อยากให้มีคนมาพูดเรื่องภาวนาให้ฟัง
วันที่ 12 พฤษภาคม 2550 เวลา 7:45 น. ความยาว 34.47 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

อยากให้มีคนมาพูดเรื่องภาวนาให้ฟัง

ก่อนจังหัน

ภาษาของหลวงตาบัวนั้นออกทั่วประเทศไทยนะ ออกอย่างนี้ออกทั่วประเทศไทย เข้าหมด ทั้งแต่สนามหลวงลงมาเข้าหมดเลย หลวงตาบัวต้องได้เทศน์ทั้งหมดสนามหลวงปรกติเขาไม่เคยนิมนต์พระมาเทศน์ แต่เขาก็เอาหลวงตาป่าไปเทศน์ เทศน์ชั่วโมง ๒๓ นาทีเราจำได้ มาครบ ชาติก็คือนายก คณะรัฐมนตรี ศาสนา พระเป็นพันๆ มหากษัตริย์ก็ฟ้าหญิงเล็ก ครบว่าไง เทศน์ชั่วโมง ๒๓ นาที เรียกว่าหมดละในประเทศไทย สมชื่อว่าเราช่วยชาตินำชาติจริงๆ นำทุกแบบทุกฉบับ วัตถุอะไรๆ นำ เทศนาว่าการนี่กว้างขวางมากทีเดียว ออกถึงเมืองนอกเมืองนา ออกทางไหน อินเตอร์เน็ตหรืออะไรที่ออกไปเมืองนอก(อินเตอร์เน็ต เจ้าค่ะ) เออ นั่นละออก

ที่เราเทศน์เหล่านี้เทศน์ด้วยความแน่ใจมั่นใจ ไม่ผิดว่างั้นเลย ถอดจากหัวใจเทศน์นะ ไม่ว่าจะเทศน์ในสถานที่ใดๆ แกงหม้อเล็กหม้อใหญ่หม้อจิ๋วออกจากนี้ทั้งนั้น นี่แกงหม้อใหญ่แยกออก นี่แกงหม้อเล็กแยกออก แกงหม้อจิ๋วแยกออก ออกจากอันเดียว พระเท่าไรวันนี้ เหอ (๓๕ ครับผม) ๓๕ นั่น มามากเข้าเรื่อยๆ พระมาตั้งอกตั้งใจนะ อย่ามาเก้งๆ ก้างๆ ให้ขวางหูขวางตานะ เราสอนสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนพระนี้สำคัญมาก สอนจริงๆ จังๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราแก่มาแล้วมาเก้งๆ ก้างๆ ให้เห็นไล่เลยๆ ไม่เอาไม่พูดหลายคำ

เพราะเทศน์เต็มกำลังความสามารถแล้วตั้งแต่รับหมู่เพื่อนมา เทศน์ธรรมะทุกประเภทไม่ผิดว่างั้นเลย อะไรยังจะมาเก้งๆ ก้างๆ ให้เห็นบทเวลาเราแก่นี้ดูไม่ได้ ไม่วินิจฉัย ไล่เลยๆ เพราะได้สอนเต็มภูมิแล้ว ตั้งใจภาวนาอย่าถือกิจใดการใดยิ่งกว่าจิตตภาวนานี่คืองานของพระ ในครั้งพุทธกาลถือนี้เป็นอันดับหนึ่ง พอบวชแล้วไล่เข้าในป่าในเขา ให้อยู่ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา แล้วอุตส่าห์อยู่และบำเพ็ญในสถานที่นั้นตลอดชีวิตเถิด ฟังซิน่ะ ตลอดชีวิตนะไม่ใช่เล่นๆ นะ มีแต่พระผีบ้าพระวิกลจริตมาจากไหนมันอุตริขึ้นมาว่า พระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต เปรตตัวนี้น่ะ เป็นนักเทศน์เสียด้วยนะเปรตตัวนี้ มันยังพูดได้เราพูดถูกพูดไม่ได้หรือ นี่มันพูดผิด พระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต

พระพุทธเจ้าอยู่ในป่า พอบวชแล้ว รุกฺขมูลเสนาสนํ ไล่เข้าป่า บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ในป่าในเขาตามถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง อัพโภกาส ที่กลางแจ้ง ให้อยู่และบำเพ็ญในสถานที่นั้นตลอดชีวิตเถิด นี้โอวาทของพระพุทธเจ้า ทำไมมันพูดได้ลงคอ ว่าพระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริตถ้าไม่ใช่เลยบ้าไปแล้ว มันแหวกแนวมาบวชได้ยังไงพระองค์นี้น่ะ มันไม่ดูคัมภีร์ใบลาน มันพูดด้วยทิฐิมานะ พูดด้วยความโกรธแค้นมันไม่ใช่ธรรม ถ้าเรื่องธรรม เอ้า เด็ดเข้าไปเด็ดเถอะเด็ดเป็นธรรมดีทั้งนั้น ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสนิดๆ หนึ่งก็ขาดสะบั้นไปเลย คือเป็นภัยกิเลส ธรรมไม่เป็น

นี่เราฟังแล้ว เรียนมาด้วยกันก็ใส่กันเปรี้ยงเลยละ ว่าเราหูหนวกตาบอดเหรอมันถึงมาพูดอย่างนั้น พระอยู่ในป่าเป็นพระวิกลจริต นี่คือพูดด้วยความเคียดแค้น ไม่ได้พูดด้วยความเป็นธรรม ถ้าพูดด้วยความเป็นธรรมจะพูดไม่ได้ ศาสดาองค์เอกประทานพระโอวาทข้อนี้ให้แล้ว ก็เท่ากับเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปนั่นเอง นี่ละพูดด้วยอำนาจของกิเลสอำนาจความเคียดแค้น พูดได้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีขอบเขต ถ้าเป็นธรรมแล้วพูดไม่ได้ มันสลดสังเวช นักเทศน์เสียด้วยนะ ไม่ใช่เล่นๆ นะนักเทศน์ เอกก็เป็นเอกตาข้างเดียวเลยแหละ ไม่ใช่ธรรมกถึกเอก เอกตาข้างเดียว มาอวดโลกเขาทำไม ใครดูทุกคนเรียนทุกคนรู้ทุกคน มาอวดหาอะไร

เอาจริงเราไม่ใช่เล่นๆ ความกล้าเราก็ไม่มีความกลัวเราก็ไม่มี สามแดนโลกธาตุนี้จิตผ่านหมดแล้ว จึงไม่เคยมีคำว่ากล้าว่ากลัว มันเหนือหมดแล้ว ทีนี้เวลาอะไรผิดอะไรถูกมันสนุกพิจารณา เราว่าได้ตามเหตุตามผลความผิดถูกชั่วดีนะ ไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน กล้าไม่มีกลัวไม่มีเอาอะไรมาสะทกสะท้านวะ แล้วพระเณรให้ตั้งใจปฏิบัติให้ดี อย่ามาเหลาะๆ แหละๆ โลเลโลกเลกไม่ได้นะ งานของพระผมไม่ไปแตะนะ ให้ทำภาวนาเต็มเม็ดเต็มหน่วย

เรื่องของใครผิดใครถูกดีชั่วให้ดูเข้ามาหาหัวใจเรา น้อมเข้ามาหาหัวใจเรา อย่าไปยกโทษคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี ไอ้ตัวเลวยิ่งกว่าสัตว์นรกไม่ดูตัวเองไม่มีทางแก้เลววันยังค่ำ เลวจนตายเปล่าๆ คนประเภทนี้ ดูเขาแล้วก็มาเทียบเหตุผลกลไก เขาทำผิดอย่างนั้นเราผิดหรือไม่ดูตัวเรา เอามาแก้ตัวเราๆ เรียกว่าผู้มาอบรมธรรมฟังเสียงธรรมพิจารณาเรื่องอรรถเรื่องธรรมนั้นถึงถูก ไปเห็นกันอะไรมีแต่ความยกโทษยกกรณ์ มันมีแต่โทษเต็มหัวใจ ไปที่ไหนก็มีแต่โทษออก แล้วกระทบกระเทือนกันไปทั่วดินแดนนะ ถ้าธรรมไม่กระทบ ไปที่ไหนให้อภัยกัน แล้วก็เอามาเทียบพิจารณากับหัวใจความประพฤติของเรามันเป็นยังไง ไม่ดีตรงไหนเราแก้ เราอย่าให้ผิดอย่างนั้นๆ นั่นถึงถูกต้องนะ

เลอะๆ เทอะๆ นะ เขียนไว้ทุกแบบสอนไว้ทุกแบบ นั่นหน้าวัดเห็นไหมล่ะ “ที่นี่เป็นวัด เป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจจำเป็นไม่ควรมาเที่ยวเพ่นพ่าน” นี่เป็นสำนวนหนึ่ง อันหนึ่ง “กูจะฟ้องท่านเปา มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน” นี่ก็อีกฉบับหนึ่งเข้าใจไหม อ่านหรือยังตาบอดเหรอ มันมีทุกแบบนะเรา ตลกก็มี อันนั้นละตลก “กูจะฟ้องท่านเปา” มันหากมีนิสัยอันนี้ มันเอาจริงเอาจังปั๊บหลบมานี้เสีย ให้พร

         วันนี้วันเสาร์เราอาจจะไปตามวัด ถ้าวันธรรมดาไปตามโรงพยาบาล ส่งโรงนั้นโรงนี้ เมื่อวานไปวานรฯ โรงพยาบาลใหญ่นะวานร เอาของให้เต็มรถทุกโรงนั่นแหละ ส่วนปัจจัยให้โรงละสองหมื่นๆ วันเสาร์อาทิตย์อาจจะไปตามวัด ไปก็เทลงเหมือนกัน มีแต่ไปให้ เราไม่ไปเอา ไปที่ไหนเด่นมากเรื่องการให้ทาน ไปที่ไหนๆ เด่น แม้ที่สุดไฟเขียวไฟแดงที่เขามาขายดอกไม้ เอาจนได้นะ ไฟเขียวผ่านไปเอ้าผ่านไป จอดรถโบกมือให้มา เขาขายดอกไม้ ให้เจ้าละสามร้อยๆ จนเขาจำได้ เขาจำรถของเราได้

ไปที่ไหนพวกขายดอกไม้จำได้หมดเลย นี่ละอำนาจความเมตตา ไปไหนสนิทหมดเลย ไม่มีภัยมีเวรอะไรกับใคร ใครจะมีก็ไม่มีกับใครนะ มีแต่ความเมตตาสงสาร มองดูความบกพร่องสมบูรณ์อะไรไปอย่างนั้น ไม่ได้มองดูโทษดูกรรมใคร มองดูแต่ความบกพร่องสมบูรณ์ ควรจะสงเคราะห์ได้ยังไงๆ สงเคราะห์ไปตามนั้น ไปรถหวอนำหน้าเรา เราจะไปงานนี่รถหวอตามไป พอไปถึงไฟแดงสั่งไปหารถหวอ ไปถึงฟากไฟแดงแล้วให้จอดก่อน พวกขายดอกไม้อะไรๆ โบกมือให้มารับแล้วรถหวอค่อยไป

หลังจังหัน

พูดนี้เราระลึกได้ที่ไปโรงสีร้อยเอ็ด เสี่ยสมหมาย กลางคืนฝัน มันก็แปลกนะ มันฝันต่างหาก ไม่ได้เป็นด้วยทางภาวนา ว่าท้าวสักกเทวราชมาขอฟันเรา คำฝันว่าท้าวสักกเทวราชเลยนะ มาขอฟัน ฟันที่มันโยกคลอนอยู่นั้นแหละ พอตื่นนอนขึ้นมาฟันหายเลย มันก็แปลกนะ จะว่าเราได้กลืนได้อะไรก็ไม่ปรากฏ ตื่นขึ้นมาหากหายไปเลยไม่ทราบว่าเป็นเรื่องอะไร ท้าวสักกเทวราชมา ไม่ใช่ต่ำๆ นะ มาในฝันมาขอฟันจากเรา พอตื่นนอนขึ้นมาฟันหายแล้ว ไม่ทราบว่าหายไปไหนเลย แต่ฟันซี่นี้มันโยกคลอนอยู่แล้ว หากจะเอาออก ถ้าจะให้หมอเขาเอาออกให้มันก็จะกระเทือน วุ่นไปหมดฟันเรา เราจะค่อยเอาออกคนเดียวแล้วเก็บไว้

พอดีกลางคืนมาท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน ตื่นนอนขึ้นมาหายเงียบเลย กลัวใครๆ จะทราบ ท้าวสักกเทวราชเลยมาเอาอย่างเงียบๆ ที่นี่เราโฆษณาตามหลังมันก็ไม่ทันละซิ ใช่ไหม ไม่ทัน มันแปลกอยู่นะ ตื่นนอนขึ้นมาหายเลย

วันนี้วันเสาร์วันอาทิตย์ไม่ได้ไปตามโรงพยาบาล วันเสาร์อาทิตย์โรงพยาบาลปิด เราจะไปตามวัด เมื่อวานนี้ไปโรงพยาบาลวานรนิวาส โรงใหญ่นะโรงพยาบาล หมอตั้งหกเจ็ดคน เป็นโรงใหญ่ เราเอาของไปให้เรียกว่าเต็มรถเหมือนกัน ไปโรงไหนๆ เต็มรถๆ เงินก็มอบให้สองหมื่นๆ โรงละสองหมื่นเสมอกันหมด วันนี้วันเสาร์อาทิตย์โรงพยาบาลปิดเราว่างไปตามวัด

วันเสาร์อาทิตย์เป็นวันว่างงาน ความยุ่งเหยิงวุ่นวายกับเรื่องการหาอยู่หากินบีบบี้นี่เป็นธรรมดาทั่วโลกดินแดน ท่านก็ยังมีไว้เป็นวันว่าง วันเสาร์อาทิตย์ว่าง วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔-๑๕ ค่ำ ว่าง เพื่อให้เป็นงานบำเพ็ญความดีเข้าสู่ใจ นอกนั้นก็เข้าสู่ร่างกาย ใจได้อาศัยบ้าง สำหรับวันเสาร์อาทิตย์หรือวันพระวันโกน เป็นวันเสาะแสวงหาความดีงามเข้าสู่ใจล้วนๆ คือภาวนา

พวกเราเป็นชาวพุทธ แต่จะมีผู้พูดเรื่องภาวนานี้ เราพูดเบาๆ ได้ว่าไม่ค่อยมี ถ้าจะให้พูดเต็มเหนี่ยวแล้วไม่มี ว่างั้นเลย เพราะความขี้เกียจเหยียบทับหมด นี่ละองค์ศาสนาแท้ๆ แก่นของศาสนา รากแก้วของศาสนาแท้คือภาวนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยภาวนา สาวกทั้งหลายที่เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ล้วนแล้วแต่องค์ภาวนาทั้งนั้น สำเร็จมรรคผลนิพพาน จิตใจสว่างจ้าครอบโลกธาตุมาสอนพวกเรา แต่เวลาเข้ามาหาพวกเราแล้วเรื่องภาวนาไม่มี แม้ที่สุดในพระมีหน้าที่อันเดียว บวชมาเสาะแสวงหาความดีงาม ทางจงกรมมันไม่เห็นเลย นั่งภาวนาก็นั่งไม่ได้ ไม่สนใจนั่ง พระเรานะ องค์ที่ทำเราก็ไม่ว่า ส่วนมากไม่ทำพระเรา ขี้เกียจขี้คร้านไม่มีอะไรเกินพระ พระองค์เช่นนั้นละ พระดีเราไม่ว่า อยากนอนเมื่อไรก็นอน อยากตื่นเมื่อไรก็ตื่น อยากลุกเมื่อไรก็ลุก อยากกินเมื่อไรก็กิน พระลืมตัว

ฆราวาสเขาหาแทบล้มแทบตายเขาเอามาให้กิน บางองค์ไม่บิณฑบาตกินสบายเลยก็มี บางองค์ก็บิณฑบาต ส่วนมากบิณฑบาต แล้วกุดด้วนเข้ามาๆ เลยจะไม่มีบิณฑบาตแต่กินไม่ถอย ฟาดวันละสองหน ตอนเช้า ตอนเพล หรือตอนกลางคืนขโมยในครัวก็ไม่ทราบนะ มันเลวลงๆ พระเรา การพูดเหล่านี้ไม่มีใครพูดมีแต่หลวงตาบัวพูด หลวงตาบัวเอาธรรมมาพูดผิดที่ตรงไหน แถวธรรมพูดอย่างนี้แหละแถวธรรม ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามผู้หนึ่งผู้ใด พูดตามแถวธรรม ใครขี้เกียจขี้คร้านบอก ผู้มีความขยันหมั่นเพียรบอก ผู้ทรงมรรคผลนิพพานด้วยความขยันหมั่นเพียร ทำความพากความเพียรชำระจิตใจบอก เราบอกชัดเจน

พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว มีศาสนาเดียวพูดยันได้เลย เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม เราพูดเป็นสายธรรม ศาสนาเหล่านั้นเป็นศาสนาของคนมีกิเลสเป็นเจ้าของศาสนา เราไม่ดูถูก แต่พูดตามหลักความจริง ผู้เป็นเจ้าของศาสนาเป็นคนมีกิเลส มันก็เป็นคลังกิเลส สอนออกไปก็ต้องกิเลสนำหน้าสอน แล้วจะหาความถูกต้องแม่นยำเหมือนศาสนาพุทธได้อย่างไร พุทธศาสนาของเรานี่สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วๆ ไม่มีผิด เราเกิดมาได้พบแล้วเหมาะสมแล้ว ควรจะได้ความสว่างไสวภายในใจจากจิตตภาวนามาครองหัวใจบ้างนะ

นี่ก็เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้โอ้ได้อวด ไม่มีเจตนา พูดตามความรู้สึกที่มันเป็น มันอัศจรรย์จริงๆ จะให้ว่าอย่างไร คือการภาวนามันเป็นขั้นๆ นะ นักภาวนาที่เชี่ยวชาญแล้วรู้ได้หมดตามขั้นของการภาวนา แต่ผู้ภาวนาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ว่าท่านว่าเราก็ไม่รู้แหละ การภาวนาเบื้องต้นเราก็อาศัยพุทโธ หรือธัมโม สังโฆ คำบริกรรมใดก็ได้ จำให้ดีนะ จิตไม่มีที่ยึดที่เกาะมันไขว่มันคว้า พอได้พุทโธเข้ามาให้เกาะอยู่กับพุทโธ สติบีบบังคับเอาไว้อย่างนี้จิตจะค่อยสงบเข้ามา งานการของกิเลสที่มันลากไปนู้นลากไปนี้จะหดตัวเข้ามา เพราะอำนาจของธรรมดึงเข้าสู่จิตด้วยคำบริกรรม

เฉพาะพระเรานี้แหละไม่มีงานการอะไรเข้ามายุ่ง มีแต่ดูหัวใจด้วยสติ สงบได้ ตั้งฐานได้ถ้าใครมีสติภาวนา ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายนักบวชฆราวาสตั้งได้ทั้งนั้น เรายืนยันได้เลย สติสำคัญมากที่จะกั้นคลื่นกระแสของกิเลสมหาสมมุติมหานิยมไม่ให้เข้ามาทับหัวใจ คือคำบริกรรม สตินี่สำคัญมาก สติครอบหมดเลย ที่พูดเหล่านี้เราทำมาหมดแล้ว ที่สอนแบบว่าไม่สงสัยไม่ผิด สอนอย่างองอาจกล้าหาญก็ไม่ใช่ มันเลยนั้นแล้วนี่ สอนด้วยความถูกต้องแม่นยำ มีผู้สอนด้วยความถูกต้องมันก็หายสงสัย ไม่ต้องจะใช่หรือไม่ใช่น้า ไม่ต้องเป็นกังวล

พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ถูกต้อง แต่มาเป็นตำรับตำราผู้ไปอ่านตำรับตำราไม่พ้นความสงสัยจนได้แหละ สงสัยๆ เวลามาปฏิบัติมันปรากฏขึ้นในเจ้าของ พอปรากฏขึ้นปั๊บเป็นสมบัติของตัวเองแล้ว เป็นสมบัติตัวเองแล้วเรื่อยๆ ไป ทีนี้แน่นอนๆ เข้าไป เป็นอย่างนั้นละ การภาวนาขวนขวายสมบัติเข้าสู่หัวใจโดยตรง ไม่มีกิ่งมีก้าน เช่นการให้ทานรักษาศีลอะไรนี้ เป็นกิ่งก้านสาขาของความดีงามทั้งหลาย ความดีงามที่แท้จริงก็คือจิตตภาวนา นี่ละต้นอยู่ตรงนี้ ทีนี้เวลาลงก็มาลงจุดนี้ ทำนบใหญ่อยู่ที่จิตตภาวนา ทำนบใหญ่แห่งมรรคผลนิพพานอยู่ที่จิตตภาวนา

นี่เราพูดถึงเรื่องว่าทำไปเบื้องต้นก็บริกรรม ครั้นต่อมาจิตสงบ สติอยู่กับความสงบ ทีแรกความสงบไม่มี อาศัยคำบริกรรม จะพุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดก็ได้ ให้จิตติดอยู่นั่น สติจับติดไม่ให้เผลอ นั่นละที่นี่จิตตั้งรากฐานได้ เริ่มสงบๆ เพราะไม่มีอะไรกวน กิเลสอยู่ภายในมันดันออกมันออกไม่ได้ สติครอบเอาไว้ ทีนี้จิตก็สงบได้ ตั้งสติไม่ถอยจิตสงบแน่วๆ เข้าไปจนเป็นสมาธิ จากนั้นออกทางด้านปัญญา พิจารณาทางด้านปัญญานี่ โหย กว้างขวางมากนะ ไม่มีสิ้นสุดเรื่องปัญญาภาวนา แก้กิเลสแล้วยังดูโลกดูสงสารได้อีก นู่นทางด้านปัญญา ทางด้านวิปัสสนาเป็นอย่างนั้น

เราพูดไปถึงขั้นที่ว่าตั้งแต่คำบริกรรมไปถึงพิจารณาร่างกาย พอหมดสภาพร่างกายไม่เอานะ เราเคยคาดเคยคิดไว้เมื่อไร เมื่อถึงขั้นมันก็รู้เอง เหมือนเรารับประทานข้าว เด็กรับประทานข้าว เด็กอิ่มเด็กก็รู้ เราก็รู้เด็กก็รู้ เอาให้กินไม่เอา..เด็ก อันนี้ก็เหมือนกันเวลาพิจารณาไปพอถึงขั้นร่างกายมันอิ่มพอ ปัดร่างกายออกหมด นั่นละตัดกามราคะตัดตรงนั้นเอง หมดร่างกาย ร่างกายเป็นเรือนร่างแห่งกามราคะ พอตัดอันนี้ขาดลงไปมันไม่เอาแล้ว มันปล่อย พิจารณาอะไรมันก็ไม่ยอมรับ มันเข้านามธรรมอารมณ์

ความคิดความปรุงดีชั่วประการต่างๆ อาศัยรูปภาพนี้เสียก่อนเป็นเครื่องฝึกซ้อม ฝึกความว่างให้ชำนิชำนาญมากขึ้น ต่อไปตั้งแว็บดับ จะพิจารณาแยก ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา  ไม่ทัน หายวับๆ นี่เรียกว่าหมดแล้วทางร่างกายไม่เอา พิจารณาร่างกายอิ่มแล้ว หมด กามราคะหมดขั้นนี้ เอาให้มันชัดเจน หมดร่างกายหมดกามราคะนั่นขึ้นขั้นอนาคามีแล้ว ก้าวเดินทางอนาคามี ฝึกซ้อมอนาคามี อาศัยรูปกายพอเป็นแสงหิ่งห้อยตั้งพับดับพร้อมๆ ฝึกซ้อม ต่อไปตั้งไม่ขึ้นหายเงียบๆ เป็นว่างไปหมด ทีนี้ว่างไปหมดเลย

นี่ละตอนที่ว่านี่อัศจรรย์จิตตัวเอง ก็มาพูดให้ฟัง เดินจงกรมตอนเช้ามืด ลงไปตั้งแต่ตีสี่เดินจงกรม จวนกำลังจะสว่างจิตพิจารณาอะไรมันว่างหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ ต้นไม้ภูเขาเหยียบย่างไปได้ แต่จิตนี้มันว่างครอบไปหมดเลย ทีนี้ก็อัศจรรย์ โอ้ ทำไมจิตของเราทำไมถึงได้อัศจรรย์เอาขนาดนี้น้า รำพึงนะ อัศจรรย์ถึงขนาดนี้ ว่างไปหมด ต้นไม้ภูเขาเหยียบย่างไปมาจิตมันทะลุหมดเลย ว่างไปหมดเลย จากนั้นธรรมะท่านกลัวเราหลงเราติด อยู่ๆ ธรรมะก็ขึ้นมา ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ จุดต่อมก็ไม่รู้ที่นี่เรา มันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่เวลามันผ่านไปแล้วมันถึงมารู้ทีหลัง ธรรมท่านกลัวว่าจะติดตรงนั้นท่านเตือนขึ้นมา จุดต่อมนั่นละคือตัวภพยังอยู่นี้ เอาตัวนี้ให้ได้อีก ตัวนี้พังแล้วหมดภพ ความหมายว่าอย่างนั้น

แต่เวลามันเป็นขึ้นทีหลังถึงย้อนไปถึงเรื่องของตัวเองเป็นอย่างนี้ อ๋อ ถ้าไปพูดอย่างนี้ให้พ่อแม่ครูจารย์ฟังท่านจะใส่ผางเลย ไปเดี๋ยวนั้นเลยเรา แต่นี้ท่านผ่านไปแล้วมาเป็นทีหลัง ช้า นี่จิตมันเป็นขั้นๆ ของมัน พอถึงขั้นว่างว่างหมด อะไรๆ ว่างหมด แต่ยังไม่ว่างภายใน เหมือนกับคนไปยืนอยู่ในห้อง เข้าไปยืนอยู่ขวางห้อง แหม ห้องนี้ว่าง  กี่ห้องๆ ว่างหมด มีอีกคนหนึ่งอยู่ข้างนอก มันจะว่างอะไรตัวของแกไปยืนขวางอยู่กลางห้องนั้นแหละ มันขวางอยู่นั่นมันว่างได้อย่างไร ถ้าอยากให้ห้องว่างเอาตัวออกมาซิ ถอนตัวออกไปปั๊บว่างหมด อันนี้ถอนจิตปุ๊บว่างหมด ติดจิตอันเดียว นั่นละห้องไม่ว่างคือตัวของเรา อัตตา มันยังมี พอถอนตัวนี้ออกแล้วทีนี้ว่างหมด ว่างภายในว่างภายนอก ว่างหมด วางหมด เป็นขั้นๆ อย่างนั้นการภาวนา

เราอยากให้มีคนมาพูดเรื่องภาวนาให้ฟัง เอาติดตรงไหน เราสอนหมู่เพื่อนไม่ได้ ตั้งแต่พื้นๆ ถึงนิพพานว่าอย่างนี้เลย เราสอนหมู่เพื่อนไม่ได้ เราติดตรงไหนให้มันรู้สักที แต่นี้ไม่มีใครมาพูดอะไร ไม่ได้เรื่อง ได้ยินเสียงโครมครามๆ อยู่กับหมอนกับเสื่อทั้งเย็บทั้งอะไร มันก็ไม่ได้เรื่องอะไรละซิ นี่มันเป็นได้แล้วถึงมาเล่าให้ฟัง เล่าอย่างถูกต้องแม่นยำ

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก