ไปไหนมาไหนลำบากลำบน
วันที่ 1 พฤษภาคม 2550 เวลา 8:00 น. ความยาว 17 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ไปไหนมาไหนลำบากลำบน

         เราไปส่งสิ่งของค่อยตัดลงๆ ย่นเข้ามาๆ คือกำลังวังชาไม่พอ เมื่อวานไปด่านสองด่านก็บอกเขาเลย ตั้งแต่นี้ต่อไปจะไม่ได้มาด่านน้ำหนาว ด่านหล่มสัก ไกลหล่มสัก อีก ๒๕ กิโลจะถึงหล่มสัก ด่านสุดท้าย เราไปสร้างตึกให้โรงพยาบาลหล่มสักได้เจ็ดแปดปีแล้วมัง ถามหมอวันนั้นเท่าไรปี (๑๑ ปีครับ) นั่นละเราไปสร้างตึกโรงพยาบาลให้ จากนั้นมาแล้วเราก็ส่งของพวกด่าน เพราะดูสภาพแล้วน่าสงสาร ตั้งแต่นั้นละมา เมื่อวานนี้ไปสั่งเสีย สุขภาพไม่อำนวยแล้ว ต่อนี้ไปจะไม่ได้มาเหมือนแต่ก่อน

บอกตรงๆ เลย เดือนต่อไปจะไม่ได้ไปละ ตั้งแต่เดือนพฤษภาไปจะไม่ได้ไป ตัดเข้ามาๆ มันไม่ไหว ส่งให้ทุกเดือน เท่าไรครอบครัวนะ ๒๗-๒๘ ครอบครัวมั้ง(๒๗ ครับ) เออ สองด่าน ด่านน้ำหนาวกับด่านหล่มสัก ให้พร้อมกันทั้งสองด่าน เมื่อวานไปสั่งเสียเรียบร้อย ต่อไปนี้จะมาไม่ได้แล้ว ลำบากลำบนแล้วเดี๋ยวนี้ เหมือนว่าเที่ยวเมื่อวานเป็นเที่ยวสุดท้าย ต่อไปจะไม่ได้ไปส่งให้แล้ว ก็ตั้งหลายปี มันหดเข้ามาย่นเข้ามา หดเข้ามา

เราเคยไปไกลๆ ก็หดย่นเข้ามา โรงพยาบาลที่เราไปส่งเป็นประจำๆ ไกลๆ หดย่นเข้ามาๆ อย่างด่านสองด่านไปน้ำหนาวไปหล่มสักก็ไปบอกเรียบร้อยแล้ว ไปส่งแล้วก็บอกว่าต่อนี้ไปจะไม่ได้มาส่งแล้ว สองด่านส่งมาตั้งแต่ไปสร้างตึกให้โรงพยาบาลหล่มสักจนป่านนี้ประจำเลย นี่ก็บอกเรียบร้อยแล้วว่าต่อไปนี้จะไม่ได้ไป คือย่นเข้ามาๆ ทางโรงพยาบาลต่างๆ ที่อยู่ไกลก็เช่นเดียวกัน อยู่ไกลๆ ก็หดย่นเข้ามา ส่งเฉพาะใกล้กว่านั้นๆ ที่พอส่งได้ๆ หดเข้ามาๆ

ถ้าเป็นธรรมดาของโลกทั้งหลายเขาก็วิตกวิจารณ์ในชีวิตจิตใจของเขาแหละ แต่เราไม่มีพูดตรงๆ เราหมดโดยสิ้นเชิง เรื่องความเป็นความตายไม่มีเป็นอารมณ์แม้นิดหนึ่ง เราใช้ทำประโยชน์ในเวลามีชีวิตลมหายใจยังมีอยู่ ทำได้แค่ไหนเราก็ทำของเราไป ส่วนที่จะให้เป็นอารมณ์เป็นบาปเป็นบุญเป็นอะไรเราไม่มี หมด นี่ละใจถ้าทำให้หมดแล้วหมดได้จริงๆ อย่างนี้ละ หมดไม่มีอะไรเหลือเลยดังพระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้ว สิ้นสุดแห่งทุกข์สิ้นที่ใจ ทุกข์อยู่ที่ใจ สิ้นสุดแห่งทุกข์ก็ที่สุดแห่งสุขก็เป็นบรมสุข อยู่ที่ใจ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ นี่ละประเภทท่านว่าเป็นธรรมธาตุ เรียกได้ว่าธรรมธาตุ

