะ นี่ละท่านมองหน้าเรา อย่างนั้นนะเรา คือเวลาจะพูดออกมานี้ไม่ใช่เรา มันเป็นธรรมออกมานี่นะ ท่านก็มองหน้า มาดูนี่ซิ ดูอวิชชา เขาเขียนเป็นรูปเป็นภาพอวิชชา เป็นรากแก้วรากฝอยออกมาหยดย้อย ดูซิดูอวิชชา เฮ้ย ผมไม่ดู อวิชชาไม่ได้อยู่ในกระดาษ มันอยู่ในหัวใจคน ท่านมองหน้ายิ้มๆ เลยไม่ต่อ เราก็เลยไม่ดูจริงๆ นะไม่ใช่ธรรมดา ประสากระดาษ

เราฆ่าอวิชชาชำระอวิชชากิเลสตัณหาเราไม่ได้ฆ่าในกระดาษ เราฆ่าในหัวใจต่างหากนี่นะ เป็นอะไรๆ มันก็รู้มาหมดแล้วเรื่องที่ว่านี้ ออกนั้นมันรู้หมดแล้วนี่ มันจะไปหาลูบคลำอะไรประสางมเงา เข้าใจไหม ตัวจริงมันได้มาสับแหลกหมดแล้วนี่ ท่านระวังอยู่นะสมเด็จ กับเรานี้ได้ระวังทั้งนั้นละ ฝ่ายปริยัตินะ ไม่ว่าจะเป็นชั้นไหนก็ตาม ถ้าเป็นเราเข้าแทรกอยู่ในนั้นแล้วต้องระวัง ไม่ระวังไม่ได้ ถ้าลงได้ผางออกมาแล้วไม่มีรอใครเลยนะ มีแต่ฟังกันเงียบไปเลย

ธรรมะอันนี้เป็นอย่างนั้น ไม่ติดอะไร ไม่ติดเรา ไม่ติดเขาไม่ติดใคร เรื่องโลกสมมุติผ่านหมดแล้ว แล้วจะไปติดกับอะไร คำว่าวิมุตติก็หลุดพ้นไปแล้ว มันผ่านไปอย่างสบายๆ โล่งไปหมดเลย นั่นมันต่างกันนะ.ถ้าติดเขาติดเราอยู่ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย การเทศนาว่าการก็ตามถ้าติดเขาติดเราไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ลักษณะเป็นก้างขวางคอนิดหน่อยอยู่นั้นแหละ ถ้ามันโล่งไปหมดแล้วมันไปได้หมด แล้วแต่เหตุการณ์ที่ควรจะไปหนักเบามากน้อยไม่ต้องบอก พุ่งๆ เลย.เพราะใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วออกได้หมด ในแดนสมมุติไม่มีอะไรติดค้าง ผ่านหมดเลย

นี่ละการปฏิบัติธรรม ให้มันเป็นในใจซิพูดได้ทั้งนั้น นี่แต่ก่อนก็พูดไม่ได้เดี๋ยวนี้ทำไมพูดได้ มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอยู่ในหัวใจนี่นะ เวลามันถึงขั้นโล่งโล่งหมดจริงๆ โลกธาตุเหมือนไม่มี จะว่า

สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ       โมฆราช สทา สโต

อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ             เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา

เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ            มจฺจุราชา น ปสฺสติ

ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอดอัตตานุทิฏฐิซึ่งเป็นเหมือนก้างขวางคอออกเสีย จะพ้นจากพญามัจจุราชโดยชอบ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้ที่พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่าอย่างนี้ นั่น ทีนี้พอจิตมันผางเข้าไปตรงนั้นแล้วมันก็เป็นพระโมฆราชทั้งหมด ท่านยกมาเพียงเอกเทศ มานพ ๑๖ คน โมฆราชคนหนึ่ง ผู้นี้จะตรัสรู้เร็ว พระองค์ก็จี้เข้าไปตรงนั้นก็บรรลุธรรมปึ๋งเลย ทีนี้ใครผางเข้าไปตรงนั้นมันก็เป็นพระโมฆราชเหมือนหมด มีแต่โมฆราชองค์เดียวเหรอ มีได้ทั้งนั้นละ

ผู้ที่สิ้นกิเลสผางนี้เป็น พระโมฆราช ทั้งหมด โล่งว่างเปล่าหมด ไม่มีอะไรมาขวาง ขึ้นชื่อว่าสมมุติขาดสะบั้นไปหมด เหลือแต่วิมุตติคือความบริสุทธิ์หลุดพ้น ว่างไปหมดๆ เลย ไปด้วยความว่างอยู่ด้วยความว่าง ยืน เดิน นั่ง นอน ด้วยความว่างความสว่างไสวคือจิตของพระอรหันต์ เข้าใจไหมล่ะ เรามันไม่ว่างตรงนี้ไม่ว่างตรงนั้น แล้วไม่ว่างตรงนี้ เดี๋ยวไปเหยียบขวากเหยียบหนามเข้าไปอีก ถ้าไม่มีอะไรจะเหยียบ แหลกหมดเลย นั่นจิตที่ผ่านแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ที่พูดอย่างนี้มีแต่ครั้งพุทธกาล ครั้งนี้ไม่มีเหรอ ถ้าไม่มีข้อปฏิบัติครั้งใดก็ไม่มีมรรคผลนิพพาน ถ้ามีข้อปฏิบัติติดตามสวากขาตธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ตามไปเถอะ ก้าวหนึ่งใกล้เข้าไป ก้าวหนึ่ง ก้าวสอง ก้าวสาม เขาถึงนิพพานปึ๋งเหมือนกัน เพราะเป็นสวากขาตธรรมจะไสสัตว์โลกให้ถึงนิพพานเหมือนกัน

สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วไม่ผิด ถ้าเดินตามนี้แล้วพุ่ง เดี๋ยวนี้ก็เอาได้ มรรคผลนิพพานอยู่ทุกหัวใจถ้าปฏิบัติ เหมือนกันกับกิเลสอยู่ทุกหัวใจ อกาลิโก เป็นกิเลสได้วันยังค่ำ เป็นธรรมได้วันยังค่ำถ้าปฏิบัติ ไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลา แต่นี่มันไม่ปฏิบัติก็เลยไม่ได้เรื่องได้ราว ดีไม่ดีผู้ปฏิบัติได้ผลยังไงมาเล่าให้ฟังมันหาว่าโอ้ว่าอวดไปเสียกิเลส มันไม่ยอมให้ข้ามหัวมันนะกิเลส แต่ธรรมนี้เหยียบมันแหลกไปเลย กิเลสตัวไหนเก่งมาว่างั้นเลย ถ้ามันหมดแล้วไม่มีตัวไหนโผล่ขึ้นมาได้ละ ขาดสะบั้นไปหมดเลย จึงเรียกว่าจิตหลุดพ้น แล้วจะไปกลัวกับอะไรไปกล้ากับอะไร หมด ความกลัวไม่มีความกล้าไม่มีสำหรับจิตพระอรหันต์ ไม่มีคำว่ากลัวว่ากล้า เหนือหมด นั่น

ให้มันเห็นประจักษ์ในใจ ใครจะมาฟ้องร้องหรือจะมาเรื่องหาราวอะไรธรรมดาปรกติ มันเป็นอยู่ในปากของผู้ว่าต่างหาก แน่ะไปอย่างนั้นนะ คิดออกมาก็คิดใจอมขี้ปากอมขี้ออกมา อันนี้ท่านใจอมธรรมปากอมธรรมท่านจะไปฟังอะไรอย่างนั้น เข้าใจไหมล่ะ ปากอมธรรมใจอมธรรม กับปากอมขี้ใจอมขี้มันต่างกันนี่นะ ถ้าปากอมขี้ออกไปสกปรกหมดขวางโลก ถ้าปากอมธรรมนี้โล่งไปหมดเลย นั่น จำให้ดีนะ ให้ได้เห็นใจอมธรรมซิ นี้มีแต่ใจอมขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงเต็มอยู่ทุกหัวใจ เข้าใจไหมล่ะ ขี้ ไม่ใช่ขี้ในถานนะ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลงต่างหาก เอาละวันนี้พอ ตอนเช้าก่อนจังหันก็เทศน์เสียกัณฑ์หนึ่งใหญ่ ฉันเสร็จแล้วเอาอีก จะให้เทศน์อะไรอีกล่ะ

(หลวงตาเจ้าคะ ที่หลวงปู่มั่นพูดกับพระว่าหลวงตา พระองค์นี้สำคัญนะ แล้วช่วงที่ท่านอาพาธ ท่านก็ถามว่า ถ้าท่านไม่อยู่แล้วพระจะไปอยู่กับใคร พระท่านก็บอกว่า ก็จะตามท่านมหา ก็คือหลวงตา) ก็ท่านพูดอย่างนั้น ท่านพูดให้พระฟัง ส่วนใดที่เกี่ยวกับเราท่านจะไม่พูดกับเราละ ท่านจะพูดให้พระฟัง เช่นอย่างในพรรษานั้นท่านป่วย เริ่มหนักละ ท่านก็เริ่มหนักในขันธ์ เราก็เริ่มหนักในจิต จิตหมุนตลอดเวลาไม่มีวันมีคืน บางคืนนอนไม่หลับเลย เพราะจิตเป็นธรรมจักร หมุนเองไปเอง จะพ้นกิเลสฆ่ากิเลสไปเอง จะพ้นไปเองทีเดียว ตอนนั้นเรากำลังอยู่ในขั้นนั้น

แล้วอยู่ๆ พระนวดเส้น เวลาเปิดแล้วเราก็เปิดให้ฟังเสีย นวดเส้น ๒ องค์ ๓ องค์นั่งนวดเส้น อยู่ๆ ท่านก็ลักษณะเอะใจพูดขึ้นมา เอ้อ นี่เวลาผมตายแล้วพวกท่านจะอาศัยใคร เกาะใครล่ะ พระก็นิ่ง สักเดี๋ยวท่านก็ขึ้นมาแบบเอะใจเหมือนกัน เอ้อ ให้พึ่งท่านมหานะ ท่านมหานี่สำคัญอยู่ทั้งภายนอกภายใน ว่าเท่านั้นแหละ ทีนี้พระก็มากระจายให้เราฟัง เราฟังแล้วเราก็เก็บเงียบ ท่านก็ไม่ได้พูดเฉย ถ้าเรื่องกับเราปากต่อปากไม่เคยมีที่ท่านจะพูด แต่พูดลับหลัง เราก็ฟังลับหลังนั่นแหละ มันก็ทันกันละซิ เอาละที่นี่นะ

(เขาเดินจงกรม พอหยุดมองแผ่นดิน แผ่นดินจะดูดเข้ามาหากัน เขาเลยสงสัยว่าจะแก้ไขยังไงครับ) คือแผ่นดินดูดเข้ามาหากัน ดูดเข้ามา กำหนดแล้วแผ่นดินมันจะเข้ามาหาใจ พอกำหนดแล้วแผ่นดินที่มันดูดเข้ามาหากัน ดูดเข้ามาๆ เราเพ่งดู สักเดี๋ยวแผ่นดินนั้นจะดูดเข้ามาถึงใจเรา พอถึงใจเราแล้วก็หมดปัญหา แต่ใจแสดงอาการใดขึ้นมา มันก็จะแสดงขึ้นมาหลังจากนั้น เข้าใจหรือยัง เวลาภาวนาอย่าไปคาดไปหมายนะ สิ่งที่เป็นมาแล้วให้ผ่าน อย่าเอาไปเป็นอารมณ์ ถ้าเป็นอารมณ์ไม่เป็นท่านะ มันเป็นภาวนาสัญญา ให้มันเป็นขึ้นปัจจุบัน พอมันเป็นคราวนี้ก็ให้มันเป็นไปเสีย เวลาภาวนาอย่าไปหมายอันเก่าที่เคยเป็นแล้วจะไม่เกิดประโยชน์

เราทำของเราตั้งต้นเหมือนเก่านั่นละ ไม่ให้ไปคิดเรื่องผลที่มันเกิดขึ้นแล้วอย่างนั้นๆ เป็นสัญญาอดีตปัดออก ให้อยู่ในปัจจุบันแล้วมันจะเป็นอีก เป็นอีก แล้วเป็นปัจจุบันนั้นอีก แล้วจะเป็นต่างกว่านั้นละเอียดกว่านั้นไปอีกเรื่อยๆ ถ้าเราไม่คาดนะ ถ้าคาดไม่เป็น เข้าใจหรือเปล่าล่ะ เรื่องปัจจุบันสำคัญมากนะ มันจะเป็นอะไรขึ้นมาๆ ก็ตาม ถ้าวันนี้เป็นแล้ว เวลาเราภาวนาอย่าไปยึดเอาของเก่าที่เป็นแล้วเข้ามาภาวนามันจะไม่เกิดประโยชน์.. พอมันเป็นแล้วผ่านไป เราตั้งปัจจุบันนี้ตั้งเหมือนเก่านั่นละมันจะเป็นอย่างเก่า มากกว่านั้น ละเอียดกว่านั้นไปอีก ถ้าเราไม่หมายอดีตสัญญาอดีต ถ้าหมายไม่ได้

อันนี้พ่อแม่ครูจารย์มั่นเคยเทศน์เราลืมเมื่อไร ทีแรกท่านพูดอยู่ถ้ำสาริกา เราก็ไม่เคยคาดเคยคิดว่าจิตเราจะเป็นอย่างนั้น มาอยู่หนองผือ รู้สึกว่าท่านตื่นเต้นเมตตามากอยู่นะ เราก็ไม่เคยคาดเคยคิดว่ามันจะเป็นอย่างนั้น ท่านเล่าให้ฟังอยู่ที่ถ้ำสาริกา จิตนี้มันสว่างจ้าครอบโลกธาตุ สว่างหมดเลยท่านว่า นั่นละตอนท่านเจอผีใหญ่ แต่เราไม่มีผีใหญ่ มีแต่ผีน้อยมันกวนใจ ทีนี้ท่านเป็นอย่างนั้นเราก็ฟังไป เราก็ไม่ถือมาเป็นอารมณ์ไม่ถือมาเป็นคติที่จะยึดอันนี้เป็นหลักนะ เราต้องเอาการภาวนาของเราเป็นหลักตามนิสัยของเรา นี่เราภาวนาไปๆ อยู่หนองผือนะ โถ บทเวลามันจะเป็นมันก็เป็นอย่างเดียวกัน เป็นแล้วหมุนลงๆ แต่จิตมันก็ติดตามเรื่อย สติแนบๆ มันก็ว่างผึงเลยทีเดียว โลกธาตุนี้ว่างหมดเลย

โอโฮ้ ทำไมเป็นอย่างนี้จิตเรา เป็นอยู่หนองผือ คือมันว่างหมดเลยจริงๆ ว่างแล้วเป็นว่างอัศจรรย์เสียด้วย ไม่ใช่ว่างธรรมดา ตั้งแต่เราภาวนามายังไม่เคยปรากฏอย่างนั้นเลย เป็นอย่างอื่นอย่างใดเป็น แต่ไม่ได้เป็นแบบอัศจรรย์อย่างนี้ พอวันหลังมาก็ไปเล่าถวายท่าน โอ้ ท่านคึกคักนะ เอ้อ เป็นเหมือนกันกับผมเป็นอยู่ถ้ำสาริกาว่างั้นนะ เป็นอย่างนี้ละที่ถ้ำสาริกาท่านเคยเล่าให้เราฟังแล้ว แต่เมื่อมันไม่เป็นกับเจ้าของมันก็ไม่สะเทือนใจใช่ไหม ทีนี้เรื่องนั้นมันมาเป็นกับเจ้าของเสียเอง พอมันจ้าขึ้นมามันครอบหมดเลย สว่างจ้าครอบ เป็นแต่เพียงว่าไม่เห็นผีใหญ่เหมือนท่านเท่านั้นเอง เล่าให้ท่านฟัง ท่านก็ เอ้อ มันเหมือนกันละกับที่ผมเป็นคราวนั้น มีผีใหญ่เข้ามาท่านว่างั้น เราไม่มีเราก็บอกไม่มี

วันหลังจะเอาให้เป็นอย่างนั้นอีก ขึ้นไปกราบเรียนท่านท่านดุเอาเสียแหลกเลยเห็นไหม มันจะเป็นบ้าภาวนานะ มันเป็นแล้วมันก็ผ่านไปแล้วยุ่งกับมันทำไม ปัจจุบันต่างหากที่จะให้เกิดธรรมเหล่านี้ ไม่ใช่เกิดด้วยสัญญาอารมณ์ นี่มันจะเป็นบ้านะ ดุเรา ไม่ให้เราไปยึด สิ่งที่เป็นไปแล้วอย่าไปยึดไม่เป็นประโยชน์อะไร เป็นแล้วให้มันผ่านไป เราเอาปัจจุบัน จะเกิดยังไงจะเกิดขึ้นในปัจจุบันท่านว่า เราก็เลยไม่ลืม ทีแรกท่านก็รู้สึกว่าส่งเสริม พอมันไม่เป็นวันหลังไปเล่าให้ท่านฟังท่านเขกเอาเสียแหลกเลย

(หลวงตาคะ ถ้าเดินไปแล้วก็ดูนาฬิกาไปด้วยอย่างนี้ค่ะ อย่างเวลาเราตั้งใจจะเดินจงกรมสัก ๑ ชั่วโมง พอเดินไป ๕ นาทีก็ดู อ้อ ๕ นาทีแล้ว อย่างนี้ค่ะ ไม่รู้เป็นยังไง มันคงจะติดสอนหนังสือน่ะค่ะ ถูกไหมคะ) อันนี้เรียกว่าบ้ามันติดสมองแล้ว บ้าขึ้นสมองแล้ว (ไม่ควรจะตั้งเวลาใช่ไหมคะ) ตั้งหัวมันอะไร ดูเวล่ำเวลาที่ไหน กิเลสครอบหัวคนมากี่กัปกี่กัลป์เขามีเวลาอะไร แต่เวลาเราจะภาวนาเพื่อแก้กิเลสแล้วดูแต่นาฬิกา มันเข้ากันไม่ได้นะ

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก