ความเอาใจใส่ในครูบาอาจารย์
วันที่ 22 พฤษภาคม 2550 เวลา 7:50 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ความเอาใจใส่ในครูบาอาจารย์

         โรงพยาบาลนี้ให้เป็นประจำมาตลอด ระยะนี้ดูเหมือนหลายคันรถพยาบาล ดูจะสองล้านกว่าแล้วมั้ง ตั้งแต่ล้านกว่าเข้ามาเรื่อย เดี๋ยวนี้สองล้านกว่า ไปที่ไหนถ้าเป็นรถพยาบาลสวนทางมักจะได้เจอแหละ บริจาคโดย หลวงตามหาบัว ไปที่ไหนมีตั้งแต่หลวงตาๆ รถพยาบาล เวลาผ่านไปมองดูปั๊บรู้รถพยาบาล เดี๋ยวนี้กำลังสั่งอยู่หรือไง เมื่อวานนี้หรือวันไหนเขาก็มาติดต่ออยู่ ดูจะได้ให้ละท่า ไม่ให้ก็ไม่ทราบเขาจะไปหาที่ไหน หรือบางทีเห็นเขาขอได้เราก็ขอลองดูอย่างนั้นก็มีคนเรา ขอด้วยความจนจริงๆ ก็มี ขอด้วยความจนจริงๆ ความจนตรอกจนมุมนี้มีน้ำหนักมากกว่าการมาขอด้วยทดลองดูอะไรอย่างนั้น

ผู้ให้ไม่ได้ให้แบบทดลองนะ ให้ด้วยความเมตตา หมดมากหมดน้อยไม่เคยสนใจต่อความหมดความยัง สนใจแต่วัตถุนี้ออกจากนี้ไปเป็นประโยชน์แก่ผู้ใดสังคมใด อย่างนั้นนะ เดี๋ยวนี้แม้แต่ไฟเขียวไฟแดงเขาก็รู้ละว่าเป็นรถหลวงตา เขารู้ เช่นอย่างอำเภอหนองหาน พอมองเห็นปั๊บยกมือไหว้ ไกลแสนไกลเขาดูรถเขารู้เราแล้ว พวกขายดอกไม้ละมาก มีประจำๆ ที่ทางไฟเขียวไฟแดงไม่ค่อยขาดแหละ เราให้รายละสามร้อย เขามาขายดอกไม้ธรรมดาพวงมาลัยพวงหนึ่งก็ ๑๐ บาท เขาขายตามไฟเขียวไฟแดง เวลาเราไปเราให้เป็นประจำเลย ให้เจ้าละสามร้อยๆ

ความเมตตานี่สำคัญนะ เป็นในหัวใจ เป็นเองมันรู้ชัด แบบเสแสร้งไม่แน่นอนไม่ตายใจได้ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลง ถ้าเป็นแบบธรรมชาติอย่างที่ว่าเมตตา มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าทรงพระเมตตากรุณาธิคุณแก่สัตว์โลกหาประมาณไม่ได้ นี่เป็นหลักธรรมชาติของจิต ไม่ใช่มาเสกขึ้น คือมีเมตตาแล้วก็อ่อนนิ่มไปหมด ไม่มีคำว่าแข็งกระด้างกระเดิ้งไม่มี อ่อนนิ่มไปหมดเลย

ชาวพุทธเราต่างคนต่างถือพุทธ ตามกำลังความสามารถของตนในเพศของฆราวาสนี้ ก็พออยู่พอเป็นพอไปเมืองไทยเรา เป็นญาติเป็นมิตรกันไปได้ทั่วทุกหนทุกแห่ง ญาติมิตรทางสายธรรมนี้สำคัญมากกว่าญาติมิตรทางสายโลหิตอะไรๆ อันนั้นไม่ค่อยสำคัญนัก ถ้าเป็นญาติธรรมนี้ถึงไหนถึงกันเลย ความสงสาร พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของโลก พระองค์ไปเป็นญาติกับใครในทางสายโลหิตไม่มี แต่ญาติธรรมนี้เป็นเมตตาธรรมของพระองค์ครอบไปหมดเลย

จิตใจนี้ขอให้มันยิ้มแย้มออกมาเถอะน่ะ ความผ่องใสแพรวพราวมันจะเกิดขึ้นตามๆ กัน ถ้าจิตใจมีแต่ความมืดบอดเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองนี้ ไปที่ไหนก็เหมือนเราถือคบไฟไป เผาไปเรื่อย ไปที่ไหนเผาไปเรื่อยคนเห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบ นั่นคือเป็นทางระบายออกของคนประเภทนั้น ได้โกรธได้แค้นได้เคียดให้เขา ผูกพยาบาทอาฆาตแล้ว ถือเป็นความชอบธรรมของคนที่ชั่วช้าลามก หูหนวกตาบอดจริงๆ นะ ถ้าคนเป็นธรรมแล้วไม่เป็นอย่างนั้น

พูดอย่างนี้ก็เลยย้อนกลับไปที่ว่า พูดไม่ลืมนะเรา ถ้าอะไรสะดุดใจแล้วไม่ค่อยลืมง่ายๆ ฝังลึกมาก โยมคนนี้แกอยู่จันทบุรี แกเคียดแค้นให้แก เรียกว่าเป็นธรรม ดูกิริยาอาการของแกนี้ว่าเป็นนักเลงโต เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยเรา เราดูอาการของแกเป็นคนเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ถ้าเป็นทางชั่วก็โหดร้ายทารุณฆ่าคนได้ไม่สงสัย ถ้าเป็นทางด้านธรรมะก็เด็ดขาด ฟาดกิเลสขาดสะบั้นไปเลยไม่สงสัยเหมือนกัน แกเล่าให้ฟังเอง เราฟังเองมันถึงชัดเจน ท่านสิงห์ทองก็นั่งอยู่นั้น เรามานั่งแกก็มานั่ง พอทราบว่าเราไปจันท์ ไปวัดสถานีทดลอง ทางสามแยกพริ้วนั่นแหละ เพราะเราตั้งวัดที่นั่นแห่งหนึ่ง เริ่มแรกไปตั้งวัดที่นั่น นี่ก็อาจารย์เจี๊ยะนะเป็นผู้สร้างให้

อาจารย์เจี๊ยะมีคุณต่อเรามากเราลืมเมื่อไร ไม่ลืมนะ เป็นอยู่ลึกๆ ไม่ลืม ตอนนั้นเราพาโยมแม่ไป พอบวชโยมแม่แล้วก็พาโยมแม่หนี กลัวจะเป็นกังวลกับลูกหลานบ้านเรือนอะไร ลงไปจันท์ เข้าไปอยู่ที่ยางระหงลึกๆ ที่ท่านถวิลอยู่ ทีนี้ท่านอาจารย์เจี๊ยะเองไปนิมนต์เรา คือพี่สาวของท่านซื้อที่ไว้ ๒๖ ไร่ดูว่า เป็นทำเลเหมาะสมกับบำเพ็ญกรรมฐาน มานิมนต์เราไปว่าจะถวายที่ให้เป็นวัดของเราพัก พอดีเวลานี้ท่านอาจารย์ก็พาโยมแม่มายังไม่มีที่พัก เอาที่นั่นเป็นที่พักเลย ว่างั้นนะ

มานิมนต์เราเราก็ว่าจะไปดูเสียก่อน เราก็มาจากยางระหงมาดู ทำเลดีอยู่ก็เลยรับ นั่นละเรื่องราวมัน ที่สามแยกพลิ้วนั่นละ อาจารย์เจี๊ยะพอทราบว่าเรารับเท่านั้นละ แถวคลองแถวอะไรท่านเป็นคนหนองบัว ทรายงาม แถวนั้นเป็นญาติเป็นมิตรท่านทั้งหมดแถวคลองแถวนั้น พอเรารับเท่านั้นท่านสั่งคำเดียวเลย คนนั้นเอาหลังนั้นๆ ต่างคนต่างมาสร้างกุฏิกระต๊อบๆ ให้คนละหลังๆ เหมือนไม่ได้สร้างวัดนะ เพราะต่างคนต่างมาทำเฉพาะกุฏิของตัวๆ นี่ท่านอาจารย์เจี๊ยะนะเป็นคนสั่งทีเดียว เราไม่ได้สร้างอะไรเลยสักนิดเดียว

ที่ครัวโยมแม่ก็อาจารย์เจี๊ยะเป็นคนจัดเอง ไปสั่งให้ไปอยู่รวม ๔ คนทั้งโยมแม่ด้วย นั่นละสร้างวัดที่นั่น อาจารย์เจี๊ยะจึงมีคุณมากต่อเรา คือสร้างวัดทั้งหมดนั้นบรรดาพระกรรมฐานดูเหมือน ๑๒ องค์หรือไง ให้ได้ทุกองค์ๆ กระต๊อบอย่างของเรานั่น อย่างเดียวกันนี่ละแต่มุงจาก ไม่ใช่หญ้า มุงจาก สร้างปั๊บๆ สูงขนาดนี้ แล้วมีพักหนึ่งนั่งภาวนา แล้วก็ทางจงกรมๆ ก็ท่านเป็นกรรมฐานลูกศิษย์พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านจะไม่รู้เรื่องเหล่านี้ได้ยังไง ท่านก็รู้ สร้างกุฏิตรงไหน ทางจงกรมตรงไหนเหมาะสมท่านรู้เอง ท่านจัดสั่งหมดเลย เราไม่ได้ไปสร้าง กระทั่งเสร็จเรียบร้อยแล้วท่านก็ไปนิมนต์เราออกมา กับโยมแม่ละมา มาก็ขึ้นอยู่เลย จึงว่าอาจารย์เจี๊ยะมีบุญคุณต่อเราไม่น้อย แต่ท่านนิสัยตรงไปตรงมา บอกว่าพระทั่วประเทศไทย ท่านพูดอย่างตรงไปตรงมา พระที่มาอยู่บนหัวใจผมมีสององค์ องค์หนึ่งท่านอาจารย์มั่น องค์ที่สองก็ท่านอาจารย์ นอกนั้นผมไม่ลงใครง่ายๆ ท่านว่างั้นแหละ

ท่านเจี๊ยะมาสร้างให้อยู่สบาย เรียกว่าท่านมีคุณต่อเรา ท่านมาสร้างให้อยู่สบาย กุฏิ ๑๒ หลัง ศาลาให้เอาเล็กๆ โยมแม่ก็เล็กๆ เหมือนกัน ท่านจัดให้หมด เรียกว่าท่านมีคุณต่อเรามากมายอาจารย์เจี๊ยะ เราไม่ลืมนะ เรื่องคุณนี้รู้สึกจะมีเด่นในหัวใจ มันเป็นในนิสัยเองเรื่องคุณ ใครได้ทำคุณให้แก่เราเป็นอยู่ลึกๆ ไม่ลืมนะ นี่ท่านอาจารย์เจี๊ยะทำนี้ไม่ลืม ไปก็ขึ้นอยู่เลย ท่านอยู่เขาแก้วตอนนั้น ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่เขาแก้ว ท่านกับเราพัวพันกันมาตั้งแต่ไปอยู่สกลนครด้วยกันกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น รู้จักคุ้นเคยกันมาแต่โน้นกับอาจารย์เฟื่อง อาจารย์เจี๊ยะ สององค์ พระชาวจันท์นะ คุ้นกันมาตั้งแต่สกลนครกับหลวงปู่มั่น

เพราะฉะนั้นเวลาเราไปท่านทั้งสอง เฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เจี๊ยะจึงมารับรองทุกอย่างเลยเทียว ธรรมดาเราไม่อยู่แหละ รู้สึกมันขวางใจเอาเหลือเกินระหว่างพี่กับน้อง เสียงพี่สาวเสียงไมโครโฟน น้องชายก็เสียงโทรโข่ง ซัดกันเถียงกันอยู่กระต๊อบเล็กๆ บ้านพี่สาวเขาทำโรงน้ำอ้อย เราไปพักอยู่โรงน้ำอ้อยนี่แหละ ฟังเสียงคุยกันสองคน พี่สาวว่าจะเอาองค์นั้น ทางน้องชายว่ามึงอย่าเอาอีลุ้ย มึงเชื่อกูเถอะน่ะ เถียงกันเราได้ยินชัดเจน ให้มึงเอาอาจารย์มหาบัวว่างั้น มึงต้องการองค์ไหนๆ มึงคอยดูกูนะกูพูดผิดไหม เถียงกันเราได้ยิน อาจารย์องค์นี้มึงเคยเห็นท่านแล้วยัง องค์ที่ว่ากูไม่เคยเห็นอย่าว่าแต่มึงเลย ว่าองค์นั้นเทศน์ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ท่านมาอยู่เสียก่อนดีไม่ดีก็รู้กันเอง โอ๊ย ขบขัน เถียงกันทะเลาะกันยุ่ง

พอเสร็จแล้วก็มา เราอยู่โรงน้ำตาล ไปพักอยู่ที่นั่น ไปเถียงกันอะไรๆ ก็มันไม่ลงนี่ มันดื้ออีนี่น่ะ อีนี่มันดื้อ สุดท้ายก็เป็นอย่างท่านว่าจริงๆ ทีนี้เวลาเราจะมานี้ โอ๊ย เสียใจมากมาย ที่แกเคยคาดเคยคิดถึงพระทั้งหลายที่เคยไปอยู่นั้น นิสัยอันนั้นฝังใจแก แกไม่เคยเห็นนิสัยของทางด้านกรรมฐานสายพ่อแม่ครูจารย์มั่น คือเราเป็นหัวหน้า เวลามาดูแล้วมันเป็นคนละโลกๆ ละซิ แทนที่จะกังวลกับเรื่องน้ำอ้อยน้ำตาล ไม่มีเลยๆ ตัดขาดสะบั้นตามที่เราเคยปฏิบัติมา

วัดป่าบ้านตาดแต่ก่อนเคยมีเมื่อไร น้ำตาลไม่มี คือไม่ได้ฉันน้ำอ้อยน้ำตาลตั้งหลายๆ ปี ต่อมาเขาขนนั้นมาขนนี้มา น้ำอ้อยน้ำตาลขนมาเต็ม นี้เขาจะเอามาให้ฉันจะเก็บเอาไว้ทำไม เลยเปิดโอกาสให้พระฉันเรื่อยมาจนกระทั่งป่านนี้แหละ แต่ก่อนไม่มีน้ำอ้อยน้ำตาล โกโก้กาแฟอย่ามายุ่งว่างั้นเลย ฉันเสร็จแล้วแล้วเลย เป็นปรกติที่เราเคยปฏิบัติมา พูดถึงเรื่องอาจารย์เจี๊ยะที่มีคุณต่อเรา วัดนั้นทั้งหมดสถานีทดลองเป็นอาจารย์เจี๊ยะทั้งหมดเลยสร้างให้ เอาจริงเอาจังมาก ปรกติท่านก็เคารพเราแต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นด้วยกันท่านก็รู้อยู่ เป็นพระหนุ่มพระน้อยด้วยกัน ต่อจากนั้นก็เกี่ยวข้องกันมาเรื่อยๆ ท่านเคารพมาเรื่อยๆ

๒๕๐๔ ท่านก็เคยมาจำพรรษาที่นี่ปีหนึ่ง จำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด ๒๕๐๔ เราจำได้ ดังนั้นจึงว่าอาจารย์เจี๊ยะมีคุณต่อเรามากมาย สร้างวัดสร้างวาให้หมด เราไม่ได้ไปแตะ ไม้ชิ้นหนึ่งก็ไม่ได้ไปแตะ ทำเสร็จแล้วเข้าไปอยู่เลยสบาย ทางจงกรมท่านก็ทำให้เหมาะๆ หมดเลย สะดวกสบาย อาจารย์เจี๊ยะท่านมีคุณต่อเรามาก ด้วยความเคารพของท่านเองนะ เป็นความพอใจของท่านเอง นิมนต์มาอยู่ท่านก็ไปนิมนต์เรามา ทะเลาะกันกับพี่สาวก็ท่านทะเลาะ เราไม่ได้ไปทะเลาะแหละ จนกระทั่งท่านจากไป ท่านเป็นพระประเภทเรียกว่าเพชรน้ำหนึ่งเหมือนกันอาจารย์เจี๊ยะนะ

นิสัยท่านตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหลายสันพันคม ตรงไปตรงมา ท่านก็เสียไปแล้วแหละ นี่หมายถึงพระที่จันทบุรีที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นนี้ก็ อาจารย์เจี๊ยะ อาจารย์เฟื่อง ลูกศิษย์ผู้ใหญ่นะ นอกจากนั้นก็รองลำดับลำดากันลงมาจนกระทั่งถึงท่านแบนท่านอะไร ท่านแบนนี่ก็ลูกศิษย์ท่านอาจารย์กงมา เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ทางจันทบุรีกับทางภาคนี้จึงเข้ากันตลอดเวลา ด้วยอำนาจของครูบาอาจารย์ประสานเข้าหากัน เสียดายท่านเสียแล้ว อายุ ๘๐ หรือเท่าไรอาจารย์เจี๊ยะ ดูจะ ๘๐ ท่านเสียอยู่ที่วัดป่าภูริทัตตวนาราม ปทุมธานี

ที่นี่ก็เรานะนิมนต์ท่านให้มาอยู่ ท่านก็รับให้นะ จนท่านมาเสียที่นั่น คือเรามองดูที่นี่มันว่างเปล่า พระกรรมฐานไม่มีเลยจะทำไง เขามาถวายที่ให้เรา เราก็มาพิจารณาแล้วก็คิดเห็นแต่อาจารย์เจี๊ยะ ตอนนั้นอาจารย์เจี๊ยะท่านยังเที่ยวที่นั่นที่นี่ ท่านยังไม่มีหลักมีแหล่ง ไปก็เลยเล่าเรื่องให้ท่านฟัง ท่านก็มาดู เล่าเรื่องให้ท่านฟังเรียบร้อยแล้ว อยากให้ท่านมาเป็นสมภารแถวนี้ มันอยู่ในย่านพอดีวงกรรมฐานเรา ท่านก็รับให้ทันที นั่นละจึงได้เป็นวัดป่าภูริทัตตะมา อาจารย์เจี๊ยะรับภาระให้เรา

วัดเสือก็ท่านจันทร์ ท่านจันทร์ก็เป็นพระคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ ท่านจันทร์นี้ก็เป็นพระอยู่คลองด่าน ท่านเป็นพระวัดนี้ มาอยู่นี้ โหย จริงจังมากทุกอย่างเลย ฉลาดทุกอย่าง ออกจากนี้ไปก็เข้าไปอยู่ที่ทองผาภูมิ พอดีเขาถวายที่เราตรงนั้น ท่านจันทร์มาหาก็เลยคุยกัน ตกลงท่านว่าพอมารับภาระทางนี้ได้อยู่ เราก็มอบให้เลย วัดเสือท่านจันทร์เป็นสมภาร ก็เข้ากันได้สนิท เพราะท่านจันทร์เมตตามากนะกับสัตว์ เข้ากันได้

คือจะรับสร้างวัดแต่ละแห่งนี้เราไม่ได้รับสุ่มสี่สุ่มห้านะ เราต้องหาตัวตั้งตัวตีมาเป็นที่แน่ใจเสียก่อน ทางนี้ตกลงกันเรียบร้อยแล้วถึงจะรับเขา ว่ารับแล้วที่นี่ให้เป็นวัดเลย เช่นอย่างปราจีนบุรีก็ท่านป้างอยู่นี่ ท่านป้างนี้เป็นเณรมาอยู่กับเรา เดี๋ยวนี้มันเป็นอุปัชฌาย์ได้แล้วละท่านป้าง ดูเหมือน ๑๕-๑๖ พรรษาแล้วมั้ง ชื่อว่าสมบูรณ์ พอดีญาติวงศ์ท่านมาเยี่ยม แต่ก่อนเราได้ยินแต่ชื่อสมบูรณ์ๆ ครั้นญาติมิตรของท่านอยู่ที่อำเภอศรีมหาโพธิ ปราจีนบุรี มา เขามาพูดถึงเรื่องท่านป้าง เราจับได้แล้วนะ มีแต่ป้างๆ สมบูรณ์ไม่มีละ ที่เขาถวายที่นั่นละ ตรงนั้นแหละ อันนี้เราก็ยังไม่ได้แน่ใจนักกับท่านป้าง เราเลยดูเหมือนจะยังไม่ได้พูด เอาไว้อย่างนั้นก่อนเราว่างี้ ยังไม่ได้รับเดี๋ยวนี้ที่เขาถวาย ถ้าหากว่าพระของเราเป็นที่แน่ใจแล้ว เราจะรับที่นั่นแล้วให้พระเราไปอยู่เพื่อเป็นหลักเกณฑ์ เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รับ

เขาถวายที่ให้เป็นวัดมาก สำหรับเราเองไปที่ไหนสร้างวัดง่ายที่สุดเลย ขอให้รับเถอะน่ะมาทันทีๆ อยู่ทุกแห่ง แต่เรารับด้วยเหตุผลละซิ เราไม่รับสุ่มสี่สุ่มห้า วัดเสือนั่นก็มอบให้ท่านจันทร์ กับเสือกับสัตว์เต็ม ท่านก็ถูกกันกับสัตว์ พวกสัตว์ป่าเราก็ไม่เคยได้ยิน ม้าป่าอย่างนี้ไม่เคยได้ยินเลย มาเต็มอยู่ในวัด ถามดู พวกกระทิง วัวแดง ออกมาจากป่ามาอยู่ด้วยกัน ท่านไม่ได้ไปไล่ไปต้อนมาแหละ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ เต็มอยู่นั้นมีแต่สัตว์ป่าทั้งนั้น ลงมาเองๆ พวกม้าป่าก็ลงมาอยู่ที่นั่น พวกแพะแกะ หมูไม่ต้องพูดเป็นร้อยๆ นกยูงเป็นร้อยๆ นี่ก็เป็นตามอัธยาศัย ไม่ใช่ว่าจะเป็นเอาง่ายๆ ท่านจันทร์อัธยาศัยกับพวกสัตว์เข้ากันได้สนิท ท่านไม่รังเกียจกัน ท่านเลี้ยงดู สุดท้ายสัตว์เหล่านั้นมาเป็นลูกศิษย์ของท่านหมดเลย เป็นพระเป็นเณรในวัดท่าน ลงมาก็ลงมาอยู่ที่นั่น

กระทิง วัวแดง หมูป่าตอนเช้าเขาลงมาเป็นร้อยๆ ฟังซิน่ะ ตอนบ่ายนกยูง หมูป่าตอนเช้าลงมากินข้าวเป็นร้อยๆ จัดเทให้ สังกะสีวางปู เทให้เป็นย่านๆ หุงข้าวให้เขาก็มากิน อิ่มแล้วเขาก็ขึ้น เขาไม่กวนแหละ ถึงเวลาเขาลงมากินแล้วก็ไปๆ มันก็เป็นตามนิสัยเหมือนกัน พวกหมูป่ากับนกยูงมากที่สุด จากนั้นก็สัตว์ต่างๆ มาเต็มในวัดท่าน มีแต่สัตว์ประเภทต่างๆ ที่มาจากป่าจากเขาโดยหลักธรรมชาติของมันทั้งนั้น มันขึ้นอยู่กับนิสัยเหมือนกัน เลยวัดท่านมีแต่สัตว์ป่ามาอยู่ เสือของท่านก็มีอยู่แล้ว เสือป่าเข้ามานี้มีแปลกอันหนึ่งนะ ท่านว่าแต่ก่อนก็ไม่ได้สนใจว่า พวกสัตว์เหล่านี้จะถือเราเป็นเจ้าของจะพึ่งพาอาศัยเราเหมือนมนุษย์ที่อยู่ด้วยกันพึ่งพาอาศัยกัน ท่านไม่คิดแต่ก่อนท่านว่า

วันนั้นเผอิญเสือป่าเข้ามา เสือป่าเสือโคร่งใหญ่มันได้กลิ่นเสืออยู่ในบริเวณนั้น เยอะนะท่านเลี้ยงเอาไว้ เสือโคร่งมีทั้งตัวผู้ตัวเมียเต็มอยู่นั้น ไอ้เสือป่ามันโดดเข้ามา พอเข้ามาเท่านั้น ทีนี้พวกม้าพวกสัตว์ต่างๆ มันกลัวเสืออยู่แล้ว เสือบ้านที่อยู่นั้นก็ร้องรับกันโฮกฮากๆ เสือบ้านกับเสือป่า เสือป่าตัวเดียวนะเข้ามา เสือโคร่งใหญ่ พอเข้ามาเสียงทางนี้ลั่นเลย โฮกฮากๆ ทั้งม้าทั้งวัวทั้งควายเสียงลั่น มันเห็นเสือตัวนั้นแหละ ทีนี้ก็มีม้าตัวหนึ่งโดดเข้าไป แต่ก่อนท่านก็ไม่เคยคิดว่า พวกสัตว์เหล่านี้จะถือว่าเราเป็นเจ้าของหรือไม่เป็น เราก็ไม่สนใจ มีแต่ความเมตตาสัตว์แล้วก็เลี้ยงดูกันไปอย่างนั้น แต่วันนั้นเสือโดดเข้ามาในนั้นเสือป่า โดดเข้ามานั้น พวกสัตว์ในวัดทั้งวัวทั้งควายทั้งเสือทั้งอะไรเสียงลั่นเลยนะ

เสือป่ามาตัวเดียวเท่านั้นละ สัตว์ในวัดทั้งเสือทั้งเนื้อเสียงร้องลั่นเป็นอันเดียวกันหมดเลย มีม้าตัวหนึ่งอยู่นั่นมันแปลกอยู่นะ ตอนที่สำคัญมากคือ มีม้าตัวหนึ่ง เลี้ยงไว้ในวัด พอเสือป่าโดดเข้ามามันส่งเสียงลั่น ท่านอยู่ในกุฏิท่านว่า ท่านก็ยังไม่สนใจ แต่แปลกทำไมสัตว์มันร้องลั่นกันผิดปรกตินัก ท่านอยู่ในกุฏิ สักเดี๋ยวม้าตัวหนึ่งโดดมาชนกุฏิท่าน ม้าในวัดนะ มันถือท่านเป็นเจ้าของมันจะมาพึ่งท่าน โดดเข้ามาชนกุฏิเปิงปาง อ้าว อะไรนี่ ท่านเลยออกมา เป็นม้ามาชนกุฏิ กำลังเสือมา อย่างนั้นนะม้ารู้จักคน วิ่งมาหาอาศัยคน

ทางนี้คว้าไฟฉายได้ก็ลงไป ฟังเสียงพวกสัตว์ร้องลั่นกันหมดเลย เสือตัวเดียวนั่นละเข้ามา ท่านฉายไฟไปไปเจอเอาจริงๆ เสือตัวนั้นนะ โธ้ มายังไงกันเว้ยท่านว่างั้นนะ ท่านพูดกับเสือ เสือในนี้ก็มี สัตว์มีทุกประเภทอยู่ในวัดเรา ถ้ามึงอยากเป็นสัตว์บ้านก็ให้มึงเข้ากรงว่างั้นนะ ถ้ามึงไม่อยากเป็นสัตว์บ้านกับสัตว์เหล่านี้ก็ให้มึงเข้าป่าเสีย ท่านก็ฉายไฟ มันเดินฉากๆ พวกวัวพวกควายพวกม้าพวกอะไรนี้เสียงลั่นเลย นั่นเห็นไหมเสือตัวเดียวฤทธิ์ของมัน พอท่านว่าอย่างนั้นแล้วมันก็เลยไม่เข้ากรง บอกว่าถ้ามึงจะเข้ากรงกับสัตว์ในวัดนี้ก็ให้มึงเข้ากรงไป ถ้ามึงไม่เข้าให้มึงออกจากวัดนี้ไปเสีย สัตว์นี้เป็นสัตว์บ้านว่างั้น

เปิดออกจากวัดไปเลย เลยไม่เข้านะ มันมีกรง พวกเสือใส่กรงเอาไว้ บอกว่าถ้ามึงจะมาเป็นสัตว์บ้านกับเขาก็ให้มึงเข้ากรงไปเสีย ถ้ามึงไม่อยากเป็นสัตว์บ้านให้มึงออกไปเข้าป่าไปเสีย ออกจากนี้เขาก็เปิดเลย อย่างนั้นละ ม้าตัวนี้ตัวสำคัญ แต่ก่อนพวกสัตว์ไม่เคยไปเกี่ยวข้องกับท่าน กุฏิของท่านอยู่ยังไงท่านก็ไม่สนใจกับเขา เขาไม่สนใจกับท่าน แต่วันนั้นพอเสือนี้โดดเข้ามา ม้าตัวนี้โดดใส่กุฏิพระ กุฏิท่านจันทร์ ชนกุฏิป๊าบเข้าไปเลย อ้าว มันมาชนอะไรนี่ เห็นม้าอยู่นั่น ลงไป มึงมาชนกุฏิอะไร พอออกไปเสียงลั่นอยู่ ท่านเอาไฟฉายฉายไป เสือ มันกลัวเสือมันวิ่งมาพึ่งเจ้าของ อย่างนั้นนะเวลาจำเป็นมันก็มาหา ถ้าไม่จำเป็นไม่มาไม่เคยมา

เป็นหวัดหนักอยู่ สามคืนเป็นไข้หนักนะ เมื่อคืนนี้ก็ยังมีไข้อยู่เหมือนกัน มันเป็นอะไรธาตุขันธ์เรานี่ ทำไมผิดแปลกเอานักหนา ลุกนั่งล้มลง ทำไมจึงเป็นอย่างนี้สามคืน ไปไหนไม่ได้นะสามคืน พอลุกขึ้นล้ม มันวิงมันเวียน แต่หาเหตุผลไม่ได้ หวัดก็ยังไม่แสดง น้ำมูกอะไรก็ยังไม่ค่อยมี แต่เจ็บคอเป็นกำลัง เช้ามาแสดงชัดเจนมาก เวลาไอเสมหะเหนียวๆ ออกมา  โอ๋ อันนี้เอง เวลาไอแต่ก่อนไม่มี มีแต่เจ็บคอ เป็นไข้ด้วย จึงว่าไข้หวัดใหญ่ สองคืน เมื่อคืนนี้อีกเป็นคืนที่สาม ไปไหนไม่ได้นะ เอาละมีเท่านั้น

วันธรรมดาเราไม่ได้อยู่นะ ไปส่งของตามโรงพยาบาล วันธรรมดา จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ วันนั้นไปโรงนั้นๆ ที่อดอยากขาดแคลนลึกๆ เมื่อวานนี้ก็ไปศรีสงคราม นู่นลึก นี่ก็อัตคัดขัดสนมากเราเคยไปส่งเสมอ รถวิ่งจากนี้บึ่งถึงนู้นเลย ๒ ชั่วโมงครึ่งพอดี ไกลอยู่นะ เขตติดต่อกันกับอำเภอท่าอุเทน พอไปส่งแล้วกลับมาเมื่อวานนี้ กำลังหวัดมันแสดง วันนี้แสดงชัดเจน น้ำมูกก็ปรากฏ เสมหะปรากฏ ทุกวันไม่ปรากฏ มีแต่เจ็บคอ น้ำมูกยังไม่แสดง วันนี้น้ำมูกแสดงแล้ว เอาละนะ

ที่ศรีสงครามเราเคยไปจำพรรษาพรรษาหนึ่งนะ ที่อำเภอศรีสงครามเคยไปจำพรรษาพรรษาหนึ่ง จำด้วยกันสามองค์ ตั้งแต่ปี ๒๔๘๗-๘๘ จำพรรษาที่นั่น (ใกล้บ้านสามผง) ใกล้อยู่ จากนั้นไปสามผงก็ประมาณ ๑๑-๑๒ กิโล แถวนี้เราไปหมดแล้วละ อยู่ศรีสงครามแล้วก็ไปสามผง ไปทางด้านทิศเหนือ ไปทางนั้นไปทางบ้านข่า บ้านข่าท่านอาจารย์ตื้อ ไปทางนี้ไปสามผงหรือศรีสงคราม เราไปอยู่ที่นั่นมันก็ทั่วถึงกันหมด เขานิมนต์ไปเสมอ ไปบ้านข่า ไปสามผง (ตอนนั้นพระอาจารย์ตื้อยังอยู่) พระอาจารย์ตื้ออยู่วัดบ้านข่า เป็นบ้านป่าบ้านเสือ เราเคยไปพักแล้วหากไม่เคยจำพรรษา ไปพักเฉยๆ เป็นป่า ออกจากบ้านข่าก็ไปสามผง ไปศรีโนนชัย-ปากยาง เข้าสามผง เคยไปแล้ว

(ที่อาจารย์จำพรรษานี้ ชื่อบ้านอะไรเจ้าคะ) ลืมแล้ว เราไปพักบ้านศรีสงครามเอาเลยเถอะ แถวนั้นละ เคยจำพรรษาที่นั่นปี ๘๗ หรือ ๘๘ น้า จากพ่อแม่ครูจารย์นามนไป ไปจำพรรษาที่นั่นพรรษาหนึ่ง (๘๗ พ่อแม่ครูจารย์อยู่บ้านนามน) มันจะคง ๘๘ ละมั้งจำพรรษาอยู่สามผง ๘๗ ในชีวิตของพระเรา ปีพรรษา ๑๐ หนักมากที่สุด หนักทั้งทางร่างกายทั้งทางจิตใจ ทางร่างกายก็นั่งตลอดรุ่งๆ เรียกว่าหนักทางร่างกาย ทางจิตนี้บังคับตลอดเวลา ในสามเดือนนั้นกลางวันไม่ให้นอนเลย เว้นแต่คืนไหนนั่งตลอดรุ่ง มาตอนเช้าวันหลังก็พักให้ ถ้าไม่มีการนั่งตลอดรุ่งกลางวันไม่ให้พัก บ้านสามผงหนักมาก

เรานั่งหามรุ่งหามค่ำบ้านนามนนะ บ้านนามนหนักมากที่สุดในพรรษา ๑๐ การภาวนาของเรา คือหนักมากหมายถึงร่างกายด้วยทางจิตใจด้วย ร่างกายก็ฝึกทรมานจิตใจก็ฝึกทรมานหนักไปด้วยกัน จากนั้นก็ไปหนักทางจิต กับทางกายมันก็เคียงๆ กันไป ที่หนักเสมอกันก็คือพรรษา ๑๐ บ้านนามนหนักมาก จึงเรียกว่าเป็นประวัติชีวิตของเราในการฝึกทรมานตน พรรษาที่ ๑๐ อยู่ที่บ้านนามนหนักมากนะ นอกจากนั้นมันก็คู่เคียงกันไปไม่ตรงแน่วด้วยกัน แต่ที่บ้านนามนอันนี้หนักมาก ทั้งร่างกายและด้านจิตใจ คือมันเป็นจังหวะๆ อยู่ที่ไหนๆ มันลำบากหนักมากน้อยหมายถึงด้านจิตใจ ฝึกทรมานจิตใจหนักมากน้อยเพียงไร การฝึกทรมานทางกายนี้ก็คู่เคียงกันไป

ที่บ้านนามนพรรษาที่ ๑๐ นี่ละนั่งตลอดรุ่งๆ จนก้นแตก ถ้านั่งธรรมดาเรานี้กลางวันไม่พักนอน พอถึงกลางวันเข้าไปในป่า กลัวมันง่วง ถ้ามานั่งอยู่กุฏิมันง่วง ไปเดินจงกรมอยู่ในป่า ถ้าวันไหนนั่งตลอดรุ่งกลางวันก็พักให้เสีย นี่ละพรรษาหนึ่งเป็นพรรษาที่หนักมากอยู่ไม่น้อย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ นอกจากนั้นก็ไม่เด่นนัก ทั้งทางร่างกายและจิตใจจากการฝึกทรมานนะ (ที่ศรีสงครามนี้ก็ดีไปอีกแบบใช่ไหมฮะ ภาวนาก็ดีไปอีกแบบ) อันนี้ก็แบบเดิม ไม่ค่อยฉันจังหันละ อันนี้แบบหนึ่ง ทางศรีสงครามไม่ค่อยฉันจังหัน ความเพียรหนัก

เราไปอยู่ที่ไหนสำหรับเราเองนะ จะได้ตำหนิตัวเองว่าความเพียรย่อหย่อนหรืออ่อนกำลังหรือท้อแท้ไม่มีบอกตรงๆ เลย ถึงยากลำบากขนาดไหนฟัดกันตลอด ที่จะให้จิตใจของเราอ่อนแอท้อแท้ต่อความเพียร บอกได้เลยว่าไม่มี มีแต่ขยะๆ มันรุนแรงมันผาดโผนมาก นิสัยเราผาดโผน พ่อแม่ครูจารย์ละเป็นผู้รั้งเอาไว้ ท่านจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมอยู่ในความพอดีๆ เราจอมโง่ ถ้าทำอะไรมันเอาจริงเอาจัง ซัดเสียขาดสะบั้นไปเลย อันนั้นไม่ขาดเราขาดว่างั้น เป็นอย่างนั้น ท่านคอยรั้งเอาไว้ๆ คือท่านอยู่ในความพอดี เรามันไม่พอดีมันผาดโผน แต่เราไม่รู้ว่าเราผาดโผนนะ คือความตั้งใจความมุ่งมั่นมันรุนแรงเข้าใจไหม ทีนี้ความเพียรมันก็ตามกันไปเลยซิ

เราก็ไม่เคยได้เล่าได้เคยพูดให้ฟัง เพราะเรื่องนี้โลกถือกัน ว่าเป็นการยกยอปอปั้นตัวเอง แต่เรื่องของธรรมพูดตามหลักความจริงก็เป็นธรรมล้วนๆ อย่างกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี่ท่านจะพูดเวลาเงียบๆ พูดเกี่ยวกับเรื่องของเรา ถ้าเปิดเผยท่านไม่พูด สำหรับกับเราเองท่านไม่เคยพูดเลย ตาท่านจับเราตลอดนะ เรียกว่าอยู่ในจุดสังเกตเป้าหมายความสังเกตของท่านตลอดเวลาเลย สุดท้ายก็มาลงที่ว่า ท่านเมตตามากไว้ใจมาก ลงตรงนั้นนะ คือเราไปอยู่ที่นั่นไม่เคยปรากฏว่าท่านได้ต้องติเราตรงไหนๆ ไม่มี เพราะอยู่ก็อย่างว่าละ ไปอยู่กับครูบาอาจารย์พระเณรเต็มไป ที่ไปเองๆ บางองค์ก็เก้งๆ ก้างๆ ไปขวางหูขวางตาเพื่อนฝูงและท่านเอง

ทีนี้เราไปอยู่ที่นั่นก็ต้องได้สอดส่องดูแลพระเณร พระเณรเลยกลัวเรามากยิ่งกว่าหลวงปู่มั่นนะ หลวงปู่มั่นเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรเขากลัว พระเลยกลัว แต่ท่านไม่ได้ค่อยออกมา แต่ตัวนี้ซิตัวมันอยู่อย่างนี้ๆ แต่กลัวด้วยความเคารพนะ ไม่ได้กลัวด้วยความรังเกียจ กลัวด้วยความเคารพกิริยาอาการ ดีไม่ดีบางองค์อาจจะคิดก็ได้ว่า ท่านอาจารย์องค์นี้แต่ก่อนยังหนุ่มนะ ดูเวลานี้คล่องแคล่วว่องไวทุกทุกสิ่งทุกอย่างแทบว่าจะไม่มีที่ต้องติ แต่ไม่เคยเห็นท่านเดินจงกรม ท่านไปเดินจงกรมเวลาไหนอาจคิดนะ

เราไม่เคยเดินจงกรมให้ใครเห็นนะ กลางคืนอยู่ในป่าลึกๆ กลางวันก็อยู่ในป่าลึกๆ จะไปเดินจงกรมหย็อกๆ ให้ใครเห็น อู๊ย ไม่ได้ นี่นิสัย มันไม่ขลังในใจเจ้าของ ถ้าลงไปอยู่ใต้ดินเดินจงกรมฟาดทั้งวันทั้งคืนได้ นั่นนิสัยเป็นอย่างนั้น นิสัยเราเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นจึงไปแต่องค์เดียวๆ ไปกับหมู่กับเพื่อนไม่เหมาะ สำหรับหลวงปู่มั่นท่านตอนท้ายลงมาก็มีความเมตตาและความไว้วางใจทุกอย่างๆ เลย บางทีอยู่ดีๆ นั่งอยู่ตอนบ่าย ท่านออกมาจากห้องตอนบ่าย พระขึ้นไปหาท่านตอนบ่าย ๓ โมง ก่อนจะปัดกวาดตอนบ่าย ๓ โมง ทีละสององค์สามองค์เท่านั้นนะ ไม่มาก หากไป อยู่ๆ นั่งอยู่ธรรมดาๆ ท่านพูดอะไรนี้ พูดถึงเรานี้ พระเณรจะไปเล่าให้ฟังหมดทุกกิทุกกีนะ แต่ท่านกับเราเองไม่เคยพูดถึงกันเลยเฉย เราก็เหมือนไม่ได้ยิน เฉยนะ

อยู่เฉยๆ ขึ้นไปหาเงียบๆ ท่านมหาไปไหน ท่านก็อยู่ในวัดนี่แล้ว ท่านนิ่งไป ทีนี้ตอนเช้าขึ้นบนกุฏิ คือตอนเช้ามีแต่เราออกหน้า บริขารของท่านอยู่ในห้องๆ เราเข้าปุ๊บขนออกมาๆ ดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง นานไปๆ ท่านก็คงวิตกวิจารณ์กับพระกับเณร ท่านก็ เอ้อ พระผู้มีอายุพรรษาพอสมควรแล้ว รู้จักข้อวัตรปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างดีแล้วก็ควรจะปล่อยวางมือท่านว่า ให้พระเณรหนุ่มน้อยที่บวชมาไม่รู้ภาษีภาษานี้เข้าไปทำข้อวัตรปฏิบัติในห้องของเรา ขนสิ่งของออกมาท่านว่างั้น เราเป็นแต่เพียงว่าดูอยู่ข้างนอก แน่ะท่านมีข้อแม้นะ เราเป็นคนดูแลอยู่ข้างนอก ท่านไม่ได้พูดขาดทีเดียว ไม่งั้นพวกนี้มันจะไม่มีนิสัยติดหัวมันแหละท่านว่า

จากนั้นเราก็ถอยอย่างว่า ถอยจากนี้แล้วก็มาอยู่ข้างนอก บางทีก็ขึ้นบ้างอยู่บันไดทุกเช้าเลย ไปยืนอยู่บันไดคอยดูพระเณรเอาของลงมาๆ ถ้าไม่เห็นเราสักสองเช้าละ ท่านจะถามพระ คือธรรมดาเราจะขึ้น เว้นสองเช้าหรือสามเช้าขึ้นสักเช้าหนึ่ง ขึ้นไปข้างบน ส่วนข้างล่างเราไปทุกเช้า ทีนี้ท่านไม่เห็นเราสักสองสามเช้าท่านจะถามพระละ ท่านมหามาไหม เป็นปัญหาใหญ่นะนั่น ท่านมหามาไหม ท่านมหาไปไหน มาท่านอยู่ข้างล่าง ท่านเงียบไปเลย แสดงว่าความเอาใจใส่ในครูบาอาจารย์เราไม่ได้ปล่อยได้วางความหมายก็ว่าอย่างนั้น ท่านไล่ออกมาจากย่านนั้นเราก็มาอยู่ย่านนี้ตามที่ท่านต้องการ

เช่นพระเราผู้มีอายุพรรษาแก่พอสมควร รู้จักข้อวัตรปฏิบัติเรียบร้อยแล้วก็ควรจะปล่อยมือบ้าง ให้พระเณรทั้งหลายที่ยังไม่รู้ข้อวัตรปฏิบัติได้เข้าไปเอาสิ่งของของเรา เราเป็นแต่เพียงคอยดูอยู่ข้างนอก นั่นข้างนอกข้อแม้ นี้เราก็อยู่ข้างนอก บางทีก็ขึ้นไปกุฏิท่าน ไปนั่งดู บางทีส่วนมากจะอยู่บันได คอยดูพระเณรเอาอะไรลงไป ไปลองดูซิน่ะกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้น่ะ นี่เรียกว่าจอมปราชญ์สมัยปัจจุบันดูเอาดูหลวงปู่มั่นนี้ เรายังไม่เคยเห็นองค์ไหนแซง แต่เราไม่ได้ประมาทครูบาอาจารย์ทั้งหลายนะ ที่เราเคยเข้าใกล้ชิดติดพันก็มีพ่อแม่ครูจารย์มั่น ยกนิ้วให้เลย ไม่มีที่ต้องติ เพราะท่าน ฟังแต่ว่าจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคมข้างนอกข้างในรอบด้าน ไอ้เรามันโง่ไปไหนหัวชนไปเลย มันก็เข้ากันไม่ได้ซิ นี่ละสำคัญ

พระเณรเรียบๆ ตลอด ก็คือเราคอยดูแล ท่านก็ทราบ ท่านจะเห็นได้เวลาเราออกจากท่านไป ลาท่านไปเที่ยว คงจะมีพระเณรระเกะระกะให้ขวางหูขวางตาท่าน เวลาเรากลับมา ลาท่านไปเที่ยวทีหลังท่านรู้สึกไม่สะดวกนะ เรียกว่าท่านไม่อยากให้ไป ท่านเห็นประโยชน์ส่วนย่อยของพระของเณรทั้งหลาย แต่ท่านเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเราที่จะไปภาวนาเข้าใจไหม ท่านก็อนุญาตให้ไป แต่การอนุญาตต้องมีเล่ห์มีเหลี่ยมทุกอย่าง เรียกว่าพูดกับจอมปราชญ์จะว่าไง ต้องหาอุบายวิธีการถาม ในระยะนี้ทางวัดทางวาเรามีงานมีการอะไรบ้าง เราก็หาถาม ท่านก็ตอบออกมา ถ้าว่าไม่มีอะไร เอ้อ ถ้าไม่มีอะไรก็คิดอยากจะกราบพ่อแม่ครูจารย์ไปประกอบความเพียรสักระยะหนึ่ง บอกระยะนะ ท่านนิ่งเลย

ดูอาการก็รู้ แสดงว่าท่านไม่อยากให้ไป คือถ้าเราไปแล้วการดูแลพระเณรทั้งหลายนี้จะบกพร่องไป จะไปหนักอกท่านนั่นแหละพูดง่ายๆ พอพูดเท่านั้นแล้วก็เงียบละเรา ต้องเก็บไม่เก็บไม่ได้ ไปซ้ำซากไม่ได้นะ พอพูดเท่านั้นท่านจะนำไปพิจารณาเอง จนกระทั่งถึงกาลเวลาที่ควรจะออกแล้ว คำพูดของเราที่กราบเรียนท่าน เอ้อ ที่ท่านมหาที่อยากจะลาไปเที่ยวนั้นไปได้ นั่นออกแล้วนะนั่น จากนั้นเราก็มีทางที่จะพูดได้ แล้วจะไปทางไหนๆ ท่านก็ถาม ถามก็มาโดนเอาทั้งพระทั้งเณรทั้งเราด้วย จะไปทางไหน คิดว่าจะไปทางนั้นๆ เอ้อ ดี นี่ท่านไปหมดแล้วนะ แล้วไปกี่องค์ ไปองค์เดียว ขึ้นทันทีเลย เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ชี้อย่างนี้เลยนะ ใครอย่าไปยุ่งท่านมหาไม่ได้นะ พระก็นิ่ง

ใครจะไปก็ร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่ที่นั่น เราก็ไม่สนใจว่าพระจะสนใจกับเราอะไรบ้าง เราก็ไปของเราสบายๆ บอกว่าไม่ให้ใครไปยุ่ง นั่น แต่เวลาพระเณรไปทีละสององค์บ้างสามองค์บ้างไปลาท่าน กลับตาลปัตรนะ คำพูดจะไม่เหมือนกัน พอลาท่านจะไปเที่ยว เหอ นั่นขึ้นแล้วนะ ตั้งแต่อยู่นี้มันก็ตกนรกให้เห็นต่อหน้าต่อตานี้ แล้วมันจะไปตกนรกหลุมไหนอีกล่ะ นั่นเห็นไหม เท่านี้ใครจะกล้าไป มันก็บอกชัดเจนแล้ว อยู่ต่อหน้าต่อตามันก็ตกนรกให้เห็นอยู่นี่นะ แล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะท่านว่า หมอบไม่ไป แต่เราไม่เคยมี ไม่ใช่ยกตนนะ ชี้นิ้วเลย เอาไปท่านมหาไปองค์เดียวใครอย่าไปยุ่งท่าน

เพราะท่านเห็นความจริงของเราทุกสิ่งทุกอย่างทุกสัดทุกส่วน เรียกว่าได้รั้งเอาไว้ว่างั้นเถอะ ความพากความเพียรไม่เคยที่มีอืดอาดเนือยนาย เราพูดจริงๆ เราไม่มี กับพระกับเณรครูบาอาจารย์ทั้งหลายคล่องตัวตลอดเวลา ทั้งใช้ความคิด กับพ่อแม่ครูจารย์ไม่ใช้ไม่ได้ ใช้ความคิด ปูที่หลับที่นอนให้ท่านอย่างนี้ก็เหมือนกัน โห จนจะได้เอาดินสอไปขีดเอาไว้นะ กาน้ำไว้ตรงนี้ก็เหมือนได้ขีดกาน้ำเอาไว้ คือท่านละเอียด แต่ก่อนเรายังไม่รู้ ท่านให้จัดที่หลับที่นอนท่านไม่กี่วันละ เราก็เหมือนว่าขีดเส้นไว้เลย ไม่ให้เคลื่อนที่ละ ๒-๓ วัน เอ้ย มันปูยังไงปูที่นอนนี่มันหลับตาปูเหรอ หลับตาใน ตาใจ ตาปัญญาเข้าใจไหม เราไม่รู้ เราก็พยายามเอาอีก เหมือนเก่านั่นแหละ ครั้นไม่นาน เอ้า ยังไงกันนี่ บอกไม่คิดบ้างเหรอ มันปูยังไงปูนี่

ปูอย่างนี้ๆ ซิ ท่านก็ไปปูให้ดู ปูก็อันเก่านั่นแหละ มันขบขันนะ ก็จอมปราชญ์สอนคนโง่สอนจอมโง่ กาน้ำอะไรนี้ก็เหมือนกัน เอาไว้นี้เหมือนกับว่าได้ขีดเส้นไว้ให้อยู่ในที่เก่า ความจริงมันตายใจ เวลาพิจารณาไปท่านฟิตหัวใจต่างหาก สิ่งเหล่านี้ท่านไม่ถือเป็นประมาณอะไร ท่านฟิตหัวใจไม่ให้นอนใจ ให้ระมัดระวังตลอดเวลา นั่นละคือสติ นั่นคือปัญญา นั้นคือทางแก้กิเลสความหมายว่างั้น เวลาเราพิจารณาไปทีหลังถึงย้อนหลังทราบ โอ้โห ท่านสอนท่านไม่ได้สอนเอาวัตถุเป็นพื้นฐาน ท่านเตือนเราเพื่อก้าวเดินทางด้านสติปัญญาต่างหาก แน่ะ มันก็รู้นะ

ธรรมดาจะเป็นอะไรประสาปูที่นอน ท่านเองท่านก็ไม่เห็นสนใจกับที่หลับที่นอนอะไร แต่เวลาสอนเราท่านขนาบเอา เพราะใจเรามันไม่เป็นท่า เข้าใจ ท่านขนาบทางใจต่างหาก ท่านไม่ได้ขนาบเรื่องปูไม่ดิบไม่ดี ปูแล้วก็แล้วเถอะน่ะ ขอให้จิตมันดีมันรอบคอบระวังตัว พอ นั่นท่านเอาตรงนั้นต่างหาก เอาละสายแล้ว ที่พูดเหล่านี้ให้พากันฟังเอาทุกอย่างนะ ให้ฟังไปเป็นคติเครื่องเตือนใจ ที่เรามาพูดทั้งหมดนี้เป็นธรรมทั้งนั้น ไม่ว่าธรรมขั้นใดๆ ธรรมใกล้ชิดติดพันกับครูอาจารย์ผู้มุ่งต่อมรรคผลนิพพาน เป็นธรรมขั้นหนึ่งข้อปฏิบัติขั้นหนึ่ง สติปัญญาขั้นหนึ่ง เป็นขั้นๆ ให้พากันเข้าใจ ว่าอะไรก็ฟังแบบหูหนวกตาบอดไม่ได้นะ

ใครถ้ายังไม่ได้ผ่านพ่อแม่ครูจารย์มั่นมาก่อน อย่าด่วนว่าตัวฉลาดนะว่างั้นเลย ต้องเอาเสียจนถลอกปอกเปิกถูกท่านตีกบาล เข้าใจไหม จากนั้นเอามายังหงายอีก ไม่เป็นท่าอีกละความฉลาด มาพูดถึงขั้นสุดท้ายนะ ปีนั้นปีท่านป่วย ในพรรษาละป่วย ท่านป่วยแล้วนั่น เริ่มจะหนักเข้าแล้ว พระเณรนวดเส้นถวายท่าน ถ้านวดเส้นเราไม่เข้าไปละ ไปแต่อย่างอื่น อยู่ๆ ท่านก็ว่า แต่ท่านพูดกับพระเณรนะ ท่านไม่เคยพูดกับเราละ เอ้อ เวลาผมตายไปแล้วพวกท่านจะอาศัยใคร จะเกาะใครล่ะ ท่านเป็นลักษณะเอะใจ เอ้อ นี่เวลาผมตายไปแล้วท่านจะอาศัยใคร จะเกาะใครล่ะ ทางพระนวดเส้นถวายท่านก็นิ่ง

จากนั้นมาท่านก็แย็บออกมาอีก อันนี้มีแต่พระเณรเล่าให้เราฟังนะ ถ้าพระเณรพูดถึงเรื่องเราทุกกิทุกกีพระจะมาเล่าให้ฟังทั้งหมดเลย แต่ท่านกับเราเฉยไม่เคยรู้เรื่องกัน ท่านพูดอะไรท่านก็ไม่เคยพูดกับเรา เราได้ยินอะไรก็เงียบเลยเหมือนกัน พอเสร็จแล้วก็ เอ้อ นี่เวลาผมตายแล้วให้อาศัยท่านมหานะ นั่นขึ้นแล้ว ให้อาศัยท่านมหา ท่านมหาสำคัญอยู่มากทั้งภายนอกภายใน เท่านั้นพอ ภายในก็ภายในจิต จิตตภาวนา ภายนอกข้อวัตรปฏิบัติหลักธรรมวินัย นั่นพูดง่ายๆ เท่านั้นละ พระก็มาเล่าให้เราฟัง เอาละไปละ

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก