ฝันเป็นมงคล
วันที่ 8 พฤษภาคม 2550 เวลา 8:00 น. ความยาว 30.12 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ฝันเป็นมงคล

         วันหนึ่งๆ เราไม่ค่อยได้อยู่นะ ถึงจะทุกข์แก่ธาตุแก่ขันธ์ก็ตามแต่ความเมตตายังเหนือกว่ามันก็ลากไปจนได้ ไปช่วยโลกไปที่นั่นที่นี่ ส่วนมากโรงพยาบาลมากต่อมาก ที่อื่นไม่ค่อยไป มักจะเข้าโรงพยาบาลๆ เพราะพวกนี้พวกจนตรอกจนมุมพวกโรงพยาบาล เราจึงหนักมือกว่าที่อื่นๆ โรงพยาบาลสำคัญ เข้าโรงนั้นๆ ไปเรื่อย เมื่อวานไม่ไปไหน เหนื่อยมาก พัก

ระยะสองสามคืนมานี้ฝันแปลกๆ อยู่นะ ฝันเป็นมงคลๆ ตลอดตั้งแต่เริ่มไปร้อยเอ็ดกลับมา ฝันเป็นมงคลทั้งนั้นแหละ แปลกอยู่ ที่อดคิดไม่ได้ก็คือฝันที่ว่าท้าวสักกเทวราชมาขอฟันนั้นแหละ ตื่นเช้าขึ้นมาหายเงียบจริงๆ ฟัน มันไปไหนนา จะว่ากลืนกินก็ไม่รู้สึก คือมันเข้าในปากแล้วมันอาจกลืนลงไป แต่เราก็ไม่รู้สึก ที่ชัดเจนก็คือท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน พอตื่นนอนขึ้นมาฟันหายเลย แปลก ระยะนี้ฝันเป็นมงคลทั้งนั้น เมื่อคืนนี้ก็เหมือนกัน มันไม่ได้ค่อยเป็นฝันสุ่มสี่สุ่มห้านะ จึงต้องได้คิดถึงความฝัน ฝันอะไรมันจะแปลกๆ อยู่ พูดให้มันชัดเจน คือจิตนี้ไม่มีโลกเข้าแฝงเลย มีแต่ธรรมล้วนๆ เวลาออกก็ออกเป็นธรรมๆ ทำให้น่าคิดทุกแง่ทุกมุม

อดคิดไม่ได้ที่ว่า ฝันว่าท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน พอตื่นนอนขึ้นมาฟันหาย ไม่ทราบหายไปไหน เราก็อดคิดไม่ได้ มันโยกคลอนอยู่ คือเราจะไม่ไปถอนที่ไหน จะปล่อยให้มันออกเอง พอดึงออกได้ก็จะดึงออก ให้มันอยู่นั้นเสียก่อน ตอนไปร้อยเอ็ดเราฝันว่าท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน พอตื่นนอนขึ้นมาฟันก็หายจริงๆ ไม่ทราบหายไปไหน เจ้าของเองก็งง ถ้าว่าจะกลืนลงไปหรือว่ามันหลุดเข้าไปในปากก็ไม่มีความรู้สึก ไม่ปรากฏนะ แต่อยู่ๆ ฟันก็หายไปเฉยๆ แปลกอยู่ ประกอบกับธาตุขันธ์ชักเคลื่อนไหวแปลกๆ อยู่ระยะนี้ เคลื่อนไหวไปทางผลลบ เราดูอาการของมันไม่ใช่ผลบวก เป็นผลลบ ธาตุขันธ์ไหวตัว ไหวตัวเป็นผลลบๆ

สำคัญก็ที่ว่าวัย มันกระดิกพลิกแพลงอะไรมักจะมีแต่ผลลบ ผลลบกับทรงตัว ที่จะให้เป็นผลบวกไม่มีในขันธ์เคลื่อนไหวนะ มีแต่เป็นผลลบๆ เรื่อยๆ  แต่เราพูดนี้เราพูดเฉยๆ นี่ละคุณค่าแห่งการอบรมจิตใจ เราพูดเฉยๆ เรื่องเป็นเรื่องตายเราไม่มีพูดจริงๆ เรียนจบหมด นี่ละเรียนธรรมจบ เรียนกิเลสไม่มีจบ เอาจนตายด้วยกันเลย ความพอไม่มีในกิเลส เหมือนไฟได้เชื้อ ไสเข้าไปเท่าไรแสดงเปลวจรดเมฆๆ กิเลสได้เชื้อไสเข้าไปไหม้ แต่ธรรมนี้พอๆ พอเป็นลำดับลำดา เป็นขั้นๆ พอพอเต็มที่แล้วพอเลย ดีชั่วเข้ามาไม่ติดละ เพราะคำว่าพอพออย่างเลิศเลอ สิ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้องไม่เลิศเลอ มันติดกันไม่ได้ ตกออกๆ

เราจึงไม่วิตกวิจารณ์ในการตายของเราเราพูดจริงๆ เหมือนที่สอนโลก สอนโลกนี่สอนด้วยอรรถด้วยธรรม จึงไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัว ไม่ว่าสมาคมใดสถานที่ใด แม้ที่สุดทวยเทพ ก็ไม่เคยมีคำว่ากล้าว่ากลัว ธรรมนี้เหนือตลอดๆ ไปสังคมใดก็ตาม อย่าว่าเพียงสังคมมนุษย์ แม้พวกทวยเทพก็ไม่เคยสะทกสะท้าน นั่นละใจเป็นธรรมเหนือไปหมดเลย ไปที่ไหนเหนือตลอด ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน ใจดวงนั้นไม่มีวัย สง่างามอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ให้พากันฝึกฝนอบรมจิตใจนะ นี่พูดเรื่องผลแห่งการอบรมจิตใจ ที่มาพูดให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายฟัง

ใจนี้เวลามันเศร้าหมองมันเศร้าหมองจริงๆ เป็นกองมูตรกองคูถไปเลย มันไม่ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เวลากิเลสได้ขยี้ขยำมันเต็มที่แล้วมันไม่ได้กลัวบาปนะ พระพุทธเจ้านี่มันเหยียบหัวไปเลย พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าบาปมีบุญมี นรกมีสวรรค์มี มันเหยียบหัวไปเลยมันไม่เชื่อ มันเชื่อแต่กิเลสตัวสกปรกอยู่บนหัวมันน่ะ หัวใจมัน แล้วก็บืนไปตามนั้นจมลงๆ ใครเกิดมาอยากจม ไม่มีใครอยากจมแต่ก็จมจนได้ เพราะอำนาจแห่งกรรมของตัวที่คิดไว้ทำไว้นั่นแหละ ให้พากันระวังตัว

พระพุทธเจ้าเป็นเอกแล้วสอนโลกไม่มีผิด เราอย่าอวดเก่งยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าไปทำตามความชอบใจของตน จมแน่นอนไม่สงสัย ถ้าใครเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วผลได้ตลอดไม่มากก็น้อย ตะเกียกตะกายไปตามพระพุทธเจ้า ถ้าตะเกียกตะกายไปตามกิเลสมีแต่จมตลอด ให้พากันจำเอา นี่พูดถึงเรื่องการฝึกฝนอบรมตัวเอง ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานถึงน้ำตาร่วงบนภูเขาก็เคยพูดให้ฟัง เวลากระแสของกิเลสมันรุนแรง รุนแรงขนาดน้ำตาร่วงบนภูเขา สู้มันไม่ได้ โถ อุทานในใจ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เคียดแค้นให้กิเลสเป็นธรรมนะ เคียดแค้นให้ผู้ใดก็ตามสัตว์ตัวใดก็ตาม เป็นบาปเป็นกรรมทั้งนั้น แต่เคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นภัยในตัวเองนี้เป็นธรรม

        นี่เป็นมาแล้ว ที่นำมาพูดนี้คือตัวเองเคียดแค้นให้กิเลสในใจตัวเอง ตั้งสติไม่อยู่เลยนะ ตั้งเท่าไรล้มๆ กระแสของกิเลสมันตีเอาๆ พอตั้งปุ๊บล้มทันทีเลย เอาจนน้ำตาร่วงบนภูเขา นั่นละได้เคียดแค้นกันตั้งแต่นั้นมา โถ มึงเอากูขนาดนี้ คือมันเป็นอยู่ในใจนะ ไม่ได้ออกปากพูดละ โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำตาร่วง เอาละอย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย ฝังใจนะนั่น

นั่นละเป็นธรรมที่มุมานะ ไม่ถอยจริงๆ เอาจนกระทั่งกิเลสหงาย หงายโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือ นั่นเห็นไหม ความอุตส่าห์พยายาม ความมุมานะ ความเคียดแค้นให้กิเลสเป็นธรรมทั้งนั้น เคียดแค้นมากเท่าไรความเพียรความตั้งอกตั้งใจยิ่งมากขึ้นๆ นะ ความเคียดแค้นให้คนอื่นสั่งสมกิเลส เคียดแค้นให้ผู้ใดก็สั่งสมกิเลสตลอดไปๆ ถ้าได้ทำตามความเคียดแค้นเจ้าของแล้วเหมาหมดทั้งตัว จมเลย เช่นฆ่าเขาอย่างนี้ เคียดแค้นให้ผู้อื่น คนอื่น สัตว์ตัวใดก็ตาม เป็นกิเลส เป็นบาปเป็นกรรมทั้งนั้น แต่เคียดแค้นให้กิเลสภายในใจตัวเองนี้เป็นธรรมๆ

เราเคยเป็นมาแล้ว เอาถึงขนาดน้ำตาร่วง เหอ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละอย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เอา พังจริงๆ พังขาดสะบั้นไปเลย นี่ละความเคียดแค้นให้กิเลสเป็นธรรม มุมานะไม่ถอย จะเอาให้มันพัง มันเอาเราพังให้เห็นต่อหน้าต่อตา วันหนึ่งมึงต้องพัง ให้กูถอยกูไม่ถอย เอาพังจนได้เลย พังเสียจนโลกธาตุสะเทือนนู่นน่ะ คำว่าโลกธาตุนี้เขาก็อยู่ตามเขา  ที่มันกระเทือนมากก็คือใจกับร่างกาย กิเลสอยู่กับใจ พอกิเลสกับใจขาดสะบั้นจากกันนี้มันกระเทือนถึงกาย กายพุ่งเลยเชียว

นั่นละเหมือนว่าฟ้าดินถล่ม กายนี้พุ่งเลย ไม่รู้ตัวนะ เราไม่มีเจตนา เพราะมันรุนแรงระหว่างกิเลสกับใจที่มันฝังจมกันมานมนาน ได้ขาดสะบั้นจากกันเป็นคนละฝั่ง นั้นละเหมือนกับว่าฟ้าดินถล่ม ร่างกายนี้พุ่งตัวเลย รุนแรงขนาดนั้นละกิเลสขาดจากใจ จนร่างกายไหวตัวพุ่งเลย รุนแรงมาก พูดจริงๆ นี่ก็ไม่ได้เป็นทุกราย เป็นไปตามนิสัยวาสนาของท่านของเราไม่เหมือนกัน สำหรับเราเป็น เอาจนพุ่งเลย เหมือนฟ้าดินถล่มเทียวนะ รุนแรงขนาดนั้นเวลากิเลสขาดจากใจ กิเลสกับใจขาดจากกัน ใจเป็นธรรมทั้งแท่ง กิเลสขาดสะบั้นออกไปแล้วพุ่งเลย ไหวถึงร่างกายสะเทือน จนร่างกายพุ่งตัวเลย

ตั้งแต่นั้นมาทีนี้บรมสุขไม่ต้องถาม คำว่าบรมสุขคือสุขสุดยอด ผ่านสมมุติไปหมดเป็นสุขบรมสุขในแดนวิมุตติ ไม่ใช่เป็นสุขในแดนสมมุติเหมือนโลกทั้งหลายเป็นกัน ความสุขของจิตที่หลุดพ้นแล้วเป็นความสุขในแดนวิมุตติ มันพุ่งตัวอย่างนั้นละ ทีนี้กิเลสไม่มีตัวใดเข้ามากวน ตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นไปจากใจแล้วใจไม่มีอะไรกวนตลอดไปเลย ท่านว่านิพพานเที่ยง เที่ยงแล้วที่ใจ เพราะฉะนั้นพูดถึงเรื่องความเป็นความตายเราก็พูดเฉยๆ เราไม่เคยสนใจที่จะหวั่นเกรงกับเรื่องความเป็นความตาย ไม่มี ความเป็นกับความตายเท่ากัน น้ำหนักเท่ากัน

ถ้าเราคิดถึงเรื่องทำประโยชน์แก่โลกความเป็นอยู่นี้มีน้ำหนักมากกว่า เวลามีชีวิตอยู่นี้ทำประโยชน์ให้โลก ตายแล้วไม่ได้ทำ ก็มีน้ำหนักเป็นแง่นี้เท่านั้น ถ้าธรรมดาแล้วเท่ากัน จะเป็นจะตายเมื่อไรก็ธาตุขันธ์อันเก่านี้ ดินน้ำลมไฟประชุมกันอยู่มันก็เป็นดินน้ำลมไฟ กระจายออกจากกันก็จากส่วนผสม ออกไปมันก็เป็นดินน้ำลมไฟตามเดิม ใจเมื่อเป็นตัวโดยสมบูรณ์แล้วก็เป็นตัวอยู่อย่างนั้น เหมือนจิตพระอรหันต์ท่านครองร่างจิตท่านไม่มีอะไร แต่ร่างกายก็เหมือนโลกทั่วๆ ไป มีเจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนอย่างนั้นเหมือนกันหมด แต่ใจท่านไม่หวั่น เป็นอฐานะ คือเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะให้เป็นอย่างโลก

นั่นละการฝึกจิตเมื่อฝึกให้เต็มที่แล้วเป็นอย่างนั้น ไม่มีหวั่น คำว่าได้ว่าเสียไม่มี หมด จะได้กับอะไรเสียกับอะไรไม่มี คือพอตัวทุกอย่างแล้ว นี่การอบรมจิตเมื่ออบรมให้เต็มที่แล้ว การพูดทั้งนี้ยกตัวออกมาพูดที่สอนพี่น้องทั้งหลายนะ เวลาสมบุกสมบันน้ำตาร่วงบนภูเขาก็ได้มาพูดให้ฟัง เวลาฟัดกิเลสขาดสะบั้นจนฟ้าดินถล่มก็ได้มาพูดให้ฟัง นี่ละการอบรมตัวเองเมื่อถึงขั้นนั้นแล้วเป็นอย่างนั้น ถึงขั้นสุดยอดของจิตแล้วก็หมด ทีนี้ไม่มีอะไรกวน

คำว่าเป็นว่าตายก็มีแต่ธาตุขันธ์ รวมกันอยู่ก็ธาตุรวมกันเท่านั้นเอง แตกออกไปก็ธาตุกระจายออกจากกันไปเป็นธาตุเดิมของเขา ธรรมชาติอันนี้ที่หลุดพ้นแล้ว อยู่ภายในธาตุขันธ์ก็หลุดพ้นแล้ว ออกไปแล้วก็หลุดพ้นไปแล้วจะทำอย่างไร นั่นละให้มันรู้ชัดๆ อย่างนี้ การปฏิบัติธรรมไม่ใช่ปฏิบัติสุ่มสี่สุ่มห้า ตายแล้วให้ไปสวรรค์ ให้ไปสวรรค์นู้นนี้นะ มันรู้อยู่ที่ใจ พอพูดอย่างนี้เราก็เคยเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายฟัง ที่เราอยู่ทางกะโหม-โพนทอง ที่เขาตายวันละห้าศพแปดศพ ขนกันออกมา

เราอยู่ในป่าลงมาจากภูเขามาพักอยู่ชายเขา บ้านเขาอยู่ในป่า มันตายอะไรก็ไม่รู้นะวันละห้าศพแปดศพ ตกลงเราเลยไม่ได้ออกจากป่าช้า กุสลาให้เขา ตอนเช้าไปถึงเที่ยงศพเขายังไม่ไป พอเที่ยงผ่านไปแล้วนั้นละศพไหลเข้าไป เราก็กุสลาให้เขา สุดท้ายไม่ได้ภาวนา ไปนั่งเฝ้าป่าช้าผีตายอยู่นั่น กำลังไหลเข้ามาๆ กุสลาให้เขา ไม่นานมันก็เป็นขึ้นในตัวของเรา เป็นทีแรกมันเหมือนเสี้ยนเหมือนหนามนะแทงยิบแย็บๆ ภายใน ก็นั่งกุสลาอยู่นาน เอ๊ ทำไมเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างรวดเร็วด้วย

เพราะฉะนั้นพวกที่ตายสองวันตายนี่มากที่สุด สามวันตายมีน้อย ถ้าเลยสามวันไปแล้วผ่านได้ไม่ตาย วันแรกตายก็มีแต่มีน้อย สองวันตายมีมาก ทีนี้มาเป็นในเจ้าของ พอเป็นมันเป็นอย่างรวดเร็ว จึงทราบว่า อ๋อ โรคที่เขาเป็นเขาตายเป็นโรคอย่างนี้เอง ทราบในป่าช้านั่นแหละ มันเหมือนเสี้ยนเหมือนหนามเสียก่อน ทิ่มแทงประสานกัน แป๊บปั๊บๆ ๆ แล้วหนักเข้าๆ แล้วแทงประสานเหมือนหอกเหมือนหลาวอยู่ในหัวอก อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง นี่เราก็จะตายกับเขาแล้ว โรคชนิดนี้โรคที่เขาตายนั่นเอง

ก็เลยบอกเขา นี่โยม ที่อาตมามากุสลาให้โยมอยู่นี้ เวลานี้อาตมาเริ่มเป็นแล้ว เป็นเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มแทงหัวใจ เป็นอย่างรวดเร็วด้วย ให้อาตมากลับสถานที่พักเถอะ เขาก็รีบให้เราไปเลยไม่มีการคัดค้าน โอ๋ย ถ้าอย่างนั้นให้ท่านไปเถอะ เราก็เลยไป ถึงอย่างนั้นเขายังหลั่งไหลไปหาตอนค่ำจวนมืดไหลไปเลยทั้งบ้าน เขากลัวเราจะตายแบบเดียวกัน พอเขาไปก็ไล่เขาหนีหมดเลย เอาละไม่เป็นไรแล้วละ ไม่เป็นไรละให้พากันกลับเสีย คือเราจะขึ้นเวทีฟัดกันละซิ ไล่เขากลับบ้านหมดเราก็อยู่คนเดียว ฟัดกันเต็มเหนี่ยวเลย

นี่ละธรรมโอสถ ไม่เช่นนั้นเราตาย ธรรมโอสถเอาไว้ได้นะ ซัดกัน ทุกขเวทนาแบบนี้เราก็เคยผ่านมาแล้วบนเวทีแห่งการภาวนา นี้มันก็เวทีเดียวกัน ทุกข์ก็อริยสัจอันเดียวกัน ไม่นอกเหนือจากอริยสัจนี้ไปได้ ฟัดกันเลยตั้งแต่หัวค่ำถึงหกทุ่ม โอ๋ย หนักมาก มันเหมือนหอกเหมือนหลาวทิ่มแทง แต่มันไม่ได้ไปคำนึง มีวิตกวิจารณ์อยู่แต่ว่า ถ้าตายเวลานี้...นี่ที่ว่าเรายังไม่อยากตาย มันเป็นจริงๆ ในจิต ถ้าตายเวลานี้เราจะค้าง เพราะจิตนี้ยังไม่พ้น แต่เรื่องขึ้นขั้นสูงขึ้นแล้ว ยังไงก็จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว หากไปพักอยู่ในระยะทางก่อน ก่อนจะถึงนิพพาน

พักคืนหนึ่งวันหนึ่งเราก็ไม่อยากพัก ถ้าถึงนิพพานปึ๋งแล้ว เอา ไปเมื่อไรไปเลยเราไม่เสียดายชีวิต เราต้องการนิพพานเท่านั้น วกวนกันอยู่ในเรื่องความเป็นความตาย ตอนนั้นยังไม่อยากตายเพราะยังไม่ถึงที่สุด มันจะไปพักกลางทาง พูดเปิดเผยเลยว่าสุทธาวาสนั้นแหละที่จะไป มันก็รู้ชัดๆ อยู่ในหัวใจไปถามใครธรรมพระพุทธเจ้า รู้ชัดๆ ตายแล้วเราจะค้างชั้นใดๆ มันรู้แล้ว ค้างคืนหนึ่งวันหนึ่งไม่อยากค้าง ถ้าถึงนิพพานไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ นั่น

ทีนี้ธรรมะก็กระเทือนขึ้นในใจ ท่านมายุ่งอะไรเรื่องความเป็นความตาย ท่านไม่อยากตาย โลกทั้งหลายเขาไม่อยากตายเขาก็ตายกันทั้งนั้น เป็นอริยสัจทั้งหมดห้ามไม่ได้ อำนาจของอริยสัจครอบทั่วโลกธาตุ เกิดแล้วต้องตาย ท่านมายุ่งอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ธรรมเหล่านี้ท่านเคยพิจารณาแล้วไม่ใช่หรือ ธรรมะเกิดขึ้น ท่านไปกังวลอะไรกับอริยสัจ เอา พิจารณาตรงที่มันเป็นซิ เท่านั้นจิตก็พลิกกลับปุ๊บแล้วซัดกันเลย หกทุ่มแก้กันตก แก้ตกนี้แก้ตกชัดเจนนะว่าทีนี้ไม่ตาย

คือมันไล่กันออกทุกขเวทนาเหมือนว่าหอกว่าหลาว เหมือนจับหอกจับหลาวที่ทิ่มแทงถอนออกๆ ไล่ไปๆ ฟาดเข้าถึงจิตลงเต็มที่สว่างจ้าไปเลยเทียว นั่นเห็นไหมในท่ามกลางกองทุกข์ทั้งหลาย อำนาจของสติปัญญาบุกขาดสะบั้นไปได้กองทุกข์ทั้งหลาย จิตจ้าขึ้นมาเลย จากนี้แล้วก็ เออ ไม่ตายแน่ละ หกทุ่ม เพราะมีนาฬิกาแล้ว หกทุ่มพอดีเลย จากนั้นก็ลงเดินจงกรม จุดไฟตะเกียงเล็กๆ ไว้ข้างนอกนู้น เวลามันตายมันอาจจะดีดดิ้นไปหรืออะไร เราเผื่อไว้อย่างนั้นแหละ ไปโดนเอาไฟไฟจะเผามุ้ง มุ้งจะเผาคน เลยเอาไฟไปตั้งทางนู้น จากนั้นจิต หกทุ่มถอนได้เลย ไม่ตาย

ที่เสียดายไม่อยากตาย คือตายตอนนี้มันจะค้าง รู้ชัดๆ นะว่าเจ้าของห่วงใยยังไม่อยากตาย คือตายตอนนี้มันจะค้างแน่ๆ ค้างที่ไหนวันหนึ่งสองวันไม่อยากค้าง ถ้าถึงนิพพานแล้ว เอา เมื่อไรไปได้ทั้งนั้น แต่ยังไม่ถึงนิพพานมันก็ยังไม่อยากตาย ธรรมะท่านตีเข้ามาตรงนี้ ฟาดเข้ามาตรงนี้แตกกระจาย ไม่ได้คิดถึงว่าอยากตายหรือไม่อยากตาย อยากอยู่หรือไม่อยากอยู่ ฟาดกับอริยสัจ ทุกข์ขนาดไหนไล่กันไปจนกระทั่งจิตสว่างจ้าขึ้นมา ทุกขเวทนาที่เป็นมาให้เขาตายมากๆ ถอนหมดเลย ผ่านได้ไม่ตายด้วยธรรมโอสถ

จากนั้นมาก็ขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์ เดือนเมษาอยู่ทางกะโหม-โพนทอง ตอนที่ว่ายังไม่อยากตาย เพราะตายแล้วมันจะค้าง จากนั้นมาก็ขึ้นวัดดอยธรรมเจดีย์เดือนพฤษภา ไปฟาดกันขาดสะบั้นลงไปนั้น ทีนี้อยากตายหรือไม่อยากตายเฉยเลย อย่างนั้นแหละ ไปตัดสินกันที่วัดดอย ออกจากนั้นก็ไปวัดดอยธรรมเจดีย์ หายสงสัยแล้ว ไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ จะเป็นอยู่จะตายไปเมื่อไรได้ทั้งนั้นเมื่อสมมุติขาดสะบั้นจากใจ สมมุติคือตัวยุ่งเหยิงวุ่นวายขาดไปแล้ววิมุตติผึงขึ้นมา ไม่มีกังวล หมด นี่ละการฝึกใจ เห็นอย่างชัดๆ นักภาวนานะ ธรรมดาเรานี้ไม่ได้นะ ไม่มีสติสตัง ดีดดิ้นตกที่หลับที่นอน ตกเตียงไปก็มีเพราะไม่มีสติ แต่นักภาวนาไม่เผลอ สงบเรียบตามธรรมดาของร่างกาย มันจะทุกข์ขนาดไหนสติปัญญาจ่ออยู่นั้น มันไม่ดีดไม่ดิ้น นี่ละการฝึกใจ

มันก็จะไปหลายหนเหมือนกัน ที่เคยว่ารั้งเอาไว้ โรคหัวใจได้รั้งเอาไว้ พอรั้งได้มันอยู่นะ ถ้าสุดวิสัยแล้วแม้พระพุทธเจ้าก็ยังตาย นี่ยังไม่ถึงขั้นสุดวิสัย ขั้นที่พอรั้งได้ก็รั้งได้ ผ่านมาได้จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่อย่างนั้นมันจะไป มันคอยจะดีด จิตจะออก ร่างกายหมดลมหายใจแล้ว มันรู้กันชัดๆ ไม่เผลอ หือ จะไปเดี๋ยวนี้เชียวเหรอ บังคับ บังคับได้ สักเดี๋ยวลมหายใจก็ค่อยมีมา แผ่วเบา ตอนนั้นลมหายใจหมดเลยนะ หมด เหลือแต่ความรู้ ความรู้ก็คอยแต่จะออก บังคับเอาไว้ไม่ให้ออก สุดท้ายลมหายใจก็ค่อยมีขึ้นมา พอมีขึ้นมาปรกติแล้วก็ปล่อยได้ไม่ต้องรั้ง แน่ะมันเป็นขั้นๆ เราผ่านมาหมดแล้วนะ เรื่องเหล่านี้ผ่านมาหมด

การฝึกใจนี้ก็ฝึกตัวเองคือใจเป็นตัวเอง ให้มันถึงที่ถึงแดนแล้วทีนี้ไม่หวั่น มันจะเป็นอะไรๆ ไม่หวั่นทั้งนั้น หมดความหวั่น จิตขอให้ฝึกได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วไม่หวั่น การเป็นการตายเสมอกันหมดไม่หวั่น เพราะจิตนี้ไม่เคยตาย ร่างกายมันจะถึงขั้นแตกมันก็แตกของมันจิตไม่แตก จิตเอาไว้ด้วยดีจากการอบรมภาวนาไม่แตก พากันจำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ เหนื่อย จะให้พร

(หลวงตาเจ้าคะเมื่อคืนหลวงตาฝันอะไร) ไม่พูด แต่ฝันดีอยู่นะ ระยะ ๒-๓ คืนมานี้ฝันเป็นมงคล คือมันแปลกที่ว่าท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน นี่แปลกอันหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาฟันหายเลย ก็กลางคืนก็มีอยู่มันโยกคลอน คือเราไม่ถอน ถ้าไปให้หมอถอน ถ้าถอนแล้วมันเกิดเรื่อง เราจะเก็บไว้ ถ้าพอถอนเราถอนเอง ถอนแล้วเก็บไว้เงียบเลยไม่ให้ใครทราบ พอดีท้าวสักกเทวราชมาขอตอนกลางคืน นอนหลับ มาขอฟัน ก็พูดดีอยู่นะ จะเอาไปให้พวกทวยเทพกราบ เอาไว้มนุษย์มันยุ่งว่างั้นนะ เอาไว้กับมนุษย์ยุ่ง นี่ท้าวสักกเทวราชพูดเองนะ จะเอาให้ทวยเทพกราบ เอาไว้กับมนุษย์มันยุ่ง เราก็ไม่ลืม แล้วพอตื่นขึ้นมาหายเงียบเลย หายจริงๆ

ฟันซี่นี้ มันโยกคลอนอยู่แล้ว เราจะค่อยให้มันออกเองแล้วก็เก็บไว้เองเราว่างั้น พอดีมาฝันแปลกๆ ท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน พอตื่นขึ้นมาฟันหายเลย มันยังไงกัน มันคงจะกลืนเข้าไปหรืออะไรก็ไม่รู้นะฟันเรา ก็มันตรงกับเวลาฝันอย่างนั้นนะ ก็มันตรงกันที่ว่าฟันเราโยกคลอนอยู่ เราจะเอาออกเองเก็บไว้ที่ควร แล้วพอดีท้าวสักกเทวราชมาขอคืนนั้นมาขอฟัน พอตื่นมาฟันหายเลย แปลกอยู่นะ ฟันหายเลย เอ๊ะ หรือว่าเรากลืนลงไปเดี๋ยวนั้นก็ไม่รู้สึกว่าได้กลืน รู้ตั้งแต่ว่าตื่นขึ้นมาฟันหาย หลังจากท้าวสักกเทวราชมาขอฟัน พอตื่นนอนขึ้นมาฟันหายไปแล้ว แปลกอยู่

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก