เสียงความจริงคือเสียงธรรม
วันที่ 26 พฤษภาคม 2550 เวลา 7:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

เสียงความจริงคือเสียงธรรม

ก่อนจังหัน

พระ ๔๒ ที่ไม่ได้มาฉันเยอะนะ อยู่ข้างใน ท่านไม่ฉันท่านก็ไม่ออกมา องค์ใดที่ไม่ฉันเราให้เป็นสิทธิพิเศษสำหรับท่านจะปฏิบัติต่อตัวเองทางด้านความเพียร คือจิตตภาวนา ถ้าฉันอยู่ก็ได้มารวมกันทำข้อวัตรปฏิบัติรวมกัน เป็นความพร้อมเพรียงกัน ถ้าองค์ไหนไม่ฉันก็แยกตัวออกแล้วไม่ยุ่งกับใคร ชำระซักฟอกจิตใจตลอดเลย สำหรับพระวัดนี้ไม่เคยมีพระมาฉันครบองค์ตั้งแต่สร้างวัดมา ขาดตลอดเวลา พอองค์นี้มาฉัน เอา องค์นั้นหายองค์นี้หายไปเรื่อยๆ อย่างนั้น

การตะเกียกตะกายอยากเป็นคนดีมีความสุขความเจริญ ต้องได้ฝึกฝนอบรมตะเกียกตะกาย หนักบ้างเบาบ้าง บางทีหนัก เอา ถึงขั้นจะตาย เอา อย่างนั้นก็มี เพื่อความดีงามสำหรับตน แบบสุกเอาเผากินๆ ใช้ไม่ได้นะ พวกเรานี่พวกสุกเอาเผากิน ไม่มีหลักมีเกณฑ์ในการทำมาหาเลี้ยงชีพ การเสาะแสวงหารายได้รายมี การเก็บการรักษาไม่ค่อยมี มีแต่เลื่อนลอยๆ หาก็หาแบบเลื่อนลอย ได้มาก็เลื่อนลอย เวลาได้มาแล้วเลื่อนลอย การเก็บรักษาจะมีที่ไหน มันก็ต้องเลื่อนลอยเหมือนกันหมด ถ้าเป็นธรรมแล้วมีหลักมีเกณฑ์ ได้มามากน้อยจะแยกสันปันส่วนไปทางไหนๆ ต้องพิจารณาให้เรียบร้อย เรียกว่าผู้ครองชีพด้วยความมีหลักมีเกณฑ์ อยู่ไปกินไปแบบสุกเอาเผากินๆ ใช้ไม่ได้นะ

มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องยืนยัน เพื่อความสุขความเจริญและความแน่นหนามั่นคงแก่โลก ถ้ามอบให้กิเลสแล้วแหลกไปหมด ไม่มีใครได้ใครมี ไม่มีใครดีใครเด่น ความสุขความเจริญไม่มี ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกๆ ถ้ามีธรรมแล้วอยู่ที่ไหนสบายๆ จึงต้องเสาะแสวงหาธรรม อดทนละดี ต้องใช้ความอดความทน เก็บความรู้สึกให้ดี อย่าให้มันออกแปลบปลาบๆ ปากนี้เร็วนะ เก็บความรู้สึกไว้ ใคร่ครวญพิจารณาเรียบร้อยแล้ว คำไหนจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือแก่ผู้ใดก็ตามให้นำคำนั้นออกไป ถ้าไม่เกิดประโยชน์และยังจะเกิดโทษด้วยแล้วเก็บเงียบเลย นั่นเรียกว่าคัดเลือกกิริยาการแสดงออกของตัวเองแต่ละคนๆ

อย่างพระที่อยู่ด้วยกัน มีหัวใจด้วยกัน มีกิเลสด้วยกัน เวลามาอยู่ด้วยกันแล้วเอาธรรมตีเข้าไปเลย ฟังเสียงธรรมเท่านั้น กิเลสไม่ให้มีอำนาจ เอาธรรมบีบบังคับก็สวยงามออกมา มีความสวยงามออกมาสงบร่มเย็น นี่มาจากชาติชั้นวรรณะไหนเต็มอยู่นี้ มีหลักศาสนธรรมที่เป็นความถูกต้องและเลิศเลอครอบไว้แล้ว ก็ดีงามไปตามขั้นภูมิของตนที่ปฏิบัติได้ ถ้าไม่ปฏิบัติเลยปล่อยให้ดีเองมันก็มีแต่ชื่อละ นายดี นายมี นางสวรรค์เต็มอยู่ในเรือนจำเยอะนะ มันดีแต่ชื่อ สมัยปัจจุบันนี้คนเป็นบ้าชื่อเสียง เราอดหัวเราะไม่ได้ถ้าจะหัวเราะ แต่อดเอาไม่หัวเราะเพราะมันน่าสลดสังเวช

ตั้งชื่อตั้งนามนี่ พอถาม นี่ชื่อว่ายังไง ให้เตรียมตัวไปฟังบนจรวดดาวเทียมนะ นี่ชื่อว่ายังไง มันจะไปตอบฟากจรวดดาวเทียม แต่ตัวของคนอยู่ในก้นนรก เป็นอย่างนั้นนะ มันไม่สนใจปฏิบัติตัวเองให้เป็นคนดียิ่งกว่าชื่อกว่านาม ชื่อนามนี่ตั้งหยดย้อยไปเลย อู๊ย สมัยบ้าจริงๆ ลมปากลมแล้งเสกสรรปั้นยอกันมา ความดีไม่สนใจที่จะปฏิบัติเพื่อตัวเอง เสียตรงนี้นะ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ปฏิบัติเพื่อตัวเอง ไม่ได้ประกาศป้างๆ แบบลมๆ แล้งๆ มีตนมีตัวมีเนื้อมีหนังมีหลักมีเกณฑ์การปฏิบัติตัวเอง

นี่ก็ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องกับวัดนี้มากมายก่ายกองในวันหนึ่งๆ ควรจะได้คติธรรมไปใช้ในบ้านในเรือนของตน จะมีอยู่ครบนี้หมด ความรู้จักประมาณในการเป็นอยู่ปูวายการใช้สอยทุกอย่าง มีอยู่ในวัดนี้หมด เอาไปเป็นคติเครื่องเตือนใจได้ ถ้าไม่สนใจแล้วไปไหนมันก็ไม่ดีแหละ ไปที่ไหนก็ไม่ดี เอาละให้พร

ก่อนฉันหลวงปู่มั่นท่านเคยเล่าให้ฟัง ตั้งแต่ท่านเป็นเณร ก่อนจะฉันเอาปั้นข้าวนี่ไปให้เณรที่เรียน ปฏิสงฺขา โยฯ จบแล้วเป่าเสกให้ แล้วส่งต่อไปเรื่อยๆ ท่านพูดเองนะ ท่านพูดท่านไม่ได้หัวเราะ แต่เราผู้ฟังอกจะแตกจวนจะระเบิด จะหัวเราะก็ไม่ได้อีกแหละ ท่านว่าต้องให้เณรหัวหน้าที่รู้ ปฏิสงฺขา เป่าให้ องค์ไหนที่ไม่ได้ก็ต้องให้เณรนั้นเป่าให้เสร็จก่อนจึงค่อยฉัน ก็น่าฟังอยู่นะ ต้องมี ปฏิสงฺขา ก่อน พอมี ปฏิสงฺขา แล้วค่อยฉัน องค์ไหนไม่ได้ ปฏิสงฺขา ก็เป่าให้กัน ยื่นคำข้าวให้กัน นี่ท่านพูดนะ ตั้งแต่สมัยท่านเป็นเณร สมัยโบราณให้เป่าให้ ปฏิสงฺขา แล้วเป่าและยื่นคำข้าวให้ ขบขันดีนะ

นี่แบบมี ปฏิสงฺขา โยนิโส ปิณฺฑปาตํ ปฏิเสวามิ พิจารณาอาหารการบริโภคเพื่ออะไรๆ มีเหตุมีผลเสร็จ ท่านสอนไว้ เพราะฉะนั้นจึงเอามาใช้ตามกำลังของคนสมัยนั้น ไม่ได้ ปฏิสงฺขา ก็ให้คนอื่นเสกเป่าให้ คนไม่มี ปฏิสงฺขา ก็ขบขันอีกอันหนึ่งเหมือนกัน พวกนี้พวกมี ปฏิสงฺขา พวกเณรเล็กๆ น้อยๆ ไม่ได้ ปฏิสงฺขา โยนิโส ปิณฺฑปาตํ ก็มีเณรใหญ่เสกคาถาให้ เอาปั้นข้าวยื่นให้กันเสกให้กัน นี่พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านเล่า เรากลั้นหัวเราะจะตาย ท่านเล่าสบายไอ้เรามันจะตาย ยื่นคำข้าวให้องค์นั้นๆ เสกเป่าไปเรื่อยๆ นี่คนมีคาถา

พระเณรมีคาถาน่าดูนะ กับคนไม่มีคาถา สุกเอาเผากิน สุกไม่สุกก็ตาม อย่างเฒ่าตันไปหายิงเนื้อ วันนั้นไม่ได้อะไรเลยจนตะวันจะเที่ยงถึงกลับมาถึงทับ ถึงทับแล้วจะตายมันหิวข้าว ทั้งหุงข้าวทั้งได้เห็ดโคนมาก็เผาเห็ดโคน แล้วใส่ปาก มันจะตายมันหิวข้าว เห็ดโคนมันลวกปาก จะคายออกก็เสียดาย ได้แต่ร้องฮ่อๆๆ  นี่ไม่มี ปฏิสงฺขา คนไม่มี ปฏิสงฺขา เห็ดโคนมันร้อน มันหิวข้าวจะตาย พอเอาเห็ดโคนใส่ปากมันร้อนมันเผาปากละซิ ก็ร้องฮ่อๆๆ ขบขันดี หวัดเรามันเป็นยังไง อย่างนี้ละคนแก่ มันไม่ได้หายง่ายๆ นะมันเรื้อรัง ธรรมดาหวัดมีปัญหาอะไร อันนี้เป็นปัญหาใหญ่มันไม่หายง่ายๆ ยังไอยังจามอยู่เมื่อคืนนี้ก็ดี อันนี้ไม่มี ปฏิสงฺขา เสกเป่าให้มันหายหวัดอันนี้ เลยยอมจามยอมไอไปเพราะเราไม่มี ปฏิสงฺขา

หลังจังหัน

         โรงพยาบาลโขงหลงเขาขอเครื่องมุงอะไรๆ ตกลงให้เขาแล้ว กำลังมุง ไปถามเมื่อวานว่าจวนเสร็จแล้ว เครื่องมุงโรงพยาบาลโขงหลง เอาของไปส่งให้ด้วย แล้วก็ไปดูเครื่องมุงเขาด้วย (มูลนิธิช่วยเหลือชนบทที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่หลวงตาเมตตาส่งสิ่งของต่างๆ ไปช่วยเหลือชาวชนบทในเขตเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน เขาได้รับเรียบร้อยแล้วและมีหนังสือขอบพระคุณมา พร้อมทั้งจะนำสิ่งของไปบริจาคให้คนทุกข์คนจนตามสถานที่ต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นต่อไปครับ)

ไปโรงพยาบาลแทบว่าทุกวัน เว้นวันเสาร์วันอาทิตย์เท่านั้น ไปโรงพยาบาลต่างๆ จันทร์ถึงศุกร์ไปโรงนั้นๆ ตลอด ไปโรงนั้นถามเรื่องนั้น ไปโรงนี้ถามเรื่องนี้ ไม่ใช่ไปส่งของให้แล้วมานะ มันมีเรื่องที่จะต้องติดตามกันเรื่อยๆ  อย่างเมื่อวานนี้ติดตามถึงเรื่องเครื่องมุงเขา จวนจะเสร็จแล้ว โรงพยาบาลโขงหลงทางเข้าวัดถ้ำพระภูวัว อันนี้เราก็เคยช่วยมานานแล้ว ไปไหนโรงพยาบาลไหนที่เราผ่านไปแล้วไม่ได้ช่วยนี้แทบไม่มีนะ โรงนี้ช่วยนั้น โรงนั้นช่วยนั้นๆ ตลอดเลย อย่างเมื่อวานไปโขงหลงก็ช่วยหลังคา ไปช่วยก่อนหน้านั้นก็มี อันนี้เขาขอหลังคาเราก็ให้หมดเลย

ที่เราดีดเราดิ้นนี้เราไม่ได้เอาอะไรนะ ที่ดีดดิ้นนี้เพื่อโลกช่วยโลกทั้งนั้น เราไม่เอาอะไรเลย ได้รับมามากน้อยๆ เฉลี่ยไปหมดๆ เลยเราไม่เอา ทางด้านธรรมเราก็พอ ด้านวัตถุทุกอย่างเราก็พอ กับโลกที่บกพร่องตลอดมาเราช่วย ไปที่ไหนจนพวกในสี่แยกต่างๆ เขาจำรถเราได้หมด จำได้จริงๆ เพราะผ่านแล้วผ่านเล่า ไปทีไรไฟเขียวไฟแดงดอกไม้พวงละสามร้อยบาทๆ ให้ เขาขายดอกไม้พวกหนึ่งสิบบาท แต่เราให้รายหนึ่งสามร้อยๆ ดอกไม้ไม่เอา ไปยื่นให้ๆ ไปเรื่อยเลย อย่างนี้ละเขาจำได้หมดนั่นแหละ เราไปไหนเขาจำได้หมด นี่ละอำนาจเมตตาธรรม เขาจำได้หมด ไปที่ไหนมีแต่เมตตาหว่านไปหมด ถ้าพอแล้วเป็นอย่างละ ถ้าไม่พออะไรมาก็จมไปๆ ไม่พอ ถ้าพอแล้วอะไรมามันล้นเหลือๆ ไป นี่พอ พูดชัดๆ อย่างนี้

เสียงธรรมไม่ใช่เสียงโกหกมดเท็จ ไม่ใช่เสียงโม้โอ้อวด เสียงความจริงคือเสียงธรรม เวลาหาอรรถหาธรรมเราก็หาแทบเป็นแทบตาย ตั้งแต่เริ่มบวชมา บวชวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๔๗๗ นั่นละวันเข้าโบสถ์บวชที่วัดโยธานิมิตร มาถึงปีนี้ก็ได้ ๗๓ ปีเต็มแล้ว วันที่ ๑๒ พฤษภา นี่ก็เลย ๑๒ พฤษภา มาแล้ว ได้ ๗๓ ปีเต็ม นี่ละเสาะแสวงหาความดีงามทั้งหลาย อ่านหนังสือไปแปลกๆ อยู่นะ อ่านไปสะดุดเรื่อยๆ เหมือนว่ากระตุกเจ้าของที่เคยทำความผิดมาแล้วในธรรมะข้อนั้นๆ อธิบายไปบอกไปๆ เราผิดมาแล้วๆ พยายามแก้เรื่อยๆ  เอ๊ะ นี่เราก็ผิดมาแล้ว พยายามแก้เรื่อย วัยนั้นอยากไปสวรรค์ พูดตามความสัตย์ความจริง เวลาบวชจะไม่ให้ได้ต้องติเจ้าของได้เลย สิกขาบทวินัยให้สมบูรณ์แบบ เวลาตายแล้วจะได้ไปสวรรค์

ความคิดก่อนบวชจนกระทั่งถึงบวช ตายแล้วจะได้ไปสวรรค์ ทีนี้พอบวชเข้าไปแล้วอ่านหนังสือ สวรรค์ จากนั้น พรหมโลก นิพพาน จิตเลยดื่มไปเรื่อย สวรรค์มีอายุเท่านั้นๆ ชั้นนั้นๆ พรหมโลกชั้นนั้นๆ ถึงนิพพานเลิศเลย ทีนี้มันเลยบึ่งถึงนิพพาน สวรรค์ไม่อยากไปนะ สวรรค์ก็ไม่อยากไป พรหมโลกไม่อยากไป ดิ่งถึงนิพพาน นี่เวลาเรียนจวนจะจบแล้ว มุ่งแต่นิพพาน ใครจะมารับภาระความสงสัยในมรรคผลนิพพานให้เรา เห็นมีแต่หลวงปู่มั่นองค์เดียว จิตใจมันพุ่งๆ ใส่หลวงปู่มั่น กำลังเรียนหนังสืออยู่ ท่านพูดถึงเรื่องนิพพานๆ ในหนังสือ ก็ศาสดาองค์เอกละสอนไว้ แต่มันก็ไม่ลงใจ มันอยากเอาสดๆ ร้อนๆ ปัจจุบัน หาสดๆ ร้อนๆ คือใคร ก็เล็งเห็นแต่หลวงปู่มั่น

พอหยุดจากเรียนแล้วออกเลยนะ โอ๊ย ลำบากแต่ก็ผ่านได้ คือผู้ใหญ่ ไปอยู่ที่ไหนๆ พูดเราก็สาธุ เราไม่ได้พูดโอ้อวดนะ มันจะมีวาสนาอยู่บ้างพอประมาณ ไปอยู่กับผู้ใหญ่ที่ไหนๆ ท่านรักเมตตาทั้งนั้น ไปอยู่กับองค์ใดๆ เฉพาะสุดท้ายนี้ก็คือสมเด็จมหาวีรวงศ์ วัดพระศรีมหาธาตุ วันนั้นเป็นวันเผาศพหลวงปู่มั่นเรา พอเผาศพเรียบร้อยแล้วจะเอาเราไปกรุงเทพด้วย ไม่มีปี่มีขลุ่ยจะลากไปเลยนี่ ถือว่าเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิอยู่ในนั้นแล้ว จะเอาไปเลย เออ จะทำไง พอดีก็มีท่านเจ้าคุณศรีวรคุณ น้องชายของท่านเจ้าคุณอุบาลี โอ้ เราไม่ลืมบุญของท่าน ท่านละช่วย

คือท่านทั้งสององค์นี้ท่านเป็นเพื่อนกันสนิทกัน ท่านจะว่าอะไรกันท่านก็ว่าได้ เราก็นั่งหมอบ จะเอามหาบัวไปกรุงเทพ จะเอาให้ได้ เพราะติดตามเราตลอดมาจะเอาเราไปกรุงเทพ เราก็ไม่ไป หลบนั้นหลีกนี้ พอมาถึงที่จนตรอก เผาศพหลวงปู่มั่นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เลยไม่มีสองมีสามนะ จะเอาไปท่าเดียว โธ่ เราก็ไม่ทราบจะทำยังไง แล้วเวลานั้นพูดให้มันชัดเจนเลย เวลานั้นจิตมันหมุนติ้วๆ แล้ว มันอยู่กับใครไม่ได้แล้ว เดือน ๓  พอเดือน ๖ มันก็พังกันที่บนหลังวัดดอยธรรมเจดีย์ใช่ไหมล่ะ เดือน ๓ กำลังหมุนติ้วๆ อยู่กับใครไม่ได้เลย

คิดดูเผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นมาอยู่ได้ ๔ คืน มาอยู่ในงานเผาศพ คลุกคลีตีโมงอยู่ในงานเผาศพ นอกนั้นเราไม่เข้ามา คืออันนี้หมุนอยู่ตลอด แล้วอันนี้เลิศเลอยิ่งกว่า ธรรมานุธรรมปฏิบัติ คือการปฏิบัติบูชาธรรม บูชาท่านด้วยการปฏิบัติเลิศเลอยิ่งกว่าการขวนขวายภายนอก เรียกว่าอามิส เช่น ขวนขวายเพื่อท่านอะไรๆ เกี่ยวกับด้านวัตถุ เราก็เลยยกอันนี้พร้อมกับความพอใจของเรามันหนักแน่นพอแล้ว เอาอันนี้ละบูชาท่าน อยู่ในเขา ไปอยู่องค์เดียวในเขา บางครั้งก็ไปทางกาฬสินธุ์ อยู่องค์เดียว ถึงเวลาที่จะกราบเยี่ยมท่านทางด้านวัตถุ สรีระของท่านก็มา มากราบปั๊บๆ กลับเลยไม่ให้ใครรู้ใครเห็น พระจะติดตาม เพราะจิตของเรามันหมุนอยู่ตลอดเวลา

นี่ละจิตเวลามันจะออกท่านทั้งหลายจำเอา ถึงขั้นมันจะออกยังไงก็อยู่ไม่ได้เลย หมุนติ้วๆ บางคืนไม่ได้หลับเลย มันหากเป็นของมันหมุน เหมือนว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ จับผิดจับถูกๆ แล้วอะไรจะไปหนักยิ่งกว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม มันก็หมุนใหญ่เลย นั่นละพอเผาศพแล้วท่านจะเอาไปกรุงเทพ สมเด็จมหาวีรวงศ์ วัดพระศรีมหาธาตุ เอาแบบไม่มีข้อแม้เลย ถือว่าเราเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของท่านมานมนานแล้ว ท่านจะลากไปเลย เราก็ อู๊ย จะทำยังไง แต่ยังไงก็ไปไม่ได้ หากจะหาอุบายออกด้วยวิธีที่สวยงาม เคารพไม่ให้เสีย จะพยายาม

ก็พอดีกับท่านเจ้าคุณศรีวรคุณ ท่านเป็นเพื่อนกัน ท่านนั่งอยู่ด้วยกัน คุยกันไปคุยกันมา มีแต่จะเอาไปท่าเดียว ท่านเจ้าคุณศรีวรคุณท่านก็ทราบว่าเราออกปฏิบัตินานเท่าไรแล้ว ท่านคงจะรำคาญหรือสงสารเราท่า มีแต่จะเอาไปท่าเดียว ไอ้เรามันจะทำยังไง เพราะจิตเวลานั้นมันหมุนธรรมจักร มันจะไปได้ยังไง จะกลับไปอยู่อย่างนั้นได้ยังไง บทเวลาท่านจะขึ้นก็ไม่ยากนะ เพราะท่านเป็นเพื่อนกัน ก็จะเอาเขาไปไหนอีกว่างั้นนะ เขาอยู่กับเรามานานแล้ว เขาจะออกไปที่ไหนก็ให้เขาออกไปบ้างซี ก็รู้แล้วว่าเราเคยอยู่กับสมเด็จ เขาจะไปทางไหนก็ไปบ้าง อายุพรรษาก็เฒ่าแก่ ถ้าเป็นคนก็เรียกว่าเป็นพ่อตาแม่ยายได้แล้ว ไม่ใช่เป็นลูกเขยใหม่ จะเอาเขาไปไว้เป็นลูกเขยใหม่ยังไง พรรษาก็แก่แล้ว

เราอยากให้ท่านถามพรรษา สักเดี๋ยวท่านก็ถาม ท่านมหาพรรษาเท่าไร เราก็ตอบทันทีเลยว่า ๑๖ พรรษา โน่นน่ะ เป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้ว จะเอาไปเป็นลูกเขยใหม่ได้ยังไง เราอยากจะตอบว่า ได้ ๓๐ พรรษานู่นน่ะ มันอยากหาทางออก เลยรอดไป นั่นละตอนที่ว่าหมุนนี่กลับไม่ได้นะ ให้ดูเอานั่นจิตเวลามันหมุน หมุนเพื่อจะ เพราะนิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ เลย ให้มันเป็นในใจเถอะน่ะ ใครก็ตามเป็นในใจ โลกธาตุสามโลกธาตุไม่มีอะไรมีน้ำหนักยิ่งกว่าธรรม ไม่มีอะไรมีน้ำหนักยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า จับติดๆ จับติดเลยไม่มีแยกกันเลยๆ เป็นกับตายอยู่กับธรรมอยู่กับพระพุทธเจ้าอย่างเดียว สิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมาย นี่ละเวลามันถึงขั้นมันจะออกเป็นอย่างนั้นนะ

ท่านช่วยได้ ท่านก็เลยสงบนะ พอว่า ๑๖ พรรษา โน่นน่ะเป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้ว จะให้เป็นลูกเขยใหม่อยู่ยังไง ทางนั้นก็เลยสงบลง เป็นอันว่าหยุด เพราะท่านพูดนี้ก็ถามเราเสียด้วย เราไม่อยากตอบ ๑๖ พรรษา เราอยากจะตอบว่า ๓๐ พรรษานู่นน่ะ จะว่างั้น เพื่อหาทางออก นู่นน่ะเห็นไหมล่ะ เป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้ว จะไปเป็นลูกเขยใหม่อยู่ยังไง ท่านพูดกัน เราก็ฟัง สุดท้ายท่านก็ปล่อย นั่นละถึงได้ออกสะดวก ตอนที่จิตมันหมุนหมุนจริงๆ นะ เอาเถอะน่ะสามโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรมีความหมาย ถ้าลงธรรมกับใจหมุนใส่กันแล้วนี้ไม่มีอะไรเอาออกได้ สามโลกธาตุไม่มีความหมาย ลงธรรมกับจิตได้เข้าถึงกันแล้วนี้ไม่มีความหมาย มีอันเดียวเท่านั้น พุ่งๆๆ เลย ให้ฟังเสียท่านทั้งหลายฟังธรรม ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นละ

ถ้าลงได้ธรรมเข้าถึงใจแล้วอยู่ไม่ได้บอกงั้น คิดดูอย่างพระยสกุลบุตรเป็นไง สมบัติเงินทองข้าวของกองสักเท่าไร มีลูกชายคนเดียว พ่อแม่จะเอากองเงินกองทองมามอบให้หมด ก็ลูกชายคนเดียว ไม่เอาๆ วุ่นวาย ยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่เอา ออกท่าเดียวๆ ไปหาพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จจงกรมอยู่ มานี่ๆ มานี่ไม่ยุ่งไม่วุ่นวาย ท่านเทศน์สอนสำเร็จผึงเลย ก็มันสุกมันแก่พอแล้ว ถึงจะไม่บ่มมันก็จะสุกหลุดขั้วมันจากต้นแล้ว พระยสกุลบุตร อันนี้ก็คลายคลึงกัน ถึงขั้นจะไปแล้วมันอยู่ไม่ได้นะ เอาอะไรมาไว้ก็ไม่อยู่ หมุนติ้วๆ เลย คิดดูซิในงานศพพ่อแม่ครูจารย์มั่น มาอยู่ได้ ๔ วัน

ถ้าพูดถึงเรื่องส่วนสรีระกาย คนเคารพนับถือนิยมกันขนาดไหนครูบาอาจารย์ขนาดนั้น ไอ้เราเป็นลูกศิษย์ติดแนบอยู่กับท่านตั้งแต่วันไปอยู่กับท่าน จนกระทั่งท่านมรณภาพถึงวันเผาศพนั้น ไปอยู่กับท่านเพียง ๔ วันมันเป็นไปได้เหรอ นี่เพราะอะไร เพราะจิตนี้มันหมุนตลอด เอาจิตนี้ละเป็นธรรมบูชาท่าน ปฏิบัติบูชาแทนอามิสบูชา คือขวนขวายวิ่งเต้นอย่างนี้เพื่อท่าน เพื่อศพของท่าน ไม่เอา ให้หมู่เพื่อนจัด ใครจัดก็ได้ เราไปทำของเราเอง เอาปฏิบัติบูชาอย่างนี้ เข้าไปกราบมับๆ เปิดเลยๆ นั่นละถึงขั้นมันอยู่ไม่ได้อยู่ไม่ได้นะ ธรรมนี้เป็นอย่างนั้น

ฟังเสียธรรมพระพุทธเจ้า สดๆ ร้อนๆ ขอให้มันเข้าหัวใจใดเถอะน่ะ โลกกิเลสตัณหาตายกองกันนี้พังทลายๆ เลย ขอให้ธรรมได้เข้าถึงใจเถอะ อำนาจของกิเลสตัณหามันจะหนาแน่นมากี่กัปกี่กัลป์ก็ตามธรรมพังได้ทั้งนั้น ไม่มีเหลือเลยเมื่อกำลังของใจกับธรรมเข้าถึงกันแล้ว โลกธาตุนี้ตายกองกันมากี่กัปกี่กัลป์พังหมดเลย อำนาจของธรรม จึงว่าโลกุตรธรรม ธรรมเหนือโลกละซิ นี่ละให้พากันฟังเสียนะ การปฏิบัติธรรมขั้นที่หมุนติ้วๆ สมเด็จท่านก็จะเอาไปวัดพระศรีมหาธาตุ เราก็จะตายละ เอ๊ ทำไง ก็พอดีท่านเจ้าคุณศรีวรคุณท่านช่วยเลยรอดตัวได้ จากนั้นก็พุ่งเลย

เดือน ๓ เผาศพเสร็จ ไปวัดดอยธรรมเจดีย์ ก็พอดีครบ ๑๐๐ วันของท่าน เขาก็นิมนต์ลงมาอีก เอ้า มันยังไงอีกนา เราเคารพท่านเราก็ต้องลงมา ลงมาแล้วปั๊บทีนี้ไปนู้น ไปทางอำเภอบ้านผือ ศรีเชียงใหม่ ไปคนเดียวเท่านั้นละ ไปจนกระทั่งเดือน ๖ กลับมา กลับมาก็ขึ้นดอย นั่นละไปฟัดกันขาดสะบั้นลงไปตรงนั้น เดือน ๖ วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นั่นละขาดสะบั้นลงไปปัญหา ตั้งแต่นั้นมาจึงหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง เรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิง สมมุติไม่มีเลยในหัวใจ อยู่กับสมมุติทั้งหลายนี้มันยุ่งนะ เราอยู่คนเดียวโลกนี้มันว่างหมด เหมือนไม่มี สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โลกเป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า มันว่างอยู่ที่หัวใจ หัวใจไม่มีอะไรเข้ามาผ่าน ขึ้นชื่อว่าสมมุติแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มีผ่าน เหลือแต่วิมุตติธรรมความว่างเปล่า สุญฺญโต โลกํ อยู่ไหนอยู่ได้หมด สบาย นั่นละธรรมแท้ไม่ยุ่งกับอะไร

ธรรมแท้มีอันเดียว มีสองเข้าไปมันเหมือนก้างขวางคอ เหมือนผงเข้าตา มีอันเดียวเท่านั้นพอ อยู่สบาย พูดนี้ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนะ ไม่ได้มาพูดเฉยๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดมานี้พูดออกมาจากหัวใจๆ เราปฏิบัติแทบเป็นแทบตาย แทบจะสลบไสลบางครั้ง มาโกหกโลกได้ยังไง ฟังซิน่ะ นี่ละการปฏิบัติธรรม ขอให้พากันปฏิบัตินะ อย่าเห็นว่ากิเลสตัณหาพวกส้วมพวกถานเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม ถ้าเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นเลิศเลอยิ่งกว่าธรรม เราจะเป็นส้วมเป็นถานเป็นมูตรเป็นคูถอยู่ในส้วมในถานตลอดไป จะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้เลย ถ้าเห็นธรรมเป็นธรรมแล้วเราจะขึ้นได้จากส้วมจากถาน

อย่าจมอยู่กับสิ่งนรกจกเปรตนี้ มันเคยจมมาสักเท่าไรแล้ว มันดีอะไรบ้าง ต้นไม้ภูเขา ดิน ฟ้า อากาศ สมบัติเงินทองข้าวของ ยศถาบรรดาศักดิ์มันมีอยู่บนหัวใจคนสักเท่าไร มันพาคนจมมากขนาดไหน ธรรมมีเท่าไรขึ้นนิพพานหมด นั่นเห็นไหมล่ะ ธรรมมีมากมีน้อยขึ้น โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ มีแต่ประเภทที่ขึ้นๆ ทั้งนั้นไม่ลง ถ้าลงโสดาแล้วอย่างน้อย ๗ ชาติ นอกจากนั้น ๓ ชาติ ๑ ชาติไป อนาคาไปแล้วไม่กลับ ขึ้นสุทธาวาส ๕ ชั้นๆ ทะลุถึงนิพพาน ไปนิพพานไม่กลับมาเกิดอีกนะ ไม่กลับมาเกิดตายกองกัน

สิ่งเหล่านี้เราเคยคิดเมื่อไรแต่ก่อน เวลามันรู้ในใจไปหาใครมาเป็นพยาน ไม่ต้องไปหา สนฺทิฏฺฐิโก พระองค์ประกาศป้างๆ ไว้แล้ว โดยพระองค์เป็นพระองค์แรกที่ตรัสรู้ขึ้นมาผาง ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต พูดท้าทายเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงของเราไม่มีการกำเริบอีกแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราตถาคต นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ต่อจากนี้ไปเราจะไม่มากำเนิดเกิดตายกองกันอย่างนี้ต่อไปอีก นั่น พระอัญญาโกณฑัญญะได้สักขีพยานในขณะนั้นก็เปล่งอุทานขึ้นเลยว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น

คือธรรมดาที่ท่านแสดงไว้ในตำราท่านพูดกลางๆ นะ ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นย่อมดับเป็นธรรมดา นี่พูดเป็นภาษาทางปริยัติ แต่พูดให้ถึงใจในธรรมทั้งหลายของผู้ที่รู้ธรรมแล้วจะไม่พูดอย่างนั้น เช่น พระอัญญาโกณฑัญญะพูดจะไม่พูดอย่างนั้น พอธรรมะ โสตะ คือกระแสพระนิพพานพาดพิงถึงปึ๋งนี้เท่านั้น สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น ขึ้นนี่เลย จะไม่ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดาดับเป็นธรรมดาไม่มี ท่านจะออกด้วยอำนาจพลังของใจท่าน สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้น สิ่งที่ไม่ดับคืออันนี้ นั่น เข้าใจไหม ธรรมชาติที่รู้อยู่เวลานี้อันนี้ไม่ดับ นั่นข้อยืนยัน

สิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับทั้งนั้นท่านว่างั้น แล้วอะไรมาเป็นข้อยืนยันกัน อะไรไม่ดับ อันที่รู้ขึ้นเดี๋ยวนี้ไม่ดับ นั่นเป็นข้อยืนยันกัน พระพุทธเจ้าก็ทรงเปล่งอุทานรับกันทันทีเลย อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ พระอัญญาโกณฑัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอๆ รู้ธรรมประเภทนี้ ต่อไปนี้จะไม่ตายเกิดๆ อีก สุดท้ายพระอัญญาโกณฑัญญะก็บรรลุธรรมปึ๋งเลย นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าลากเข็นสัตว์โลกขึ้นไปมันไม่อยากขึ้นจากส้วมจากถาน

อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี ดีทั่วโลกดินแดน ตายกองกันมันดีเหรอพิจารณาซิน่ะ มันตายกองกันนี้มันดีเหรอ วันนี้เผาศพคนนั้น วันนั้นเผาศพคนนี้ เผาศพคนนั้นคนนี้ตลอดเวลาดีเหรอพิจารณาซิ ฟาดลงไปป่าช้าดับหมดไม่มีอะไรเหลือ จิตบริสุทธิ์เท่านั้นป่าช้าไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง พากันจำเอานะ เอาละว่าจะไม่พูดมากที่ไหนมันมากพอแล้ววันนี้ เอาละทีนี้ให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก