เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ฝึกเป็นนักรบ
อ่อนลงทุกวัน การขบการฉันพอทรงไว้ได้ การขบฉันยังดี แต่กำลังคอยแต่จะลดๆ ไปไหนมาไหนไม่สะดวก มันอ่อนของมันเองธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์อ่อนลง เวลามันแข็งแรงเปล่งปลั่งแต่ก่อน ก็ต้องมาบวกลบทดสอบกันดูกับปัจจุบันนี้ ผิดกันคนละโลกของคนๆ เดียวกัน ไปบวชก็ฝึก ฝึกตั้งแต่วันบวช ตั้งแต่วันเข้าไปบวช ฝึกตั้งแต่นั้นมาเรื่อย เวลาตื่นนอนนี้ใครอยู่ข้างๆ ต้องตื่นไปด้วย คือมันดีดผึงเลย ฝึกเจ้าของ เวลาตื่นนอนมันดีดของมัน จนกระทั่งชิน พอตื่นนี้ดีดผึงเลย ได้พรรษา ๑๘ ฝึกใหม่ ทีแรกฝึกนักรบ ฝึกเป็นนักรบ ดีดผึงๆ ตลอดตั้งแต่ไปบวชทีแรกเลย พรรษา ๑๘ ฝึกใหม่ โห นานกว่าจะได้
คือพอรู้สึกนี้ มันชินแล้ว พอรู้สึกมันดีดก่อนแล้วปึ๋งเลย ถ้ามีพระหรืออะไรนอนอยู่ข้างๆ พระก็จะตื่นไปด้วย เพราะเราตื่นรุนแรง ฝึก พรรษา ๑๘ ฝึกใหม่ เพราะอะไรๆ ก็เรียบร้อยพูดตรงๆ เลย อะไรเรียบร้อยหมดแล้ว การฝึกนี้ฝึกเพื่อนักรบ พอข้าศึกสงครามผ่านไปแล้วควรจะฝึกยังไงมันก็รู้ตัวเอง ทีนี้ฝึกใหม่ โอ้ นานอยู่นะ กว่าตื่นนอนมันจะเรียบร้อย ตื่นพับดีดผึงๆ เลยเชียว ฝึกใหม่ให้เรียบร้อย ดูทิศทางอะไรต่ออะไรเรียบร้อยแล้วค่อยลุกขึ้นด้วยความมีสติ คิดไว้อย่างนั้นแล้วก็ค่อยฝึก มันไม่ได้ง่ายๆ นะมันเคยชิน พอตื่นพับดีดผึงๆ เลย
ได้ทราบชัดว่าเป็นการฝึกจริงๆ ก็เวลาบวช นี้ฝึกจริงๆ เวลาบวช ฝึกเสียทุกอย่างเลยให้เข้าตามหลักวินัย ตีเข้าๆ ตามหลักธรรมหลักวินัย เพศของพระไม่ใช่เพศที่นอนใจ เป็นเพศที่คล่องแคล่วด้วยสติด้วยปัญญา การสำรวมระวัง พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น ไม่ได้อืดอาดเนือยนาย ทุกอย่างเป็นแบบฉบับได้เลยแบบพระพุทธเจ้า เป็นพระก็เป็นแบบฉบับได้ ฝึกตลอด เรียบ นี้แบบพระตามทางของศาสดาจริงๆ ไม่ใช่แบบหมูขึ้นเขียงด้วยเพศของพระนะ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ไม่ว่าเขาว่าเราเหมือนกัน แบบหมูขึ้นเขียงเพศของพระ เดี๋ยวนี้เป็น พระของพระพุทธเจ้าจริงๆ นี้ดีดผึงๆ เลยไม่มีนอนใจลูกศิษย์ตถาคต พูดถึงเรื่องการฝึก
การตื่นนอนก็เหมือนกัน ได้ ๑๘ พรรษาฝึกใหม่ ตั้งแต่บวชตื่นนี้มันเป็นของมันเองด้วยความเคยชิน เราฝึกอย่างนั้น จะเอาให้เป็นอย่างนี้มันก็เป็นอย่างนั้น พอรู้สึกปั๊บดีดผึงเลย ถึงพรรษา ๑๘ ดูอะไรก็เรียบร้อยหมด การฝึกนี่ฝึกเข้าสู่แนวรบ รบกับกิเลส ถึงพรรษานั้นแล้วกิเลสไม่มีจะรบกับอะไร แน่ะ ก็เรียบร้อยเป็นอรรถเป็นธรรมธรรมดา รู้ทิศรู้ทางแล้วค่อยลุก ถึงอย่างนั้นมันยังดีดผึงๆ ไม่ใช่เล่นนะ นี่ละการฝึก เราเอาจริงๆ พิจารณาย้อนหลังนี่ ตั้งแต่วันบวชมาโน่นละ ทางด้านปริยัติก็เอา ไม่มีความขี้เกียจขี้คร้านเลย ยิ่งออกทางด้านปฏิบัติด้วยแล้วผึงๆ เลยเชียว ด้านปฏิบัติเป็นด้านเข้าสู่แนวรบจริงๆ จะอ่อนแอท้อแท้ไม่ได้
ภาคปฏิบัติเป็นภาคที่จะฆ่ากิเลสจริงๆ หนักมากนะ สติสตังรอบคอบตลอดเวลา เข้าหาที่เหมาะสมกับผู้จะฝึกฆ่ากิเลส สถานที่สมบูรณ์พูนผลด้วยอาหารการกินไม่ได้ ต้องไปหาที่แร้นแค้นกันดารอดอยากขาดแคลนในป่าในเขา บิณฑบาตได้มาแต่ข้าวเปล่าๆ กินพอยังธาตุขันธ์ให้เป็นไป แต่มุ่งมรรคผลนิพพานแน่ว อันนี้แข็งแกร่ง เรื่องเหล่านี้อะไรช่างมัน นี่เรียกว่าฝึก มีเข็มทิศทางเดินที่แน่นหนามั่นคงอยู่อันหนึ่ง ก็คือมรรคผลนิพพาน มุ่งอย่างยิ่ง นอกนั้นไม่เห็นเป็นอุปสรรคอะไร พุ่งๆ เพื่อนั้น จึงไม่ได้คิดว่าลำบากลำบน ไม่คิด ทั้งๆ ที่ลำบากเต็มที่
สำหรับเราเอง พูดถึงเรื่องเราเองฝึกเจ้าของ เอาจริงเอาจังทุกอย่าง ไม่ได้เหลาะแหละ นิสัยนี้รู้สึกว่าเป็นมาแต่ฆราวาสแล้ว แต่เราไม่รู้ว่านิสัยเราจริงจังมาแต่ฆราวาส เวลาบวชเข้าไปแล้วอ่านธรรมะจึงรู้นิสัยว่ามีความจริงจัง อะไรๆ อ่านก็รู้เจ้าของนิสัยจริงจัง รู้นิสัยดั้งเดิมของตัวเองเรื่อย เพราะหลักพุทธศาสนาเป็นหลักตัวอย่างสำคัญมากทีเดียว ไม่ใช่บวชแล้วก็นอนกินสบาย บิณฑบาตไม่บิณฑบาตเขาก็เอามาให้กิน ยิ่งสบายใหญ่ เป็นหมูขึ้นเขียง ผ้าเหลืองห่อตัว เป็นอย่างนั้นนะ นี่พูดจริงๆ ไม่ ว่างั้นเลย ไม่ได้ตำหนิเจ้าของ ตั้งแต่บวชมาไม่ได้ตำหนิเจ้าของว่าท้อแท้อ่อนแอ บกพร่องในเพศของพระ การปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยไม่ได้สงสัย คือดัดมาตลอดอย่างนั้นจะเอาอะไรมาสงสัย บกพร่องตรงไหนดัดทันทีๆ เลย
ตอนที่ขึ้นสนามรบจริงๆ พอเรียนจบแล้วเข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ที่นี่เปิดเลยทีเดียว เราสงสัยมรรคผลนิพพาน ใครจะมาปลดปลงมรรคผลนิพพานจากใจของเราที่เราสงสัยๆ ก็เล็งเห็นแต่หลวงปู่มั่นเราเท่านั้น ออกจากนั้นก็เข้าหาท่านเลย ท่านก็เปิดออกเต็มเหนี่ยว ทางนี้ก็ออกเต็มเหนี่ยวเหมือนกัน หายสงสัยมรรคผลนิพพาน กิเลสมีอยู่ก็ตามเรื่องมรรคผลนิพพานไม่สงสัยเลย ทีนี้มีแต่จะทุ่มละที่นี่ เอาละ นั่นละมันทุ่ม ฟาดเอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย ได้รับโอวาทจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วเหมือนตกนรกทั้งเป็น ไปคนเดียวอยู่คนเดียวตลอดไม่เอาใครไปด้วยมันไม่สนิทใจ
ป่าช้าอยู่กับเรา เอา เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ไม่อยากฉันกี่วันแล้วแต่ มันจะเป็นจะตายความรู้อยู่กับเราทำไมจะไม่รู้ นั่น ฟัดกันเต็มเหนี่ยวๆ ทีนี้ก็ก้าวขึ้นๆ ทางด้านธรรมะ จิตใจค่อยโล่ง สงบๆ สงบเรื่อย ก้าวเข้าสู่ปัญญาแหลมคมเรื่อยไป จนกระทั่งเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ มันเป็นเองรู้เอง พอก้าวเข้าสู่สติปัญญาอัตโนมัติ เรียกว่าความเพียรอัตโนมัติ ก้าวเข้านี่แล้วไม่มีถอย เป็นเองๆ นี่เราก็ไม่ได้เรียนจากใคร เรียนจากเราที่เอาจริงเอาจังทุกอย่าง จนก้าวเข้าสู่ความเพียรอัตโนมัติ สติปัญญาเป็นอัตโนมัติฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ ทีนี้ก็มาย้อนหลังถึงกิเลสทำลายจิตใจของสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติ รู้นะ แต่ก่อนไม่เคยคิด เวลาสติปัญญาออกฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติ ก็ย้อนไปรู้เรื่องกิเลสทำลายสัตว์โลกเป็นอัตโนมัติ
เอะอะตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เห็นอะไรกิเลสออกก่อนๆ ทีนี้เวลาธรรมะมีความแก่กล้าแล้ว สัมผัสสัมพันธ์อะไรเป็นธรรมแก้กิเลสทั้งนั้นๆ นี่เรียกว่าอัตโนมัติ เห็นในหัวใจเจ้าของจะว่าไง แต่ไม่ได้สงสัยนะ คือมันเงียบเอาเสียจริงๆ ไม่มีกิเลสตัวใดมาแสดงให้เห็นแม้เม็ดหินเม็ดทราย เงียบเลย ทางนี้ขึ้นแต่ไม่ได้สำคัญนะ ขึ้นเฉยๆ เวลามันสงบกิเลสทั้งหลาย เหอ ไม่ใช่มันเป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าอย่างนี้นะ ยังไม่สำคัญว่าเป็นพระอรหันต์
คือมันเงียบขนาดนั้น กิเลสมันหมอบ คุ้ยเขี่ยตรงไหนก็ไม่มีๆ เงียบ สงบราบเลย กิเลสหมอบ เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ มันว่าเฉยๆ ยังไม่ได้สำคัญว่าเป็นอรหันต์จริง สักเดี๋ยวโผล่ขึ้นมาก็ซัดๆ เอาเสียจนกระทั่งถึงอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่พังไปด้วยกันหมดไม่มีอะไรเหลือ นั่น รู้เอง สนฺทิฏฺฐิโก รู้ผลงานครั้งสุดท้ายของตัวเองว่าถึงไหนแล้ว สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดขาดสะบั้นหมด กิเลสสมมุติทั้งมวลไม่มีอะไรติดหัวใจเลย ขาด นั่นที่นี่อรหันต์น้อยก็ไม่ถาม อรหันต์ใหญ่ก็ไม่ถาม สนฺทิฏฺฐิโก ตัดสินทีเดียวขาดไปหมด
นี่การฝึกหัดตัวเอง เราจะไม่ได้แบบนั้นก็ตามขอให้มีแบบลูกศิษย์มีครูมีอาจารย์ ให้มีข้อบังคับดัดแปลงตัวเองเถอะคนเรา ปล่อยเลยตามเลย ตื่นนอนขึ้นมาหาอยู่หากิน เพลิดเพลินรื่นเริง ไม่ได้เสาะแสวงหาสาระสำคัญ ผิดถูกประการใดไม่คำนึงตัวเองใช้ไม่ได้นะ ต้องได้คำนึงตัวเอง ตื่นนอนตั้งแต่เช้าถึงค่ำวันนี้เราทำความผิดพลาดอะไรบ้าง เพราะเรารับผิดชอบตัวเราเอง จะไปดีไปชั่วคือตัวเราเอง ดูตัวเอง แก้ไขอยู่นั้น ต่อไปมันก็ราบเรียบๆ ตื่นนอนจนกระทั่งถึงหลับมีอะไรผิด ไม่ผิด นั่นชุ่มเย็นในใจ อบอุ่น การฝึกตัวเองเป็นอย่างนั้น
การนอนนี่ไปพลิกใหม่พรรษา ๑๘ คือแต่ก่อนมันนอนแบบแม่เนื้อตื่นนายพราน ผึงเลยทีเดียว มันเป็นนิสัยตั้งแต่เราฝึกทีแรก พอรู้สึกตัวดีดผึงเลยทันทีๆ จนชินต่อนิสัย ถึง ๑๘ ปี ๑๘ พรรษา ทีนี้จะฝึกใหม่ พอตื่นขึ้นมาให้รู้ทิศรู้ทางทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่อยลุกขึ้นมาด้วยความมีสติเรียบร้อย คิดไว้อย่างนั้น พอตื่นปั๊บมันดีดผึงก่อนแล้วๆ พยายามเอา นานอยู่นะกว่าจะได้ ได้ก็ได้เลยเถิด อย่างทุกวันนี้ตื่นแล้วไม่ลุก ทุกวันนี้มันได้เลยเถิด ตื่นนอนแล้วไม่อยากลุก พลิกทางนั้นพลิกทางนี้ มันเลยเถิดเข้าใจไหม เป็นอย่างนั้นทุกวันนี้ เราเรียนเลยเถิดแล้วเดี๋ยวนี้ ตื่นนอนขึ้นมาแทนที่จะลุกไม่ลุก พลิกไปพลิกมา เอ้อ ให้มันเห็นทุกอย่างในตัวเราเอง
เวลาฝึกเฉียบขาดก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครั้นเวลาปล่อย นี่คือปล่อยนะที่ว่านี่ ปล่อยตามสภาพของธาตุของขันธ์ เรื่องจิตเรื่องใจหมดสภาพ เพราะหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วที่จะมาเป็นข้าศึกต่อใจ รู้ชัดประจักษ์ใจ สนฺทิฏฺฐิโก ขาดสะบั้นลงไปแล้วกิเลส รู้ชัดผลงานของตัวเองว่าสิ้นสุดยุติเรียบร้อยแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ ไม่ต้องประกาศที่ไหนประกาศที่หัวใจเท่านั้น ทีนี้ก็ปล่อยตามสภาพของมัน อย่างทุกวันนี้ปล่อยตามสภาพ จิตใจมันหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ มีแต่สมมุติกิริยาอาการที่แสดงออกต่างๆ ก็เป็นเครื่องมือของใจ ใจก็ไม่มาเป็นพิษเป็นภัยกับสิ่งเหล่านี้ ใช้กันไปอย่างนั้นแหละ
ให้มันเห็นอย่างนั้นซิการฝึกเจ้าของ เมื่อมันหมดโทษแล้วสังฆาปาราชิกเอามาจากไหน เห็นไหมล่ะ มันตัดสินลงขนาดนั้น สังฆาปาราชิกเป็นสมมุติ อันนั้นเป็นวิมุตติ เข้ากันได้ยังไง ให้มันถึงขนาดนั้นซิ เมื่อถึงขั้นเลยสมมุติไปแล้ว สังฆาปาราชิกนี้เป็นสมมุติทั้งมวลเข้ากันไม่ได้กับวิมุตติจิต นั้นเลยบาปเลยบุญ ปุญญปาปปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปอันละเสียได้แล้ว ละได้หมด บรรดาสมมุติไม่มีเหลือทั้งดีทั้งชั่ว เหนือแล้วนั่น เอาสังฆาปาราชิกมาจากไหนเมื่อมันเหนือแล้ว อันนี้ก็มีแต่กิริยาที่จะใช้ตามสมมุติ ใช้อยู่ในกรอบของความมีชีวิตอยู่ในเพศของพระ พระธรรมวินัยมียังไงก็ปฏิบัติตามนั้นๆ ไปเท่านั้นเอง ที่จะกลัวว่าจะผิดจะพลาดอะไรไม่มี หมด
เมื่อถึงขั้นมันรู้เองไม่ต้องไปถามพระพุทธเจ้า ถึงขั้นหมดโทษแล้วอยู่ยังไงก็หมด ไม่มีโทษ แต่เวลามันมีโทษ เอะอะมีโทษๆ เผลอปั๊บเป็นโทษแล้วๆ เวลาเราฝึกได้เต็มที่แล้วโทษไม่มี มีแต่ความบริสุทธิ์เต็มตัว มีแต่การเคลื่อนไหวของธาตุของขันธ์ จิตใจผ่านไปหมดแล้ว นั่น นี่ละการฝึกตัวเอง ให้ปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้าถึงขั้นนี้นะ พระพุทธเจ้าสอนด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบเพื่อมรรคผลนิพพาน เอาให้ถึงนั้นเลย ธรรมนี่สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อความหลุดพ้นอย่างเดียว ถึงขั้นหลุดพ้นเลยธรรมพระพุทธเจ้า ไม่ให้ตกค้างอยู่ที่ไหน ขอให้ปฏิบัติตามเถอะถึงจริงๆ แต่มันไม่ปฏิบัติตามซิพวกเรา
ไปที่ไหนมองไปไม่ค่อยเห็นคนนะ เห็นแต่เสื่อกับหมอน หมอนมัดติดคอ ข้างหลังก็เสื่อมัดติดหลัง ไปที่ไหนมีแต่เสื่อกับหมอนมัดติดหลังติดคอ มองหาตัวคนไม่เห็นแล้วจะมองหาธรรมเห็นได้ยังไง ก็มันไม่มีธรรม มันมีแต่เสื่อกับหมอน นี่พวกเสื่อพวกหมอนลูกศิษย์หลวงตาบัว พวกเสื่อหมอนติดตัวตลอด พรากไม่ได้อันนี้ เรียกว่าเคร่งครัดมาก เข้าใจไหม ลูกศิษย์หลวงตาบัวเคร่งครัดมาก เสื่อหมอนติดกับหลังกับตัวเลย นอนก็ติดกัน ลุกก็ติดกัน เรียกว่านักรบจริงๆ พวกนี้ เข้าใจหรือยัง พวกนี้พวกนักรบ ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่
แบบฉบับของพระพุทธเจ้า แบบฉบับของพระจริงๆ เป็นแบบฉบับที่ชื่นตาชื่นใจของผู้มาได้พบได้เห็น พอดูปั๊บเข้ากันได้กับหลักธรรมหลักวินัย ได้ยินพูดจะหนักจะเบาเป็นไปด้วยอรรถด้วยธรรมด้วยเหตุด้วยผล น่าดูน่าฟังทุกอย่างพระผู้ทรงอรรถทรงธรรมทรงวินัยเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น ที่ไม่มีธรรมในใจเลยก็โกโรโกโส ไม่มีหลักมีเกณฑ์ เวลาอยู่อย่างนี้ก็ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ตายไปแล้วก็เลื่อนลอยแบบเดียวกัน ผู้มีหลักมีเกณฑ์มีธรรมมีวินัยมีข้อบังคับอยู่ในตัว ตายไปแล้วก็มีหลักมีเกณฑ์ นั่นมันต่างกัน ฝึกเสียจนกระทั่งตายตัวเลยดังพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกแล้วก็เป็นพระอรหันต์องค์ลำดับลำดามา มีแต่ตายตัวเลย ท่านฝึกท่านจนตายตัว ไม่มีอะไรมลทินจะเข้าแปดเปื้อนได้เลย เพราะฝึกเสียจนเรียบบริสุทธิ์เต็มที่ นี่ละ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ท่านปฏิบัติตัวจนเป็นสรณะที่พึ่งของท่านอย่างเอกอุแล้วก็มาเป็นสรณะของโลกอย่างตายใจ
นี่จวนจะตายเท่าไรได้คิดได้อ่านละเรา กับสมมุติพูดง่ายๆ ว่าอย่างนั้นเถอะน่ะ ได้คิดได้อ่านกว้างแคบ อดีตอนาคต ย้อนหน้าย้อนหลัง พิจารณาบวกลบคูณหารเรื่องสภาพของสมมุติทั้งหลาย ปฏิบัติต่อสมมุติจะปฏิบัติอย่างไรบ้างๆ เหมาะสมอย่างไรบ้าง ต้องได้ใช้ ทั้งๆ ที่เราไม่มีโทษอะไร ทีนี้ธาตุขันธ์เป็นสมมุติมันก็มีโทษมีกรรมตามสมมุติของมันอยู่ในนี้ ก็ต้องพิจารณาแก้ไขดัดแปลงพอให้ดูกันได้มนุษย์เรา
เทศน์นี้ออกวิทยุนะนี่ ออกทุกเช้าๆ ถ้าเราอยู่ที่นี่ออกทุกเช้าทั่วประเทศไทย สุดท้ายเทศน์ทั่วประเทศไทยมักจะมีแต่เทศน์หลวงตาบัว ไม่ว่าออกวิทยุที่ไหนๆ เป็นหลวงตาบัวออกหน้าทั้งนั้น ครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็มาช่วยบ้างเล็กน้อยๆ จากนั้นก็เรายืนตัวๆ ในสถานีวิทยุต่างๆ ทั่วประเทศไทย ดูเหมือนร้อยกว่าสถานีนะ เทศน์แล้วเราก็ปล่อยๆ แต่เขาก็เอาไปออกวิทยุ การเทศน์ของเรานี่เป็นที่แน่ใจ เราไม่สงสัยในการเทศน์ของเรา ไม่ว่าจะธรรมะขั้นใดภูมิใด เราถอดออกมาจากหัวใจที่ถูกต้องแม่นยำแล้วทั้งนั้น ไม่ผิดว่างั้นเลย
แม้ที่สุดที่พูดทีแรก กูจะฟ้องท่านเปา เขาก็เขียนตามประสาของเขา ทีนี้ภาษาของเราว่ายังไง มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน แน่ะเห็นไหม เราก็เอาอันนี้มา มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน มันก็เพ่นพ่านจริงๆ ค่ำแล้วมันยังมาเพ่นพ่านๆ ถ้าวันไหนเราออกมาเจอ เรามักจะไปตอนค่ำ ตอนห้าโมงตอนจำกัดละที่นี่ เวล่ำเวลาพอถึงนั้นแล้ว ใครมาจะแสลงหูแสลงตาทั้งนั้นแหละ มาด้วยเหตุผลกลไกอะไร ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ปล่อยตามเรื่อง เข้าออกไม่ว่าอะไร พอถึงนั้นแล้วจำกัด ประตูปิดกึ๊ก ใครมา มาอะไร นั่นเอาละนะ จำกัดจำเขี่ยเข้าแล้ว ประมาณห้าโมงเย็นเรามักจะออกไปประตู บางทีก็ออกนอกประตูไปบ้างเล็กน้อย ออกไปดูนั้นดูนี้แล้วกลับเข้ามา ดูความเรียบร้อย ถ้าใครมาเพ่นพ่านเอาละนะ ถ้าหลวงตาบัวไปเจอแล้วยังไงต้องป่าราบไปเลย ไม่มีใครจะทนอยู่ได้ หลวงตาเอาจริงๆ มาอะไร ถามแล้ว มาเหตุผลกลไกอะไร พอมองโน้นมองนี้ทั้งอ้าปากด้วยแล้วแสดงว่าไม่เป็นท่า ไล่เดี๋ยวนั้นเลย ถ้ามามีเหตุผลควรเปิดเราก็เปิดให้เข้า ส่วนมากไม่ได้เปิดแหละ ถ้าหากจำเป็นจริงๆ ควรจะเปิดให้เข้าก็เอ้าเข้า มีเหตุผลกลไกพอควรจะเข้า ส่วนมากมันมาเที่ยวเพ่นพ่าน เราจึงได้ดุเรื่อย
พระท่านรักษาข้อวัตรปฏิบัติของท่าน ท่านรักษาอยู่มาทำลายทำไม ทั้งวัดท่านรักษาทั้งนั้น ท่านไม่ได้ทำลาย เรามาส่วนมากมาแต่มาทำลายโดยไม่มีเจตนาก็ตาม มาตามนิสัย นิสัยทำลายตัวเองอยู่เป็นประจำแล้ว มาวัดนี้ก็จะมาทำลายวัดโดยไม่มีเจตนา ก็มาเพ่นพ่านๆ ให้ขวางหูขวางตา นั่นละที่ดุ ดุเพราะเหตุนั้น เพราะผู้หนึ่งรักษาอยู่ ผู้หนึ่งไม่รักษา มาทำลาย มันก็ขวางกันซิกับผู้รักษา ดุเอาๆ
ภายในวัดเข้มงวดกวดขันอีกแบบหนึ่ง นอกวัดที่ควรจะเข้ามาเกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องฆราวาส เข้มงวดกวดขันไปแบบนั้น ทีนี้ในวัดเข้มงวดกวดขันไปแบบนี้ เป็นชั้นๆ ไปนะ ในวัดยิ่งกว่านั้นอีก เข้มงวดกวดขันมากกว่านั้นอีก เป็นขั้นๆ ไปเลย ไม่ใช่จะปล่อยเลยตามเลย เอาละที่นี่ จะให้พร
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|