ถ้าหากว่าท่านมีขันธ์อยู่ก็เรียกว่าจิตท่านบริสุทธิ์ เช่นจิตพระพุทธเจ้า จิตพระอรหันต์ เวลามีขันธ์ครองขันธ์อยู่เรียกอย่างนั้น พอผ่านไปแล้วก็เรียกว่าเป็นธรรมธาตุไปเลย เหมือนกันหมด จิตของท่านผู้บริสุทธิ์เป็นธรรมธาตุด้วยกันหมดเลย ไม่ต้องถามใครมันรู้เอง มันเข้าถึงกันปั๊บเป็นอันเดียวกันเลย ดังที่เคยพูดแล้วแม่น้ำมหาสมุทรกว้างแคบขนาดไหน ฝนตกมาจากบนฟ้า เมฆก้อนไหนๆ ก็ตาม พอตกถึงน้ำมหาสมุทรเป็นมหาสมุทรด้วยกันหมดไม่ต้องไปคัดไปเลือก อันนี้ก็แบบเดียวกัน พอจิตเข้าถึงขั้นบริสุทธิ์ผางเท่านั้นเป็นธรรมธาตุอันเดียวกันหมดเลย ไม่ต้องไปถามใคร เป็นอันเดียวกันแล้วถามอะไร

ถ้าถึงขั้นนั้นแล้วหมดกังวล อย่างที่เราว่าเราจะไปส่งไม่ได้แล้วแต่นี้ต่อไป ตรงนั้นๆ ก็จะหยุดๆ หดเข้ามาๆ เกี่ยวกับเรื่องธาตุขันธ์ชีวิตความเป็นอยู่ของเราที่พอใช้การใช้งานได้เราก็ใช้ หดเข้ามาๆ แต่จะให้เราวิตกวิจารณ์ในเรื่องความเป็นอยู่ของเราชีวิตของเราเราไม่มี หมด มาไม่ได้ก็บอกมาไม่ได้ ไปไม่ได้ เรื่องจิตไม่มีวัย มีวัยแต่ร่างกาย เป็นเด็ก เป็นหนุ่ม เป็นสาว คนแก่ แล้วตาย มีวัยอย่างนี้ แต่จิตนี้ไม่มีวัย เกิดตลอดตายตลอด ยิ่งเป็นจิตพระอรหันต์ด้วยแล้วหมดโดยสิ้นเชิง นิพพานเที่ยงเหมือนกันเลย

ที่เราพูดว่าที่นั่นไปได้ไปไม่ได้เราก็บอกเฉยๆ เราไม่ได้บอกด้วยความเสียใจน้อยใจ อะไรที่เราจะไปไม่ได้ ธาตุขันธ์ของเราอ่อนลงๆ จะล่มจะจมเราไม่มี ธาตุขันธ์ก็ธาตุขันธ์เป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟตั้งแต่จิตยังครองร่างอยู่นี้ ตายแล้วก็ลงไปตามเดิมมัน ธรรมชาตินี้จะไปไหนมันก็รู้กันอยู่ แล้วจะวิตกวิจารณ์ไปหาอะไร เราพูดจริงๆ เราไม่วิตก อยู่กับโลกเราก็อยู่ไปอย่างนี้ กิริยาของโลกใช้อย่างไรเราก็ใช้ไป ผิดถูกชั่วดีตำหนิติชม เขาได้รับการติชมอย่างไรเราก็ได้รับการติชมเหมือนกันกับเขา เข้าใจไหมล่ะ แต่จิตเราไม่มี สุญฺญโต โลกํ ว่างไปหมด นั่นละแดนวิมุตติ ว่างหมดเลย แดนสมมุติยุ่งเหยิงวุ่นวาย แดนยุ่งเหยิงวุ่นวายคือแดนสมมุติ แดนวิมุตติผางขาดสะบั้นเลย จำให้ดีนะ ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนี่น่ะ

เราไม่ได้มาพูดเล่นๆ นะ เวลามันยุ่งเหยิงวุ่นวายก็ยุ่งเหยิงวุ่นวาย นั่งภาวนาน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาก็มาเล่าให้ฟังไม่ใช่เหรอ เล่ากี่หนแล้ว สู้กิเลสไม่ได้ กระแสกิเลสมันตีเอาๆ ตั้งพับล้มผล็อยๆ น้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา ถึงขนาดโกรธแค้นกัน ก็ได้ธรรมะเป็นคติอันหนึ่งเหมือนกัน เราโกรธแค้นให้กิเลสโกรธเป็นกำลัง โกรธแค้นให้กิเลสภายในใจของเรา ธรรมดาถ้าโกรธแค้นให้สัตว์ตัวใดบุคคลผู้ใดเป็นบาปเป็นกรรมไปตามๆ กันหมด อันนี้โกรธแค้นให้กิเลสที่เป็นข้าศึกต่อตัวเองเป็นธรรม นั่น ความโกรธแค้นนี่ละที่ได้ถึงเต็มเหนี่ยวอย่างทุกวันนี้

ออกอุทานนะ อุทานในใจไม่ได้ออกปาก มันฟาดเราล้มผล็อยๆ ทำยังไงก็อย่างนั้น ล้มตลอดเลย โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ มันอุทานนะ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เคียดแค้นแล้วนะนั่น แค้นให้กิเลสตัวนี้ละ ตั้งแต่นั้นมาก็ฟัดกันใหญ่ เอาจนกระทั่งกิเลสหงายหมาไปเลยจนกระทั่งทุกวันนี้ไม่ปรากฏ นั่นเวลาเอามันเอาหมดสิ้นไม่มีอะไรเหลือ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ตั้งแต่บัดนั้นมาไม่มีกิเลสตัวใดจะมาแฝง หมดสมมุติโดยสิ้นเชิงก็บอกว่าหมดจะให้ว่าไง กิริยาของขันธ์มีอยู่ก็เป็นอย่างนี้ละ อยู่ในโลกสมมุติ สมมุติมีดีมีชั่วมีติมีชม เขามียังไงเราก็มีเหมือนเขา เหมือนเขานั่นแหละ เป็นแต่เพียงว่าจิตไม่ได้ไปซึมซาบ ไม่ได้รับความกระทบกระเทือน ส่วนกิริยาอาการของสมมุติมีเหมือนกัน ได้รับการตำหนิติชมเหมือนกันหมดนั่นแหละ แต่จิตเท่านั้นไม่มี

เวลามันถึงมันรู้เองนะ รู้เอง นี่ละที่ว่าเคียดแค้นให้กิเลสเป็นธรรม เคียดแค้นให้บุคคลผู้ใดสัตว์ตัวใดเป็นบาปเป็นกรรม ก่อกรรมก่อเวรกัน แต่เคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นข้าศึกต่อหัวใจของเรานี้เป็นธรรม ที่ว่า เหอ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย ซัดกันแล้วนะ เคียดแค้นขนาดนั้นละ เหมือนว่าผูกอาฆาตมาดร้ายกันเลย แต่อาฆาตนี้เป็นธรรม อันนี้ละพาให้ผ่านได้ ถ้าอันนี้ไม่มากระเทือนใจแล้วจะไม่ผ่าน อันนี้กระเทือนใจ พออันนี้เข้าถึงใจๆ กำลังใจมันมาเลยๆ ต่อสู้ตลอดๆ ผ่านได้ตลอด นั่น จนกระทั่งผ่านได้โดยสิ้นเชิง

กิเลสตัวไหนที่จะมาให้น้ำตาร่วงไม่มี นอกจากมีความสลดสังเวช อัศจรรย์ธรรมะของพระพุทธเจ้าเรายอมรับ บรรดาสาวกทั้งหลายท่านเกิดความสลดสังเวช พอท่านตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาน้ำตาร่วง ร่วงด้วยความอัศจรรย์ธรรมต่างหาก เป็นน้ำตาที่มีค่ามาก ไม่ใช่น้ำตาที่เสียอกเสียใจที่เป็นน้ำตาขาดทุนสูญดอก น้ำตานั่นเป็นน้ำตาที่เลิศเลอ น้ำตาพระอรหันต์เกิดความอัศจรรย์ในธรรม ท่านได้บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาน้ำตาร่วงนะ อันนี้เป็นน้ำตาที่มีค่า

พูดถึงเรื่องหดเข้ามาๆ ย่นเข้ามาเรา ไปไหนมาไหนลำบากลำบน เดินไปตามนั้นตามนี้ไม่ใช่อะไรนะ ที่เดินโซซัดโซเซไปนี้คือเดินจงกรม เดินไปช้าๆ แหละ ค่อยเดินไป เดินเร็วก็ไม่ได้ ไม่เดินก็ไม่ได้...ขัด เดินก็ต้องเดินอย่างนี้ละ เดินไปที่นั่นที่นี่เพื่อให้มันคลี่คลาย บางทีเราก็บอก เห็นลูกศิษย์ลูกหาอยู่ตามที่ไหน รู้ไหมพระท่านเดินจงกรม เอามือขัดไพล่หลังอย่างนี้นะ เอามือไพล่หลังแล้วเดิน ไม่ไพล่หลังไม่ได้มันงอบลง เข้าใจ เห็นไหมพระท่านเดินจงกรม ก็เรานั่นแหละเดินจงกรม เป็นแล้วเดี๋ยวนี้ แต่เราก็ไม่ได้วิตกวิจารณ์กับมัน ก็เครื่องมือ เท่านั้นเอง ใช้ได้เท่าไรก็ใช้ไป ใช้ไม่ได้ก็ทิ้งปั๊วะไปเลย มีเท่านั้น หายห่วงๆ ไปเลย ตายมีห่วงมีใยมันไปสายกองทุกข์ หมดห่วงแล้วความทุกข์ไม่มี

ตอนเช้าออกจากนี่ก็เดิน เที่ยวเดินนั้นเดินนี้ไป ยืดเส้น เดินยืดเส้นที่นั่นที่นี่ไป พอถึงวันเท่านั้น แต่ไม่เคยเป็นอารมณ์กับมัน ถ้าพูดธรรมดาของโลกเสียใจมากนะ ค่อยอ่อนลงๆ ไปไม่ได้แล้วก็เสียใจเจ้าของ นี้ไม่เสีย เฉย เพราะเครื่องมือเฉยๆ อะไรใช้ได้ใช้ไป ใช้ไม่ได้ทิ้งไป พอซ่อมได้ซ่อมไป ซ่อมไม่ได้ทิ้งไป หมดแล้วเหรอใช้ไม่ได้แล้วเหรอทิ้งปั๊วะเลย ไป มีเท่านั้น เป็นอารมณ์อะไรกับมัน ประสาเครื่องมือธาตุขันธ์ดินน้ำลมไฟไปสวรรค์นิพพานที่ไหนได้ไม่เคยไป สวรรค์นิพพานไม่ได้รองรับพวกนี้ ธาตุสี่ดินน้ำลมไฟไม่มีในสวรรค์นิพพาน มันก็มีธาตุสี่ดินน้ำลมไฟในแผ่นดินเรานี้แหละ เท่านั้นแหละ ให้พร

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก