สระอมตธรรม
วันที่ 18 พฤษภาคม 2550 เวลา 7:45 น. ความยาว 34.17 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

สระอมตธรรม

ก่อนจังหัน

เห็นผู้เฒ่าสารวัตร สารวัตรนี่คือปฏิบัติอยู่วัดนี้ ผู้เฒ่ามาปฏิบัติตามวัดตามวา ไปที่นั่นที่นี่ จนกระทั่งที่ว่านี่ละ ไปเห็นนอนอยู่ต้นกล้วย มานอนทำไมที่นี่ มันไปกุฏิไม่ถูก เดี๋ยวนี้นอนอยู่ที่ไหน รู้แต่ว่านอนอยู่ในวัด ขนาดนั้นละหลง ต้องได้มาบอกพาไป กลางวันนะนี่ไม่ใช่กลางคืน นอนอยู่ข้างๆ ต้นกล้วย มานอนอะไรที่นี่น่ะ ไปกุฏิไม่ถูก หลงกุฏิ

พระเราให้เร่งทางภาวนาให้ดีนะ การภาวนานี้เป็นรากแก้วของพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกขึ้นมาเพราะการภาวนา พระสงฆ์สาวกเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานี้เพราะการภาวนา การภาวนาสติเป็นสำคัญเคยย้ำแล้วย้ำเล่า สติเป็นสำคัญในความเพียรภายใน กระจายออกไปข้างนอกสติจำต้องใช้ตลอดเวลา สติเป็นสำคัญ ความระลึกรู้ตัวอยู่ไม่ค่อยผิดพลาดคนเรา ถ้าความรู้นี้กระจายออกไปข้างนอก ความรู้ตัวนี้หายไปผิดพลาดได้ ถ้าความรู้โดยเฉพาะๆ อยู่ในนี้รับผิดชอบอยู่ภายในตัวแล้วไม่ค่อยผิดพลาด

ให้ภาวนากัน ข้างในตั้งหน้าตั้งตาภาวนานะ อย่ามาเก้งๆ ก้างๆ อยู่เฉยๆ ใช้ใม่ได้นะ ส่วนมากข้างในนี้มันจะมาเก้งๆ ก้างๆ อยู่ข้างใน เพราะมันค้นยากดูยากไม่เหมือนภายนอก มันหลบมันซ่อนอยู่พวกโจรพวกมาร พวกเปรตพวกผีอยู่ในครัวเยอะนะ อยู่ข้างนอกมันค้นได้เห็นได้ง่าย ข้างในไม่ได้เห็นง่ายๆ มันทำความเลอะเทอะอยู่ในวัดในวา ธรรมเป็นของสำคัญมาก ใครไม่มีธรรมในใจคนนั้นเป็นสัตว์ๆ จะเป็นพระเป็นอะไรจนกระทั่งขึ้นเป็นสมเด็จสมแด็ดอะไรก็ตามเถอะ ถ้าไม่มีธรรมในใจเป็นกิเลสพอกหัวไปหมดด้วยกัน

เรื่องกิเลสนี้ขึ้นเร็วนะ มันอยู่ต่ำๆ แต่มันขึ้นบนหัว หัวพระหัวใจพระ เวลานี้พระเราหัวโล้นๆ สนใจกับธรรมเมื่อไร มันอยู่ในวัดมันหันหน้าออกนอกวัดนู่นนะ น่าสงสารประชาชนเขาผู้มีสมบัติผู้ดีมุ่งอรรถมุ่งธรรมเขาหันหน้าเข้าวัด ทำบุญทำกุศลศีลทาน แต่พระหัวโล้นๆ เสียเองอยู่ในวัดหันหน้าออกจากวัด มีไหมวัดป่าบ้านตาดนี่น่ะ มันน่าสลดสังเวชนะเวลานี้ จิตใจมันหยาบมากทีเดียว ที่ไหนๆ มีแต่กิเลสตีตลาดๆ เหยียบหัวพระหัวเณร ไม่มีศีลมีธรรมอยู่ในตัว สติไม่มี ความเพียรไม่มี ทำกิจวัตรต่างๆ นี้เลอะเทอะไปหมด ถ้าลงไม่มีสติแล้วเลอะเทอะทั้งนั้น ภายนอกภายในไม่สำคัญ สำคัญที่ขาดสติแล้วเลอะไปหมด ตั้งใจปฏิบัตินะ

พระเณรนี้ก็มากเข้าๆ ทุกวัน เราก็ยิ่งแก่แล้วปล่อยนะ ไม่อยากเล่นกับอะไรแล้วเดี๋ยวนี้ปล่อยไปเรื่อยๆ แล้วเรื่องเลอะเทอะมันก็จะเข้ามาเวลานั้นละ พอเราปล่อยที่นี่เรื่องเลอะเทอะมันจะเข้า แล้วก็มาทับหัวอกเราผู้เป็นหัวหน้า ถ้าต่างคนต่างระมัดระวังรักษาก็ไม่เป็นไร อยู่ด้วยกันให้มองดูหัวใจเรากับหัวใจผู้อื่นเสมอกันนะ อย่าดูตั้งแต่หัวใจเรายกขึ้นฟากเมฆ ทั้งๆ ที่มันอยู่ในส้วมในถาน ไปเหยียบย่ำทำลายผู้อื่น ดูถูกคนนั้นดูถูกคนนี้ ติฉินนินทาคนนั้นนินทาคนนี้ เจ้าของเหมือนเพชรน้ำหนึ่ง ความจริงมันมูตรมันคูถอยู่ในหัวใจ ไม่เกิดประโยชน์อะไร

คนเราถ้ามาปฏิบัติ มองดูอะไรต้องดูหัวใจความเคลื่อนไหวแห่งความคิดของตนเสียก่อน ถ้าไม่ดูความคิดของตนที่มันออกทั้งดีทั้งชั่วออกจากใจนั่นละ ถ้าไม่ดูตรงนี้เสียก่อนผิดพลาดตลอดเวลา แม้ที่สุดภาวนาก็ไม่ได้เรื่อง ให้พากันดูหัวใจ สติบังคับ คอยดูความผิดถูกชั่วดีจะรู้ได้รวดเร็วถ้าลงสติมีอยู่นั้นแล้ว ถ้าไม่มีสติคิดวันยังค่ำจนเป็นบ้าไปมันก็ไม่มีความหมายอะไรละ เอาละให้พร

หลังจังหัน

         วันที่ ๓๑ นี้เป็นวันอะไร (วันวิสาขบูชาครับ) คือวันนั้นเป็นวันตรงกับพระพุทธเจ้าอยู่หลายวันนะ วันที่ ๓๑ เป็นวันเดือนหกเพ็ญ ตรงกับวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้าถึง ๓ วันด้วยกัน ชาวพุทธเราในเมืองไทยนี้เป็นชาวพุทธ เฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทยเรา ห่างเหินจากพุทธศาสนามากมาย แล้วใกล้ชิดติดพันกับฟืนกับไฟคือบาปคือกรรม นรกอเวจี ติดเข้ามาในตัวของเราๆ เพราะพวกนี้พวกเสาะแสวงหาโอกาสตลอดเวลาเหมือนจอกแหน คอยจะปกคลุมน้ำที่ใสสะอาดอยู่ตลอดมา ต้องได้รื้อออกๆ ไม่เช่นนั้นน้ำจะไม่มีความหมาย จะมีแต่จอกแต่แหนเต็มสระเต็มบึงไม่เกิดประโยชน์ น้ำที่ใสสะอาดซึ่งควรจะทำประโยชน์แก่ส่วนรวมได้มากมาย กลับกลายเป็นไม่มีน้ำในบึง มีแต่จอกแต่แหน

อันนี้ในหัวใจเราเป็นสระอมตธรรม มรรคผลนิพพานอยู่ที่ใจ สำหรับท่านผู้ชำระบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้วเช่นใจพระพุทธเจ้า ใจพระอรหันต์ท่าน นี่เป็นใจที่สง่างามเลิศเลอไม่มีอะไรเสมอเหมือน จ้า ทีนี้จอกแหนได้แก่กิเลสตัณหามันปกคลุมน้ำในบึงในบ่อนั้นเสีย เลยไม่เกิดประโยชน์ ถ้าชวนไปวัดไปวาเหมือนจะเอาไปฆ่าไปแกง ร้องเสียงแหง็กๆ คือจะจูงไปวัดไปวา จูงเข้าห้องพระไหว้พระสวดมนต์ มันไม่อยากไป เหมือนจูงหมาใส่ฝนมันร้องแหง็กๆ พวกลูกศิษย์หลวงตาบัว นับหลวงตาบัวเป็นองค์แรก เป็นอาจารย์เอกด้วย

เอกยังไง พาลูกศิษย์ลูกหาร้องแหง็กๆ พาทำความเพียรมันไม่ทำมันขี้เกียจ ฟังเสียงร้องแหง็กหงักๆ อยู่ใต้ถุนศาลาวัดป่าบ้านตาด พวกนี้พวกร้องแหง็กหงักๆ ไม่สนใจกับศีลกับธรรม จิตใจยิ่งจืดยิ่งจางลงไปๆ ฟืนไฟเผาไหม้ใกล้ชิดติดพันเข้าไปในหัวใจตลอด อยู่คนเดียวก็ร้อน อยู่กับเพื่อนกับฝูงก็ระบายความทุกข์ร้อนของตัวเองออกสู่กันฟัง ซึ่งต่างคนต่างก็มีความทุกข์ร้อนด้วยกัน ก็เลยเป็นไฟทั้งกองๆ ในสมาคมต่างๆ ของชาวพุทธเรานี้แหละ มันเป็นกองฟืนกองไฟไปหมด

ทีนี้อบรมจิตใจให้มีความสง่างาม โอ๊ย ต่างกันมากนะ ใจที่มีธรรมกับใจไม่มีธรรม แหมต่างกันมากจริงๆ คือคาดไม่ถูกเลย ใจที่ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟคือใจที่มีแต่กิเลสล้วนๆ ไม่มีธรรมเป็นน้ำดับไฟแทรกอยู่บ้างเลย ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ยืนก็ร้อน เดินก็ร้อน นั่งก็ร้อน นอนก็ร้อน แม้ที่สุดเวลาหลับไปก็ฝันไปทางเมืองผีนู่น ไม่ได้ฝันไปทางสวรรค์ชั้นพรหมนะใจที่ร้อน นอนหลับอยู่มันก็เผาด้วยความฝันอันลามกจกเปรตนั่นแหละ ใจดวงนี้จึงควรได้รับการอบรม

พระพุทธเจ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นสิทธัตถราชกุมาร ครองราชสมบัติอยู่ตั้ง ๑๒-๑๓ ปี เสด็จออกทรงผนวช เหมือนเทวดาตกลงจากแดนสวรรค์ลงนรกทั้งเป็นนั่นแหละ เสด็จออกทรงผนวชท่านตัดพระทัยท่านทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านเป็นพระเจ้าแผ่นดิน สมบัติทุกอย่างในขอบเขตขัณฑสีมาของท่านก็เป็นสมบัติของท่านทั้งนั้น ทำไมท่านจะไม่รักไม่สงวน ต้องรักต้องสงวน นับตั้งแต่พระชายาคือผู้พึ่งเป็นพึ่งตาย พระนางพิมพานั่นละพระชายา เงาติดตัวไปเลย พระราหุล นั่น

ตอนที่ว่าอะไรๆ ดินฟ้าอากาศพร้อมนะ นี่ละวาสนาบารมีของท่านสูงส่งเต็มที่แล้วเข้ามาช่วยอุดหนุนให้เป็นความสะดวกสบายทุกด้านทุกทาง บริษัทบริวารไพร่ฟ้าประชาชนในสำนักพระราชวังที่ขับกล่อมบำรุงบำเรอเพื่อพระองค์นั้น วันนั้นกลายเป็นป่าช้าผีดิบไปหมดเลย ขับกล่อมบำรุงบำเรอให้พระองค์ทรงมีความรื่นเริงบันเทิง แต่พอถึงวันนั้นพวกที่ขับกล่อมบำรุงบำเรอ กลายเป็นป่าช้าผีดิบนอนหลับละเมอเพ้อฝัน หลับครอกๆ แครกๆ ทิ้งเนื้อทิ้งตัว เหมือนผีกำลังจะตายเสือกคลานอยู่ตามนั้น เวลาเสด็จออกมาดู โถ ทำไมเป็นอย่างนี้

ทุกวันไม่เป็นอย่างนี้เลย แล้วทำไมวันนี้ในพระราชวังซึ่งเป็นสถานที่บำรุงบำเรอของมนุษย์ชั้นสูงก็คือพระองค์เอง ทำไมจึงมากลายเป็นป่าช้าให้เห็นต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ล่ะ เกิดความสลดสังเวช คือพวกนั้นนอนหลับนอนฝัน ละเมอเพ้อไปต่างๆ นานา ทิ้งเนื้อทิ้งตัวหลับครอกๆ แครกๆ เป็นธรรมเทศนาสอนพระองค์เสียทั้งหมดเลย เริ่มต้นมาตั้งแต่เสด็จไปเยี่ยมพระนคร วันหนึ่งเจออันหนึ่งๆ ถึง ๔-๕ สมณะ เพศสมณะเป็นเพศที่สงบ เอา อันนี้เข้ามาสู่พระทัยครุ่นคิด

ทีนี้เวลาจะออกนี้ ดินฟ้าอากาศวาสนาพระองค์อำนวยเต็มที่แล้ว มองดูอะไรไม่น่าดูเลย เหมือนป่าช้าผีดิบ เราก็อยู่ในท่ามกลางป่าช้าผีดิบทนอยู่ได้ยังไง เสด็จออกเลย มีนายฉันน์แล้วก็ม้าทรงพระองค์ เสด็จออกไปเลย ประตูเปิดอ้าไปหมด เทวดาช่วยทุกอย่าง เสด็จออกจากพระราชวัง เหมือนเทวดาตกจากสวรรค์ลงสู่นรก เพราะออกจากพระราชวังซึ่งเป็นเหมือนกับสวรรค์ชั้นพรหมเข้าสู่แดนนรก คือเข้าสู่ที่บำเพ็ญเพียรพระองค์อยู่ถึง ๖ ปี สลบถึงสามครั้ง ถ้าไม่ฟื้นต้องตาย นั่นละความเพียรของพระพุทธเจ้า เวลาถึงกาลแล้วยังไงก็รอไม่ได้

เวลาจะเสด็จออกทรงผนวชแล้วก็คิดถึงพระราชโอรส ราหุล อยู่ในหัวอกแม่นั่นแหละ จะไปชมพระราหุลก็กลัวแม่มันตื่น ถ้าแม่ตื่นมันก็พันคอเลยไปไม่ได้ เลยตัดสินพระทัยไม่ไปเยี่ยมพระราชโอรสในหัวอกแม่ ตัดสินขาดสะบั้นไปเลย ก็ยังเหลือตั้งแต่ร่างพระสรีระเท่านั้น หัวใจตับปอดขาดสะบั้นไปหมดเลยเวลานั้น ตัดพระทัยอย่างรุนแรงทีเดียว จึงเสด็จออกทรงผนวช นั่นละเป็นยังไงทุกข์ไหมศาสดาของพวกเราทั้งหลาย เรายังมาอยู่สบายๆ อย่างนี้ มันขัดกันมากน้อยเพียงไรเอาไปเทียบดูในหัวใจเราเอง

ทีนี้เวลาออกทรงผนวชแล้วต้องปฏิบัติหลายด้านหลายทาง เพราะทางไม่เคยเดิน งานไม่เคยทำ ผิดถูกชั่วดีก็สุ่มเดากันไปอย่างนั้น ถึงขนาดสลบสามหน จึงทรงระลึกได้ในเวลาทรงพระเยาว์ พระราชบิดาพาเสด็จไปแรกนาขวัญ ไปประทับอยู่ที่ร่มหว้าใหญ่ เจริญอานาปานสติเกิดความสว่างไสวเป็นแดนอัศจรรย์ขึ้นมาในร่มหว้าใหญ่ต้นนั้น นั่นละเวลาทรงบำเพ็ญไปเต็มเหนี่ยวจนสลบไสลแล้ว จึงย้อนกลับไประลึกถึงอานาปานสติ แล้วจะเอาอันนั้นมาเป็นอารมณ์ แล้วก็เอาต้นโพธิ์ที่ตรัสรู้นั่นละเป็นสถานที่เกิดที่ตายที่ตรัสรู้ เอาที่นั่นเลย ไม่ลุก นั่งที่นี่เลย เอา ตายก็ตายที่นี่ ตรัสรู้ก็ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นที่นี่ แล้วตัดสินพระทัย โดยยึดเอาอานาปานสติเข้ามาเป็นอารมณ์ทรงบำเพ็ญ

พอปฐมยามก็บรรลุ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ ไม่ทราบว่ากี่ภพกี่ชาติที่เกิดแก่เจ็บตาย คลุกเคล้าด้วยกองฟืนกองไฟคือมหันตทุกข์ทั้งหลาย ทุกภพทุกชาติตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เรียกว่าปุพเพนิวาส ทรงระลึกชาติย้อนหลัง จุตูปปาตญาณ อีกในมัชฌิมยาม บรรลุ จุตูปปาตญาณ คือเล็งดูสัตว์ทั้งหลายที่ท่องเที่ยวตายเกิดอยู่นี้เต็มไปหมด ยิ่งมากยั้วเยี้ยยิ่งกว่าพระองค์เสียเอง นั่น ก็เกิดความสลดสังเวชเพิ่มขึ้นอีก อย่าว่าแต่เรามาตายกองตัวเองอยู่ กองกันก็คือกองตัวเองนั้นแหละ ชาติต่างๆ มันสับสนปนเป ชาติเปรต ชาติผี ชาตินรกอเวจี ชาติอินทร์ชาติพรหมอยู่ในนั้นหมด มารวมอยู่ที่นั่น

มองดูสัตว์ทั้งหลายก็อีกเหมือนกัน เกิดความสลดสังเวช ว่าสาเหตุทั้งสองอย่าง ทั้งสาเหตุของเราที่เกิดตายกองกัน ตลอดถึงสัตว์ทั้งหลายตายกองกันมานี้นานสักเท่าไร หากำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้เลย เป็นเพราะเหตุไร อะไรพาให้เกิดให้ตาย จุตูปปาตญาณ พิจารณาย้อนเข้าไปถึงอวิชชาตัวพาให้เกิดให้ตาย นี่เราสรุปความลงมา ก็เลยตรัสรู้ธรรมผึงขึ้นมา ถอนอวิชชาขาดสะบั้นลงในพระทัยแล้วตรัสรู้ขึ้นวันเดือน ๖ เพ็ญ นั่นละได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาในตอนนั้น ตกนรกทั้งเป็นมา ๖ ปี อยู่หอปราสาทราชมณเฑียร ครองมา ๑๓ ปี แล้วก็มาบำเพ็ญ ๖ ปี ได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เกิดแดนอัศจรรย์ขึ้นภายในพระทัย

แม้เช่นนั้นซึ่งตั้งพระทัยไว้ว่าจะเป็นศาสดาสอนโลกก็ทรงท้อพระทัย เห็นว่าธรรมนี้สุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้เห็นได้แล้ว ก็มีแต่เราคนเดียวรู้ขึ้นมาเป็นแดนอัศจรรย์เกินกว่านิสัยวาสนาของสัตว์โลกที่ตายกองกันอยู่นี้ ไม่รู้จะไปที่ไหนต่อที่ไหน เหมือนตกน้ำในมหาสมุทร แล้วจะสอนกันไปได้ยังไง สัตว์โลกตายกองกันอยู่ในน้ำมหาสมุทรจะลากขึ้นฝั่งได้ยังไง ฝั่งมหาสมุทรก็ไม่ทราบอยู่ที่ไหนมองหาไม่เห็น เห็นแต่สัตว์ตกน้ำอยู่ท่ามกลางมหาสมมุติมหานิยม จากนั้นแล้วก็พิจารณาอะไรพาให้เกิดให้ตาย ก็คือ อวิชฺชาปจฺจยา จึงได้ถอนอวิชชาพรวดขึ้นมาตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาในเดือน ๖ เพ็ญวันนั้น นั่นละเป็นศาสดาสอนโลก

๖ ปี ทุกข์หรือไม่ทุกข์ ลำบากหรือไม่ลำบากพระพุทธเจ้า เราจะมาล้างมือเปิบเฉยๆ คอยเอาแต่มรรคผลนิพพานเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ข้ามหน้าข้ามตาพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปมีอย่างเหรอ พระพุทธเจ้าสลบถึงสามหน เราสลบอะไรนอกจากสลบลงเสื่อลงหมอน หมอนขาดหมอนกุดไปเท่านั้นเอง ได้ประโยชน์อะไร เอามาเทียบกันซิเวลามันขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอ เอาเรื่องของศาสดาเอกของโลกที่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ด้วยการเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างมาเทียบเคียงเข้าไปมันก็ดีดตัวเองได้ผึงเลย นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ก็เลยตรัสรู้ขึ้นมา พระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างนั้น

เราก็เอาท่านมาเป็นครูสอนเวลามันท้อแท้อ่อนแอ ก็เอาความขยันหมั่นเพียร เอาศาสดาองค์เอกที่พาพ้นทุกข์ด้วยความเพียร เข้ามาฉุดลากความขี้เกียจขี้คร้านให้มันออกจากหัวใจ แล้วดีดขึ้นไปโดยลำดับจนถึงนิพพานได้ นิพพานมีสิทธิที่จะได้รู้ได้เห็นทุกคนที่สิ้นกิเลสแล้ว เสมอกันหมดเลย เรามีสิทธิคนหนึ่งที่มีความเพียรเต็มที่แล้ว จะถึงนิพพานได้เช่นเดียวกับท่านผู้ถึงแล้วทั้งหลายไม่สงสัย เอามาเทียบอย่างนี้ซิ เวลาเทียบแล้วก็บึกบึนกันไปๆ

เวลามันหนามันหนาจริงๆ นะกิเลส หนาจนกระทั่งถึงนั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา นี่ละเวลามันหนา ตั้งสติไม่อยู่ๆ เลย จะเป็นจะตายมีแต่เรื่องของกิเลสเหยียบหัว ฟิตกันไปฟิตกันมาสุดท้ายกิเลสหงาย เอากิเลสเหยียบแหลกตลอด หมดไม่มีอะไรเหลือ บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาถามหาพระพุทธเจ้าหาอะไร ก็ไปนั่งอยู่ในท่ามกลางพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ สาวกทั้งหลายทุกๆ พระองค์ ด้วยความบริสุทธิ์สุดส่วนเสมอกันแล้วไปถามหาพระองค์ทำไม ธรรมข้อนี้ไม่ต้องถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้าย ผลของงานได้สุดยอดแล้ว บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาก็เข้าไปอยู่ในท่ามกลางของท่านผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย เสมอหน้ากันไปหมดเลย

มหาวิมุตติมหานิพพานก็เสมอกัน มหาสมมุติก็ตายกองกันแบบเดียวกัน มหาวิมุตติมหานิพพานพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายไปแบบเดียวกัน นี่ทางดำเนินเพื่อความพ้นทุกข์ท่านก็ชี้บอกเอาไว้ ทางที่เราจะพาให้โลกจมมันลากอยู่แล้วตลอดเวลา เราก็เอาไปประพฤติปฏิบัติซิ เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตท้อแท้อ่อนแอทำไม ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ

จิตใจนี้เป็นของฝึกได้ ถ้าฝึกไม่ได้พระพุทธเจ้าก็เป็นศาสดาสอนโลกไม่ได้ พระองค์ก็เหมือนเรา เราเหมือนท่านแต่ก่อน เวลาซักฟอกเข้าไปทรมานเข้าไปมากๆ เข้าไปก็ค่อยเบาบางไปๆ สุดท้ายก็ถึงพระนิพพานได้ด้วยการฝึกฝนอบรมตนเอง นี่ก็ให้พากันฝึกฝนอบรมตนเอง อย่าอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร อยู่ด้วยกันมีหัวใจทุกคน ให้เทียบดูท่านดูเรา ดูหัวใจเขาดูหัวใจเราให้ดูเสมอกัน อย่ามีน้ำหนักกว่าเขา ถ้าเรามีหัวใจมีน้ำหนักกว่าเขายกขึ้นเป็นน้ำหนักทั้งๆ ที่มันเลวยิ่งกว่าส้วมกว่าถานแล้วมันยิ่งเลวกว่าส้วมกว่าถานลงไปอีกนะ

ให้ยกน้ำใจขึ้นเสมอกัน ใจเขาก็มีใจเราก็มี มุ่งหน้ามุ่งตาต่อความพ้นทุกข์เหมือนกันสำหรับผู้มาปฏิบัติทั้งหลาย แล้วให้ดูหัวใจกัน ให้อดให้กลั้นให้เก็บความรู้สึกด้วยดี อย่าเปาะแปะๆ แล้วพูดออกมาๆ มันกระทบกระเทือนหูผู้อื่น ปากถ้ามันอยู่เฉยๆ ก็ไม่เป็นอะไร ใจอยู่เฉยเก็บความรู้สึกไว้ก็ไม่กระทบกระเทือน พอออกจากความรู้สึกมาทางปากทางกิริยามารยาทแล้ว มีการกระทบกระเทือนกันไม่มีสิ้นสุด เกิดความทะเลาะเบาะแว้งแตกกระจัดกระจายกันไปทั่ววัดทั่ววา เลยกลายเป็นวัดร้าง มีตั้งแต่กิเลสเผาหัวผู้มาปฏิบัติ ดูไม่ได้นะ ต้องปฏิบัติตัวเอง เก็บความรู้สึกให้ดี

อย่านำเรื่องนั้นเรื่องนี้คนนั้นคนนี้มาพูดยิ่งกว่าดูเรื่องของเจ้าของ ให้ดูเรื่องของเจ้าของเป็นสำคัญ นี่คือธรรมสอนโลกสอนอย่างนี้ กิเลสสอนพวกเราสอนมีตั้งแต่ให้ยกโทษกัน ไปที่ไหนคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี เจ้าของเลวยิ่งกว่าส้วมกว่าถานไม่ดู นี่ละมันเลวเพราะเหตุนี้เองพวกเรา ถ้าดูตัวเองแล้วก็ฟิตก็แก้ไขดัดแปลงแล้วมันก็ค่อยดีขึ้นๆ ต่างคนก็อยู่ด้วยกันได้หมด ไม่มีคำว่าใครสูงใครต่ำในโลกนี้ เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรมของสัตว์ด้วยกัน เกิดมาเป็นคนแล้วก็เป็นตามกรรมของสัตว์ที่ตกแต่งมาแล้ว แล้วจะทำอย่างไร ก็มีแต่ปฏิบัติตัวให้ดีขึ้นไปเท่านั้นเอง แก้ไขดัดแปลง ให้เห็นอกเห็นใจกัน

การอยู่การกินทุกสิ่งทุกอย่างมองดูพุงเขาพุงเรา ใจเขาใจเราให้เสมอกัน อดบ้างอิ่มบ้างไม่เป็นไรขอให้เอิบอิ่มด้วยธรรม แจกจ่ายเสมอหน้ากันนี้เป็นความพอดี ความพอดีนี้มีมากมีน้อยเป็นสุขด้วยกัน ถ้าความไม่พอดีเห็นแก่ตัวเห็นแก่พุงของตัวแล้วเอาไปทับคนอื่นแล้วเกิดความเดือดร้อน คนนั้นได้มากคนนี้ได้น้อย คนนั้นไม่ได้กิน คนนี้ได้กิน นั้นละความกระทบกระเทือนของกิเลส กินไม่พอได้ไม่พอมันแตกกระจายขึ้นตรงนั้น อยู่ด้วยกันเท่าไรก็แตก หาความสงบสุขร่มเย็นไม่ได้

ถ้าต่างคนต่างให้อยู่ในความพอดิบพอดี อะไรอดอยากขาดแคลนแต่ธรรมในหัวใจอย่าให้อดอยากขาดแคลน สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ให้ประกอบอยู่ในจิตใจ คนนี้สม่ำเสมอ จะอดบ้างอิ่มบ้างไม่เป็นไร หัวใจอิ่มด้วยธรรมแล้วเสมอหน้ากันไป สบาย พากันจำเอานะ เอาเท่านั้นละวันนี้พอ

(พอปฏิบัติไปพิจารณามาถึงความตาย ร่างกายก็ตายจมดินไป อุปาทานตัดขาดไป เหลือแต่จิตว่างครับหลวงตา แล้วเราเดินจงกรมไปเจ็บเท้าแต่มันไม่ขัดกับจิต พอมันไม่ขัดกับจิตมันเป็นเวทนาของกาย พอจิตรู้ว่ามันเป็นเวทนาของกายจิตมันก็ปล่อยกายเลยครับ ต่อไปผมไม่รู้จะปฏิบัติอย่างไร) มันปล่อยกายมันยังไม่ปล่อยจิต ดูจิตอีกทีหนึ่ง ตัวปล่อยปล่อยมาด้วยเหตุผลกลไกอะไร แล้วมันจะปล่อยตัวเองเมื่อไร ปล่อยอะไรก็ตามถ้ายังไม่ปล่อยจิตยังไม่แล้ว ปล่อยเข้ามาๆ เบาเข้ามาๆ พอปล่อยจิตผางแล้วหมดเลย เข้าใจเหรอ ปล่อยแต่กาย ไม่ปล่อยจิต ว่างแต่ข้างนอก ไม่ว่างในจิต

เหมือนเราอยู่ในห้อง เข้าไปอยู่ในห้องไปยืนจังก้าขวางห้องก็ว่าตัวอยู่ในห้องว่างๆ แต่คนที่มีความรู้สูงกว่านั้นเขาไปยืนดูมันจะว่างอย่างไรห้อง แกไปยืนขวางห้อง อยากให้ห้องว่าแกต้องถอยตัวออกไปห้องจะได้ว่าง พอถอยตัวออกปั๊บห้องก็ว่างทันทีเข้าใจไหม ตัวเรานั่นละไปขวางห้อง ห้องเป็นความว่าง ถอนตัวของเราไป มันติดอยู่ที่ตัวไปขวางนั่นละ เจ้าของเข้าใจว่ามันว่างหมด แต่ไม่ได้ดูตัวเองว่าว่างหรือไม่ว่าง เท่านั้นละจะไปแล้ว

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก