เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
จิตดวงนี้มีสายทางมา
(พระจากถ้ำพระภูวัวถามมาครับ ขณะนี้กระผมกำลังพิจารณาหรือกำลังรู้ ผู้ที่รู้สังขารเกิดดับ ผิดหรือถูกประการใด ถ้าผิดจะแก้ไขอย่างไร ขอหลวงตาเมตตาด้วย) ข้อนี้ไม่ได้กว้างนะ จิตขั้นนี้มีเกิดมีดับอยู่ที่จิต อวิชชาอยู่ที่จิต อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ขึ้นที่จิต พิจารณาอะไรก็รอบหมดๆ ปล่อยหมดๆ รู้เท่าหมด ก็เข้ามาวงแคบละ เกิดดับๆ การพิจารณาให้รู้อยู่ที่เกิดดับมันเกิดจากไหน ดับแล้วมันไปที่ไหน ก็ไม่หนีจากจิต การพิจารณามันวงกว้างก็มี แคบก็มี การพิจารณาเบื้องต้นให้เป็นวงแคบ เช่นภาวนาเป็นคำบริกรรมพุทโธ หรือธรรมบทใดก็ตามเป็นคำบริกรรม นี้เรียกว่าแคบ ประมวลเข้ามาอยู่คำบริกรรมคำเดียว จิตให้รู้อยู่กับคำบริกรรม เช่น พุทโธๆ เป็นต้น ให้รู้อยู่จุดนั้นกับสติ นี่เรียกว่าแคบ ประมวลเข้ามาให้อยู่วงแคบก่อน
ทีนี้สำคัญที่จะได้หลักไม่พ้นสตินะ ใครอย่าข้ามสติ ข้ามสติแล้วไปไม่รอด ตกเหวตกบ่อ ถ้าสติตั้งได้ดีแล้วยังไงตั้งฐานได้ สติเป็นของสำคัญมากทีเดียว ในองค์ภาวนาทั้งหลายสติต้องควบคุมทุกวงงานไป งานนอกงานใน ที่ว่าเกิดดับๆ มันก็วงแคบเข้ามาแล้ว แคบทีแรกก็ฝึกหัด เริ่มต้นฝึกหัด มันเคยคิดยุ่งไปไหนก็ตามไม่เอา ให้อยู่กับคำบริกรรมเท่านั้น เรียกว่าวงแคบ ตีเข้ามาวงแคบ พอจิตสงบเป็นสมถะสงบร่มเย็นแล้วก็อยู่นั้นละ อยู่ในวงแคบ ให้รู้ๆ สติครอบอยู่ตลอดเวลา จากนั้นขยายวงกว้างออกๆ ไป
ไปถึงขั้นสมาธิ สบาย ขั้นสมาธินี้เป็นขั้นที่ลืมตัวได้ ถ้าไม่มีครูมีอาจารย์กระตุกหรือเตือน เพราะมันสบาย นั่งอยู่ที่ไหนไม่มีอารมณ์ข้างนอก เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ แน่ว ไม่มีอะไรมากวนใจ ความคิดปรุงแต่ก่อนมันอยากคิดอยากปรุง ไม่คิดไม่ปรุงไม่ได้ ทีนี้เวลาจิตเข้าเป็นสมาธิแล้วนี้ความคิดความปรุงเป็นเรื่องรำคาญ ไม่อยากคิด อยู่แน่ว นี่เรียกว่าติดสมาธิ ถ้าลงอยู่นั่นแล้วไม่อยากไปไหนเลย นั่นเรียกว่าติด ให้ขยายออกมาทางด้านปัญญา พิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ เอาละที่นี่กว้างนะ ออกกว้าง
พุทธศาสนาเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร ไม่น้อยนะ ให้เรียนตามพระประสงค์ของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนสัตว์โลกด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว อย่างไรต้องเบิกกว้างๆ เห็นภัยโดยลำดับ เห็นคุณโดยลำดับ ภัยกับคุณมาพร้อมๆ กัน แต่นี้มันไม่มีใครภาวนาซิ มีแต่เรียนตามตำรับตำรา เลยกลายเป็นหนอนแทะกระดาษไปเลย ถ้าเรียนเพื่อจดเพื่อจำนำมาปฏิบัติ เรียกว่าปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน แล้วก็ปฏิบัติตามปริยัติที่ศึกษามาแล้ว ปฏิเวธผลของงานจะปรากฏขึ้นโดยลำดับ นั่น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สามประเภทนี้แยกกันไม่ออก มีปริยัติแล้วไม่มีปฏิบัติก็ไม่มีความหมาย เรียนมาเท่าไรก็เป็นนกขุนทองอยู่อย่างนั้น ถ้าเรียนมาเพื่อปฏิบัติ ท่านสอนว่ายังไง เอา แยกอันนั้นออกมาปฏิบัติ
เหมือนแปลนบ้านของเขา แปลนบ้านมีเท่าไรถ้าไม่นำมาปลูกบ้านสร้างเรือนแล้วก็เต็มอยู่ในห้อง นำออกมาแปลนนี้ จะเอาตึกรามบ้านช่องขนาดไหนๆ กว้างแคบสั้นยาว เอาขนาดไหนดูอันนี้แล้วทำตามนั้นก็เป็นขึ้นตามนั้น แปลนของพระพุทธเจ้าเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วๆ ไม่ผิด
รู้ทางธรรมไม่ได้เหมือนโลกนะ รู้ภายในจิตนี้ คือเวลารู้แล้วเบิกกิเลสที่มันปิดบังหุ้มห่อเอาไว้ออกเรื่อยๆ ธรรมะเบิกออกๆ กว้างออกๆ เรียนทางโลกไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนกัน เอาการเรียนนั้นมาผูกพันตัวเอง แล้วติดเขาติดเรา ความสำคัญว่าตนเรียนรู้หลักนักปราชญ์ฉลาดแหลมคม นั้นละคือโง่ที่สุดแล้วเห็นไหม กิเลสเข้าไปแทรกแล้ว ถ้าเรียนธรรมเพื่อปฏิบัติแล้ว เรียนไปเพื่อสอดส่องหาเหตุหาผลเรื่อย เบิกออกๆ นั่นละปริยัติ นำไปปฏิบัติ
ท่านสอนให้ภาวนา ภาวนาเบื้องต้นจะเอาคำบริกรรมใดก็เอา จำให้ดีนะ ที่พูดนี้ไม่ได้พูดเล่นๆ อย่ามาฟังเล่นๆ นะ จะเอาธรรมบทใดให้จริงจังกับธรรมบทนั้นอย่าเหลาะแหละ จะเห็นผลทันทีโดยลำดับลำดา เราชอบธรรมบทใดเอาธรรมบทนั้น ตั้งหน้าเอานี้มาบริกรรม สติติดแนบๆ แล้วจิตจะตั้งรากตั้งฐานได้ สงบ มันอยากคิดฟุ้งซ่านรำคาญไปไหนสู้สติไม่ได้ สติเป็นฝั่งมหาสมุทรทะเลหลวง มหาสมมุติมหานิยม สตินี้เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน สติจับตั้งเข้าไปตรงนั้นเป็นขอบของมหาสมมุติมหานิยม แล้วก็ขอบมหาวิมุตติมหานิพพานอยู่นั้นแหละ สติตั้งไว้ให้ดีไม่ให้มันเผลอ
ถ้าสติไม่เผลออยู่ที่ไหนมีค่าคนเรา ถ้าเผลอสติเมื่อไรหมดค่า เดินจงกรมก็ไม่มีความหมาย ถ้าสติมีอยู่เคลื่อนไหวไปมาไม่เคลื่อนก็ตาม รู้ๆ ตลอด สติจ่อ สติจึงจำเป็นมากทีเดียว ในวงพุทธศาสนาท่านถือสติเป็นสำคัญ
โธ่ เวลามันรู้มันของง่ายหรือ ธรรมไม่ได้เหมือนโลกนะ คือรู้โลกนี้เรารู้เท่าที่เราเรียนมาจากครูใดอาจารย์ใดสอนมายังไงๆ จะรู้เพียงแค่นั้น จะแตกแขนงนิดหน่อยๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้เหมือนธรรมนะ ธรรมถ้าได้รู้แล้วแตกๆ แตกกระจัดกระจายไปเลย กว้างครอบโลกธาตุนู่นน่ะธรรม คือธรรมเบิกกิเลสออก ธรรมเบิกกว้างออกๆ ก็เห็นไปหมดละซิเพราะสิ่งทั้งหลายมีอยู่แล้วทุกอย่าง อย่างท่านว่าเปรตว่าผีว่านรกอเวจีก็มีอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าถูกปิดหูปิดตาของกิเลสไปเท่านั้นไม่ให้เห็น เวลาเปิดอันนี้ออกๆ มันมีอยู่แล้วนั่นน่ะ มันก็ยอมรับๆ เมื่อเจ้าของไม่ปฏิเสธเจ้าของได้แล้วจะไม่เชื่อพระพุทธเจ้ามีอย่างเหรอ มันยอมรับนะ
เห็นไหมหนังสือ กระต๊อบนั่นน่ะ กระต๊อบของเราดูเอา กุฏิหลวงตาบัว ล้มสามหนกุฏิหลังนั้น คือทำกระต๊อบไว้นั้นพอเสามันแห้ง ปลวกกินเสา ถ้าเสาสดอยู่ปลวกมันไม่กิน พอเสาแห้งปลวกกิน กินก็ล้มโครม สร้างใหม่ พอเสาแห้งเท่านั้นละปลวกกินแล้ว ล้มโครม สามหลัง เขียนไว้ในนั้นเห็นไหม เคยรู้เคยเห็นเมื่อไร พอมันเป็นขึ้นไม่ถามใครนะ กระจ่างแจ้งขึ้นมาเลยทันที เหอ พระพุทธเจ้าแท้เป็นอย่างนี้เหรอ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้เหรอ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้เหรอ เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นแล้วนั่น ใครไม่บอกก็เป็นขึ้นในเจ้าของแล้วไปถามใคร แน่นอน นี่เขียนไว้นั่นถอดออกมาจากหัวใจ
แต่ก่อนเราเคยคิดเมื่อไร พุทโธ ธัมโม สังโฆ ติดแนบ ไม่เคยว่าจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้เลย ไม่เคยคิด แต่เวลาเข้าถึงเป็นอันเดียวกันแล้ว ปึ๋งเข้าไปเป็นอันเดียวกันแล้ว เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นธรรมแท่งเดียว จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว นั่นเขียนไว้นั่น ถอดออกมาจากหัวใจที่เป็นแล้วทั้งนั้น แล้วไม่สงสัยด้วย เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไงๆ นั่นเป็นแล้ว
แต่ก่อนเราไม่เคยคิด พุทโธ ธัมโม สังโฆ ติดแนบละเอียดสุดถึงเวลานั้นขณะนั้นละ พอพังสมมุติทั้งหลายออกหมดมีแต่ธรรมล้วนๆ แล้ว พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมด้วยกันก็เป็นอันเดียวกันละซิ แต่ก่อนแยก กิเลสละแยกอยู่ สมมุติแยกอยู่ พอผ่านสมมุติไปแล้ว ไม่มีอะไรเป็นสมมุติแล้วเป็นธรรมแท่งเดียว เรียกธรรมธาตุภายในจิตใจของพระอรหันต์ท่าน
ให้ปฏิบัติบ้างซิ ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นของเล่นเมื่อไร เลิศเลอสุดยอด พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาองค์ไหนเลิศเลอ ใครจะตรัสรู้ได้ง่ายๆ เหรอ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้ามา ๑๖ อสงไขยบ้าง ๘ อสงไขยบ้าง ๔ อสงไขยบ้าง พระพุทธเจ้ามีหลายประเภท คำว่าประเภทนี่คือว่าอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารที่จะสั่งสอนสัตว์โลกได้กว้างแคบลึกตื้นหยาบละเอียดหนาบางต่างกัน ๑๖ อสงไขยนี่กว้างขวางมากพระพุทธเจ้า แนะนำสั่งสอนสัตว์โลกได้กว้างขวาง ได้มากมาย แล้วถัดลงมา ๘ อสงไขย คือสร้างพระบารมีมา อสงไขย แปลว่านับไม่ได้ ๑๖ ครั้ง เช่นเรานับอย่างทุกวันนี้เอาหลักล้านเป็นเกณฑ์ เอาหลักล้านเข้าไปจับ ๑ ล้าน ๒ ล้าน ๓ ล้าน ๔ ล้านไปเรื่อยว่าอสงไขย อสงไขยหนึ่งเท่ากับล้านหนึ่ง ๒ อสงไขย ๓ อสงไขย เท่ากับ ๒ ล้าน ๓ ล้าน
กว่าจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้าของเล่นเมื่อไร ทีนี้เวลามาสอนโลกทรงสอนด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงไม่ต้องถามใครเลยในโลกอันนี้ ธรรมจ้าขึ้นภายในพระทัยเท่านั้นเป็นศาสดาขึ้นทันทีเลยสอนโลก สิ่งใดที่ไม่เคยรู้เคยเห็นมาแต่ก่อนแต่เก่าเพราะถูกกิเลสปิดบัง เปิดออกหมดเลย ให้เห็นหมด เจ้าของเห็นเองรู้เองจะไปถามใคร สงสัยใคร เช่นกระโถนนี่ เห็นอยู่นี่แล้วถามใคร เจ้าของก็เห็นอยู่รู้อยู่แล้วจะถามใคร นั่นละท่านว่ารู้ธรรมเห็นธรรมประจักษ์อยู่ในตัวเองแล้วจะถามใคร
อย่างไรก็ตามขอให้ได้ดูใจเจ้าของเถอะวันหนึ่งๆ อย่าดูตั้งแต่ภายนอกจนเกินไป ลืมเนื้อลืมตัวคนเรา เรียนมากเท่าไรมันเรียนเรื่องกิเลสมัดคอตัวเองนะ ไม่ได้เรียนธรรมเพื่อแก้ตัวเอง เรียนมากเท่าไรความสำคัญมั่นหมายมันเป็นเชือกมัดคอๆ เอา เลยสุดท้ายลุกไม่ขึ้น เดินไม่ได้มันหนักความรู้ เข้าใจไหม มันหนักความรู้ หรือมันหนักความโง่ นั่น ความรู้ของธรรมท่านไม่ได้หนักนี่นะ ไปไหนคล่องตัวตลอดเวลาไม่มีอะไรติด ไม่ติดเราเสียอย่างเดียวไม่ติดเขา ถ้าติดเราเสียอย่างเดียวติดหมดโลกธาตุ เมื่อไม่ติดเขาติดเราผ่านสมมุติไปหมดแล้วติดอะไร นั่น ให้มันเห็นอยู่ประจักษ์อยู่ในใจซิ เวลาถูกผูกมัดจากกิเลสมันก็มัดจนกระทั่งลืมหูลืมตาไม่ได้ เวลาเปิดออกมาแล้วเปิดจ้าไปหมดแล้วอะไรมาปิด ก็มีกิเลสเท่านั้นปิด นั่น พอกิเลสเปิดออกแล้วจ้าไปหมดเลย
นี่ละธรรมท่านมีอยู่อย่างนี้ละ มีที่จะเปิดขึ้นได้ในหัวใจเรา ถ้าจะเทียบแล้วเหมือนกันกับสระใหญ่น้ำเต็มใสสะอาดที่สุดอยู่ในสระใหญ่ แต่ถูกจอกถูกแหนปกคลุมไว้มองดูน้ำไม่เห็น เห็นแต่จอกแต่แหนปกคลุมอยู่ข้างบน เวลาเปิดจอกเปิดแหนออกๆ แล้ว เหมือนอย่างผู้ที่ท่านสำเร็จพระโสดา สกิทาคา อนาคา ท่านเปิดจอกเปิดแหนออกดู มันเป็นยังไงสระน้ำเหล่านี้ มันมีตั้งแต่จอกแต่แหน เปิดออกไปตักมาดื่มอาบใช้สอย โอ้ น้ำนี้สำคัญมากนะ ทีนี้ก็มีแก่ใจแล้วเปิดออกเรื่อยๆ เปิดออกหมดแล้วจ้าเลย นั่นละใจที่บริสุทธิ์แท้เป็นอย่างนั้น
พวกเรามันมีแต่กวาดเข้ามาๆ โอ้ เรายิ่งจวนจะตายเท่าไรทำให้สงสารมากด้วยนะ แทนที่จะมาสงสารตัวเอง เราพูดจริงๆ บอกเราไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง เรื่องความเป็นความตายมันก็มีธาตุขันธ์สลายออกไปเท่านั้นไม่เห็นมีอะไร ส่วนผสมก็คือดินน้ำลมไฟผสมกัน จิตเข้าไปอาศัยอยู่ในนั้น ก็เรียกว่าเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา พอธาตุคือส่วนผสมแตกออกไปหมดเครื่องสืบต่อ ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ แตกกระจายจากกัน เพราะเจ้าของได้แก่จิตถอนตัวออกมา ท่านเรียกว่าตาย
ส่วนจิตนี่ไม่ตาย ให้มันเห็นชัดๆ เรื่องจิตไม่ตาย รู้ด้วยทางจิตตภาวนา เอาความรู้อะไรๆ มาพิสูจน์เรื่องจิตตายเกิดหรือตายสูญนี้ตายวันยังค่ำ ตายกองกันนี้ก็ไม่มีทางรู้ได้ ถ้าจิตตภาวนาตามทางพระพุทธเจ้าแล้วรู้ ก็มันมีทางเดินของมันมา เกิดตายภพใดชาติใดๆ มันรู้มาโดยลำดับ ร่องรอยของตัวเองมายังไง เช่นอย่างมาจากบ้านตาดมานี้มันมีร่องรอยมา มีสายทางมา ถ้าไม่ใช่คนตาบอด มันมีสายทางมา ระยะทางนั้นระยะทางนี้มาจนกระทั่งถึงที่นี่ ย้อนหลังไปมันก็เห็นสายทางของตัวมา
สายทางแห่งความเกิดก็แบบเดียวกัน สายทางแห่งความเกิด เกิดเป็นอะไร เกิดสูงเกิดต่ำก็ตัวนี้ละ เดินทางมามีสูงมีต่ำมีคดมีโค้ง จิตดวงเดียวนี้แหละ มีสูงมีต่ำมีสุขมีทุกข์ ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมลงนรกอเวจี นี่ละเรียกว่าขึ้นลงสูงต่ำ ก็เป็นสุขเป็นทุกข์เรื่อยๆ ไปอย่างเดียวกัน จิตดวงนี้มีสายทางมา ท่านจึงเรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังได้คือพระพุทธเจ้า ทรงเกิดมากี่ภพกี่ชาติย้อนหลังไปหมด ร่องรอยมายังไงตามรอยเจ้าของไป เกิดเป็นภพนี้ชาตินี้ๆๆ เรื่อยมา
ทีนี้ จุตูปปาตญาณ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกทั้งหลายที่เกิดตายเหมือนเรานี้หรือไม่หรือเป็นยังไง มาดูที่ไหนได้มากพรรณนาไม่ได้เลย เรื่องสัตว์เสาะแสวงหาที่เกิดที่ตายกองกันอยู่ทุกแห่งทุกหน มีแต่จิตดวงนี้พาให้เกิดให้ตาย ไม่ได้มีจิตดวงนี้พาให้สูญ จำเอานะ จิตดวงนี้ไม่สูญ ตามเข้าไปด้วยจิตตภาวนาจะเห็นอย่างชัดเจนทีเดียว พูดนี้ถอดออกมาจากหัวใจเรามาพูดนะ ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานร้องไห้อยู่บนภูเขา ก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้วเคียดแค้นให้กิเลส
เราก็เคยมาพูดว่า การเคียดแค้นให้บุคคลหรือสัตว์ตัวใดก็ตามเป็นบาปเป็นกรรมเป็นกิเลส แต่เคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นภัยอยู่กับเจ้าของนี้ เคียดแค้นจะทำลายมันนี้เป็นธรรม ความเคียดแค้นอันนี้ละที่ไปน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา มันอุทานนะ อุทานด้วยความเคียดแค้นให้กิเลส ไม่ลืม ถ้าลงมันฝังกันลึกๆ ไม่ลืม อันที่ฝังลึกๆ นี้ละมันกลับมาเป็นข้าศึกต่อกิเลส ทำอะไรมันก็ไม่อยู่ ตั้งสติไม่ได้เลย ตั้งล้มผล็อยๆ เอ้า มันมาภาวนายังไงถึงเป็นอย่างนี้งงเจ้าของ
ก็ตั้งหน้าตั้งตาจะมาภาวนา แล้วสติไม่มีจะเรียกว่าความเพียรได้ยังไง เอาเสียจนกระทั่ง.. ตั้งหน้าตั้งตา ตั้งสติตั้งพับล้มผล็อยให้เห็นต่อหน้าต่อตา นี่กระแสของกิเลสเวลามันหนักหนักอย่างนั้นนะ เจ้าของเองดูเจ้าของเอง ขึ้นอุทานแหละ โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ แต่ไม่ได้อุทานออกมาทางพูดนะ เป็นอยู่ในจิตด้วยความเคียดแค้นให้กิเลส โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาจนกระทั่งตั้งสติไม่อยู่ล้มผล็อยๆ สุดท้ายก็เอาน้ำตากราบกิเลสบูชากิเลสละซิ เอาละยังไงมึงต้องพัง ให้กูถอยกูไม่ถอย
นี่ละที่ตั้งละ มุมานะแล้วเอาเต็มที่เลย ฟัดกันเลย ต่อจากนั้นๆ มาถึงขั้นภาวนามยปัญญา หรือสติปัญญาอัตโนมัติ เรียกภาวนามยปัญญา เอาละนะที่นี่กิเลสโผล่ขึ้นมาไม่ได้ขาดสะบั้นๆ เหมือนกับสติโผล่ขึ้นมาไม่ได้กิเลสตีขาดสะบั้น พอธรรมะมีกำลังแล้วกิเลสโผล่ขึ้นมาขาดสะบั้นๆ จากนั้นก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา พับเดียวขาดสะบั้นเลย นั่นเป็นความเพียรอัตโนมัตินะนี่ อยู่ที่ไหนแก้ตลอดแก้กิเลส ท่านทั้งหลายไม่เคยภาวนา ได้ยินแต่พระพุทธเจ้าว่า ภาวนามยปัญญา ดูเอาในนี้ พระองค์ผ่านมาแล้วจึงมาสอนโลก สอนผิดที่ไหนว่ะ
พอถึงขั้นมันเป็นแล้วมันเป็นจริงๆ อยู่ที่ไหนแก้กิเลสตลอด เหมือนกิเลสมัดหัวใจสัตว์โลก เวลากิเลสมีกำลังใครอยู่ที่ไหนก็ตาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต สัมผัสสัมพันธ์อะไรกิเลสออกก่อนๆ แล้วทั้งนั้น นี่เวลาเรายังไม่ได้อบรม เวลาอบรมไปๆ ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป หนักเข้าๆ ทีนี้พออะไรเกิดพับธรรมะจะออกก่อนแล้วๆ ตาเห็นธรรมะออกแล้ว หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์อะไรธรรมะออกๆ ออกเพื่อเป็นอรรถเป็นธรรมเพื่อแก้กิเลสโดยลำดับลำดา นั่นท่านว่าเป็นอัตโนมัติ สติปัญญาแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติแล้ว จากนั้นมหาสติมหาปัญญาเชื่อมกันไปเลย ขาดสะบั้นไม่มีอะไรเหลือ
ทางเดินนี้สดๆ ร้อนๆ นะ อยู่กับหัวใจเราทุกคน ไม่ได้อยู่ในกระดาษ กระดาษท่านเขียนไว้เป็นหนังสือเฉยๆ ตัวกิเลสแท้ธรรมแท้อยู่ที่ใจของเรา ให้อ่านดูใจตัวเอง ถ้าอ่านใจตัวเองแล้วจะรู้กิเลส กิเลสอยู่กับใจ ธรรมอยู่กับใจ อ่านตรงนั้น แล้วจะแจ้งชัดขึ้นมาๆ จนกระทั่งเปิดโล่งหมดโลกธาตุไม่มีอะไรปิด มีกิเลสเท่านั้นชี้นิ้วได้เลย พอมาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีอะไรปิดบังหัวใจ มีกิเลสเท่านั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไป สุดยอดของสมมุติคือกิเลส ขาดสะบั้นลงไปแล้วหมดโดยสิ้นเชิง นั่น
การปฏิบัติธรรมให้ปฏิบัติอย่างนั้นซิ อย่าทำเหลาะๆ แหละๆ ทำอะไร โอ๊ย ดูไม่ได้นะ เราแก่ขนาดนี้ ไปงกๆ งันๆ อย่างนี้ละไปที่ใด โซซัดโซเซ แต่ตามันไม่ได้โซซัดโซเซละซิ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ออกมาจากใจ สติปัญญาอยู่กับใจ ความบริสุทธิ์ ถ้าพูดถึงเรื่องความบริสุทธิ์อยู่กับใจ อันนี้มันมีวัยที่ไหนมันคล่องตัวตลอด หมุนติ้วๆ อยู่นี้ มองเห็นอะไรปั๊บๆ มันรู้ทันทีๆ ถึงเจ้าของจะคลานไปก็ตามสติปัญญาไม่ได้คลานนะ มองอะไรปั๊บมันรู้ทันทีๆ นั่น
เราจึงดู ดูวัดป่าบ้านตาดนี่ละ จอมโง่สอนจอมโง่ เราก็จอมโง่ ลูกศิษย์เราก็จอมโง่ สอนหมู่พวกเดียวกันไม่ทราบจะตำหนิใครลงคอ มองลูกศิษย์ก็ขวางหูขวางตา ลูกศิษย์มองดูเราอาจจะขวางหูขวางตาก็ได้ใช่ไหมล่ะ จอมโง่ดูกัน เอาหัวชนกันไปเลย เป็นอย่างนั้นละ เห็นไหมจิตเวลามันฉลาด แป๊บ นี้มันรู้ทันทีๆ เลย นอกจากไม่พูด ความเก็บความรู้สึกนี้ใครจะเก่งยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ เก็บด้วยความมีเหตุมีผลทุกอย่างโดยอัตโนมัติ รู้เองเห็นเอง ควรจะออกมากน้อยจะออก ไม่ควรออกไม่ออก
ดังที่พระลักขณะท่านไปทูลพระพุทธเจ้าว่าท่านเห็นเปรตเห็นผี ภาวนาเห็นเปรตเห็นผี ยกตัวอย่างย่อๆ นะ เปรตตัวนั้นเป็นเปรตสำคัญ กา เขานำของไปจังหัน นั่นเห็นไหมของยังไม่ถึงวัดยังไม่ถึงพระนะ เขาหาบของไปถวายพระ พอหาบไปนั้น เจ้าของเผลอ อีกามันจับอยู่ มันบินลงมาโฉบเอาอาหารในภาชนะเขาไปกิน เขาจะเอาไปถวายพระ ยังไม่ถึงมือพระ แต่ของนั้นเป็นของสงฆ์ไปแล้วนั่น กาตัวนี้โฉบกิน ตายแล้วไปตกนรกเป็นเปรต นู่น ฝั่งนรกยาวขนาดไหน ปากกาตัวนี้เกาะอยู่โน้น หางกาตัวนี้เกาะอยู่โน้น นรกกว้างๆ
พระลักขณะท่านไปดู โถ เปรตตัวนี้ทำไมถึงเป็นเอานักหนา เราก็เคยเห็นทั้งเปรตทั้งผีมามากต่อมาก เพราะท่านชำนาญพระลักขณะ พระลักขณะ พระโมคคัลลาน์อย่างนี้ชำนาญมาก เราก็เห็นมามากต่อมาก ไม่เห็นมีเปรตตัวใดจะเหมือนเปรตตัวนี้ เปรตตัวนี้เป็นกา ปากเกาะอยู่ฝั่งนรกฝั่งโน้น ปากนรกทางโน้น หางเกาะอยู่ปากนรกทางนี้ แล้วก็ไปกราบทูลพระพุทธเจ้า เอ้อ ใช่แล้ว เราเห็นตั้งแต่เราตรัสรู้ใหม่ๆ นั่นเห็นไหม แต่ก่อนท่านไม่พูดเลยเห็นไหม เมื่อมีเหตุผลกลไกที่จะรับสั่งออกมาท่านก็รับกันปุ๊บเลย
เอ้อ นี่เราเห็นแล้วตั้งแต่เราตรัสรู้ใหม่ๆ โน้น กาตัวนี้เป็นกาที่ขโมยกินของเขา เขาไปจังหัน ไปถวายพระ กาตัวนั้นเห็นเลยบินลงมาโฉบเอาอาหารเขาไป ยังไม่ถึงมือพระเลยนะ เป็นของสงฆ์แล้วนั่น เป็นบาปเป็นกรรมเต็มตัวแล้ว ตายแล้วตกนรกก็ไปเป็นกาตัวนี้ละ นั่นถ้ามีเหตุผลที่ควรจะพูดจะรับสั่งพระพุทธเจ้ารับสั่งเลย พระองค์ทรงรู้แล้วตั้งแต่ตรัสรู้ใหม่ๆ ดูซิน่ะ แต่พึ่งมารับสั่งออกมาตอนที่พระลักขณะไปเป็นพยาน ก็เป็นอย่างนั้นละ สิ่งที่มีที่เป็นนี้เห็นอยู่มันจะปิดบังไปไหนวะ นอกจากคนตาบอดเอาหัวชนเอา ถ้าหูดีตาดีมันหลีกได้ๆ
ธรรมเป็นของครึของล้าสมัยที่ไหน ใหม่เอี่ยม ไม่ว่าบาปว่าบุญใหม่เอี่ยมตลอดเวลา ใครอย่ากล้าหาญชาญชัยถ้าไม่อยากจม จะอวดดีว่าบาปไม่มีบุญไม่มี พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่มีองค์ใดตรัสรู้ขึ้นมาแล้วปฏิเสธบาปบุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี ไม่มี พระองค์เดียวไม่มีปฏิเสธ ยอมรับกันหมด
แล้วใครจะไปเก่งกว่าพระพุทธเจ้ามาจากไหน ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี มันพวกเก่งๆ นี้ละพวกจมลง มันเก่งกว่ากาตัวนั้นอีก เข้าใจไหมล่ะ ให้พากันระมัดระวังนะ ครั้นเวลามันง่วงนอนมันขี้เกียจขี้คร้าน พักสักหน่อยเสียก่อน หมอนดีกว่าบุญกว่ากุศลกว่าสวรรค์นิพพาน หลับครอกๆ อู๊ย พระวัดนี้เลยจะได้กุสลาตายละ ไปมีแต่เห็นหลับครอกๆ กุสลาคนนี้กุสลาคนนั้น พระเลยจะตาย มีแต่กุสลากันตายทั้งเป็น เข้าใจไหมล่ะ เอาละพอ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |