เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
กิเลสเท่านั้นเป็นก้างขวางคอ
ก่อนจังหัน
พระเท่าไร (พระ ๓๑ เณร ๑ เป็น ๓๒ ครับผม) มากเข้าๆ นะพระ รวมแล้ว ๓๒ นี่มันจะเป็นส้วมเป็นถานเข้าในวัดนี้นะ วัดเป็นส้วมเป็นถาน พระเณรเป็นมูตรเป็นคูถเต็มอยู่ในส้วมในถาน เวลานี้ไปที่ไหนจะเรียกว่าพระเรียกว่าวัดไม่สนิทใจนะ ถ้าเรียกตามสายของธรรมของวินัยแล้วไม่สนิทใจ ถ้าเรียกว่าส้วมว่าถานสนิทใจดี พระเราเลอะๆ เทอะๆ มากนะทุกวันนี้ ไม่ว่าเขาว่าเรามันพอๆ กัน วัดเลยกลายเป็นส้วมเป็นถานไป พระเณรกลายเป็นมูตรเป็นคูถเพราะปฏิบัติเหลวแหลกแหวกแนว ดูไม่ได้นะ แล้วจะให้ลงใจได้ที่ไหน เจ้าของก็ลงใจไม่ได้จะให้คนอื่นเขามาเชื่อถือได้ยังไง
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นศาสดาเอก โลกเชื่อถือได้เพราะพระองค์เชื่อถือองค์ศาสดาร้อยเปอร์เซ็นต์ เรานี่เชื่อถือตัวเองไม่ได้จะไปสอนคนอื่นให้เขาเชื่อถือได้ยังไง มันขัดกันนะ ให้ตั้งใจปฏิบัติพระเณร ความเพียรได้เคยย้ำแล้วย้ำเล่า สติเป็นสำคัญ ถ้าขาดสติเมื่อไรปั๊บขาดความเพียร ถ้าสติจับติดแนบอยู่กับตัวตลอดเวลาแม้ทำหน้าที่การงานอะไร สติติดอยู่กับตัวแล้วกิเลสไม่เกิด ถ้าเราเผลอเมื่อไรกิเลสเกิดเมื่อนั้น กิเลสเกิดทางสังขารความคิดความปรุง สังขารออกมาจากอวิชชาผลักดันออกมา เรื่องของปุถุชนเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น นอกจากพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าท่าน เพราะอวิชชาไม่มี ไม่มีอะไรผลักดัน มีแต่ธรรมล้วนๆ จะออกมาแบบไหนก็เป็นธรรม พวกเรามันมีแต่กิเลส อะไรไม่มีความพอดี เลอะๆ เทอะๆ ไปหมด
ข้างในก็ให้ดูกันนะละเอียดลออ อย่ายกโทษกัน ให้ยกโทษหัวใจเจ้าของที่มันคึกมันคะนอง มันเป็นฟืนเป็นไฟหาที่ระบายออก ด้วยความยกโทษคนนั้นคนนี้ ติฉินนินทาคนนั้นคนนี้ นี่ทางระบายออกของกิเลสที่มันเผาหัวใจเรามันออกแบบนี้ ให้เก็บความรู้สึกไว้ให้ดี อย่าเปาะแปะๆ ปากเปราะปากบอน แล้วยุแหย่ก่อกวนทำลายกัน นี้ไม่ใช่ศาสนา นี้ไม่ใช่ธรรมของพระพุทธเจ้า มาอยู่สถานที่นี่ก็กลายเป็นส้วมเป็นถานของสิ่งเหล่านี้ไปหมดใช้ไม่ได้นะ ดูหัวใจตัวเอง มันจะเคลื่อนตลอดเวลาเคลื่อนไหว เพราะกิเลสอยู่ในนั้นมันคอยผลักดันออกมาๆ เราไม่รู้ เพลินวิ่งไปตามมัน มันคิดเรื่องอะไรๆ ก็วิ่งไปตามมันๆ สติมีมันไม่ดีดไม่ดิ้นนะ ถ้าสติดี สติเผลอเมื่อไรเป็นเมื่อนั้น มหาโจรมันอยู่ในหัวใจเรา
พระตั้ง ๓๐ กว่าแล้ว ผมยิ่งเฒ่ายิ่งแก่ลงไปทุกวัน อย่าให้ได้เป็นภาระหนักเพิ่มเข้าไปอีกนะ ผู้มาปฏิบัติเหล่านี้เราสอนด้วยความแน่ใจ สอนอย่างจริงอย่างจัง เด็ดเดี่ยวตามอรรถตามธรรม อย่ามาปฏิบัติเหลาะแหละๆ ให้เห็นมันดูไม่ได้ เดี๋ยวนี้พระวัดเราวัดใครก็ตามมันพอๆ กัน มันกลายเป็นส้วมเป็นถานไปแล้ววัดเวลานี้ พระเณรกลายเป็นมูตรเป็นคูถเต็มอยู่ในส้วมในถาน ปฏิบัติเหลวแหลกแหวกแนวๆ สุดท้ายเข้ามาในวัดมาเรียนหนังสือทางโลกเพื่อกิเลสตัณหา หันหน้าออกจากวัด ตัวอยู่ในวัด อาศัยศรัทธาญาติโยมเขากินไปวันหนึ่งๆ เพื่อเรียนวิชากิเลสตัณหาอันรกรุงรังเป็นส้วมเป็นถานของตัวเอง เป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ ไปดูถ้าหากว่าเราพูดผิด มันดูเป็นอรรถเป็นธรรมเมื่อไร มันดูเป็นโลกเป็นสงสาร อาศัยชาวบ้านเขากินๆ เรียนหนังสือเป็นเรื่องโลกเรื่องสงสาร เรื่องส้วมเรื่องถานไปเสียหมด แล้วศาสนามีที่ไหน
ไปหาในวัดก็มีแต่ส้วมแต่ถาน มีแต่มูตรแต่คูถ ส้วมถานก็คือวัดเลอะเทอะๆ พระเณรปฏิบัติตัวเหลวแหลกแหวกแนว มีแต่อย่างนั้นนะเวลานี้ ผู้ที่มุ่งหน้ามุ่งตาปฏิบัติต่ออรรถต่อธรรมจริงๆ แทบจะไม่ปรากฏแล้ว เอาศาสนาบังหน้าๆ ตัวอยู่ในวัดหันหน้าออกนอกวัดๆ คนผู้มีสมบัติผู้ดีเขาหันหน้าเข้าวัดหวังพึ่งวัด ส่วนพระนั้นหันหน้าออกจากวัด หันไปนรกอเวจีที่ไหนก็ไม่รู้ มีไหมในวัดป่าบ้านตาดนี่ มันเลอะเทอะขนาดนั้นนะ ศาสนาหรือธรรมแทบจะไม่มี
แม้ในวัดแท้ๆ เป็นที่บรรจุอรรถธรรมคำสอนและมรรคผลนิพพาน มันก็กลายเป็นที่บรรจุมูตรคูถไปหมดแล้ว มันเลอะขนาดนั้นเพราะหัวใจเลอะ หัวใจต่ำ ไปอยู่ที่ไหนมันก็ต่ำ เหมือนเอามูตรเอาคูถโยนขึ้นบนอากาศมันก็ไปเหม็นอยู่บนอากาศ ตัวเราเป็นมูตรเป็นคูถหมดแล้ว ไปอยู่ที่ไหนมันก็เลอะเทอะไปหมด ใช้ไม่ได้นะ ให้พร
หลังจังหัน
นี่ลูกสาวอาจารย์ชาลี อาจารย์ชาลีเป็นครูของเราอาจารย์ของเรา เรารักมากมาตลอดทุกวันนี้นะ ไม่ได้จืด รักครูชาลีอาจารย์ชาลีนี้รักมาตลอด อย่างนั้นละถ้ามันถึงใจแล้วถึงตลอด โห เป็นคนประหยัดมัธยัสถ์ บรรดาครูทั้งหลายเราเห็นมา ในโรงเรียนหนึ่งๆ มีหลายครูๆ ทีนี้ครูกิริยามารยาทการประพฤติตัวต่างกันๆ แต่ครูคนนี้หาที่ต้องติไม่ได้ เอาตรงนั้นนะ ประหยัดมัธยัสถ์เก่ง การสงเคราะห์สงหาก็เก่ง ประหยัดมัธยัสถ์แต่ไม่ใช่คนตระหนี่ คนรู้จักประมาณ มีขอบมีเขต เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ลืมเนื้อลืมตัว เข้าได้หมด
พอน้าน้า พออาอา พอป้าป้า เข้าได้หมดเลย อาจารย์ชาลีนี่เราดูอยู่ทุกระยะ เพราะฉะนั้นเราถึงรักละซิ ตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งป่านนี้ไม่เคยจืดจาง เรารักอาจารย์ชาลี พ่อของเด็กคนนี้ โห หายาก ผู้ใหญ่จะเป็นตัวอย่างเป็นคติอันดีแก่เด็ก เป็นที่อบอุ่นให้เด็ก เช่นอย่างครูให้เด็กนักเรียนรักอย่างนี้หายากนะ นักเรียนเป็นเด็กมันก็คน ดูอยู่นี่ใครดีไม่ดี เราได้ชมมาตลอดอาจารย์ชาลีครูชาลี ได้ชมมาตลอดเลย ไปที่ไหนๆ ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ประหยัดมัธยัสถ์ ไม่สุรุ่ยสุร่าย
ลูกมีเท่าไรเลี้ยงใหญ่โตหมด ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ เพื่อลูกเพื่อเต้าเพื่ออะไร ไม่เพื่อสุรุ่ยสุร่าย ต่างกันนะ เราถึงได้ชมมาตลอด ตอนเป็นนักเรียนก็ชมมาตลอดๆ จนกระทั่งมาบวชเป็นพระก็ยังได้ชมความประพฤติของอาจารย์ชาลีคนนี้ อันนี้ก็มาตอบรับกันเวลาอาจารย์ชาลีเคารพลูกศิษย์ อู๊ย ยิ่งเคารพมาก เคารพมากจริงๆ อาจารย์ชาลีเคารพลูกศิษย์อีตาบัวนี่ เคารพมาก เคารพอย่างถึงใจจริงๆ
เกี่ยวกับเรื่องนักภาวนา ผลของการภาวนาเป็นเครื่องใช้ต่างกัน นักภาวนากระแสจิตแรง กระแสจิตนุ่มนวล กระแสจิตอ่อนเบา มีเป็นขั้นๆ กระแสจิตรุนแรงมี อย่างท่านอาจารย์ลีเรา ท่านอาจารย์ลีกระแสจิตรุนแรง หลวงปู่มั่นมีทั้งนุ่มนวล มีทั้งรุนแรง อย่างท่านอาจารย์ลีนี้กระแสจิตแรง เวลาท่านทำน้ำมนต์ให้ใครนี้เราก็ดู ท่านใส่พรึบลงไปเลย คือกระแสจิตไปพร้อมกันพรึบเลย แต่คนดูภายนอกไม่รู้ คือไปตามกระแสจิต นุ่มนวล ผาดโผน รุนแรง แต่เป็นคุณทั้งนั้นนะพูดนี้ เป็นคุณประโยชน์ทั้งนั้น หากมีหนักมีเบาต่างกัน
ท่านอาจารย์ฝั้นมีหลายแบบ ทั้งนุ่มนวลทั้งแข็ง ในวงปฏิบัติท่านรู้กันได้ดี วงปฏิบัติเรียกว่าครอบครัวปฏิบัติ เหมือนครอบครัวในบ้านในเรือนของเรา แต่ละครอบครัวๆ รู้เรื่องของกันและกันหมด แต่คนอื่นไม่รู้ด้วย ทีนี้ครอบครัวในวงกรรมฐานก็เหมือนกัน ครอบครัวคือวงกรรมฐาน แยกออกไปก็เป็นวัดนั้นวัดนี้ ส่วนใหญ่อย่างสายท่านอาจารย์มั่น ครอบครัวใหญ่รวมอยู่ในจุดนี้ ท่านภาวนาเป็นยังไงท่านเล่าสู่กันฟังๆ ในครอบครัวของท่าน คนอื่นๆ พระอื่นๆ จะไปรู้เรื่องของท่านไม่ได้ ท่านไม่พูดให้ฟังง่ายๆ ถ้าเป็นพวกเดียวกันมีอะไรถึงไหนถึงกัน
การปฏิบัติเพื่อรู้เพื่อเห็นทำไมจะไม่รู้ถ้าตั้งใจปฏิบัติ ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติ สักแต่ว่าเป็นกรรมฐาน อย่างนั้นก็ไม่เป็นท่า ถ้าปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริงๆ รู้ไม่สงสัย ธรรมนี้ธรรมเพื่อรู้ สอนเพื่อรู้ สิ่งที่ให้รู้เป็นของมีอยู่ มีแปลกๆ ก็มีท่านอาจารย์ฝั้นท่านมาเล่าให้ฟัง อยู่เขาใหญ่ คือตอนนั้นท่านไปภาวนา แต่ไม่อยู่ในเขาใหญ่จริงๆ อยู่กลางดงใหญ่นั่นแหละ ท่านไปภาวนาอยู่แถวนั้น ท่านออกจากโคราชไป ส่วนมากท่านมักจะอยู่วัดสาลวันกับท่านอาจารย์สิงห์หลวงปู่สิงห์
วัดสาลวันเป็นวัดที่เราเคยพักอยู่ตลอด เวลาเรียนหนังสือก็เรียนอยู่ที่โคราช วัดสุทธจินดา เวลาว่างไปฟังเทศน์ นิสัยเราชอบฟังเทศน์กรรมฐาน คือเทศน์กรรมฐานมันเหมือนแม่กล่อมลูกด้วยบทเพลง ตีตะล่อมๆ เข้ามาจิตสงบ เหมือนแม่ร้องเพลงกล่อมลูกให้หลับนั่นแหละ แบบนั้นแหละ ทีนี้เวลาเรียนหนังสือ เพราะเรามันหลายสำนักการเรียนนี้ เปลี่ยนสำนักนั้นสำนักนี้ เปลี่ยนเรื่อย ระยะนั้นไปอยู่โคราช ทีนี้พอเวลาว่างก็ไปฟังเทศน์ที่วัดป่าสาลวัน ไปนั่งตรงหน้าธรรมาสน์ท่านอาจารย์สิงห์หลวงปู่สิงห์ ท่านเทศน์เราไปนั่งตรงหน้าเลย จนท่านจำได้ ไม่ได้จำชื่อก็ตาม แต่จำหน้าจำตาจำทุกสิ่งทุกอย่างได้
ที่ทราบนี่เพราะท่านพูดให้พระทั้งหลายฟัง เออ พระหนุ่มองค์นี้สำคัญนะท่านว่างั้น เราเรียนหนังสือตอนนั้นได้ห้าหกพรรษา พระมาเล่าให้ฟัง พระวัดสาลวันนั่นละมาเล่า คือวันว่างของเรา เช่นวันพระก็ว่าง วันพระหยุดเรียนหนังสือ ทางโน้นท่านประชุมทางวัดสาลวัน ในระยะที่เราเรียนหนังสือนั้น ๔ วันท่านประชุมทีหนึ่งตอนบ่ายโมงๆ เราก็ทราบหมด พอถึงวันที่ท่านจะประชุมเราว่างทางนี้เราไปเลย ไม่สนใจกับใคร เรื่องรถเรื่องราอย่าไปถามในเมืองไม่มีรถนะ โคราชทั้งโคราชไม่มีรถแต่ก่อน เดินปุ๊บเลย วันนี้ท่านจะเทศน์ พอดีโรงเรียนเราปิดเราหยุด ไปเลยไปนั่งตรงหน้าท่าน
เพราะไปด้วยความสนใจ ฟังด้วยความสนใจจริงๆ จนกระทั่งท่านได้มาพูดให้พระทั้งหลายฟัง พระหนุ่มองค์นี้สำคัญนะท่านว่า นั่งอยู่หน้าธรรมาสน์นั่น ท่านไม่รู้จักชื่อเรา ท่านบอกว่าพระหนุ่มองค์นี้สำคัญอยู่นะ มานั่งอยู่เหมือนหัวตอ ท่านพูดตรงนี้ พอมานั่งปั๊บเหมือนหัวตอ ฟังเทศน์ฟังอะไรเหมือนหัวตอ คือตรงแน่วๆ คำว่าหัวตอหมายความว่านั่งตรงแน่ว ไม่เอนไม่เอียงไม่โยกไม่คลอน ไม่ง่วงเหงา นั่งตรงแน่ว ท่านบอกว่านั่งเหมือนหัวตอเลยท่านองค์นี้ ตอนนั้นเราเรียนหนังสืออยู่โคราช เวลาว่างเช่นวัดปิดโรงเรียนของเรา เป็นวันเปิดประชุมของท่าน เราไป ท่านได้เล่าให้พระในวัดนั้นฟัง แล้วพระในวัดเหล่านั้นก็เป็นเพื่อนกันกับเรา พอท่านเล่าอะไรก็เล่าให้เราฟัง พระหนุ่มองค์นี้สำคัญอยู่นะ นั่งอยู่หน้าธรรมาสน์นี่น่ะ
ท่านไม่ถามถึงวัดนั้นวัดนี้เลยนะ ท่านบอกแต่ว่าพระหนุ่มองค์นี้ แต่ท่านรู้ว่าเป็นปริยัตกำลังเรียนหนังสือ พระหนุ่มองค์นี้สำคัญอยู่นะ มานั่งอยู่หน้าธรรมาสน์นี่ นั่งเหมือนหัวตอ ตลอดฟังเทศน์ฟังอะไรนิ่ง แปลกอยู่นะพระหนุ่มองค์นี้ พระมาเล่าให้ฟัง ท่านเองก็ไม่ได้คุยอะไรกับเราละ จนกระทั่งแก่พรรษาแล้วนี้ถึงได้พูดได้คุยกับท่านบ้าง ตอนหยุดเรียนออกปฏิบัติกรรมฐานเต็มเหนี่ยวแล้วมาพบกัน ได้สมาคมกันตอนแก่ ท่านแก่แล้วเรายังหนุ่มอยู่ เลยสนิทสนมเคารพกราบไหว้ท่านอยู่ตลอดมา จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป เรียนหนังสืออยู่เราก็สนใจปฏิบัติอยู่อย่างนั้น
มันหากเป็นอยู่ในจิตนะ พูดให้ลูกหลานทั้งหลายฟัง มันเป็นอยู่ลึกๆ ไม่เคยแสดงให้ใครฟังว่าเราก็คือคนภาวนาองค์หนึ่ง ทั้งๆ ที่เรียนหนังสือก็ไม่ปล่อยวางภาวนา หากไม่ให้ใครทราบ เรื่องภาวนาไม่พูดเลย เราทำของเราอยู่ตลอด อยู่กับพระลิงพระค่างก็อยู่ด้วยกัน เขาเป็นลิงเราเป็นลิงเหมือนกัน ภายนอกกิริยาแสดงอาการหยอกเล่นกันบ้างเหมือนลิง ลิงของพระ เข้าใจไหม ลิงพระกับลิงในป่ามันต่างกัน ลิงพระแบบหนึ่ง สนิทสนมกันพูดหยอกเล่นกันอะไรเหมือนลิง เราก็เล่นกับเขาเหมือนลิงเหมือนกัน แต่ภายในลึกๆ ไม่ปล่อยนะภาวนา แต่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง มันฝังลึกๆ อยู่อย่างนั้น มุ่งหน้าจุดนี้จะออกปฏิบัติ ความมุ่งมุ่งที่จะออกหากไม่มีใครทราบด้วย
เวลากลางคืนดึกๆ หยุดเรียนหนังสือเรียบร้อย หกทุ่มล่วงไปแล้วลงไปเดินจงกรม พระเงียบหมดแล้วลงไปเดินจงกรม ไปเผลอคำหนึ่ง อย่างนั้นละพูดกับพวกเดียวกันมันพูดไม่ได้นะ แขนซ้ายแขนขวาจะตีแขนไหนมันก็แขนเจ้าของ นี่ก็เหมือนอวัยวะเดียวกัน เราเดินจงกรมอยู่เงียบๆ เพื่อนมาถาม ทำอะไร เราเลยเผลอว่า เราเดินจงกรม เหอ จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้เหรอ รอกันเสียก่อนน่ะ เรียนหนังสือจบแล้วค่อยไปด้วยกัน มันไปหรือไม่ไปก็ไม่รู้ไม่ทราบกับหัวมันละบักห่านั่น อย่างนั้นละมันพูดหยอกกัน
จากนั้นเราแก้ใหม่เราเผลอ ทีหลังเวลามาเจอว่าทำอะไร โอ้ เปลี่ยนบรรยากาศ นั่งดูหนังสือนานมาเปลี่ยนบรรยากาศ ความจริงเดินจงกรม พลิกใหม่ ทีแรกว่าเดินจงกรม จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้เหรอ แน่ะมันเอาอย่างนั้นนะ มันน่าโมโห ทำอยู่อย่างนั้นละเราไม่ให้ใครรู้ทำภาวนา หากเป็นอยู่ลึกๆ ในจิต ใครไม่รู้ละว่าเราภาวนา เรียนหนังสืออยู่ด้วยกันเป็นลิงเป็นค่างเหมือนกัน แต่ใครไม่รู้ภายในของเรา เข้าในห้องเงียบเข้านั่งภาวนาไม่ให้ใครรู้ เวลาเดินจงกรมก็ตอนดึก ลงมาเดิน พอหมู่เพื่อนถามก็บอกว่าเดินเปลี่ยนอิริยาบถ เปลี่ยนบรรยากาศ นั่งเรียนหนังสือนาน ว่าไปอย่างนั้นเสีย
พอหยุดจากเรียนก็ออกเลย เพราะจิตมุ่งมั่นอยู่แล้ว มันหนักแน่นอยู่ในมรรคผลนิพพาน มีแต่ว่าใครจะมาปลดปลงความสงสัยในมรรคผลนิพพานให้เรา ก็มองเห็นแต่หลวงปู่มั่นองค์เดียว องค์นี้ละองค์ที่จะปลดปลงเรื่องมรรคผลนิพพานให้เรา จะเบิกกว้างให้เห็นทางมรรคผลนิพพาน มาก็เอาจริงๆ เปรี้ยงๆ เลย เบิกกว้างออกหายสงสัย เรื่องมรรคผลนิพพานหายสงสัย ชี้เข้านี่ๆ ไม่มีอะไรปิดมรรคผลนิพพาน มีกิเลสเท่านั้น เอ้า เปิดออกเปิดด้วยจิตตภาวนา พระพุทธเจ้าเปิดด้วยภาวนา สาวกทั้งหลายเปิดด้วยภาวนา อย่างอื่นไม่ได้ เปิดกิเลสต้องเปิดด้วยจิตตภาวนาท่านว่า ใส่เปรี้ยงๆ เลยพ่อแม่ครูจารย์มั่น เปิดจริงๆ นะ
ตั้งแต่นั้นมาถึงใจ หายสงสัยเรื่องมรรคผลนิพพาน เอาละที่นี่เราจะจริงหรือไม่จริง ต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น นั่นละความเพียรของเรามันถึงเด็ดซิ เอาจริงเอาจังเราไม่เหมือนใคร ว่าอะไรขาดสะบั้นไปเลยไม่เหมือนใคร นิสัยอันนี้มันจริงจังมาตั้งแต่เป็นฆราวาส เรารู้นิสัยเราตอนเรามาบวชแล้วนี้ ไปเรียนหนังสือไปเห็นความสัตย์ความจริงอยู่ในหนังสือ เราก็ย้อนกลับมาถึงฆราวาสของเรา ตั้งแต่เป็นฆราวาสมันจริงอยู่นะ ถ้าลงได้ลั่นคำอย่างไรแล้วเป็นอย่างนั้น เป็นอื่นไปไม่ได้ จนพ่อไว้ใจ ถ้าลงมันได้ลั่นคำแล้วเอาเถอะไอ้นี่ บอกลูกคนนี้ถ้าลงมันได้ลั่นคำ เอาเถอะ ว่างั้น ถ้ามันไม่ได้ลั่นเฉยอยู่นี้อย่าไปใช้มัน ไม่ได้เรื่อง คือถ้าไม่ทำมันเฉย อยากทำก็ได้ไม่อยากทำก็ได้ ถ้าว่า เอา จะทำให้เท่านั้นละ ปุ๊บเลย ใส่ขาดสะบั้นไปเลย เรียบเลยเชียว เป็นอย่างนั้นนิสัยเรา
ทีนี้เวลาออกปฏิบัติก็จริงจังอย่างนั้น เราจึงได้สรุปความลงว่าภาระในโลกสงสารนี้ ไม่มีอะไรจะหนักยิ่งกว่าจิตตภาวนาฆ่ากิเลส เรื่องฆ่ากิเลสนี้หนักมากที่สุด เราเห็นในตัวของเรา ถึงขั้นจะสลบไสลก็มีแต่ไม่สลบ ถึงขั้นนั้นละจะสลบไสลก็มี ฟัดกัน เช่นอย่างนั่งตลอดรุ่งๆ นี้เอาจนก้นแตก ฟังซิน่ะ เป็นยังไงเด็ดหรือไม่เด็ด ฟาดจนก้นแตก ก็นั่งคืนนี้แล้ว เว้นคืนหนึ่งหรือสองคืนนั่งอีก นั่งอีกๆ ทีแรกก็ออกร้อนก้น ต่อมามันก็พอง จากพองมันก็แตก เพราะนั่งไม่หยุดนั่งตลอดรุ่ง
จนพ่อแม่ครูจารย์รั้งเอาไว้ ท่านรั้งนะไม่งั้นมันยังจะเอาอีก เพราะนิสัยมันผาดโผน ท่านเป็นฝ่ายรั้งเสมอ เพราะท่านเห็นนิสัยของเราทำอะไรเอาจริงเอาจังมาก เพราะฉะนั้นเวลาออกประกอบความพากเพียร ท่านว่าจะไปกี่องค์ ไปองค์เดียว เอ้อทันทีเลย ท่านมหาไปองค์เดียวนะใครอย่าไปยุ่งท่าน ท่านรู้นิสัยว่าเอาจริงเอาจังมากทีเดียว ถ้าว่าไปองค์เดียวท่านพอใจ ท่านชี้ส่ายนิ้วไปตามพระที่นั่งอยู่นั้น ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านมหาไปองค์เดียว เราก็ไปองค์เดียวจริงๆ กลับมานี่หนังห่อกระดูก ท่านก็เห็นหนังห่อกระดูก เนื้อไม่มี มันผอมมันโซ ดัดสันดานกิเลส ฆ่ากิเลสเราก็จะตาย ฟัดกันอย่างนั้นแหละ
จึงว่าหนักมากนะฆ่ากิเลส ใครยังไม่ได้ฆ่ากิเลสอย่ามาอวดนะว่างานนี้หนักงานนั้นหนัก อย่า ให้ได้ฟัดกับกิเลสเสียก่อน งานครอบโลกธาตุคืองานของกิเลสทำบนหัวใจสัตว์ หนักมากนะ แก้กิเลสลงได้แล้วโล่งหมด ไม่มีอะไรติดในหัวใจ ว่างเปล่าไปหมดเลย กิเลสเท่านั้น นั่น เป็นก้างขวางคอ พอกิเลสขาดสะบั้นไปแล้วโล่งหมดโลกธาตุ ไม่มีเลย จึงได้ชี้นิ้วว่ากิเลสเท่านั้นเป็นก้างขวางคอ กลืนอะไรไม่ลง มีกิเลสเท่านั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดมันโล่งหมด โลกนี้ว่างไปหมดเลย อ๋อ กิเลสเท่านั้นปิด พอกิเลสขาดลงไปแล้วมันว่างหมด แสดงว่ากิเลสเท่านั้นปิด เป็นอย่างนั้นละ
นี่ก็ตั้งแต่ออกปฏิบัติ ที่เอาจริงเอาจังมาก เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลยก็เป็นเวลา ๙ ปี ตั้งแต่พรรษา ๗ พรรษา ๗ หยุดเรียนหนังสือเข้าป่าเลย จนกระทั่งพรรษา ๑๖ เป็นเวลา ๙ ปี พรรษา ๑๖ จำได้จนกระทั่งวัน ฟัดกันลงขาดสะบั้นลงตกเวทีไป กิเลสพังลงในคืนวันนั้น อย่างที่ว่าให้ฟัง นั่นละ ๙ ปี เอาหนักขนาดนั้นนะยังตั้ง ๙ ปี ไปคนเดียวทั้งนั้น พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านส่งเสริมด้วย ท่านมหาให้ไปคนเดียว ใครอย่าไปยุ่งท่าน ท่านรู้ว่าเอาจริงเอาจังทุกอย่าง ขนาดนั้นก็เป็นเวลา ๙ ปีถึงได้ฟ้าดินถล่มลง จากนั้นมาก็ว่างหมดโลกธาตุ ว่าให้มันชัดๆ
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต
อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตฺตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ
ติดหัวใจเราตลอดเลย ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิว่า เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิซึ่งเป็นเหมือนก้างขวางคอนี้ออกเสีย จะข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้ ท่านสอนพระโมฆราช พระโมฆราชก็ตรัสรู้ธรรมด้วยธรรมบทนี้แหละ เวลามันมาเป็นก็เป็นแบบเดียวกัน ถึงขั้นมันว่างมันว่างจริงๆ กิเลสขาดเท่านั้นว่างไปหมด
โลกอันนี้ไม่มีอะไรขวาง มีแต่กิเลสขวาง ติดเขาติดเรา ภูเขาทั้งลูกไม่ติดแต่มาติดเขาติดเรา ก้าวไม่ออก อะไรๆ ก็มาติดเราเสีย ติดเขาเสีย ว่าสูงว่าต่ำ ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก้าวไม่ออก นี่เรียกว่าภูเขาภูเรา ติดตรงนี้ พอแก้อันนี้ขาดไปหมดแล้วโล่งไปหมด ไม่มีอะไรเป็นเขาเป็นเรา มีแต่ธรรมล้วนๆ ออกแสดง เอา จะออกแสดงแบบไหนน่ะว่าอย่างนี้เลย มันโล่งไปหมดแล้วนี่ ควรแก่ธรรมแบบไหนผู้เข้ามาศึกษา เอา ให้ติดไม่มี มันออกรับกันผึงๆ เลย ก็มันเปิดอ้าไว้หมด มีแต่ธรรมล้วนๆ เต็มหัวใจ ไม่มีอะไรเข้ามาขวางมันก็ออกได้เต็มเหนี่ยว ตามแต่ผู้ที่มาศึกษาอบรมจะได้รับไปมากน้อยเพียงไร น้ำหนักของธรรมก็ออกตามนั้นๆ ท่านผู้มุ่งอย่างเต็มที่แล้วก็พุ่งเลยเชียว การเทศน์อย่างพุ่งเลยนี้ยิ่งเทศน์ได้เร็ว ยิ่งคล่องตัว
เทศน์แกงหม้อใหญ่กับแกงหม้อเล็กต่างกัน แกงหม้อใหญ่ตีแรงๆ ก็จะถูกหัวเด็กถูกหัวคนแก่ ไอ้อันธพาลมันแอบอยู่ข้างหลังมันก็สนุกเล่นตัวละซิใช่ไหม สำหรับพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรม มุ่งต่อมรรคผลนิพพาน ใส่เปรี้ยงเลยเทียว ขาดสะบั้นไปไม่มีอะไรเหลือ ธรรมะออกเต็มเหนี่ยว ผู้ฟังรับเต็มเหนี่ยวมันก็รับกันได้ผึงๆ เลย พอกิเลสขาดสะบั้นจากใจแล้วไม่มีอะไรข้องในโลกนี้ ไม่มีอะไรติด ติดเขาก็ไม่มี ติดเราก็ไม่มี มีแต่ธรรมล้วนๆ เวิ้งว้างไปหมดเลย
จิตดวงนี้ละกิเลสเข้าไปขวางให้ติดเขาติดเรา พอกิเลสตัวติดเขาติดเราขาดสะบั้นลงไปแล้วมันโล่งไปหมดเลย ไม่ติดอะไร ไม่ติดตัวเองเสียอย่างเดียว ติดเราก็คือกิเลสของเรานั่นแหละ ติดเขาก็กิเลสของเขากิเลสของเรามันมากระทบกระเทือนกัน ก้าวไม่ออก พอหมดเขาหมดเราแล้วโล่งไปหมด นั่นละจิตของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ท่านโล่งอย่างนั้น โล่งไปหมด ไม่มีอะไรมาติด หมดโดยประการทั้งปวง ผลแห่งการปฏิบัติจิตตภาวนาเป็นอย่างนี้ ถ้าเอาจริงเอาจังจะรู้อย่างนี้จริงๆ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เพราะธรรมนี้สอนเพื่อรู้อย่างนี้ ถ้าปฏิบัติเต็มอย่างนี้แล้วต้องรู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ด้วยกัน พระอรหันต์ทั้งหลายรู้อย่างนั้นละ เพราะท่านปฏิบัติอย่างนั้น วันนี้พอเท่านั้นละ เทศน์พอหอมปากหอมคอก็เอาละวันนี้
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |