เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ความรู้ไม่เหนือกันสอนกันไม่ได้
มันเพลียมาตั้งแต่บ่ายวานนี้ ธาตุขันธ์เป็นอย่างนั้นละ เอาแน่กับมันไม่ได้ ตั้งแต่บ่ายสองโมงเริ่มมาเรื่อย บทเวลาจะเป็นอยู่เฉยๆ มันก็เป็น วัยนี้เอาแน่ไม่ได้ เวลาจะเป็นปุบปับขัดกันปุ๊บ พอขัดถ้าไม่คลี่คลายออกไปไปเดี๋ยวนั้นเลย เป็นอย่างนั้น ปุบปับขัดกันปุ๊บ ถ้ามันไม่คลี่คลายออกไปไปเลย อยู่เฉยๆ นี่ละ
การปฏิบัติต่อโลกนี้เราก็ได้ปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถของเรา แต่โลกมันสกปรก ไม่ทราบจะแยกให้ทางไหนๆ มันสกปรก ทิ่มนู้นแทงนี้ๆ ตลอดเวลา ไม่ทราบจะแบ่งให้ทางไหนต่อทางไหน เราเองเราบอกตรงๆ เราไม่มีอะไร สามแดนโลกธาตุปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง พูดเปิดอกให้พี่น้องทั้งหลายทราบจากผลแห่งการปฏิบัติมา เราไม่มีอะไรในโลก เมื่อมันเกี่ยวกับโลกก็ต้องเป็นสมมุติ เมื่อเป็นสมมุติก็ต้องมีเรื่องนั้นยุ่งเรื่องนี้ยุ่งตลอดเวลา แล้วจะปฏิบัติอย่างไรให้ถูกกับใจของใครๆ ลำบากนะ
ลำพังเราเองเราสบาย ตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงจากใจเท่านั้น ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ไม่เคยเห็นกิเลสตัวใดแม้หลานๆ เหลนๆ ของมันจะโผล่หน้าขึ้นมาให้เห็นหรือต่อสู้กันไม่เคยมี ก็มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์พาอยู่พากินพาหลับพานอนพาขับพาถ่ายเปลี่ยนอยู่อย่างนี้ เปลี่ยนเพื่อธาตุเพื่อขันธ์นั่นละ ใจไม่ได้เปลี่ยน เมื่อจอมแห่งความเปลี่ยนแปลงคือกิเลสมันสิ้นซากลงไปแล้วไม่มีอะไรเปลี่ยน ใจไม่มีเปลี่ยน คือกิเลสมันพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงเอาใจนี่เป็นตุ๊กตาเครื่องเล่น กิเลสมันถีบมันยันมันเตะ พออันนี้ขาดลงไปแล้วตรงแน่ว
สำหรับเราเองเราพูดตรงๆ เราไม่มีอะไรกับโลก เราพูดจริงๆ หมดโดยสิ้นเชิง ยังเหลือแต่ขันธ์ที่เกี่ยวโยงกันเกี่ยวข้องกัน ถ้ากระทบกระเทือนก็เกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เรื่องจิตไม่มี เพราะธาตุขันธ์เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งมวล ธาตุขันธ์เป็นสมมุติก็กระทบกระเทือนกันได้ ผิดถูกชั่วดีมีมาตลอด สำหรับจิตใจแล้วไม่มี เมื่อส่วนใหญ่ไม่มีแล้วก็ไม่มีอะไร คือส่วนใหญ่อยู่กับใจ ถ้าใจเอนเสียอย่างเดียวล้มระนาวไปหมด ใจตรงแน่วเสียอย่างเดียวไม่มีอะไรล้ม มีแต่กิริยาสมมุติก็เหมือนลมพัดใบไม้ไหวไปไหวมาธรรมดา ต้นลำมันแน่นปึ๋งก็ไม่มีอะไร
นี่เราก็พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังผลการปฏิบัติ หมดที่ต้องติมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ เราได้บอกให้ทราบเรียบร้อยแล้ว พูดอย่างตรงไปตรงมา ภาษาธรรมต้องเป็นอย่างนั้น ไม่มีพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม พูดตรงไปตรงมา กิเลสตัวหลายสันพันคมขาดสะบั้นลงไปแล้วมีแต่ธรรมตรงแน่วเลย นั่นละธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันตรงแน่วตลอดเวลา ที่ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยงคืออันนั้นแหละ
อยู่กับโลกสมมุติมันก็จอมเรื่อง สมมุตินี่ทั้งหมดโลกสมมุติ เรียกว่าวิมุตติ สมมุติ สมมุติคือกองยุ่ง วิมุตติหลุดขาดไม่มีอะไรไปยุ่งเลย ท่านแสดงไว้ว่านิพพาน ดับสนิทตลอด ไม่มีอะไรเหลือภายในใจ กิริยาสมมุติดับลงไปหมดแล้วขันธ์เป็นสุดท้าย ดับพรึบหมดเลยไม่มีเหลือ ตั้งแต่นั้นมาเราก็ได้อุตส่าห์พยายามแนะนำสั่งสอนมาตลอด ไม่เอาอะไรเลย คือมันปล่อยหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรแล้ว อย่างช่วยโลกดิ้นอยู่อย่างนี้ก็เหมือนกัน เราไม่เคยสนใจกับอะไร ได้มาเพื่อโลกๆ ที่บกพร่องต้องการอยู่ตลอดเวลา ก็ช่วยกันไปอย่างนั้น สำหรับใจที่พอแล้วไม่มีอะไรจะเพิ่ม ไม่มีอะไรจะตัดออก พอ ท่านเรียกว่าพออย่างเลิศเลอ คือใจของท่านผู้บริสุทธิ์ ได้แก่ใจพระพุทธเจ้า ใจพระอรหันต์ เป็นใจที่เหนือโลกสมมุติไปโดยประการทั้งปวง คาดไม่ได้คาดไม่ถูก
สมมุติมาอยู่ในโลกมันต้องคละเคล้ากันอยู่ กระทบกระเทือนกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี้ ถูกใจคนนั้นผิดใจคนนี้ ยุ่งตลอด หนักนะ เพียงในครัวนั้นกับที่วัดนี้ก็เหมือนกัน อยู่ในความปกครองของเราต้องได้ดูแลทั้งสองฝ่าย เดี๋ยวเรื่องนั้นเดี๋ยวเรื่องนี้ ไม่เกิดทางนั้นก็เกิดทางนี้ เรายิ่งแก่แล้วเราจะปล่อยทุกอย่างๆ นี้กลับยุ่งเข้ามามาก พระก็ชอบยุ่ง ทางในครัวก็ชอบยุ่ง ดีไม่ดีจะยกทัพมาตีกัน เอาเราเป็นเขียงย่ำกัน พวกนี้พวกอยู่บนเขียงย่ำกันอยู่บนเขียงคือเรานั่นแหละ
เฒ่าแก่มาแล้วพูดตามสภาพมันปล่อยหมดไม่อยากเอาอะไรเลย มีแต่กิริยาเท่านั้น ลมหายใจก็เหมือนลมหายใจทั่วโลกไม่มีอะไร ส่วนใจหมดปัญหาแล้วมันก็หมดปัญหาโดยประการทั้งปวงตลอดไป ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง ก็เห็นชัดๆ อยู่ในหัวใจ พระพุทธเจ้าหลอกโลกเมื่อไร สนฺทิฏฺฐิโก เห็นผลงานของตัวโดยลำดับ ตั้งแต่พยายามอบรมศึกษาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติ เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้าย ขาดสะบั้นหมดไม่มีอะไร นั่นละผลงานสมบูรณ์แบบแล้ว ได้แก่บรรลุธรรมถึงขั้นอรหันต์สมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรที่จะไปต้องติ เอาออกหรือเพิ่มเข้าไม่มี นั่นละธรรมชาติแท้ แต่เรื่องสมมุติบกพร่องตลอด ยุ่งตลอด
เรายิ่งแก่ลงทุกวัน ๙๔ จะเข้าแล้วนะ เดินโซซัดโซเซ อย่างนั้นละเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ดูมันไป ใจไม่มีวัย มีวัยตั้งแต่ธาตุแต่ขันธ์ เรื่องใจไม่มีวัย ดูมันไปอย่างนั้นละ พอจะใช้ได้แค่ไหนก็ใช้ไป ใช้ไม่ได้ดีดผึงเลยไปเลย ก็เท่านั้นไม่เห็นมีอะไรยาก ขอให้พากันฝึกให้ดีจะเป็นอย่างที่ว่าไม่ผิด จิตที่ท่านฝึกได้เต็มที่แล้วไม่มีอะไรกระเทือนเลย หมดโดยสิ้นเชิง กิริยาอาการของธาตุของขันธ์ไม่ว่าของเขาของเราเป็นสมมุติมันยุ่งตลอด แต่ธรรมชาตินั้นท่านหลุดออกจากนี้แล้วหมดความยุ่ง ไม่มีเลย
เมื่อวานตั้งแต่บ่ายสองโมงมาเพลียเป็นกำลัง เพลียมากไม่ทราบมันเป็นยังไง ตั้งแต่บ่ายสองโมงมา อ่อนตลอด อยู่เฉยๆ ก็เป็น อายุปูนนี้แล้วอย่าเข้าใจว่ามันแน่นะ ความตายไม่แน่ อยู่เฉยๆ นี่ดูเจ้าของ ปุบปับมันขัดกัน ถ้าสมมุติว่ามันขัดกันนี้มันไม่ออก ตายเดี๋ยวนั้นเลย ทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏว่าเป็นโรคอะไร ปรากฏขึ้นในขณะนั้นมันขัดกันปุ๊บ ถ้าสมมุติว่ามันไม่คลี่คลายออกไปเดี๋ยวนั้น คนวัยนี้ไม่แน่นอน แต่จะไปจะอยู่มันก็ธาตุขันธ์เท่านั้นไม่มีอะไร จิตเรียนรอบแล้วไม่มีปัญหา จะอยู่หรืออยู่ จะไปหรือไป เท่านั้นไม่มีอะไร
เราก็พยายามที่จะทำหัวใจโลกให้มีความสุขความเย็นใจ สุดท้ายโลกก็คือโลกกิเลส ให้มันดีไม่ได้ พอธรรมะอ่อนสักหน่อยมันก็เหยียบไปแหลกไป ถ้าธรรมะไม่สูงเกินมันเสียอย่างเดียวมันเหยียบตลอดกิเลส ถ้าธรรมะสูงเหยียบหัวมันไปแล้วไม่มีปัญหา เช่นอย่างจิตพระอรหันต์ไม่มีปัญหา กิเลสไม่อาจเอื้อม หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ นั่นละจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่หลุดพ้นแล้วไม่มีอะไรในสมมุติ หมดโดยสิ้นเชิง
เราอยู่กับโลกเราก็อยู่ไปอย่างนี้จะว่าไง ใครจะว่าดีว่าชั่วว่าอะไรเราไม่เคยสนใจ ดีชั่วเหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด อันนั้นคืออะไรเอื้อมไม่ถึง นี้สมมุติ อันนั้นวิมุตติ สมมุติมันก็วิ่งอยู่ตามขั้นสมมุติของมัน ถึงอันนั้นแล้วมันไม่เข้า
เวลาอยู่ในวัดก็ขอให้ดูหัวใจตัวเอง บรรดาพี่น้องทั้งหลายที่เข้ามาในครัวก็เยอะ ในวัดก็ไม่น้อย เพิ่มขึ้นทุกวัน วันนี้ตั้ง ๔๐ กว่าพระ เราก็ยิ่งหนัก ไหลเข้ามาๆ ไม่ทราบจะทำยังไง ยิ่งแก่ลงไปภาระยิ่งหนักเข้าๆ เรื่องราวเพิ่มเข้าๆ เราคิดว่าจะอยู่สบายๆ วันหนึ่งๆ อยู่สบายไม่มีเรื่อง ถ้าเราอยู่ลำพังเราสบาย คือสบายเลยสมมุติ ว่าให้มันชัดเจน นั่งอยู่ที่ไหนสบายหมด ว่างหมดโลกธาตุ หัวใจดวงนี้ว่างจากสมมุติแล้วไม่มีอะไร ยืนเดินนั่งนอนด้วยความว่างล้วนๆ เลย
นั่นละท่านว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกให้เป็นของสูญเปล่าว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิความเห็นว่าเป็นเราเป็นเขาซึ่งเป็นก้างขวางคอออกเสีย จะพึงหลุดพ้นโดยไม่ต้องสงสัย ความตายจะตามไม่ทันผู้พิจารณาโลกเป็นของว่างเปล่า จิตเมื่อว่างเต็มที่แล้วไม่มีอะไรตาม ตามไม่ทัน มันไม่ว่างนั่นละมันถึงตามกันทันทุกวันนี้ ความยุ่งเหยิงวุ่นวายคือความไม่ว่างของใจ ถ้าความว่างของใจเต็มเหนี่ยวแล้วไม่มีอะไร หมด
สงสารก็สงสารทั่วโลกเสมอกันหมด เราพูดจริงๆ ไม่ได้ไปหนักคนนั้นไปหนักคนนี้ เสมอกันหมด ถ้าจะเป็นจุดก็เป็นจุดเสียเฉพาะๆ เพียงเท่านั้นๆ แต่ไม่ติด แน่ะ ไม่ติดรักไม่ติดชัง ไม่ติดเกลียดติดโกรธ เพียงแย็บออกมาก็ดับไปๆ ถ้าพูดถึงเรื่องความเสมอ เสมอทั่วแดนโลกธาตุจิตดวงนี้ เสมอหมดเลย ไม่มีอะไรจะหนักจะเบาจะเอนจะเอียง ไม่มี เสมอต้นเสมอปลายตลอดเวลา แต่การวางในสมมุติก็มีแง่หนักเบาต่างๆ กันตามสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง ควรจะหนักก็หนัก ควรจะเบาก็เบา ควรจะพูดไพเราะเพราะพริ้งสำนวนอ่อนหวานก็พูด ควรจะแข็งกว่านั้นก็แข็ง ควรจะเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดก็เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด แต่นี้เป็นทางของธรรมเดินทั้งนั้น ไม่ได้เป็นทางของกิเลสเดิน
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านเดินตามสายของธรรม จะนิ่มนวลอ่อนหวานนั้นคือสายของธรรม จะดุด่าว่ากล่าวหนักเบามากน้อยนั้นคือสายของธรรม จะเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดถึงขั้นอเปหินั้นก็คือสายของธรรม ท่านเดินอย่างนั้น ท่านไม่ได้เดินเพื่อความฉิบหายกับอะไร แต่ผู้นั้นไปสร้างความฉิบหายแก่ตัวเองด้วยความสำคัญผิดนั่นแหละ ท่านจึงว่ามัชฌิมาปฏิปทา หรือสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว ถ้านำไปปฏิบัติก็พอจะปรับปรุงตัวเราได้
นี้อ่อนลงทุกวันๆ เหนื่อย วันหนึ่งๆ เหนื่อย เดินจงกรมอยู่บนกุฏิโซซัดโซเซ มีลูกกรงอยู่นั้นมันก็ไปโดนลูกกรงจนได้ อย่างนั้นละธาตุขันธ์มันไม่เอาไหนแล้วทุกวันนี้ ใช้มันไปอย่างนั้นละ ธาตุขันธ์ที่เดินที่เปลี่ยนแปลงนี้ก็เปลี่ยนแปลงเพราะมันนั่นแหละ เพราะธาตุขันธ์นั่นแหละ จิตจะเปลี่ยนแปลงหาอะไรไม่มีจิต มีแต่เปลี่ยนแปลงธาตุขันธ์ไม่ให้หนักเบาเกินไป ยืนเดินนั่งนอนให้เสมอ นั่นละท่านเรียกว่าเปลี่ยนอิริยาบถพอให้อยู่กันได้ ถ้าไม่เปลี่ยนไม่ได้ ยืนนานก็ขัด เดินนานก็ขัด นั่งนานก็ขัด นอนนานก็ขัด มีแต่เรื่องขัด จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ ไปอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าทรงเดินจงกรมตลอดวันนิพพาน มีในตำรา พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเดินจงกรมตลอดเวลา อันนี้มีอยู่สองแง่ แง่หนึ่งเป็นการคลี่คลายธาตุขันธ์คือความเป็นอยู่ให้สม่ำเสมอ ไม่ให้หนักไม่ให้เบาเกินไป อันที่สอง พิจารณาโลก อันนี้ลึกซึ้งมาก ท่านเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ท่านพิจารณาภายในภายนอกตลอดทั่วถึง แต่เวลาท่านเดินจงกรมเปลี่ยนอิริยาบถนี้เกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ก็เพื่อคลี่คลายธาตุขันธ์เท่านั้นเอง ส่วนจิตใจละเอียดมากทีเดียว
ธรรมเหล่านี้ใครจะไปรู้ได้ ขึ้นแรกก็พระพุทธเจ้าพระองค์เดียว ต่อมาก็มีพระสาวกทั้งหลายรู้ตามเดินตามเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ต่อมาก็กุดด้วนไปจะไม่มีใครเป็นสรณะของใครได้ ตัวเองก็เป็นสรณะของตัวเองไม่ได้ แล้วจะเป็นสรณะของคนอื่นได้ยังไง เจ้าของก็ล้มเหลว มองไปที่ไหนมีแต่ความล้มเหลวเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มผู้เต็มคนเต็มสัตว์ ไม่มีอะไรที่จะยับยั้งชั่งตัวพอเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้เลย เหลว นั่น เอาธรรมเข้าไปจับปุ๊บในใจ อะไรจะล้มเหลวๆ ธรรมไม่ล้มเหลว ธรรมตรงแน่วเลย สบาย
จะทุกข์จะจนจะมั่งจะมีนั้นอยู่ภายนอก ใจกับธรรมอยู่ด้วยกันแล้วเสมอเลย สมบัติแท้คือธรรม ถ้าเข้าถึงใจแล้วใจจะอบอุ่นทันที ถ้าไม่มีธรรมเข้าถึงใจ อะไรจะมีมากมีน้อยไม่สำคัญล้มเหลวไปได้ทั้งนั้น ถ้าใจกับธรรมอยู่ด้วยกันแล้วสะดวกสบาย อยู่ไหนสบายๆ นี่ก็อ่อนลงทุกวันๆ เมื่อวานนี้ก็ไปเยี่ยมดูเจดีย์แม่ชีแก้ว ที่ไปนี้ว้าเหว่พวกมีชีวิตอยู่ เข้าใจไหมล่ะ ผู้ตายแล้วก็ตายหายห่วงแล้วเราไม่เป็นอารมณ์ แต่ผู้ยังมีชีวิตอยู่ที่เคยเกี่ยวเนื่องกับเรามาตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ ละมัง เราไปจำพรรษาที่นั่น ๔ ปี พวกนี้ก็ได้รับความอบอุ่นเรื่อยมา เวลาเราจะจากไปเสียงร้องห่มร้องไห้เต็มบ้านเต็มสำนักชี ก็อย่างนั้นละจะให้ว่าไง เราไปอยู่นั้น ๔ ปี เวลาเราจะจากไปเสียงร้องห่มร้องไห้ เอ๊ะ ทำไง นี่ก็ต้องไปเกี่ยวโยงกันอยู่นั้น
เมื่อวานนี้ก็ไป เอาของไปส่งๆ ให้แล้วปัจจัยก็ไปมอบเอามามอบให้ผู้ที่มีชีวิตอยู่ ผู้ที่ตายไปแล้วก็แล้ว อย่างแม่ชีแก้วหายห่วงแล้วเราไม่สงสัยละ หายห่วงแล้ว ไปด้วยเรียกว่าสุคโตเลยโลกไปแล้ว อันนี้พวกยังมีชีวิตอยู่ก็เกี่ยวโยงกันกับความอดอยากขาดแคลน ไปเราก็เอาอะไรๆ ไปมอบ ปัจจัยไปมอบ อย่างนั้นละ ไปอยู่เรื่อยๆ ว้าเหว่มาก ทางนั้นอยู่ไกลก็ตามนะห้วยทรายจิตใจมาอยู่นี่ เพราะเราเคยอยู่ที่นั่นมานาน จิตใจมาอยู่นี่พวกสำนักชีทั้งหมด เมื่อวานนี้ว่า ๑๙ คนพวกแม่ชี นับดูเมื่อวาน ๑๙ คน เราก็ให้คนละพันๆ ๑๙ พัน แล้วก็เอาปัจจัยมอบไว้สำหรับส่วนกลางห้าหมื่น เราไปทีไรทำอย่างนั้นๆ ส่วนอาหารการกินเครื่องกระป๋งกระป๋องนี้เอาให้เต็มรถเลย เทปั๊วะลงไป เป็นอย่างนั้นละไปเยี่ยม
สำนักนั้นจิตใจอยู่ทางนี้นะ ถึงจะห่างกันมาหลายปีก็ตาม อำนาจแห่งคุณธรรมไม่จืดจาง เราไปอยู่นั้น ๔ ปี เราไม่ลืมเวลาจะจากมาร้องห่มร้องไห้ อู๋ย อึกทึก ทั้งชาวบ้านชาววัด มันก็จำเป็นต้องจาก แน่ะ จะว่าไง เวลามีโอกาสก็ไปเยี่ยมๆ แล้วการเทศนาว่าการไม่เอาเดี๋ยวนี้ไม่สอน เขามาเขาก็มารอ เราก็ไปดูนั้นเสร็จแล้วก็พูดสองสามคำ มอบนั้นมอบนี้เสร็จออกเลย เท่านั้นเขาก็พอใจ
แม่ชีแก้วนี้อัฐิของแกกลายเป็นพระธาตุสวยงามมากนะ แกผ่านไปได้ปี ๙๕ ๙๓ เราย้อนกลับมาจำพรรษาห้วยทราย ๙๒ พ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพ ๙๓ เราย้อนกลับมาจำพรรษาที่หนองผือเพื่อความอบอุ่นแก่ชาวบ้านทั้งหลาย ๙๔ นั่นละถึงได้ไปห้วยทราย ๙๔ ๙๕ ๙๖ ๙๗ ไปอยู่นั้นได้ ๔ ปี จากนั้นก็ลงจันท์ ไปจำพรรษาที่จันท์ หลังจากจันท์ก็มาสร้างวัดเป็นลำดับลำดามา ตั้งห้าหกสิบปีแล้วมั้ง ๙๓ ๙๔ จนกระทั่งป่านนี้ ปีนี้ ๕๐ จะ ๖๐ ใช่ไหม นั่นละจากห้วยทรายไป ๕๖ ปี ไปสำนักห้วยทราย
เอ๊ เรื่องหลวงปู่มั่นนี่ท่านทำนายสำคัญมากนะ เราไม่ลืม ก็ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเขามาเล่าให้ฟัง เราก็ได้ฟังถนัดหูถนัดใจละซิ พอเราไปที่นั่น แล้วแกก็เก่งนะแม่ชีแก้ว พอออกพรรษาแล้ว เอ้อ ปีนี้จะมีครูบาอาจารย์ทั้งหลายมาโปรดพวกเรา แปลกอยู่นะ สมัยหลวงปู่มั่นมาพักที่หนองน่องเป็นสมัยหนึ่งที่ใหญ่โตมาก คราวนี้จะมาอีกแล้วนี่ ออกพรรษาแล้วจะมาละ แกรู้แล้ว จากนั้นแล้วใครก็จ้อง มีครูบาอาจารย์มาจากที่ไหนมาพักวัดห้วยทรายให้คนไปดูๆ องค์นี้ใช่ไหมๆ ไม่ใช่ๆ แกปฏิเสธเรื่อยเลย พูดให้มันชัดเจนเสียว่างี้เลย พอถึงวาระของเราไป พอเราไปถึงปั๊บออกมาดู แล้วองค์นี้ใช่ไหม องค์นี้แหละใช่ที่สุดเลย ใช่เต็มเหนี่ยวเลย
พูดให้มันตรงไปตรงมา พอมองเห็นเท่านั้นไม่ทราบมันลงมันกลัวมันอะไรเคารพในอรรถในธรรมมันถึงกันหมดในขณะเดียวกันแกว่า ทั้งจะปวดหนักปวดเบาแกว่างั้นนะ พอเห็นเท่านั้นละทั้งจะปวดหนักปวดเบา องค์นี้แหละว่างั้นเลยชีนิ้วเลย นี่แหละองค์จะสอนพวกเรา แต่คอยดูไปท่านจะสอนไหมแกว่า มีข้อแม้อยู่ ท่านจะสอนเราไหมคอยดู แต่องค์นี้แหละว่างั้นเลย นั่นเห็นไหมล่ะแกชี้เลยนะ พอไปถึงก็สอนหรือไม่สอนไล่แกลงจากภูเขา นี่สอนหรือไม่สอน เอาขนาดนั้นนะไล่แม่ชีแก้วลงจากภูเขาร้องไห้อี้ๆ ลงไปเฉย น้ำตานี้ไม่มีประโยชน์ น้ำธรรมต่างหากมีประโยชน์ น้ำธรรมที่เราสอนถ้าไม่รับแล้วไม่เกิดประโยชน์ น้ำตาอยู่ที่ไหนก็มี
ลงไปแกก็คิดไปพิจารณา หมดหวังแหละ ก็หวังจะพึ่งครูบาอาจารย์องค์นี้ แล้วทีนี้ถูกท่านไล่ลงจากภูเขาถึงขนาดร้องไห้เราจะพึ่งใครทีนี้ แกก็มาทบทวน ที่ท่านไล่ลงภูเขาเพราะเหตุผลกลไกอะไร นั่นเอาตรงนี้นะ ธรรมดาครูบาอาจารย์ก็แนะนำสั่งสอนโลก นี้ท่านไล่ลงภูเขาเพราะอะไร ไม่ใช่เรามีทิฐิมานะไม่ลงท่านหรือ พอจิตรวมปั๊บเหาะเหินเดินฟ้า เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมนรกอเวจีแกเห็นหมดเลย นั่น เราค่อยๆ ตีตะล่อมเข้ามาๆ อันนั้นไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส เหมือนตาเราไปเห็น..หูฟังนั้นฟังไป เดินไปตามสายทางได้ยินไปเห็นไปๆ ธรรมดา ความรู้ของจิตแบบนี้ก็แบบเดียวกันไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส
เราค่อยตีตะล่อมเข้ามาๆ จนกระทั่งถึงที่สุดละที่นี่ แกก็ดื้อ เพราะมันติดไม่ใช่อะไร จะยกโทษแกทีเดียวก็ไม่ถูกเพราะไม่มีใครเคยสอน แล้วความรู้อันนี้ก็เกิดขึ้นกับแกจนติด ตีเข้ามาไม่ให้ออกรู้ แกก็เป็นอยู่อย่างนั้นละ จนได้เถียงกัน นี่ละต่อไปที่ไล่แกลงจากภูเขา แกสู้กับครูละซิ ทางนั้นตีเข้ามาๆ เพราะเราดูหมดแล้วพิจารณาหมดแล้ว รู้หมดแล้ว แกยังไม่รู้ แกก็มีทิฐิมานะว่าแกรู้แกเห็น ดีไม่ดีแกจะเอาความรู้มาสอนเราอีก นั่นละขั้นสุดท้ายไล่ลงจากภูเขา ร้องไห้ลงไป
ไปได้ ๔ วัน แกไปด้วยความหมดหวัง หมดที่พึ่ง.ไม่มีอะไรแล้วก็หวังอาจารย์องค์นี้แหละ ในนิมิตอะไรๆ บอกหมด แน่ะ แกก็บอกชัดเจน ก็หวังอาจารย์องค์นี้ ในนิมิตอะไรๆ บอกหมดเลยว่าองค์นี้ แล้วทำไมจึงถูกไล่ลงภูเขาเป็นเพราะอะไร แกมาพิจารณา เพราะไม่ฟังเสียงท่าน ทางนั้นจะออกรู้ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเห็นหมดนะ แกเก่งมาก แต่เราว่านั้นมันไม่ใช่เรื่องแก้กิเลส เราบวชมาเพื่อแก้กิเลส อะไรจะแก้กิเลสเราสอนลงไปจุดนั้น ทีนี้แกไม่ยอมฟังเสียง แกก็คืบคลานไปตามลมๆ แล้งๆ ไป สุดท้ายเราก็ไล่ลงภูเขา ร้องไห้ลงไป ได้สี่วันกลับมา มาทบทวน
ที่ท่านไล่เพราะอะไรท่านถึงไล่ลง เราผิดหรือเราถูก..พิจารณานะ ก็เพราะไม่ปฏิบัติตามท่าน สุดท้ายท่านไล่ เอ้อ สมควรแล้ว ถ้าปฏิบัติตามท่าน เอ้า ท่านจะไล่ให้เห็นน่ะ ลองปฏิบัติตามท่านดูซิน่ะ ปฏิบัติตามเราก็ปฏิบัติมาแล้วเป็นอย่างนี้ละ ทีนี้ท่านสอนให้ปฏิบัติตามท่านไม่ยอมฟัง ท่านไล่ลงสมควรแล้ว แกก็เลยพลิกใหม่ เอาอุบายของเราที่สอน เอ้า ท่านสอนว่าไงเอานี้มาปฏิบัติซิ ลงใจที่นี่ ปล่อยทิฐิมานะความสำคัญตนต่างๆ เข้ามาพิจารณาตามที่เราสอน มันก็ลงผึงละซิที่นี่น่ะ ลงเต็มเหนี่ยวเลยนะแกว่า จิตไม่เคยลงขนาดนั้นเลย ลงอย่างเต็มเหนี่ยว
พอจิตถอนขึ้นมา โอ้ หลายชั่วโมง พอจิตถอนขึ้นมาก็หันหน้าไปภูเขา เราจำพรรษาอยู่ภูเขาทางตะวันตกสำนักชี ภูเขาโน้น หันหน้าไปโน้นกราบ แล้วตอนเย็นก็พาหมู่คณะไป ถูกเราไล่ลงแล้วสามสี่วันกลับขึ้นไป คึกคักเอาอีกนะ มาอะไรอีกขนาบ เรากำลังปัดกวาดอยู่กับเณรหนึ่ง เดี๋ยวๆ ให้พูดเสียก่อนๆ มันเป็นยังไง เราก็เลยวางไม้ตาดที่ตรงนั้น เณรก็วางที่นั่น เขาก็ขึ้นไปลานหิน ก็เลยคุยกันที่ตรงนั้น แกก็เล่าเรื่องให้ฟังๆ ว่ามันถูกต้องแล้วยอมรับแล้ว เราก็เสริมสอนเพิ่ม ตั้งแต่นั้นมาก็ลงเลยที่นี่นะ ลงหมดเลย นั่นละแกจึงค่อยผ่านได้ ถ้าเป็นบ้ากับลมๆ แล้งๆ ยังไงมันก็ผ่านไม่ได้ นี่แม่ชีแก้ว
แกบอกตั้งแต่ต้นนะ ท่านว่า เวลาเราไปแล้วนี้ห้ามไม่ให้ภาวนา หลวงปู่มั่นท่านสั่ง เวลาเราไปนี้ห้ามไม่ให้ภาวนา จะเป็นบ้ากับโลกกับสงสารเขาก็แล้วแต่เถอะท่านว่า แต่ไม่ให้ภาวนา คือจิตผาดโผน ถ้าไม่มีผู้มาสอนที่รู้ฉลาดยิ่งกว่านี้จะเสียคนได้ความหมายว่างั้น ไปแกก็เล่าให้ฟังอย่างนั้นเราก็ฟัง ว่าหลวงปู่มั่นท่านห้ามไม่ให้ภาวนา เราจับจุดนั้นปุ๊บ ต้องมีเหตุผลกลไกอันหนึ่งท่านถึงจะห้าม สักเดี๋ยวแกก็แย็บออกมาออกแล้ว อ๋อ อันนี้เอง จากนั้นเราไปแกก็ยังสู้กับเรา จนได้ไล่ลงจากภูเขา
มีเทวดาจนกระทั่งนรกเปรตผีติดคุกติดตะราง เมืองผีมีห้องขังเหมือนกันนะ แกเล่าละเอียดลออมากไปเห็นหมดเลย ผีแท้ๆ ก็มีผีอันธพาลนะแกว่า ผีเป็นคนดิบคนดีผีดิบผีดีมี ผีอันธพาลมีต้องเอาเข้ากรงขังไว้ แกบอกอย่างนั้นนะ แล้วแกก็ถามเขา ขังไว้ทำไมอย่างนี้ พวกนี้พวกอันธพาลปล่อยไม่ได้มันทำลายเขา เมืองผีก็มีห้องขังเหมือนกัน แกไปเห็นหมดนั่นละ แต่มันเห็นนอกๆ มันไม่เห็นกิเลสตัวเป็นภัยต่อจิตใจซิถึงตีเข้ามาที่นี่ นั่นละที่แกไม่ยอมฟัง แกติด เราก็เห็นใจแกอยู่แกติด ถึงได้ตีเข้ามาๆ เมื่อไม่ฟังไล่ลงภูเขา พอจากนั้นแกระลึกได้แกก็พิจารณาตามเรา มันก็รู้ขึ้นมายอมรับถึงขึ้นไป
คราวนี้หมอบเลยนะ ขึ้นไปคราวนี้หมอบเลย พอเห็นผลประจักษ์ในวันที่เราสอนอย่างเด็ดๆ เมื่อแกไม่ฟังไล่แกลงจากภูเขา พอลงภูเขาแล้วแกระลึกได้แกมาพิจารณาตามเราสอนนั้นก็ได้ขึ้นมา แกจึงกลับขึ้นมาอีก ของง่ายเมื่อไร นั่นละเห็นไหมความรู้ของผู้ปฏิบัติ ถ้าไม่เหนือกันสอนกันไม่ได้ ธรรมดางูๆ ปลาๆ สอนกันไม่ได้ ยกตัวอย่าง เราไม่ได้ยกตนโพนตัวโอ้อวดนะ อย่างเรากับผู้เฒ่าแม่แก้วนี้ซัดกันขนาดนั้น จนขนาดได้ไล่ลงภูเขาร้องไห้ลงไป เอากันขนาดนั้นนะ ไม่หนักไม่ได้ จากนั้นก็ไปพิจารณาตามเรามันก็ลงตามที่เรา ลงนี้ขึ้นมาก็หมอบเลย นั่นเห็นไหมล่ะ จากนั้นแกก็ผ่านได้ไม่นานนะ
เราไปปี ๙๓ ไปจำพรรษาที่หนองผือ ๙๒ พ่อแม่ครูจารย์มั่นล่วง ๙๓ ย้อนไปจำพรรษาหนองผือ ให้พี่น้องทางหนองผือเรามีความอบอุ่นบ้าง ๙๔ ก็ไปห้วยทราย แกก็ภาวนาเก่งอยู่แล้ว ไปก็เอากันเลย ปี ๙๔ เอาหนักเหมือนกัน ๙๕ ยิ่งเร่งหนักเลย นั่นละแกผ่านได้ปี ๙๕ แม่ชีแก้ว จนกระทั่งผ่านมาถึงวันตายนี้หลายสิบปี เพราะฉะนั้นอัฐิของแกจึงกลายเป็นพระธาตุได้อย่างรวดเร็วและสวยงาม
คืออัฐิกลายเป็นพระธาตุนี้มีอยู่หลายประการ ผู้หนึ่งค่อยดำเนินไปๆ จิตค่อยสม่ำเสมอหลุดพ้นปั๊บ จะนิพพานไปในไม่ช้าอัฐิก็กลายเป็นพระธาตุได้เร็ว บางองค์พอพิจารณาปุบปับ..บรรลุธรรมปึ๋งแล้วก็นิพพานไปเสีย นี้อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุช้า คืออยู่ระหว่างจิตกับธาตุขันธ์มันอบรมกันโดยหลักธรรมชาติ เป็นอยู่นานเท่าไรอัฐิยิ่งกลายเป็นพระธาตุได้ละเอียดลออ เพราะปรกติจิตที่บริสุทธิ์นั้นมันซักฟอกธาตุขันธ์เป็นหลักธรรมชาตินะเป็นเอง ซักฟอกอยู่ธรรมดา ยืน เดิน นั่ง นอนซักฟอกอยู่นั้นเป็นหลักธรรมชาติ ทีนี้เวลาท่านเข้าสมาธิสมาบัติท่านเข้าภาวนานั่นละซักฟอกร้อยเปอร์เซ็นต์ จิตเข้ามานี้หมดแล้วซักฟอกตลอดเลย เพราะฉะนั้นจิตจึงกลายเป็นพระธาตุได้ช้าหรือเร็วต่างกัน เพราะจิตผู้ครองขันธ์บรรลุธรรมช้าเร็วต่างกัน ให้พากันเข้าใจเสียอย่างนี้ วันนี้ก็ไม่มีอะไรละ ว่าจะไม่พูดมากมันก็มากแล้วละ
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ |