เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
รู้แท้สอนไม่ผิดไม่พลาด
ก่อนจังหัน
เราได้เตือนเสมอการภาวนาของพระหรือของผู้ใดก็ตาม สติเป็นสำคัญ การภาวนาสติเป็นสำคัญมาก ถ้าสติไม่เผลอกิเลสไม่เกิด บอกชัดๆ เลย เผลอสติพับกิเลสออกแล้ว กัดเจ้าของแล้ว สติเป็นสำคัญ นี่ได้ฝึกมาแล้ว จิตเจริญแล้วเสื่อมๆ ปีกับห้าเดือน เวลามันขึ้นแล้วเราไม่รู้จักวิธีรักษาในเบื้องต้น แต่เวลามันมาดัดสันดานเราแล้ว นั่นละที่นี่เสาะหาเหตุหาผลหาหลักหาเกณฑ์ ก็มาได้ที่สติกับคำบริกรรมให้ติดกับหัวใจ สติจับ เอ้า ที่นี่มันจะเจริญจะเสื่อมไปไหนให้มันไป อันนี้เราจะไม่ให้เสื่อมจะไม่ให้พราก จับติดเลย ความเสื่อมความเจริญเราทุกข์กับมันจนอกจะแตกแล้ว ไม่อยากให้เสื่อมเท่าไรมันก็เสื่อมต่อหน้าต่อตา ปีห้าเดือน
เอา ทีนี้ให้จับกันตรงนี้ แต่นิสัยนี้พูดจริงๆ มันจริงมาก ถ้าลงว่าอะไรขาดสะบั้นไปเลย อันนี้ก็ว่าสติกับจิต คำบริกรรมเอาพุทโธๆ ติดกับจิต สติติดตื่นนอนไม่ให้เผลอเลยตลอดค่ำ เอา ตั้ง มันจะเป็นยังไงมันจะเสื่อมจริงๆ หรือ ปล่อยแล้วทอดอาลัยตายอยาก เอ้าๆ เสื่อมไป เจริญก็เจริญไปเพราะเราเคยพอแล้ว ไม่อยากให้เสื่อมเท่าไรมันยิ่งเสื่อมต่อหน้าต่อตายิ่งสร้างกองทุกข์ให้เรา ทีนี้เราจะจับพุทโธกับสติติดแนบอยู่ในหัวใจ เอ้าๆ เสื่อมไปบอกตรงๆ เลย เหมือนว่าท้าทายกัน เอ้า อะไรจะเสื่อมให้เห็นกันคราวนี้ละ ฟัดกันเลย
แต่สติติดจริงๆ นะไม่ให้เผลอเลย ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งค่ำเผลอไปไหนไม่ได้เลย บิณฑบาตไม่ทราบเขาเอาอะไรใส่ให้ คือมันไม่สนใจขนาดนั้นมันจะเผลอ ได้สามวันจิตค่อยสงบ ทีแรกมัน โถ มันดันนี่เหมือนอกจะระเบิดนะทางสังขาร อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชามันดันออกมาให้เป็นสังขารสมุทัยกิเลสดันออก สติจับติดๆ สติกับพุทโธปิดไม่ให้ออก จึงได้บอกชัดๆ ว่ากิเลสจะเท่าภูเขาก็เถอะบอกเลย สติเป็นสำคัญครอบได้หมด เหมือนกับว่าฝั่งมหาสมุทร สติเป็นฝั่ง น้ำมหาสมุทรล้นไปไม่ได้ เอาอยู่ได้ พอถึงขั้นมันเจริญแล้วมันจะเสื่อม คือมันอยู่ไปได้สองคืนสามคืน พอไปถึงนั้นแล้วยังไงก็ไม่อยู่ขาดสะบั้นลงไปเลย เป็นอย่างนี้ปีกับห้าเดือน ทีนี้จะปล่อยเลยที่นี่ เอ้าๆ เสื่อมไปบอก จะเสื่อมไปไหนเสื่อมไป แต่สติกับพุทโธติดกับจิตจะไม่ยอมให้เสื่อม เป็นยังไงถึงไหนถึงกันให้รู้กันคราวนี้
จับติดจริงๆ ทอดอาลัยตายอยากเรื่องความเสื่อมความเจริญ ได้ ๓-๔ วันติดกันเลย จิตค่อยสงบตัว ทีแรกมันดันออกๆ อำนาจของสมุทัย อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ดันออกๆ ทีนี้เมื่อสติจับติดๆ บังคับๆ แล้วสุดท้ายสังขารไม่เกิดกิเลสไม่เกิด แล้วตั้งฐานได้ เอา ปล่อย อยากเสื่อมเอ้าเสื่อมไป ไม่เสื่อม เพราะอันนี้จับติด ฐานที่ตั้งแห่งความไม่เสื่อมคือสติกับคำบริกรรม แล้วเจริญๆ ทีนี้ก็ฟัดใหญ่เลย นี่เรียกว่าได้หลัก ทีนี้ได้หลักแล้ว ที่นำมาสอนพี่น้องทั้งหลายได้ผ่านมาแล้วทั้งนั้น จากนั้นก็บุกใหญ่เลย พอได้ที่แล้วทีนี้ไม่ถอยละ
เอาเสียจน...นั่งภาวนาจนก้นแตก ไม่แตกได้ไงนั่งตลอดรุ่งๆ ไม่ให้พลิกให้เปลี่ยนไปไหนเลย นั่งแบบไหนแบบนั้น เอา ปวดหนักออกเลยปวดเบาออกเลย บอกชัดๆ เลยเปิดทางให้หมด ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเราขี้ใส่ตักแม่เอาแม่เป็นส้วมเป็นถานมาพอแล้ว นี่ขี้ใส่จีวรเจ้าของ พอออกจากที่แล้วมันซักไม่ได้เอาไปฆ่าทิ้งเสีย หนักศาสนา เอาเจ้าของซัดกันเลย แต่มันไม่เคยปวดหนัก แต่เบานั้นเหงื่อมันออกหมดแล้วมันจะไปปวดอะไร ไหลออกจีวรเปียกหมดเลยคนจะตาย ส่วนหนักไม่เคย ถ้ามันปวดมันก็เอาจริงๆ นะ มันจะออก เอ้าๆ ออกเลย ตั้งแต่เป็นเด็กมันเอาตักแม่เป็นส้วม ทีนี้เอาตักเจ้าของเป็นส้วม ไม่ออก เอามันขนาดนั้น ไม่เด็ดไม่ได้นะกิเลสเก่งมาก ได้ผ่านมาแล้วจึงได้นำมาสอนพี่น้องทั้งหลาย มีแต่เรื่องเราผ่านมาแล้วทั้งนั้นได้นำมาสอนเพื่อเป็นคติๆ ให้พากันตั้งใจ
การภาวนาพระของเราอย่ายุ่งกับงานอะไรนะ งานนั้นงานนี้เป็นงานทำลายจิตตภาวนา งานจิตตภาวนาคือสติกับจิตจับติดๆ ใครจะอยู่ในคำบริกรรมตั้งฐานเบื้องต้นก็เอา อย่าปล่อยจากคำบริกรรม ผู้มีความสงบสติจับอยู่กับจุดแห่งความสงบ จากนั้นก็สติปัญญาที่นี่จะค่อยหมุนไปๆ เรื่อยๆ ละ อย่าทำเหลาะๆ แหละๆ นะทำอะไร ไปภาวนาไม่ได้เรื่องได้ราว โฮ้ ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่เลิศเลอ ไม่มีในโลกนี้อันใดหรือศาสนาใดที่จะมาเทียบมาเคียงได้ เพราะศาสนานี้เป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลส สอนทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบหมด ขอให้ทำชอบเถอะยังไงก็ผ่านได้ๆ
พระพุทธเจ้าสอนโลกสอนตั้งแต่พื้นถึงนิพพาน ไม่มีอัดมีอั้นพระพุทธเจ้าสอนโลก เราอย่าอัดอย่าอั้นในความเพียรของเราเพื่อจะก้าวเดินตามเสด็จพระพุทธเจ้า เอาให้ดี แล้วก็ยามตอนเย็นนี้ละพิลึก เราออกมาทีไรนี้แหม ถ้าเป็นเราไม่เป็นไรละ ไล่ขนาบแตกฮือๆ เลยเรา พอ ๔ โมงกว่าๆ ไปแล้วยังไหลเข้ามาๆ เข้ามาเซ่อๆ ซ่าๆ ดูนั้นดูนี้พอกวนพระ ระเกะระกะ เก้งๆ ก้างๆ ท่านจะว่าอะไรท่านไม่ว่าละพระ ทางนั้นก็สนุกเตร็ดเตร่เป็นบ้า อ้าปากด้วยนะ เที่ยวมาดูวัด วัดเป็นยังไงจึงต้องมาดู มาให้คะแนนวัดตัดคะแนนวัดเหรอ เจ้าของเป็นยังไงมันเลวจะตาย เหมือนส้วมเหมือนถาน พระท่านดูรู้เมื่อไร ท่านดูหมดตับหมดปอดนั่น เซ่อๆ ซ่าๆ เข้ามา
เอาแล้วนะหนักเข้าๆ เดี๋ยวนี้ เขียนไว้แล้วนั่น ที่นี่เป็นสถานที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจธุระไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน นั่นออกแล้ว ที่นี่เริ่มขึ้นแล้วว่า กูจะฟ้องท่านเปา มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน หนักเข้าแล้วนะนั่น ต่อไปจะเอาค้อนทำเป็นการ์ตูนเงือดเงื้อไว้นี้ ระวังให้ดีนะหัวพวกนี้น่ะ เราจะทำเป็นการ์ตูนเงือดเงื้อไว้นี้ ให้ท่านเปาละฟาด พวกอื่นมันไม่กลัวต้องท่านเปามันกลัว จะเอาทุกแบบ ไม่งั้นไม่ได้กิเลสมันเก่งนัก นั่นเห็นไหมท่านเปาอยู่นั้น
เราไปเห็นอำเภอภูเขียวเรื่องราวมันน่ะ เราเอาของไปส่งโรงพยาบาล เขาเขียนติดไว้ท้ายรถ กูจะฟ้องท่านเปา เราก็ได้ต้นฉบับนั้นมา พอมานี้เราก็ต่อท้ายว่า มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน เอาตรงนั้น กูจะฟ้องท่านเปา ต้นฉบับของเขา ปลายฉบับก็ว่า มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน ระวังให้ดีนะพวกนี้ ถ้าเราออกมาตอนเย็นไม่เป็นไร ไล่แตกฮือๆ เลย มันอะไรมันเหมือนกองมูตรกองคูถเข้ามาสู่ธรรมมันดูกันไม่ได้นะ การสอนนี้เพื่อให้มีสติสตังเป็นผู้เป็นคนบ้าง ศาสนามันเหยียบแหลกไปหมดนานแล้วนะ ให้กิเลสเข้าไปเหยียบศาสนา ศาสนาเลยเป็นของครึของล้าสมัย ทันสมัยล้ำยุคล้ำสมัยก็คือกิเลสเหยียบหัวสัตว์โลก เพราะฉะนั้นมันถึงร้อนเป็นฟืนเป็นไฟซิ
ท่านผู้มีธรรมท่านไม่ร้อน อยู่ที่ไหนไม่ร้อน อดอยากขาดแคลนท่านไม่ร้อนในหัวใจท่าน เห็นไหมท่านไปภาวนาอยู่ในป่าในเขา ท่านสมบูรณ์พูลผลที่ไหน บิณฑบาตได้ข้าวเปล่าๆ มาเท่านั้นฉันนิดหนึ่งพอ แต่จิตนี้พุ่งๆ อยู่กับธรรม นั่นท่านเอาอย่างนั้น ท่านมาสอนพวกเรา พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายมีแต่องค์สมบุกสมบันแทบเป็นแทบตาย ผู้ที่ขิปปาภิญญามีน้อยมาก ไอ้พวกทันธาภิญญา ทั้งปฏิบัติลำบากทั้งรู้ได้ช้ามีมาก ผู้ที่ปฏิบัติสะดวกรู้ได้เร็วมีน้อยมาก
ให้เอาธรรมพระพุทธเจ้าไปสอนนะ โลกชาวพุทธเรานี้ห่างเหินจากธรรมมามากแล้วตั้งแต่ผู้ใหญ่ลงมา ใหญ่เท่าไรยิ่งลืมเนื้อลืมตัว มีเมียไม่ถึง ๓๐ คนแล้วหรือผู้ใหญ่ในเมืองไทยของเรานี่น่ะ มีเมียมันได้ ๓๐ คนหรือ นี่เป็นที่ดูถูกเหยียดหยามเจ้าของเองประชาชนเขาไม่นับถือผู้ใหญ่ประเภทนี้ ตัดลง สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องเหยียบย่ำทำลายศักดิ์ศรีดีงาม และความสงบร่มเย็นแก่ชาติบ้านเมืองของเรา สำหรับเป็นผู้ใหญ่ต้องตัดให้แหลกขาดสะบั้นไปเลย อย่าเป็นบ้ากาม ใหญ่เท่าไรยิ่งเป็นบ้ากามใช้ไม่ได้นะ
เมืองไทยเรานี้มันเป็นบ้ากาม ตั้งแต่ผู้ใหญ่ลงมาหาผู้น้อย เอาไปฟัง นี่ธรรมพระพุทธเจ้านะนี่ไม่ใช่ธรรมของหลวงตาบัว ธรรมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเลิศเลอ พระพุทธเจ้ามีพระนางพิมพาองค์เดียว มีหมามีเป็ดมีไก่ไปเป็นเมียท่านมีอีกไหม แอ้มๆ ข้างเป็นเรือพ่วงมีไหม ไม่มี อันนี้มันเกินประมาณนะผู้ใหญ่ในเมืองไทยของเราเห่อกับทางบ้ากาม ไปที่ไหนเมียเป็นพวงๆ น่าทุเรศสงสารนะ ดูเจ้าของบ้างซิปกครองบ้านเมือง ไม่ดูเจ้าของบ้างจะปกครองบ้านเมืองได้ยังไง ประชาชนเขาหัวเราะเขายิ้มด้วยความดูถูกเหยียดหยามเขาไม่อยากดู ให้ดูนะผู้ใหญ่ในเมืองไทยของเรา อย่าเป็นบ้ากามๆ นะ มันพิลึกกึกกือเหลือเกิน ไปที่ไหนมีแต่อันเดียวนี้ ลืมเนื้อลืมตัวตลอดเวลา ให้เขาเคารพนับถืออะไร
หมามันก็มีเมียมีกี่ตัวก็ได้ไม่เห็นเขาไปเคารพมัน เราเป็นผู้ใหญ่ผู้โตจะเอาหมาแทนคนคนแทนหมามาเป็นเมียได้เหรอ มันใช้ไม่ได้นะ พากันจำให้ดี นี่ละธรรมสอนโลกสอนอย่างนี้เอง เราไม่มีสูงมีต่ำธรรมเหนือหมด เอาธรรมมาสอนพวกเราที่จมดิ่งๆๆ อยู่ด้วยความสกปรก มาสอนให้เอาไปพิจารณาทุกคน เอาละหิวข้าว จะให้พร
หลังจังหัน
วันนี้วันที่ ๑๓ เมื่อวานนี้ตรงกับเราบวชพอดี เราบวชวันที่ ๑๒ พฤษภา ๒๔๗๗ ถึงเมื่อวานนี้ ๗๓ ปีเต็ม (บวชแล้วโยมมารดาไม่ต้องปลุกใช่ไหมเจ้าคะ) ใช่ๆ พูดยากอยู่นะเรา เจ้าของเองก็ได้ชมเจ้าของ ที่จะได้ต้องติเจ้าของไม่เห็น มีแต่ โอ้โห อย่างนั้นมันก็ทำได้ ทำอะไรมีแต่รั้งๆ ไปอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ท่านรั้งนะ ที่จะได้ไสไม่เห็นมี มันเป็นอะไรนิสัยอันนี้นะ เวลาจะออกไปบวชแม่มานั่งปั๊บ นี่แม่จะบอก อย่างอื่นอย่างใดแม่ไม่มีที่ต้องติลูกคนนี้ ว่าอย่างนั้นเลย แต่ที่แม่อกจะแตกไว้ล่วงหน้านี้ก็คือนอนเหมือนตายนะลูก ถ้าไม่ปลุกแล้วแล้วเท่านั้น
คือคำว่าปลุกหมายถึงว่าเราสั่งแม่ไว้ตอนเช้าเราจะไปธุระแต่เช้า มันมีพี่ชายคนหนึ่งเป็นคู่แข่งกัน พี่ชายคนนั้นบอกแม่เหมือนกัน ถ้าหากวันไหนจะไปธุระอะไรบอกแม่ให้ปลุก ยังไม่ถึงเวลานั้นเขาไปของเขาแล้ว บางทีแม่ก็ได้ปลุกบ้าง บางทีเขาไปของเขาแล้ว อันนี้นอนเป็นตายยังแต่กุสลาเท่านั้น นี่ละที่แม่วิตกมากนะลูก บอกตรงๆ เลย อย่างอื่นแม่ไม่มีที่ต้องติ เรื่องนอนนี้เป็นตายเลยนะลูก ทีนี้เวลาไปบวชแล้วพระไปบิณฑบาตบ้านไหนเมืองไหนกลับมาแล้วต้องไปปลุกท่านบัวมาฉันจังหัน อู๊ย อย่าให้แม่ได้ยินเลย แม่จะเอาหัวมุดดินเลยนะลูก เราเฉย
แม่ไม่รู้ความภายในของเรา ที่ให้แม่ปลุกทุกครั้งคือมันทอดธุระไม่ใช่อะไรนะ วันพรุ่งนี้จะออกไปแต่เช้าเลยให้แม่ปลุกให้ พอแม่รับทราบแล้วทอดธุระตายเลย แม่จึงได้ปลุก แต่พี่ชายไม่เป็นอย่างนั้น บอกก็จริงแต่ถึงเวลาเขาตื่นเขาไปของเขา แต่เราไม่มี ไม่มีเลย คือมันทอดธุระ เวลาบวชแม่ว่าอย่างนี้แหละ เอานะที่นี่ ไม่มีแม่มาตามปลุกเรานะ เราต้องเป็นตัวของเราโดยตรง ตั้งแต่นั้นมานอนดีดผึงๆ พวกเพื่อนนอนอยู่ด้วยกันตื่น เพราะความตื่นนอนของเราเหมือนเนื้อตื่นนายพราน ตั้งแต่วันบวชดีดผึงๆ เลย นี่ละความตั้งใจมันหากเป็นของมันเอง
๑๘ พรรษาฝึกใหม่ ๑๖ ก็ฟัดกันกับกิเลสขาดสะบั้นลงไป พรรษา ๑๖ ทีนี้การฝึกฝนการดีดการดิ้นเพื่ออรรถเพื่อธรรม การการดีดการดิ้นก็เห็นว่ายุติลงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างพอแล้วเราก็ควรจะตื่นนอนในเวลาพอดิบพอดี ตื่นขึ้นมารู้ทิศรู้ทางเรียบร้อยด้วยความมีสติแล้วค่อยลุกอันนี้สวยงาม อันนั้นวิธีการรบก็ต้องเป็นอย่างนั้น ยกให้ อันนี้หยุดรบแล้ว ให้ตื่นนอนด้วยความพอดิบพอดีมีสติสตังรู้ทิศใต้ทิศเหนือแล้วค่อยลุกไป อย่าแบบปึ๋งปั๋ง เวลาอยู่ในสงครามฟัดกับกิเลสนี้เป็นแบบนั้นละ ผึงเลยเชียว ๑๘ พรรษาฝึกใหม่ ๑๖.พรรษาลงเวที ถึงขนาดนั้นมันก็ยังดีดของมัน ไม่ได้ง่ายๆ นะ พอตื่นนอนดีดแล้วๆ มันเร็ว มันเคยชิน
มันเอาจริงเอาจังทุกอย่าง ไม่ได้เหลาะแหละๆ พิจารณาย้อนหลังที่จะมีตำหนิติเตียนเจ้าของตรงไหนๆ ไม่มี มีแต่ว่ารั้งๆ จึงว่า โอ้โห อย่างนั้นมันก็ทำได้ๆ คือถ้าทำอย่างทุกวันนี้ตาย นั่นมันทำได้คือความมุ่งมั่นมันมี อันนี้ความมุ่งมั่นก็ไม่มีจะทำไปหาอะไร มันก็นอนแบบตาย ทุกอย่างเป็นเหมือนตายทุกวันนี้ ไม่มีราค่ำราคาอะไรเลย ทำอะไรๆ ความมุ่งมั่นอะไรต่ออะไรไม่เห็นมี จะตำหนิตนเองว่าเหลวไหลก็ไม่ได้ ไม่เห็นมีที่ตำหนินะ ก็ธรรมดาอยู่ เวลานั้นเป็นอย่างหนึ่ง เวลานี้เป็นอย่างหนึ่ง
เราจึงได้บอกว่างานการใดก็ตามไม่มีงานใดที่จะหนักมากยิ่งกว่างานแก้กิเลส ว่าอย่างนั้นเลย ลงจุดนี้จุดเดียว งานการอะไรหนักขนาดไหนถึงเวลาจะหยุดทิ้งปั๊วะไปเลย ไม่อย่างนั้นฆ่ากิเลสไม่ได้ ถ้าวันไหนแพ้กิเลส คือกิเลสมันเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าไปแพ้ขั้นใดตอนใดนอนไม่หลับ ลุกขึ้นฟัดกันใหม่เลย เอาจนได้ชนะตรงนี้ละ เอาละพอ นี่มันเป็นอย่างนั้นนะ มันเป็นขั้นเป็นตอน
อย่างพ่อแม่ครูจารย์ที่รั้งเอาไว้ได้ท่านก็รั้ง เช่นนั่งตลอดรุ่ง เด่นชัดมากนั่งตลอดรุ่ง คือวันไหนได้นั่งตลอดรุ่งแล้วเป็นวันเห็นเหตุเห็นผล เห็นความอัศจรรย์ เห็นความสามารถของตนเห็นในคืนเช่นนั้น เวลานั่งตั้งสัจจะอธิษฐานกึ๊กวันนี้ต้องตลอดรุ่ง โผล่ขึ้นมาเป็นวันใหม่ชัดเจนแล้วถึงจะลุกได้ ถ้ายังไม่ถึงนั้นลุกไม่ได้ มันจะปวดหนักปวดเบาให้ปวดไป เรื่องที่จะลุกไม่มี เว้นข้อเดียว คือเว้นครูบาอาจารย์ เพราะเราอยู่กับหมู่กับเพื่อน เว้นครูบาอาจารย์เจ็บไข้ได้ป่วย หรือเกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินในวัด ยกตั้งแต่ครูบาอาจารย์ลงมา เราจะลุกไปช่วย ถ้านอกจากนั้นเราเอง เอา ตายก็ตายไปเลย ไม่มีข้อแม้ มีข้อเดียว ช่วยหมู่เพื่อนในวัดในวามีครูบาอาจารย์เป็นต้นเท่านั้นเอง นอกนั้นไม่ยกเว้น ยกเว้นเท่านั้นเอง
ทีนี้เวลาจะตายจริงๆ คนเราอย่าเข้าใจว่าจะโง่ตลอดไป นี่จับได้กับเจ้าของ อย่าเข้าใจว่าจะโง่ตลอดไป เวลาเกิดทุกขเวทนา คือเรานั่งอยู่นี่ตัวของเราเหมือนหัวตอ ทุกขเวทนามันโหมเข้ามาให้ตัวเราทั้งตัวเหมือนกับไฟเผาหัวตอ ไม่ให้ลุก เวลาจะตายมันยิ่งหนักกว่านี้ นี่ยังไม่ตาย คือมันหาอุบายแก้กัน เวลาจะตายมันต้องหนักกว่านี้มันถึงตาย เดี๋ยวนี้ยังไม่ตาย พระพุทธเจ้าสลบสามหนเราสลบที่ไหน นั่นเอามาเทียบๆ เวลามันหนักเข้าแยกทุกขเวทนานะ
ทุกขเวทนาสำคัญมาก เจ็บตรงไหนๆ สมมุติว่าเจ็บเข่า เรายกมาเป็นเพียงเอกเทศนะ เวลามันซัดกันมันหมุนติ้วๆ เลย เวลามันปวดตรงไหนปวดมากเราจะยกอันนั้นขึ้นมาพิจารณา เช่นปวดเข่า เวลาคนตายแล้วเข่ามีไหม เอาไปเผาไฟเข่าว่าอย่างไร เข่าก็ไม่เห็นว่าอะไร แต่เวลานี้มันมาเจ็บมาปวดมันปวดจากอะไร ไล่ไปไล่มา ไล่ตรงนี้ไล่ตรงนั้นไล่ไปไล่มารอบ ไม่ได้มีอะไรเจ็บปวดแสบร้อน อวัยวะทุกส่วนยังมีอยู่ทุกอย่าง เอาไปเผาไฟไม่เห็นแสดงว่ายังไง เดี๋ยวนี้มันเป็นไปจากใคร ใครเป็นคนสำคัญมั่นหมาย ไล่เข้ามาหาจิต พอมันมารอบที่จิตแล้วนั่นละทีนี้ไม่ได้บอกก็ลงเองจิต
จิตนี้ กิเลสละลากไปๆ พอธรรมตีตะล่อมเข้ามากิเลสไม่มีทางไป ธรรมตีคว่ำลง จ้า ร่างกายทั้งร่างเปรียบเหมือนไฟเผาอยู่นั้นไม่มีนะ เวลามันลงเต็มที่ของมันร่างกายหายเงียบเลย มีแต่ความรู้ที่ว่าอัศจรรย์อันหนึ่ง เราบอกได้เท่านี้ว่าสักแต่ว่าปรากฏ คือจะพูดเป็นสอง พูดหนักกว่านั้นไม่ได้ มันไม่ตรงกับความจริง สักแต่ว่าปรากฏ คือปรากฏนี้ปรากฏที่อัศจรรย์มาก จิต เวลามันลงร่างกายไม่มีหายเงียบเลย จะว่ามีอะไรในจิตนี้ไม่ได้อีกนะ สักแต่ว่าปรากฏเท่านั้นละ
เวลามันลงละเอียดกายหายเงียบเลย อันนั้นพูดได้แต่เพียงว่าสักแต่ว่าปรากฏอัศจรรย์นะ นั่นละเหลืออยู่ จะว่าเหลืออยู่จริงมันก็พูดยากอยู่ เวลาเข้าถึงขั้นถึงตอนมันแล้ว ร่างกายหาย ที่ยังเหลือคืออะไร สักแต่ว่าปรากฏ ปรากฏคือความอัศจรรย์เหลืออยู่ เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าวันไหนฟัดกันได้อย่างนี้ทุกคืน แล้วความตายมันจะใหญ่โตมาจากไหน ธรรมใหญ่กว่านั้น เวลาจะตายผู้มีธรรมไม่มีธรรมมันตายได้ด้วยกัน มันทุกข์ด้วยกัน นี่เราตายเพื่อความดี เอา ตาย ฟัดกันอย่างนั้นละ
นี่ละที่ขึ้นไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ขึ้นไปเหมือนผ้าพับไว้นะ เหมือนท่านๆ เราๆ ขึ้นไป เพราะความเคารพเลื่อมใส กิริยามารยาทเหมือนผ้าพับไว้เวลาลูกศิษย์ขึ้นไปหาครูบาอาจารย์ เราเหมือนท่าน ท่านเหมือนเรา ทีนี้มาเข้าถึงตอนนี้ พอมันภาวนาเป็นขึ้นมาอย่างแบบอัศจรรย์ บทเวลาออกทางธรรมะนี้ โอ๋ย เหมือนแชมเปี้ยน ซัดกัน มันอาจหาญมาก มันรู้จริงๆ นี่ มันไม่สะทกสะท้านนะ คือเล่านี้เล่าอยากให้ท่านได้ยินได้ฟังแล้วท่านจะได้แก้ไขดัดแปลงตรงไหนขัดข้องตรงไหน ความหมายว่าอย่างนั้นต่างหาก แล้วมันพอใจเล่า
ปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตายพึ่งจะมาปรากฏอย่างนี้ เล่าให้ท่านฟัง โอ๋ย เหมือนจะกัดจะเห่าขึ้นเวทีนะ ท่านก็นิ่งเฉย ไอ้บ้านี่ ตามภาษาตลกอย่างหลวงตาบัว ไอ้บ้านี่มันรู้แล้ว คงว่าอย่างนั้น พอจบแล้วนั่งหมอบคอยฟัง ท่านจะออกแง่ไหนๆ ท่านจะช่วยแก้ไขเราบกพร่องตรงไหนๆ คอยฟังท่านจะแก้ไขให้เรา จากนั้นท่านก็ขึ้นผางเลย มันถึงใจท่าน พอขึ้นก็ขึ้นอย่างที่เราเป็นในจิตมันรับกัน ท่านก็เมตตาเต็มส่วน จิตของเราได้ผลเต็มกำลังของเรา ออกรับกันนี้เหมือนนักมวยแชมเปี้ยน
บทเวลาขึ้น เออ เอาละที่นี่ได้หลักแล้ว อัตภาพนี้มันไม่ตายถึงห้าหนละ มันตายหนเดียวเท่านั้น เอา ได้หลักแล้วทีนี้ฟัดมันเลย โอ๊ย นี่ก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง ใบไม้สดใบไม้แห้งถือว่าเป็นข้าศึกจะกัดจะเห่าใบไม้ เข้าใจไหม มันมีกำลังใจ ซัดเข้าไปๆ พอนานเข้า เพราะมันได้ทุกคืน เอาตายเข้าว่ามันไม่ได้อย่างไร เห็นไหมจอมปราชญ์สอนจอมโง่ พอถึงเวลาพอสมควรแล้วท่านรั้งให้อยู่ในความพอดี ไอ้เรามันผาดโผน พอต่อไปๆ ท่านเห็นว่าสมควรๆ ท่านนิ่งนะ จะชมเชยสรรเสริญก็ไม่ใช่ ตำหนิตรงไหนก็ไม่ใช่ ท่านนั่งนิ่งพูดนิดหน่อยๆ
เรายังไม่รู้นะนั่น เพราะนั่งคืนไหนเป็นอย่างนั้นได้ทุกคืนๆ ยิ่งละเอียดลออนั่งตลอดรุ่ง คนจะตายจริงๆ ปัญญามันมานะ สติปัญญามาเอง ออกจากเราเราพูดเอง มันไม่ยอมตายหนา เวลามันจะตายจริงๆ มี คนเราไม่ได้โง่ตลอดไปนะ สติปัญญามันฟัดกันกับทุกขเวทนา อวัยวะส่วนไหนเจ็บหนักเจ็บเบาตรงไหนๆ มันไล่เข้าไปๆ สุดท้ายคนตายแล้วอันนี้มีอยู่เอาไปเผาไฟมันว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้มันเป็นกับอะไร ไล่เข้าไป พอรอบแล้วจิตก็ลงผึงเลย
พอไปเล่าให้ท่านฟังทีแรกท่านก็ผึงเลย ปลุกใจ พอหลายวันเข้าเพราะมันนั่งไม่ถอยนี่ ท่านนิ่งๆ นะ พอเราขึ้นไปกราบปั๊บ ม้าตัวไหนที่มันคึกคะนองมาก ว่าอย่างนั้นนะ พอเรากราบยังไม่ได้พูดคำไหน เพราะท่านทราบแล้วเราจะขึ้นไปพูดเรื่องนี้ เพราะมันเอาจริงเอาจัง จะต้องขึ้นเรื่องนี้ก่อน ม้าตัวไหนที่มันคึกคะนองไม่ฟังเสียงสารถีผู้ฝึกม้าแล้ว เขาจะต้องฝึกอย่างหนัก ว่าอย่างนั้นนะ ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกฝึกอย่างหนัก เอาจนกว่าม้านี้มันค่อยลดพยศลงๆ การฝึกของเขาก็ลดลงตามส่วนๆ ท่านว่า จนกระทั่งม้าใช้การใช้งานได้แล้วการฝึกเช่นนั้นเขาก็ระงับไป
เพียงเท่านี้เราก็ได้ความ ท่านไม่ได้บอกว่าไอ้หมาตัวนี้มันฝึกอย่างไร เราเสียดายอยากให้ท่านหันมานี้ ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกอย่างไรมันถึงไม่รู้จักประมาณ อยากให้ท่านว่าอย่างนั้น แต่ท่านก็ไม่ว่า แต่เราก็รู้แล้วนี่มันผาดโผนไป ท่านรั้ง จากนั้นเราก็ไม่ได้นั่งตลอดรุ่ง ไม่นั่งนะ แต่ห้าหกชั่วโมงเจ็ดแปดชั่วโมงไม่ต้องถาม เป็นเพียงไม่ตลอดรุ่งเท่านั้น เราได้แต่ความทุกข์ความลำบากนะการภาวนา ไม่ได้ได้อย่างพอเป็นพอไปสะดวกสบายสำเร็จในเสื่อในหมอนไม่เห็นมี เห็นแต่รอดเป็นรอดตาย
ทีนี้เวลามาสอนผู้สอนคนเขาก็ว่าหลวงตาบัวนี้ดุด่าว่ากล่าว เฉียบขาดเหมือนหมาบ้าตัวหนึ่งเขาคิด พลังจิตพลังอะไรลวดลายมันเป็นอยู่ในจิต เวลามันออกมันก็แสดงอย่างนั้น เข้าใจไหมล่ะ ถึงเราไม่โกรธก็ตามมันหากเป็นอยู่ในนิสัยของจิต เป็นอย่างนั้น ให้ท่านทั้งหลายฟังเสียนะ พลังของจิตๆ -เมตตาของจิตมันออกพุ่งๆ เลย อย่างที่เราฝึกเราถ้ากำลังของจิตมีมากเท่าไรกิเลสมันตัวไหนวะ
การฝึกทรมานสมัยปัจจุบันยกให้พ่อแม่ครูจารย์มั่น จอมปราชญ์ว่าอย่างนั้นเลย เราไม่เคยเห็นองค์ไหนที่จะสอนได้ถูกต้องแม่นยำไม่ผิดไม่พลาดเลย คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น เพราะฉะนั้นเราถึงได้กราบสนิทใจ ไม่มีเหลือแม้เปอร์เซ็นต์เม็ดหินเม็ดทรายที่ยังไว้ไม่ลงท่าน ไม่มี หมดเลย ขนาดนั้นละเราลงท่าน เพราะทุกแง่ทุกมุมท่านใส่ตรงไหนถึงจะเถียงกับท่านก็เถียงเพื่อหาความจริง ท่านก็สอนความจริงออกมาแล้วจะรับหรือไม่รับ เมื่อมันลงแล้วก็หมอบ หมอบแล้วก็ซัดเลยที่นี่ เอาจริงนะ ถ้าลงตรงไหนเอาเลยเรา ถ้ายังไม่ลงเถียงกันกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นของเล่นเมื่อไร นักเถียงนี่ มันก็ดีอย่างหนึ่ง เวลามันเป็นผู้ใหญ่มันก็นิสัยอันนั้นละออกมา.เปรี้ยงๆ เลย
นี่ละการฝึกเจ้าของฝึกอย่างนั้นละ ไม่ได้ต้องติเจ้าของว่าความเพียรอ่อนแอท้อแท้ เราพูดจริงๆ เราไม่มี มีแต่ผาดโผนตลอดๆ พ่อแม่ครูจารย์สอนยิ่งชัดเจนดี ท่านรั้งเอาไว้ๆ เช่นอย่างนั่งภาวนาท่านก็ยกสารถีฝึกม้ามา เราก็รู้ ทีนี้เวลาใช้สติปัญญามากเกินไปท่านก็เตือน เราก็รู้ เป็นระยะๆ ตรงไหนจะผาดโผนไปท่านรั้งๆ เราก็รู้ ค่อยแก้ไปตามท่าน แล้วใครจะสอนได้อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่น บอกยกนิ้วเลย นั่นจึงว่ารู้แท้ สอนไม่ผิดไม่พลาด
นั่นละผู้ที่รู้ธรรมรู้อย่างโล่งตั้งแต่พื้นถึงนิพพาน แล้วจะเอาอะไรมาผ่านได้ละขาดสะบั้นไปหมด ครูบาอาจารย์-พระพุทธเจ้า-พระสาวก สาวกก็เป็นตามนิสัยเหมือนกัน บางองค์ก็เชี่ยวชาญ แต่ความบริสุทธิ์เหมือนกัน บางองค์ก็เชี่ยวชาญ อย่างพระสารีบุตร-โมคคัลลาน์สติปัญญาเก่ง สอนโลกเก่ง สารีบุตร-โมคคัลลาน์-อานนท์นี่ชัด นอกนั้นท่านก็ดีไปตามนิสัยวาสนาของท่าน แต่ความบริสุทธิ์เสมอกัน ที่เด่นมากคือสารีบุตร-โมคคัลลาน์การสอนประชาชน
ไปถึงนิทานอันหนึ่งละที่นี่ เข้าเรื่องพระสารีบุตร-โมคคัลลาน์ ท่านเทศน์ฟังว่าเป็นวันอบรมศีลธรรมตอนกลางคืน ท่านเทศน์อบรมตอนกลางคืน พระสารีบุตรเทศน์แล้วพวกญาติโยมเข้ามานั่งรุมกัน เขามายกยอสรรเสริญพระสารีบุตร แหม ทำไมท่านเทศน์ลึกซึ้งเอานักหนา ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยฟังเทศน์อย่างนี้.อัศจรรย์ ท่านเทศน์รู้สึกว่าน้อยไป ฟังซิฟาดตลอดรุ่งน้อยไป คือมันเพลินเข้าใจไหม ธรรมเป็นเครื่องดูดดื่มๆ มันเพลินไปตามธรรม รู้สึกว่าน้อยไปทั้งที่เทศน์ตลอดรุ่ง
ทีนี้มีพระองค์หนึ่ง จะเป็นคล้ายกับหลวงตาบัวก็แล้วแต่จะพิจารณา เอ้ย พวกท่านทั้งหลายไปฟังเทศน์ของพระสารีบุตรเพียงเท่านั้นก็ว่าท่านเทศน์ดี ถ้าได้ฟังเทศน์อาตมานี้จะเป็นอย่างไรไม่รู้นะ เขาก็จับติดละซิที่นี่ เขาก็ตามเอาจะเอาหลวงตาบัวมาเทศน์ พอคืนหลังนี้เอาอีก แล้วก็ผัดเพี้ยนไปเรื่อย เขาเอาจริงเอาจังเขาไม่ถอย พอตอนหนึ่งทุ่มสองทุ่มให้พระองค์นี้เทศน์ก็ผัดไป.ค่อยขยับไปห้าทุ่มหกทุ่ม เขาก็ไล่ไป เอาองค์นั้นมาเทศน์แล้วเดี๋ยวก็เอาองค์นี้มาอีก
เวลานั้นอาตมาจะเทศน์เวลานั้น ฟาดจนกระทั่งตีสาม ขึ้นไปก็ไปนั่งบนธรรมาสน์ นั่งตัวสั่น เขาก็เอาก้อนดินฟาดขึ้นไป โดดหลบก้อนดินวิ่งไปตกถาน อ้าว มีในตำรานะ ตกถาน เขาเอาก้อนดินฟาดลงในถาน ถานแต่ก่อนไม่ได้เป็นถานอย่างนี้ นี่ละนิทานพระอวดเก่งเข้าใจไหม พระสารีบุตรเทศน์ให้เขาฟังเขาบอกว่าท่านเทศน์น้อยไป ฟังนี้เพลินตลอด ทางนี้ก็อยากอวดเก่งละซีถูกเขาไล่ลงตกถาน ตกถานจริงๆ ถานแต่ก่อนก็มีถานพอดีกับพระประเภทนั้น นี่มีในชาดกนะที่มาพูดนี่
คือเทศน์มีแต่เนื้อธรรมล้วนๆ ผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมอย่างจริงจังตามขั้นภูมิของจิตของธรรมฟังแล้วมันเพลินตลอด เราอย่าว่าที่อื่นเราตัวเท่าหนู ฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่เคยปรากฏเลยว่าเหน็ดเหนื่อย ท่านเทศน์ทีแรก ๔ ชั่วโมง ไปอยู่กับท่านทีแรกท่านเทศน์ ๔ ชั่วโมง ประชุมแต่ละครั้ง ๔ ชั่วโมงจบ พระนี่เหมือนหัวตอ เหมือนไม่มีคนในวัดในศาลาเลยนะ เงียบเป็นหัวตอ ก็คงจะเป็นแบบเดียวกัน คือมันเพลินธรรมของท่าน ท่านเทศน์จบลงแล้วยังอยากให้เทศน์ต่อ นู่นน่ะดูซิ ต่อมาก็ลง ๓ ชั่วโมง พอสุดท้ายก็ ๒ ชั่วโมงจบ จากนั้นไม่เทศน์อีกเลยพ่อแม่ครูจารย์มั่น ๔ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมงหยุด
ก็มาเห็นปัจจุบันพ่อแม่ครูจารย์มั่นเทศน์ ไหลออก ก็ธรรมะของท่านกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วมันไหลออกได้เลยตลอด มาแง่ไหนปั๊บเปิดก๊อกไหลไขที่ไหนไหลออกมาเพราะน้ำเต็มอยู่ในถังแล้ว จะเปิดข้างไหนก็เปิดออกมาซิ ธรรมะขั้นใดภูมิใดออกมาปั๊บพุ่งรับกันปึ๊งๆ นั่นละจิตถ้าไม่ติดตัวเองเสียอย่างเดียวเท่านั้นไม่ติดอะไร สำคัญที่มันติดตัวเอง เมื่อติดเราก็ติดเขา ก็ติดโลกติดสมมุติ เราเป็นสมมุติเขาเป็นสมมุติ สมมุติต่อสมมุติติดกันก้าวไม่ออก ถ้ามันผ่านไปหมดแล้วมันติดอะไร
พูดได้ทุกบททุกบาทตามอรรถตามธรรม ไม่เคยสะทกสะท้านกับใคร ว่าใครจะตำหนิติเตียนอย่างไร ธรรมเป็นธรรมที่ชอบธรรมทุกอย่างแล้วตำหนิที่ตรงไหนถ้าไม่ตำหนิเจ้าของผู้มาฟัง บกพร่องตรงไหนแก้เจ้าของถึงจะถูก จะไปตำหนิท่านอย่างไร ท่านพูดตามแถวธรรม ไม่ว่านิ่มนวลอ่อนหวานนี้ก็เป็นแถวธรรมสายธรรม ขึ้นไปดุด่าว่ากล่าวนี่ก็เป็นสายธรรม เด็ดเดี่ยวเฉียบขาดนั้นก็เป็นสายธรรมๆ เป็นขั้นๆ ไปอย่างนั้นละ ไม่ได้มีอะไรเสียหาย พากันเข้าใจหรือยัง ฟาดทะลุถึงนิพพาน นั่นละสายธรรมละพุ่งๆ เลย
(เจ้าอาวาสวัดป่าถ้ำโพรง อำเภอภูพาน จ.สกลนคร พร้อมคณะศรัทธาญาติโยม ขอกราบถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนวัดป่าถ้ำโพรงแด่องค์หลวงตา เพื่อเป็นสถานีลูกข่าย สถานีวิทยุตั้งที่วัดป่าถ้ำโพรง บ้านสร้างแก้ว อ.ภูพาน จ.สกลนคร ประกอบด้วยกำลังส่ง ๓๐๐ วัตต์ เสาสูง ๖๐ เมตร คลื่นความถี่ ๑๐๒.๗๕ เม็กกะเฮิซ ครอบคลุมพื้นที่อำเภอภูพาน อำเภอกุดบาก อำเภอเขาวง อำเภอนากู อำเภอเต่างอยและพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเริ่มออกอากาศวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๐ ถึงปัจจุบัน ออกอากาศตลอด ๒๔ ชั่วโมง โดยรับสัญญาณจากสถานีแม่ข่ายวัดป่าบ้านตาดร้อยเปอร์เซ็นต์)
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|