ธรรมมีหรือไม่มี
วันที่ 8 กรกฎาคม. 2544
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(Real)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

ธรรมมีหรือไม่มี

เมื่อวานนี้วันที่ ๗ ทองคำได้ ๔ บาท ๗๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๓๘๒ ดอลล์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้ว ๒,๗๕๐ กิโล รวมทองคำทั้งหมดได้ ๒,๗๕๙ กิโลครึ่ง

เข้าพรรษาปีนี้หยุดถึง ๔ วัน เป็นโอกาสให้พี่น้องชาวพุทธเราได้เที่ยวแสวงหาบุญหากุศลตามวัดต่าง ๆ ทั่ว ๆ ไปตามอัธยาศัยเป็นเวลาตั้ง ๔ วัน เรียกว่าเต็มเม็ดเต็มหน่วย วันนี้ก็จะพากันกลับ ตั้งแต่วันที่ ๕ มา ๕-๖-๗-๘ วันนี้ วัดต่าง ๆ ที่อยู่ในป่าในเขาก็ได้ไปทั่วถึงกัน เพราะมีเวลาหลายวัน วันนี้ไปวัดนี้ ๆ วันหน้าไปวัดนั้น ๆ จนทั่วถึงกันหมด อยู่หลายวันนี่นะ ถ้าอยู่เพียงวันเสาร์วันอาทิตย์นี้ไม่ทั่วถึง

นี่มันอะไรเหมือนหวัดอยู่เรื่อยนะ มันเป็นมาหลายปีแล้ว เราก็ไม่ค่อยสนใจกับหมอกับอะไร มันเป็นของมัน พูดจนเสียงเหมือนคนเป็นหวัด มันมีน้ำมูกมีอะไรแทรกนิด ๆ หน่อย ๆ ตลอดมา น่าจะได้ ๔ ปีแล้ว มันก็ไม่เห็นแสดงอะไรรุนแรงขึ้นมา เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆ เราก็ปล่อยมันไปเรื่อยไม่ค่อยสนใจ ใช้ไปเรื่อย ๆ อะไรยังเหลืออยู่ใช้ไป อะไรขาดไปก็ปล่อยไป อะไรยังเหลือใช้ไป ๆ หมดโดยสิ้นเชิงแล้วผึงเลย

นี่พี่น้องทั้งหลายฟังซิ การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมมีหรือไม่มีฟังเอา มีแต่กิเลสเหยียบหัวธรรมเวลานี้ ธรรมไม่มีบ้างเหรอ ต้องประกาศให้ทับกันมีน้ำหนักเท่ากัน เวลากิเลสมันทับหัวใจเรามีแต่กองทุกข์นะ ใจดวงนี้ฟังให้ดีนะ เวลากิเลสมันมีอำนาจ มันเหยียบมันทับถมหัวใจ ยืนเดินนั่งนอนหาความสุขไม่ได้ แต่ดีดดิ้นด้วยความตะเกียกตะกาย เวลาได้มามีแต่ความทุกข์ความหมดหวัง แล้วก็ยังหวังไว้อีก กิเลสวางตาข่ายเครื่องล่อเอาไว้โดยเราไม่เห็น มันไม่ให้เห็นนะโทษข้างหลัง มันหลอกไปข้างหน้า ๆ เรื่อย พอเอาธรรมจับนี้มันเห็นตลอดเลย นี่พี่น้องทั้งหลายทราบไหมว่าธรรมมีหรือไม่มี ธรรมจับกิเลสจับอย่างนั้นละ กิเลสบนหัวใจสัตว์

เราบำเพ็ญธรรมก็เริ่มต่อต้านกัน ๆ อู๊ย พูดแล้วเราสลดสังเวช เวลากิเลสมีกำลังมาก แหม ไปที่ไหนหาความสุขไม่ได้ ที่มันถึงใจจริง ๆ ถึงขนาดเอาชีวิตแลกกัน สำหรับชีวิตของหลวงตาบัวนี้ก็คือจิตเสื่อม ถึงใจจริง ๆ นะ ถ้าหากสมมุติว่ามาเสื่อมอีกคราวนี้ หลวงตาบัวคงตายแล้วในครั้งนั้นนะ มันจะเข้ากันได้กับพระโคธิกะ เพราะมันถึงใจจริง ๆ ความทุกข์ จิตเสื่อมนี่ทุกข์มากนะ เวลามันไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรก็เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ความสุขความทุกข์ก็พอ ๆ กันไป ทีนี้เวลามาได้ธรรมคือความสงบสมาธิครองใจเท่านั้น มันเป็นความสุขเหนือ ๆ อะไรขึ้นไปหมดเลยบรรดาที่เราผ่านมา แต่ครั้นแล้วเพราะเราไม่รู้จักวิธีรักษามัน มันก็ค่อยเสื่อมไป ๆ ฟาดลงไปเสียจนกระทั่งปีกว่า เสื่อมไปหมด เดือนพฤศจิกาปีนี้ เมษาปีหน้า กี่เดือนคิดดูซิ นี่เสื่อมอยู่เต็มเหนี่ยว ทุกข์เต็มเหนี่ยว ๑ ปีกับ ๕ เดือน โอ๊ย ไม่ลืมในชีวิตนี้นะ

เวลาจิตเสื่อมมันสร้างความทุกข์ให้เรา พอเสื่อมจากธรรมเท่านั้นความสุขในธรรมหายไปด้วยกับความเสื่อมหมด เหลือแต่กองทุกข์ที่กิเลสมันทับถมโจมตีนี้ โถ อยู่ที่ไหนหาความสุขไม่ได้นะ นี่ละเราถึงได้เห็นในหัวใจของเรา ออกมาแจงให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ออกมาจากนี้เลยประจักษ์ เวลาสู้กิเลสที่ว่าน้ำตาร่วงสู้มันไม่ได้นั้น ก็เป็นอีกอันหนึ่ง ที่มันสุมอยู่ภายในตลอดเวลา เพราะความเสียดายความสุขความสบาย เหมือนกับว่ามันเลิศมันเลออยู่ภายในนั้นแหละ ขั้นนี้ก็เลิศเลอในขั้นนี้ ให้รื่นเริงบันเทิง พออันนี้เสื่อมลงไปมีแต่ไฟเผา สุมอยู่ตลอดเหมือนไฟไหม้กองแกลบ อยู่ไหนหาความสบายไม่ได้ โถ ทุกข์มากจริง ๆ นะ ปีกับ ๕ เดือนไม่ลืม

นี่ละความทุกข์มากก็เพราะว่าเราเสียดาย ความเสียดายนี้ ตะเกียกตะกายด้วยความเพียรขนาดไหนมันก็ไม่ได้มา ๆ ถ้าเราจะเทียบเป็นอุปมาให้ทราบก็คือว่า เหมือนคนที่มีเงินแสนเงินล้าน แต่ก่อนก็ธรรมดาเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป ความสุขความทุกข์เหมือนกัน เพราะฐานะขนาดเดียวกัน ความสุขความทุกข์ก็ไม่มาก อยู่ ๆ ก็มาได้เงินเป็นล้าน ๆ มาครองหัวใจ ภูมิใจกับเงินล้านนั้นอยู่ด้วยสมาธิประเภทนี้ ทีนี้อยู่ ๆ สมาธิเสื่อมไป เหมือนกับว่าเงินเป็นล้าน ๆ นั้นถูกล่มจมลงด้วยเหตุการณ์อันใดอันหนึ่ง แม้เงินจะมีอยู่ติดบ้านติดเรือนหรือติดธนาคารเป็นแสน ๆ ก็ตาม จิตจะไม่มาอยู่เงินที่ตกค้างเหลืออยู่นี้เป็นแสน ๆ มันจะไปอยู่ที่ความล่มจมเป็นล้าน ๆ นั้น นั้นละความทุกข์ไปอยู่ที่นั่น

เงินนี่ถึงจะมีก็เหมือนไม่มี มันไปอยู่โน้นหมดความทุกข์แสนสาหัส แต่ก่อนไม่ได้ทุกข์ เราไม่มีสมาธิเราก็ธรรมดาเหมือนโลก พอได้อันนี้ขึ้นมาแล้วมันเป็นความผาสุกเย็นใจ รื่นเริงพูดไม่ถูก แล้วก็เสื่อมไปเสียต่อหน้าต่อตา โอ้โหย ทุกข์มากนะ ทุกข์จริง ๆ จนกระทั่งว่าสด ๆ ร้อน ๆ อยู่ทุกวันนี้นะ ไม่ใช่ธรรมดา จึงหาอุบายวิธีการตั้งแผนใหม่ขึ้นมาด้วยคำบริกรรมภาวนา เอาพุทโธติดเลย พยายามให้ติด ติดจริง ๆ นะเราไม่เหมือนใคร นิสัยจริงจังมาก ว่าบริกรรม บริกรรมตลอดตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ไม่ยอมให้เผลอเลย ติดกันตลอด

ความเสื่อมความเจริญนี้ทับหัวใจเรามามากแล้ว เราไม่ได้ผลประโยชน์อะไร เสียดายก็เท่านั้นไม่เกิดประโยชน์ มันอาจจะเสื่อมเพราะเราขาดคำบริกรรม สติบางทีอาจเผลอไปตรงนี้มันถึงเถลไถลไป สร้างความล่มจมให้แก่เรา เกาะเอาพุทโธติดเลย เอา เสื่อมเสื่อมไป หายสงสัยที่นี่นะ ไม่เสียดาย เอา เจริญเจริญไปไม่เสียดาย จะเอาเฉพาะพุทโธไม่ปล่อย เอาเท่านี้ นอกนั้นปล่อยหมดเลย ก็พอดีจังหวะเหมาะสมด้วยนะ ปีนั้นพ่อแม่ครูจารย์มั่นลงไปเผาศพหลวงปู่เสาร์ที่วัดบูรพา จังหวัดอุบล ท่านก็สั่งว่า เอ้อ ท่านมหาอยู่นี่นะ อยู่องค์เดียวละภาวนาดี ๆ ไปเผาศพแล้วก็กลับมาละท่านว่างั้น

นั่นละได้โอกาส ปักจิตลงตรงนั้นเลย ฟัดกันเต็มเหนี่ยว อยู่คนเดียวนี่ อยู่เฝ้าที่พักของท่านอยู่คนเดียว จึงสนุกความเพียร ความเพียรติดตลอดเลย ไม่ให้เผลอ จนขนาดนั้นนะ ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปมาพุทโธนี้ติดตลอด บิณฑบาตนี้ก็เดินจงกรมพุทโธตลอด เขาเอาอะไรใส่บาตรให้ไม่ใส่บาตรให้ไม่สนใจ มีแต่พุทโธไม่ให้เผลอ อยู่มาไม่นานวันนะ นี่ละความเอาจริงเอาจัง พุทโธติดเอาไว้ไม่ให้มันคิดยุ่งเหยิงกับอะไร ๆ เอาพุทโธมัดไว้ตลอด ต่อมาก็ค่อยเย็นเข้าไป ๆ รู้ชัด จนกระทั่งจิตกับพุทโธนี้กลมกลืนเป็นอันเดียวกัน แล้วคำบริกรรมว่าพุทโธ ๆ นี้หายไปเลย นี่ละให้จำเอาไว้ จิตเวลามันละเอียดเข้าไปจริง ๆ แล้ว ความรู้นี้ละเอียดเต็มเหนี่ยวแล้ว คำบริกรรมที่เรานึกนึกไม่ออกนะ นึกไม่ออกไม่มีเลย พุทโธก็แล้วอะไรก็แล้ว

เกิดความสงสัย อ้าว แต่ก่อนเราก็ติดอยู่กับพุทโธด้วยสติ ทีนี้พุทโธไม่มีแล้วไปเกาะอะไร มันก็มีความเด่น ๆ ความสงบอยู่ในนั้นเด่น เอา ไม่มีก็เอาความสงบแน่วอันนี้ อยู่กับอันนี้แทนคำบริกรรม จับไว้เลย เพราะมันไม่มีที่เกาะแล้ว เกาะพุทโธ พุทโธก็เข้าเป็นอันเดียวกับความรู้ ความรู้มันก็เด่น เอา ติดอยู่นั้น เอาสติจับไว้เลย พอได้จังหวะแล้วมันก็คลี่คลายออกมา พอคลี่คลายออกมาระลึกพุทโธได้ เอาพุทโธติดเข้าอีก ต่อไปก็รู้จักวิธีปฏิบัติ เวลามันละเอียดเต็มที่แล้วคำบริกรรมไม่มีนะ หมดเลย นึกยังไงก็ไม่ออก มีแต่ความรู้อันเดียวเด่น อยู่กับอันนั้น ก็ปฏิบัติต่อกันอย่างนี้เรื่อยมา

พอเข้าถึงขั้นละเอียดแล้วบริกรรมไม่ได้ อยู่กับนั้น คำบริกรรมไม่มีแล้วติดกับความรู้ที่ละเอียดสุดนั้น สักเดี๋ยวมันคลี่คลายออกมานึกคำบริกรรมได้ เอา ปั๊บติดเลย แล้วก็เจริญขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเราปล่อยจริง ๆ คำว่าความกังวล ความเสื่อมไม่อยากให้เสื่อมไม่ต้องอยาก เพราะอยากมาพอแล้วสร้างกองทุกข์ให้เรามาก จะเจริญที่ไหนไม่ต้องอยาก อยากให้เจริญไม่ต้องอยาก อยู่กับพุทโธ ไม่เอาทั้งความเจริญทั้งความเสื่อม ปัดออกหมดเลยเหลือแต่คำบริกรรมอย่างเดียว มันก็เป็นปัจจุบันล่ะซีจิต ไม่ไขว่คว้า แล้วก็แน่นเข้า ๆ แล้วก็ขึ้นเรื่อย จับเอาถูกต้องแล้วทีนี้ไม่ปล่อย ฟาดจนกระทั่งแน่น ๆ ขึ้นมา ถึงที่มันเจริญแล้วมันเสื่อม คือเวลามันเจริญขึ้นได้เพียง ๓ วัน แล้วเสื่อมลงต่อหน้าต่อตาไปเลยไม่ได้ฟังเสียงเรา รั้งไว้ยังไงไม่อยู่ ผึงเลย

ยังเหลือแต่อีตาบัว คือจิตเสื่อมไปหมดแล้วไม่มีราคาอะไร เหลือแต่อีตาบัวเป็นขอนซุงทั้งท่อน กลืนน้ำลายก๊อก ๆ เสียดายเสื่อมไปแล้ว เอาอีก ขึ้นมานี้ถึงระยะนี้ลงอีกอย่างนั้น พอเอาพุทโธอันนี้จับเข้าไป พอไปถึงขั้นนี้แล้วที่นี่ เอ้า เสื่อมไป คราวนี้เราไม่เสียดายมันละ ปล่อยเลย ทีนี้อันนี้ไม่เสื่อม ถึงขั้นนี้แล้วควรจะเสื่อมลงดังแต่ก่อน ไม่เสื่อม แล้วก็เรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าถึงภูมิเดิมที่มันเคยเจริญแต่ก่อน เข้าถึงภูมิเดิมแล้ว เอ้า เสื่อมไป ภูมินี้ภูมิมันสังหารกูน่ะ เอากูเทียวนะ ภูมินี้ละภูมิมันสังหารกู ไปถึงนี้แล้วมันเสื่อม ที่มันเสื่อมมาแต่ก่อน มาถึงแค่นี้แล้วมันเสื่อมลง เพราะเราไม่รู้จักวิธีรักษามัน เอ้า เสื่อมไปพุทโธจะไม่ปล่อย ทีนี้มันก็ขึ้นเรื่อย ๆ

นี้ละที่ตอนมันถึงพริกถึงขิง พอมันขึ้นเต็มที่แล้ว เอาละที่นี่แน่แล้ว ยังไงจิตดวงนี้จะเสื่อมไปอย่างที่เคยเสื่อมไม่ได้เลย ถ้าจิตดวงนี้เสื่อมไปเราต้องตายเท่านั้น เราจะทนความทุกข์ทรมานดังที่ผ่านมา จากความเสื่อมความเจริญของจิตนี้ไปอีกไม่ได้แล้ว จะเอาตัวประกันเข้าเลย ถ้าจิตดวงนี้เสื่อมไปเราต้องตายไปด้วยกัน เมื่อเราไม่ตายจิตดวงนี้จะเสื่อมไปไม่ได้ ก็ฟัดกันใหญ่เลย นี่ก็หนักมากนะ ไม่ยอมปล่อยพุทโธ เอาแน่ว คำว่าจิตดวงนี้เสื่อมเราต้องตายเราคิดเห็นเรื่องพระโคธิกะ ท่านเจริญฌานเสื่อม ๕ หนในตำรา หนนี้ท่านเจริญอีก พอเจริญไปมันเสื่อมอีกท่านก็คว้ามีดโกนมาเฉือนคอเลย คือท่านไม่ยอมที่จะทนทุกข์ทรมานต่อไปแล้ว เพราะมันทุกข์แสนสาหัส จิตท่านเสื่อม ๕ หน ท่านถึงขนาดฆ่าตัวตาย

เรานี้เสื่อมมาตั้งปีกับ ๕ เดือนนานกว่ากันขนาดไหน ก็ฌานเจริญแล้วเสื่อมเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถึงเอาอย่างหนัก ถ้าหากว่ามันยังเสื่อมอีกคราวนี้มันก็จะแบบเดียวกันนะ เหตุใดถึงเป็นแบบเดียวกัน เชื่อจิตของเจ้าของมันเด็ดจริง ๆ ว่าฆ่าตัว มันจะเอาจริง ๆ มันเด็ดได้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นจึงว่าถ้าจิตเราไม่เสื่อมเราจะตายไปไม่ได้เลย ถ้าเสื่อมคราวนี้กับความตายต้องไปพร้อมกัน ไม่มีทางที่จะเยียวยากันอีกแล้ว ทนมาถึงปี ๕ เดือนแล้ว นี่ละมันถึงฟัดกันใหญ่โตเลย จากนั้นมามันก็ไม่เสื่อม ไม่เสื่อมก็เอากันหนักทีเดียวเพราะเคียดแค้น แหม เคียดแค้นมากจริง ๆ เอาเต็มเหนี่ยว ๆ ขึ้นเลย ๆ

จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่นั่งหามรุ่งหามค่ำละที่นี่นะ นั่นละต่อจากนั้นไปก็นั่งตลอดรุ่ง ๆ คือเอากันหนักขนาดนั้นไม่อย่างนั้นมันจะเสื่อม มันเสื่อมเราต้องตายเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะมันหมดเงื่อนต่อแล้ว อาศัยอันนี้เท่านั้นเอง ถ้าอันนี้ยังอยู่ก็เรียกว่าชีวิตของเราอยู่กับอันนี้ ถ้าอันนี้เสื่อมไปเราต้องตายไปด้วยกัน ดูจะไม่เป็นอย่างอื่น เราเชื่อพระโคธิกะท่านฆ่าตัวตายเพราะจิตท่านเสื่อม ๕ หน ท่านทนทุกข์ต่อไปไม่ได้แล้ว ท่านก็เลยเอามีดมาเฉือนคอ แต่พอเฉือนคอท่านมีอุปนิสัยนี่ เรามันไม่มีอุปนิสัยล่ะซีท่านะ พอเลือดทะลักออกมานี้ท่านพิจารณาเลือดแล้วตรัสรู้ปึ๋งขึ้นในเวลานั้นเลย ท่านตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเวลานั้นเลย

พระโคธิกะเป็นพยานคือว่า มันจะทนทุกข์ทรมานแบกความเสื่อมความเจริญต่อไปอีกไม่ได้แล้ว อย่างพระโคธิกะท่านก็ต้องตายของท่านแบบนี้ แต่ท่านมีอุปนิสัยท่านบรรลุธรรมในเวลาสุดท้าย เรามันจะบรรลุลงนรกอเวจีไหนก็ไม่รู้ จึงได้ซัดกันมันถึงได้เจริญ จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่นั่งหามรุ่งหามค่ำ นี่ละกำลังของใจรุนแรงมากนะ พาให้ได้ดิบได้ดีด้วยการมุมานะ การสู้กับกิเลสประเภทต่าง ๆ หนักเท่าไรสู้ตลอด ๆ ทะลุไปได้อย่างนี้ นั่งหามรุ่งหามค่ำฟัดกันจนเต็มเหนี่ยว จนถึงขั้นอ้อ ขึ้นอ้อเลยนะ เอ้อ อย่างนี้ไม่เสื่อม มันรู้นะ คือมันถึงพักมันตกกึ๊กในพัก เอ้อ ทีนี้ไม่เสื่อม แต่ยังไงก็ตามให้นอนใจนี้ไม่นอน เพราะความตายมันขวางหน้าอยู่แล้ว เสื่อมเมื่อไรตายเมื่อนั้นเลย มันจะไปเสื่อมได้ยังไง ถึงได้เอากันเต็มเหนี่ยว

นี่อันหนึ่งกองทุกข์มากที่สุด คือเวลาจิตเสื่อม เอาจิตตอนนี้ก็บังคับกันอย่างนั้น ภาวนานี้ไม่ให้เผลอเลยเทียว วันไหนคืนใดก็ตามตื่นนอนพับจับปุ๊บเลย แล้วติดกันตลอดไม่ให้เผลอ ไม่ว่าจะเคลื่อนไหวไปมาที่ไหนคำว่าพุทโธกับจิตจะเคลื่อนกันไม่ได้เลย คิดดูซิไปบิณฑบาต เขาเอาอะไรใส่บาตรไม่ใส่บาตรไม่สนใจ อยู่กับพุทโธตลอด ได้มาฉันก็ฉันแต่พุทโธหากไม่ปล่อย เรียกว่างานหนัก มันถึงได้ขึ้นขนาดนั้น นี่การรักษาจิตเวลามันหนักเราต้องใส่อย่างหนัก โลเลโลกเลกไม่ได้

นี่ละธรรม เป็นยังไงธรรม เวลากิเลสมีกำลังฟาดเราจนกระทั่งจะฆ่าตัวตาย พิจารณาซิ ทีนี้เวลาธรรมเจริญขึ้นมาแล้วฆ่ากิเลสเป็นลำดับลำดา ธรรมกับกิเลสมันอยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน ที่ว่าธรรมมีอยู่ ๆ ฟื้นขึ้นมาก็เห็นกันอยู่อย่างนี้ละ ฟื้นขึ้นมาฟาดกับกิเลส ความเสื่อมหายไปเลยเห็นไหม มีแต่ธรรมครองใจ ๆ เรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าถึงสมาธินี้เรียกว่าเต็มภูมิ จึงพูดได้ชัดเจนว่า สมาธินี้มีเต็มภูมิแล้วเลยนั้นไม่ได้ เหมือนน้ำเต็มแก้ว พอเต็มแก้วแล้วเอาน้ำที่ไหนมาเทก็ไม่เลยนั้น เต็มแก้ว ๆ ตลอด สมาธินี้จะเอาขนาดไหนก็เอา นั่งอยู่ที่ไหนเป็นสมาธิแน่นเหมือนภูเขาเหมือนหินอยู่ตลอดเวลา มันก็แค่นั้น ไม่มีความแยบคายละเอียดลออยิ่งกว่านั้น มีเพียงขั้นนี้เท่านั้น แต่มันก็ภูมิใจเราไม่เคยได้ธรรมที่สูงกว่านี้ เราก็ภูมิใจเต็มเหนี่ยวแล้ว

พอออกทางด้านปัญญานี้สูงกว่ากัน จากนี้ก็ออกทางด้านปัญญา พอออกทางด้านปัญญาเป็นน้ำล้นแก้วแล้วที่นี่นะ ล้นแก้วเรื่อย ๆ กระจ่าง ๆ ฟังให้ดีพี่น้องทั้งหลาย ถอดออกมาจากหัวใจจากธรรมทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ธรรมมีหรือไม่มีฟังเอานะ ธรรมมีหรือไม่มี บุญมีบาปมีหรือไม่มีฟังเอา เวลามันเสื่อมนี้ก็เหมือนว่าสร้างบาปใส่ตัวเองเป็นความทุกข์ เวลาจิตเจริญขึ้นมาก็สร้างบุญใส่ตัวเอง มันเห็นอยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน ทีนี้พอจิตออกทางด้านปัญญานี้ ก็ใครเป็นคนลากออกฟังซิ พ่อแม่ครูจารย์มั่น ลากออกจากสมาธิ มันตายอยู่ในสมาธิ เพลินอยู่ในสมาธิ จนกระทั่งจะตายใจว่านิพพานคืออันนี้แหละ มันแน่วลงไปไม่อยากยุ่งกับอะไร ความคิดแย็บออกมานี้กวนใจนะ

แต่ก่อนมันไม่อยู่เฉย ๆ ได้นะ มันอยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ปรุงแต่งตลอดเวลา ไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้ ดิ้นรนกระวนกระวาย ทีนี้พอสมาธิเข้าทับหัวมันแล้ว ความคิดแย็บออกมานิดหนึ่งนี้สร้างความรำคาญให้ มันไม่อยากคิดอยากปรุงอะไร สู้ธรรมชาติที่แน่วนี้ไม่ได้ รู้แน่วเท่านั้นพอ อยู่ไหนอยู่ได้หมด นั่งที่ไหนอยู่ที่ไหนอันนี้แน่วตลอดเวลา มันจะไม่สุขยังไงคนเรา ลืมวันลืมคืนลืมปีลืมเดือนไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ลืมไปหมด เพียงขั้นสมาธินี้ก็พอมันไม่ยุ่งกับอะไร มันปล่อยเข้ามาอยู่ในความสงบเย็นใจนี้หมด นี่ขั้นสมาธิขั้นนี้ก็เลิศ ถ้าเรายังไม่เห็นธรรมที่เลิศเลอกว่านี้นะ ขั้นนี้ก็พออยู่พอกิน

เพราะฉะนั้นจิตผู้มีสมาธินี้จึงติดได้ มันเพลินอยู่ในนั้นไม่สนใจออกทางปัญญา ทีนี้เราก็พ่อแม่ครูจารย์ลากออกจากสมาธิที่ว่าเหมือนหมูขึ้นเขียงนั่นน่ะ ลากออกไปนั้นเถียงท่านตลอด มันไม่อยากออกเห็นไหม ท่านขนาบถึงยอมลง พอก้าวออกทางด้านปัญญาทีนี้เป็นน้ำล้นแก้วนะ ล้นออกได้ทุกแง่ทุกมุม ล้นออกได้ทุกด้านทุกทางรอบแก้ว ทีนี้ปัญญาเวลามันออกมันออกได้ทุกด้านทุกทาง กระจ่างออกไป ๆ กิเลสแต่ก่อนที่มัดมันไว้ด้วยสมาธิไม่ได้ฆ่ามัน มัดมันไว้ ทีนี้พอด้านปัญญาเข้าฆ่าละที่นี่ ตีแตกกระจัดกระจาย กิเลสแตกออกไปเท่าไรยิ่งเห็นความสว่างกระจ่างแจ้งของธรรม ของสติปัญญามากขึ้น ๆ ทีนี้มันก็ไปใหญ่ละซี เพลิน ขั้นนี้เป็นขั้นที่เพลินมากที่สุด

เพราะแต่ละตัว ๆ ของกิเลสมันเท่ากับงูจงอาง สามเหลี่ยม งูเห่า ฟังซิพิษของมัน เวลาได้เห็นแล้วมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แต่ก่อนเราไม่เห็นเรานอนกอดงูเห่า งูจงอาง สามเหลี่ยมอยู่ พวกเรานี้พวกกอดงูจงอาง พวกสามเหลี่ยมนั่นเอง ตายกันเท่าไรก็ไม่รู้นะ เวลาปัญญาออกมันเห็นชัดเจน เมื่อเห็นชัดเจนว่างูจงอางใครจะไปกล้ากับมันล่ะ สามเหลี่ยมใครจะไปกล้ากับมัน งูเห่าใครจะกล้ากับมัน แต่ก่อนทำไมกอดพันกันอยู่ ตายกี่กัปกี่กัลป์ไม่รู้สามเหลี่ยมฟาดเอา สามเหลี่ยมคือพวกกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา พวกจงอางพวกสามเหลี่ยม งูเห่า พวกนี้น่ะ ทีนี้เวลาเห็นมันแล้วนี้ มีแต่ตีกระจายออก เอาออก ๆ ตีออกไปเรื่อย ๆ สว่างไปเรื่อย นี่ละที่ว่าปัญญา

ปัญญานี้น้ำล้นแก้วนะ ไม่มีหยุดยุติไม่มี สว่างเรื่อย ละเอียดลออ ๆ กว้างขวางออกเรื่อย สิ่งไม่รู้ไม่เห็นรู้เห็นไปหมดที่นี่ สิ่งเหล่านั้นมีอยู่แล้วดั้งเดิม มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เราไม่เคยเห็นมันก็เหมือนว่ามันไม่มี ๆ อย่างที่พวกเราลบนรกสวรรค์อยู่เวลานี้ว่าไม่มี ๆ อันนี้มีมาสักเท่าไรแล้วกี่กัปกี่กัลป์ บาปบุญนรกสวรรค์เสมอกันหมด มีมาไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย มีมาแต่กาลไหน ๆ แต่เราไม่มีหูมีตามันไม่เห็น ก็ลบล้างว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี แล้วก็ไปโดนเอาสิ่งที่ไม่มีนั้นแหละ เช่นอย่างเราไปเหยียบขวากเหยียบหนาม ใครเข้าใจเมื่อไรว่าหนามมีอยู่ที่เราเหยียบนั่น เราก็ต้องเข้าใจว่าไม่มีหนาม แต่เหยียบลงไปเป็นยังไงหนามยอกเอานั่น ถึงรู้ว่าหนามมี มันเจ็บแล้วนั่น พอรู้ว่าหนามมีมันเจ็บแล้ว อันนี้พอรู้ว่านรกมีมันตกแล้ว มันเป็นอย่างนั้นนะ

เวลาปัญญานี้ได้ออก เราอย่าเอาอะไรมาคาดมาหมายนะ กับนักปฏิบัติตามภูมินิสัยวาสนาของตน ต่อสิ่งที่จะควรรู้ควรเห็น เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นของมีอยู่แล้วมันจะทราบเป็นลำดับ กิเลสมีมาสักเท่าไรในหัวใจเรา เรายังเพลินกับกิเลส เพลินกับจงอาง งูเห่า งูสามเหลี่ยม ไปตลอดนะ เวลามันรู้กันแล้วมันพังกันออก ๆ จิตใจนี้ยิ่งมีความสว่างไสว สติปัญญาละเอียดลออ ๆ เรื่อย ทีนี้สิ่งไม่เคยรู้เคยเห็นมันเกี่ยวพันกันอยู่ ตั้งแต่หัวใจออกรอบด้านมันเกี่ยวพัน มองปั๊บนี้มันถึงกันหมด ๆ นี่จะไปถามใคร ความรู้นี้มันไม่มีขอบเขตนะ ทุกสิ่งทุกอย่างมีขอบมีเขตมีที่บังคับเอาไว้ แต่เรื่องปัญญานี้ไม่มีขอบเขต ความรู้กับปัญญาไปด้วยกัน ความรู้ไม่มีขอบเขตฉันใด สติปัญญาไม่มีขอบเขตเหมือนกันตามกันไป ทีนี้มันก็รู้ล่ะซิ

กิเลสมีมากมีน้อยแต่ก่อนไม่เคยเห็นในหัวใจมันเห็นจะว่าไง ก็มันมีอยู่แล้วแต่ก่อนไม่เห็นเฉย ๆ ทีนี้พอสติปัญญาเครื่องสัมผัสสัมพันธ์รับกันได้แล้วมันก็ยอมรับว่ามี ๆ หนักเบามากน้อยมันก็ทราบเป็นลำดับลำดาไป จากนี้มันกระจายออกไปบาปบุญนรกสวรรค์ มันก็เหมือนกันกับกิเลสอยู่ในหัวใจเรานี้ไม่ได้ผิดกัน ไม่ได้มีห่างไกลอันใดเลย เพราะความรู้ไม่มีกิโลไม่มีไมล์มาวัดกัน พอปั๊บนี้มันถึงกันเลย ๆ บาปบุญนรกสวรรค์ถึงกันเลย ๆ ตัวจิตนี้เป็นตัวรากฐานสำคัญที่กระจายให้รู้ให้เห็น ประสานกันในเวลานั้น ไม่ต้องไปนับกิโลว่าจากนี้ไปนรกกี่กิโล ไปสวรรค์กี่กิโล ไม่ต้องนับ ประสับประสานถึงกันทันที ๆ เลย เป็นอย่างนั้นนะ

ทีนี้มันก็รู้ทั้งกิเลสที่ละได้มากน้อย ก็รู้ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับหัวใจของเราที่จะรู้มันก็ปิดไม่อยู่ ๆ บาปบุญนรกสวรรค์มันเกี่ยวโยงกันหมด ลบล้างได้ยังไงมันเห็นอยู่นี่ เจ้าของยอมรับความรู้ความเห็นของเจ้าของ เราจะปฏิเสธพระพุทธเจ้าได้ยังไง ที่พระพุทธเจ้าสอนว่าสิ่งเหล่านี้มีมาเท่าไรแล้ว เราพึ่งมาเจอนี้ เมื่อเจอแล้วมันก็ยอมรับอย่างจัง ๆ เราก็ยอมพระพุทธเจ้าทุกอย่างไป

นี่ละความรู้ความเห็นเป็นอย่างนี้ ความรู้นี้ไม่มีอะไรลบล้างได้ จริงจังทุกอย่าง แต่ความจดความจำความคาดคะเนลบล้างได้ หลอกเจ้าของได้ตลอด ความจริงไม่หลอก รู้ตรงไหนรู้ไป ๆ กระจายออกไปถึงขั้นปัญญา ขั้นนี้มันเพลินทุกอย่า เพลินอันดับหนึ่งคือเพลินฆ่ากิเลส นอกนั้นก็เป็นผลพลอยได้ เช่นไปรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวโยงกันระโยงระยางพวกเปรตพวกผีพวกอะไร ๆ พวกนรกแดนสวรรค์อะไรอย่างนี้เกี่ยวโยงกันหมด มันรู้กันหมด ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงมันรู้ เหมือนอย่างเราว่าฟ้า ๆ นี้เข้าใจไหม เราก็นั่งอยู่นี้ตาเราก็มองเห็นฟ้า ตามันสูงกว่าตัวของเราใช่ไหมมันก็เห็น บนเมฆบนหมอกพระอาทิตย์มันก็ยังเห็น ทั้ง ๆ ที่มันอยู่บนดินนี่นะ เราอยู่บนดินมองพระอาทิตย์เห็นไหม แล้วเป็นยังไง

ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ถึงสวรรค์นิพพาน ไม่ไปตกนรก มันอยู่นี้ก็เห็นลงไปนรก ทางต่ำก็เห็น มองลงไปน้ำบ่อลึกลงไปก็เห็น มองขึ้นบนฟ้าก็เห็น ดาวบนฟ้าก็เห็น ตัวของเราเองก็อยู่แผ่นดินนี้แต่ทำไมตามันไปเห็นนู้น ที่ลึกมองลงไปน้ำบ่อมันก็เห็น เหวมันก็เห็น มองขึ้นไปข้างบนมันก็เห็น ตัวเห็นคือตาของเรา มันเห็นลงไปข้างล่างเห็นไปข้างบน ทั้ง ๆ ที่ตาติดอยู่กับหน้าเราไม่ได้ไปไหนละตา แต่มันเห็นขึ้นข้างบนได้ลงข้างล่างได้

นี่ใจของเรามันไม่ได้ไปนิพพานละ มันเห็นพวกเปรตพวกผีนรกอเวจีทั้งหลายเหมือนอย่างตาเราเห็น ใจมันรู้ ๆ รู้ไปหมดเข้าใจไหม นี่ละเราไม่ได้ไปลงนรกแต่เราเห็นนรก แน่ะ เราไม่ไปติดคุกติดตะรางแต่เราเห็นคุกเห็นตะรางเข้าใจไหมล่ะ ปฏิเสธได้ไหมว่าคุกตะรางมีหรือไม่มี ก็ตามันเห็นอยู่นี่นักโทษเต็มอยู่นั้น เราไม่ได้เป็นนักโทษแต่เราก็เห็นนักโทษ พวกสัตว์นรกทั้งหลายมันก็แบบเดียวกัน เราไม่ได้เป็นสัตว์นรกแต่เราก็เห็นสัตว์นรก เราไม่ได้ไปตกนรกแต่เราเห็นนรก เรายังไม่ได้ไปสวรรค์แต่จิตมันหยั่งถึง ๆ พอก้าวปั๊บอันนี้ออก เข้าถึงกันเลย ควรแก่ภูมิใด ๆ มันก็รู้ สิ่งเหล่านั้นมันก็ผ่าน สมมุติมาเห็นต่ำมันไม่ไปต่ำ มันก็ไปตามภูมิของจิตที่บำเพ็ญได้มันก็ขึ้นไปเสีย ทั้ง ๆ ที่อันนั้นก็มี ต่ำก็มีแต่มันไม่ไปพอ เพราะใจไม่ใช่ฐานะที่จะไปโน้น ใจมีความดีมันไปทางความดีของตัวเองเสียเข้าใจไหม

ทีนี้พอมันถึงขั้นนิพพานที่ควรแล้วผึงเดียวถึงแล้ว นั่น เวลามันไม่ถึงมันก็ยอมรับ ๆ อยู่นี่ เหมือนเราเห็นพระอาทิตย์ เห็นพระอาทิตย์แต่เราไม่ได้ขึ้นไปชมพระอาทิตย์ชมเดือนชมดาวแต่เราก็เห็นจะว่ายังไง เข้าใจหรือยังพวกนี้น่ะพวกตาบอด ยังมาลบล้างบาปบุญนรกสวรรค์ได้นี่ เป็นข้อเทียบเคียงเข้าใจกันแล้วยัง นี่ละมันเป็นอย่างนี้ สิ่งที่มันรู้มันเห็นปิดไม่ได้นะ จิตดวงนี้เป็นนักรู้ จะอยู่ต่ำอยู่สูงรู้ทั้งนั้น ไปได้หรือไม่ไปได้ปฏิเสธความรู้นี้ไม่ได้ ความเห็นนี้ไม่ได้ มันเห็นมันรู้ เหมือนอย่างเรามองดูปลายไม้นี้ เราก็ยืนอยู่ดินนี้ปลายไม้เราก็เห็น แต่เราไม่ได้ขึ้นอยู่ปลายไม้แต่เราก็เห็นปลายไม้จะว่ายังไง นี่ละเรื่องธรรมมีหรือไม่มีท่านทั้งหลายพิจารณาซิ

เวลามันเข้าถึงเต็มเหนี่ยวมันแล้ว สิ่งที่รู้ที่เห็นทั้งหลายนั้น เหล่านั้นจิตมันผ่านไปหมดมันก็รู้มาหมด ทั้งผ่านไปแล้วมันก็รู้ของมัน ขึ้นสูงแล้วก็มองลงต่ำได้ อยู่ต่ำมันก็มองขึ้นสูงได้จิตนี้ แล้วสงสัยไปหาอะไร พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกยิ่งเก่งกว่าเราอีกเป็นไหน ๆ เราจะเอากิเลสตัณหาเป็นส้วมเป็นถานไปปิดหูปิดตาพระพุทธเจ้าปิดได้ยังไง ตาพระพุทธเจ้าตาเอกไม่ใช่ตาส้วมตาถานของเรา แล้วจะเอาตาส้วมตาถานไปปิดหูปิดตาพระพุทธเจ้า ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี นี่พวกจมเข้าใจ

เราพูดถึงเรื่องการบำเพ็ญธรรม ธรรมมีอยู่อย่างนี้หัวใจดวงนี้เป็นทั้งนรกอเวจีเผาตัวเองตลอดเวลา เป็นทั้งสวรรค์นิพพาน เมื่อเวลาแจ่มแจ้งเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วกระจ่างแจ้งหมด คือนี้เอง ให้บำเพ็ญ คุณงามความดีทั้งหลายที่เราสร้างนี้เป็นเครื่องหนุน เป็นเครื่องขัดเกลา ๆ ให้อันนี้สว่างออก ๆ เรื่อยไป เมื่อเต็มที่ด้วยความดีแล้วก็ผึงเลย อันอื่นอย่างใดที่จะมาช่วยเราให้ได้ดิบได้ดีไม่มีนะ อย่างที่เคยพูดแล้วไม่มี มีบุญกุศลเท่านั้นที่ได้มากได้น้อย นั้นแหละจะพยุง เป็นผู้พึ่งเป็นพึ่งตายของเรา ไอ้เรื่องบาปมีเท่าไรเท่ากับมหาภัยตามต้อนเราทำลายเราตลอดเวลา อย่าพากันยินดีในการสร้างบาป พี่น้องทั้งหลายพากันตั้งอกตั้งใจนะ นี่เราเปิดให้ฟัง จวนจะตายแล้วเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังของจริงเราไม่ได้สงสัยเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดมาเรียบร้อยแล้วยืนยันเต็มหัวใจ ๆ

ขออย่าฝืนพระพุทธเจ้านะ ถ้าฝืนพระพุทธเจ้าจมทั้งนั้น ๆ ไม่มีใครดีเลย ถ้าลงฝืนธรรมแล้วจมทั้งนั้นแหละ ขอให้บืนไปตามธรรม ทุกข์จนหนโลกขนาดไหนหัวใจอย่าให้จนจากธรรม ให้อุตส่าห์พยายามปฏิบัติทางด้านธรรมะนะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้นะ พอ

ฟังพูดเท่านี้เราไม่พูดซ้ำอีกนะ เราจะบอกให้ชัดเจน แม่บ้านคือเมียเราเวลานี้มาภาวนา เราอยู่ทางบ้านก็อย่าหาเรื่องทางบ้านทางเรือนมาคละเคล้ายุ่งกวนกันนะ คนหนึ่งจะหาภาวนาหาบุญหากุศล คนหนึ่งอยากได้เมียกี่คนร้อยคนแล้วแต่ เมียนี้เปิดทางให้แล้วเข้าใจไหม แต่อย่ามาปิดกันเมียที่จะบำเพ็ญกุศล เราจะเสาะแสวงหาสมบัติเงินทองข้าวของหรือลูกเมียกี่คนก็ไปหาเอา เมียเขาไม่ขัดไม่กีดไม่กันเรา เราอยากไปอีกร้อยคนก็เอา ถ้าคนหนึ่งสองคนไม่พอ ไปเอาร้อยคนก็แล้วแต่เมียเขาเปิดทางให้แล้ว นี่เขาจะเปิดทางเพื่อภาวนาของเขาอย่ามากีดกันกันนะ ให้ต่างคนต่างเดินของใครของเราเท่านั้น เรียกว่าเหมาะสมแล้วพูดเท่านั้นละ จะไม่พูดซ้ำอีก อย่ามากวนกันนะ พูดเท่านั้น

ลูกก็ให้ผาสุกเย็นใจ ให้ตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือแล้วทำการทำงานนะ พ่อคือพ่อ แม่คือแม่ของเราเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ใครจะอยู่ห่างไกล ใกล้ไกลขนาดไหนก็คือพ่อคือแม่ของเราอยู่ที่นั่น ๆ เราเป็นเรา ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของเรา อย่าไปสร้างความวุ่นวายขึ้นแก่ตัวของเราเองไม่ดี เอาละเป็นประโยคที่สองพอ

พี่น้องทั้งหลายฟังธรรมะวันนี้ให้เป็นที่ลงใจนะ เราเปิดเป็นระยะ ๆ เวลาเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ฟังให้ถึงใจ เมื่อเราฟังถึงใจตามหลักความจริงแล้วใจเราจะจริง ใจจริงต่ออรรถต่อธรรมต่อความจริงทั้งหลาย นี่ละเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายของเราคือจุดนี้ ไอ้ความเหลาะ ๆ แหละ ๆ ความโลเล ไม่ยอมเชื่อฟังความจริงแห่งธรรมพระพุทธเจ้าแล้วนั้นมีแต่เรื่องจม ให้จำให้ดี

วันนี้ฟังเทศน์เป็นยังไงได้ยินชัดเจนไหม ฟังให้ชัดนะ เราจะเปิดออกเป็นระยะ ๆ จากนี้แล้วเราก็บอกแล้ว พอถึงขั้นเต็มภูมิของธาตุของขันธ์ไปไม่รอดแล้ว เราปัดปุ๊บเดียวผึงเลยเข้าใจเหรอ เราไม่ต้องนิมนต์ใครมากุสลา เราพอทุกอย่างเราสอนโลกด้วยความพอ ให้พากันฟังให้ดีนะ เราจะสอนเป็นระยะ ๆ เราบอกว่าเปิดไปเรื่อย ๆ ให้ฟังดี ๆ พอนั้นแล้วก็ผึงเลยเท่านั้นละ พอขันธ์ดับเท่านั้นพึบหมดพร้อมกันเลย บรมสุขหรือนิพพานไม่ต้องถาม ถามหาอะไรเป็นอยู่นี้ในหัวใจเต็มเหนี่ยวไปถามอะไร บกพร่องตรงไหนถึงต้องถาม ไม่บกพร่อง ไม่ต้องถามพระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ท่านไม่ถาม ท่านพอทุกองค์แล้ว

กลับกรุงเทพฯ เหรอ ไปผาสุกเย็นใจนะ ได้บุญได้กุศล ฟังธรรมก็เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้พากันกลับเสียนะ การขับรถอย่าเอาเวล่ำเวลามาเป็นประมาณยิ่งกว่าความปลอดภัย ความปลอดภัยยันตัวตลอด เรื่องควรช้าควรเร็วเราก็ดูเอง เราเป็นนักขับรถต้องใช้ประสาทตลอด ความระวังนั้นคือความถูกต้อง พากันไปผาสุกเย็นใจโดยทั่วกันนะบรรดาลูกศิษย์ลูกหา ไปก็อย่าลืมพุทโธติดตัวไปติดรถไปด้วยนะ อันนี้สำคัญมาก ไปสบาย ๆ ทุกวันนี้ไม่นานละไปกรุงเทพฯ ประมาณ ๗ ชั่วโมงเท่านั้น เพราะทางราบรื่นตลอดเลย มีบ้างเล็กน้อยในเขาลำตะคองแถวนั้นเท่านั้น นอกนั้นก็เรียบไปเลย ๆ

น่าสงสารแต่พวกอินโดนีเซีย มาแล้วได้ต่อวีซ่าให้อีกให้อยู่ต่อไป น่าสงสารนะนี่ยังไม่กลับนะไล่กลับก็ไม่กลับ ยังต่อวีซ่าอีก เมื่อวานเราก็เซ็นวีซ่าให้ มาด้วยกันกี่คนไม่ได้ถาม (มาคนเดียวครับ) มาคนเดียวอาจหาญเสียด้วยนะ ดูกิริยาท่าทางอาจหาญมาก อาจหาญมากเทียว อาจหาญนี้ตีกิเลสให้แหลกเลย อย่าอาจหาญใส่เสื่อใส่หมอนไม่ได้นะเข้าใจไหม ถ้าอาจหาญใส่เสื่อใส่หมอนนี้ได้ยินแต่เสียงครอก ๆ ไปละ

เมื่อวานนี้เราก็ไม่ได้ไปไหน อย่างนั้นละถ้าอยู่ในวัดนี้ทนกวนไม่ไหว กลางวี่กลางวัน อย่างนี้เราถึงไม่อยากอยู่ เราอยู่เพียงเมื่อวานนี้เท่านั้นกวนตลอดเลย โห ทั้งแขกจะมาหาผิดเวล่ำเวลา ให้พระรอปัดเอาไว้ ๆ แล้วกวนทุกแบบมาทุกแง่นะ นี่ที่ไม่อยู่ เมื่อวานนี้ยิ่งเห็นชัด เมื่อวานนี้ไม่ไปไหน อยู่ดูเหตุการณ์มันก็เจอทั้งวันเลย ทีนี้มันต้องเข็ดซิไม่เข็ดไม่ได้นะ ไม่ทราบมาจากมุมไหน ๆ ส่วนมากไม่ใช่พวกที่เราเคยอยู่ด้วยกัน พวกนี้เขาไม่ได้ไปกวนเขารู้ ไอ้มาจากทุกทิศทุกทางนั่นซิ มันเข้าได้ทุกแห่งออกได้ทุกแห่ง นี่ละพวกกวนนะ รำคาญ

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก