เทศน์อบรมฆราวาส
ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๒๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
เพราะก้าวตามทางของศาสดา
(มีพระและเณรมากราบนมัสการฟังธรรมจากหลวงตา) มีเณรสองเณร มันสนใจในธรรมะเป็นเหรอเณรสองเณรนี่ (ชอบนั่งสมาธิครับ) นั่นซิ กรรมฐานท่านไม่มีเณรแหละ คือรำคาญเหมือนลิงตัวหนึ่ง มีเณรหนึ่งก็เท่ากับลิงตัวหนึ่งอยู่ในวัด มันเป็นเองละ นิสัยเด็กใช่ไหมล่ะ จะให้มันเป็นผู้ใหญ่ได้อย่างไร ผ้าเหลืองคลุมลงไปเหมือนเอาผ้าเหลืองห่อหัวลิง เวลามันจะไปก็กอกๆ เด็กนี้ก็เหมือนกัน อยู่ในวัดไม่มี และเผอิญในระยะหนึ่งมันมีเณรหนึ่งอยู่นั้น เขามาฝาก เอามาฝากทำไมเราว่า มีเณรหนึ่งก็มีลิงตัวหนึ่ง
มันหากเป็นนิสัยของเด็กเอง มันอยู่ไม่ได้ พระท่านปฏิบัติธรรมไปเล่นกับท่านไม่ได้ ทะลึ่งท่านไม่ได้นะท่านเขกเอา มันก็อยู่ลำพังมัน อยู่ลำพังไม่ได้มันก็หาเรื่องเล่นละทีนี้ วันหนึ่งเผอิญมันอย่างไรก็ไม่รู้นะ ทางจงกรมเรานั่นแหละอยู่ในป่าลึกๆ นู่นน่ะ กลางวันเงียบๆ เราไปเดินจงกรมอยู่ในป่า กลางคืนเราก็เดินอยู่ที่กุฏิ เผอิญวันนั้นมันคิดอย่างไรก็ไม่รู้ละ ออกจากทางจงกรมนี้ก็ปั๊บเข้าป่าเลย
พอเข้าไปป่า เดินเข้าไปทางจงกรมเงียบๆ ลึกๆนะเห็นบั้งไฟเล็กๆนะขึ้นซิดๆๆ เอ้ามันอะไรเรามองดู มันก็ยิ่งเป็นจุดสนใจจ้อละทีนี้ สังเกตดูเสียก่อน มองดูเห็นเณรหนึ่งอยู่นั้น มีไฟอันหนึ่งจุดไว้นั้นเล็กๆ ใส่เทียน เราคอยดู เรายังไม่เข้าไปละ คอยดูสังเกตดูเสียก่อน พอสักเดี๋ยวมันจุดบั้งไฟเล็กๆนะ มันทำเป็นนะ สักเดี๋ยวซิดๆๆ ขึ้น เราก็เลยเดินเข้าไป ทำอะไรเณร โอ๋ย ทำไปอย่างนั้นแหละ ตัวสั่นไปเลย แล้วจะทำอย่างไรเราก็ไม่ว่าอะไรละ
ทีนี้พอระยะสองสามวันมันจะตาย มันกลัวมาก ไม่เป็นอันอยู่อันกิน เราก็เฉย เราไม่สนใจละ จนกระทั่งเรื่องมันจางไปหมดแล้ว จึงค่อยเรียกเณรมาถาม เป็นเพราะเหตุไรเณรถึงทำอย่างนั้น แล้วทำบั้งไฟนี้ทำไมถึงทำเป็น คือตั้งแต่เป็นเด็ก ว่าอย่างนั้น ตั้งแต่เป็นเด็กไปวัดกับพ่อพระท่านทำตะไล ทำบั้งไฟ เห็นตัวอย่างแล้วมาทำ แล้วดินระเบิดนี้เอามาจากไหน เอามาจากหัวไม้ขีดไฟ ไม้ขีดไฟเป็นกล่องเป็นหีบมันเอามาทำบั้งไฟหมด มันเอาจากหัวไม้ขีดไฟมาทำ แล้วทำอย่างไรทำเป็น ก็พ่อเคยพาไปวัดท่านทำแล้วดูตัวอย่างท่านมาทำ แล้วมันขึ้นนะล่ะซิดๆๆๆ แล้วให้ทำทัณฑกรรม ๓ วัน ให้ขุดดินในจอมปลวกข้างในมาถมที่มันต่ำๆ ข้างๆ ศาลา ๓ วัน วันละ ๑ ชั่วโมง นี่เป็นทัณฑกรรมตามหลักของธรรมวินัย ถ้าจากนี้ก็ไล่ ละ ก็ไม่ได้ทำอีก ทำหนเดียว อย่างนั้นละมีเณรเดียวมันก็ทำของมัน จะว่าอย่างไร จุดบั้งไฟอยู่ในป่าลึกๆซิดๆๆขึ้นเลย สำหรับวัดกรรมฐานไม่มีเณร มันเหมือนมีลิงตัวหนึ่ง
คนก็เยอะเต็มไปหมด ยังไม่ซิดๆๆ เข้าใจไหม พักเครื่องเสียก่อน บั้งไฟยังไม่ขึ้น บั้งไฟเณรยังไม่ขึ้น ซิดๆๆ ขึ้นจริงๆ นะ มันทำนะ บั้งไฟเล็กนะขึ้นจริงๆ ซิดๆๆ ขึ้น เอ๊ะมันทำเป็นนะ เราไม่เคยสนใจแต่ไหนแต่ไรมาบั้งไฟ ทำไม่เป็นนะ เพราะไม่เคยสนใจ บวชมาเป็นเณรเป็นพระเลยทีเดียว ไม่ได้บวชเป็นเณรมาก่อน บวชเป็นพระเลยทีเดียว
วันนี้ดูศูนย์ศิลปาชีพ ไปเยี่ยมเขา เที่ยวนั้นเที่ยวนี้ไป แล้วมอบเงินให้เขาแสนบาท
วัดอโศการามนั้นก็เป็นท่านพ่อลีมาสร้างที่นั่น แต่ก่อนไม่มีบ้านคน ทำครัวเลี้ยงพระทั้งวัด แต่ท่านอานุภาพบารมีของท่านสูง อาหารการกินไม่บกพร่องเลย เขาทำครัว อาหารกองพะเนินเทินทึก ไม่มีที่บิณฑบาต ก็มีอะไรเขาเรียกแห่งเดียว นอกนั้นไม่มีที่ไป เขาจัดอาหารทำครัวเลย เดี๋ยวนี้บ้านรอบไปหมด ไปบิณฑบาตที่ไหนก็ได้แล้ว ท่านอาจารย์ลีนี้กระแสจิตท่านแรงนะ รุนแรงมาก เราจะเห็นเวลาท่านทำน้ำมนต์ กระแสจิตนี้มันต่างกัน กระแสนุ่มนวล กระแสไปอย่างนุ่มนวล กระแสอย่างพุ่งอย่างแรง มีต่างกันกระแสจิต
เวลาท่านน้ำมนต์เห็นได้ชัดเลย กำลังทำปุ๊บใส่เลย คือกระแสจิตไปพร้อมกันพุ่งทีเดียว รอบหมดเลย นั่นละกระแสจิตแรงไปพรึบเดียวหมด กระแสจิตอีกประเภทหนึ่งนุ่มนวล ทำธรรมดา ซ่านธรรมดา อย่างของท่านพ่อลีกระแสจิตรุนแรง ท่านมีพลังจิต ท่านอาจารย์ฝั้นก็เหมือนกัน ท่านอาจารย์ฝั้นมีพลังจิต ท่านอาจารย์ลีพลังจิต ต่างกัน พลังจิตนี่หมายถึงเครื่องใช้นะ ที่ว่าพลังจิตนี้เป็นเครื่องใช้ของจิตตามนิสัยของแต่ละท่านละองค์ อย่างท่านอาจารย์ฝั้นนี้มีพลังจิต
อย่างท่านอาจารย์ลียกคนได้ทั้งคนนะ นั่งอยู่ท่านกำหนดยกคนให้ขึ้นทั้งคนขึ้น นี่ละพลังจิต อันนี้เป็นท่านเฟื่องเล่าให้ฟังเอง เล่าไม่ได้เห็นต่อหน้าต่อตาละ พูดถึงเรื่องพลังจิต ท่านเฟื่องยอมรับทันทีว่า โห ท่านพ่อลีพลังจิตเก่งมาก ยกคนได้ทั้งคนเลย ท่านก็เลยเล่าให้ฟังว่าวันนั้นนั่งอยู่ด้วยกันมีเด็กคนหนึ่ง ท่านเฟื่องนั่งอยูนี่คุยกันไปคุยกันมา บทเวลาจะเอา เอานูญ เด็กชื่อมนูญนะ เอาขึ้น นั่งเอานั่ง ปรกติก็นั่งอยู่แล้ว คำว่าเอานั่งหมายความว่าให้ตั้งท่า เอาขึ้นนะ ขึ้น พอว่าอย่างนั้นเอาขึ้น ขึ้นก็ขึ้นจริงๆ นะ นั่งอยู่ดีๆ ขึ้นๆ ๆๆ เลย ท่านกำหนดจิตให้ขึ้น ขึ้น ทางนี้ก็เตรียมท่า
ท่านอาจารย์เฟื่องเตรียมท่า ให้เด็กคนนี้ขึ้นแล้ว อย่างไรจะต้องมาเอาเราขึ้น เราจะไม่ขึ้น ว่าอย่างนั้นนะ พอว่าเอานูญขึ้น พอว่าเอาขึ้นๆ ท่านทำมือขึ้นๆ ขึ้นจริงๆ ขึ้นพ้นพื้นไป พอเสร็จแล้วท่านถอยจิตค่อยลง ถ้าถอยแรงลงเร็วปึ้งเลยนะ อย่างไรท่านจะเอาเราให้ขึ้นจนได้เราจะไม่ขึ้น ทางนี้เตรียมท่าตั้งแต่ท่านยังไม่อะไร เตรียมท่าจะไม่ขึ้น สักเดี๋ยวเอาเฟื่องขึ้น ทางนี้ก็ต่อสู้ ท่านว่าอย่างนั้นนะ ต่อสู้ เอาขึ้นๆ แล้วมันไหวอยู่อย่างนี้ มันจะขึ้น ทางนี้บังคับ ไหวไป ถ้าเลยนั้นนิดหนึ่งจะขึ้น สักเดี๋ยวท่านก็หยุด อือ ..หัวดื้อ ท่านบอกว่าหัวดื้อ คือมันไหวไปไหวมาอยู่ทั้งตัว แต่มันไม่ขึ้น มันโยกไปโยกมา มันจะขึ้น ท่านบังคับท่านว่าไม่ให้ขึ้น จะบังคับแบบไหนไม่รู้ละ ท่านบอกว่าท่านบังคับไม่ให้ขึ้น พอเสร็จแล้ว อือ..หัวดื้อ พลังจิตของท่าน
เหล่านี้เป็นเครื่องใช้ พลังจิตเป็นเครื่องใช้ สำหรับความบริสุทธิ์นี้ถ้าถึงขึ้นบริสุทธิ์เสมอกันหมด ไม่มียิ่งหย่อนต่างกันคือความบริสุทธิ์ของผู้สิ้นกิเลส เหมือนกันหมดเลย แต่ที่จะนำมาใช้ตามนิสัยวาสนานั้นต่างกัน เช่นอย่างกระแสจิตห้ามรถวิ่งปึ๋้งๆนี้ให้หยุดกึ๊กๆเลย ไปไม่ได้ กระแสจิต พลังของจิต รถวิ่งปึ๋งๆ ให้หยุด หยุดไปไม่ได้ ติดเครื่องให้ดับ ดับ ไปไม่ได้อย่างนี้ พลังของจิต ใช้ได้ในวงปฏิบัติของท่านมีแต่ท่านไม่เอาออกมาใช้มาพูดละ หากมีอยู่ แต่ท่านไม่เอาออกมาใช้ หากมีอยู่ตามนิสัยของใครจะรุนแรงไปทางไหน
พอพูดอย่างนี้คิดถึงท่านอาจารย์ อาจารย์อะไรนะท่านมีนิสัยตลกนะ แต่กระแสจิตท่านรุนแรง นักภาวนาเหมือนกัน ไปทางมุกดาหารไปทางนู้นแหละ ลืมเสียแล้ว ที่ท่านพักอยู่ นี่กระแสจิตก็แรง เอาจนกระทั่งรถเขาอัศจรรย์ท่าน เพราะเขามีลักษณะต่อสู้ท่านด้วยทิฐิมานะไม่ยอมลงท่าน ท่านให้รอสักนิดหนึ่ง จะเข้าร้านนี้สักหน่อย เขาก็ขึงขังตึงตังเขาไม่ยอมรอเขาจะไป เขามีลักษณะทิฐิมานะใส่ท่านนะ ท่านเลยรับคำนี้เลยเอาถ้าเก่งจริงไป ท่านลงจากรถท่านก็ไป เมื่อไรยังไปไม่ได้รถยังตายอยู่ พอจะไปทำไมไม่ไป รถเครื่องไม่ติด นั่นเห็นไหมล่ะ ลืมชื่อท่านแล้ว นี่พลังจิตแรงองค์นี้ ที่ว่าเอาถ้าไม่อยู่ เอาไป ท่านลงรถท่านก็เข้าร้านเข้าไปนู้น จนกระทั่งกลับออกมารถยังไปไม่ได้ ตายอยู่นั่น อย่างนั้นแหละพลังจิต
อันนี้เป็นเครื่องใช้ต่างหากนะ ที่พูดเหล่านี้ไม่ใช่ธรรมแก้กิเลส ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ ไม่ใช่ทาง เป็นเครื่องใช้ต่างหาก ใครจะเอาไปใช้ทางไหนก็ใช้ตามจริตนิสัยของตนที่มีสมบัติอย่างนี้ประจำตน จะใช้อย่างไรก็ใช้ได้ อย่างที่ท่านเข้าสมาบัติ ๘ เข้านิโรธสมาบัติ ท่านเข้านิโรธสมาบัติเสร็จแล้วนิพพานเลยท่านทำตามความสนิทใจของท่าน องค์ไหนที่ไม่ชำนิชำนาญทางนั้นท่านก็ไม่สนใจ ท่านเข้าของท่านไปเลย เป็นอย่างนั้น เพราะจิตมันบริสุทธิ์ จะเข้าแบบไหนก็เป็นแบบบริสุทธิ์ ไม่ยากอะไร ก็ความบริสุทธิ์มันตายตัวอยู่แล้ว
บางท่านท่านก็ทำตามทาง อย่างพระพุทธเจ้านี่เรียกว่าเต็มยศของพระศาสดา เวลาประทานพระโอวาทให้พระสงฆ์เสร็จเรียบร้อยแล้วทีนี้ท่านจะเริ่มนิพพาน นี่เรียกว่าเต็มยศของศาสดาเพราะเป็นครูสอนโลก เอาให้เต็มยศเวลาสุดท้าย ท่านก็เริ่มเข้า พระอนุรุทธะนั่งดู พระอนุรุทธะนี้เก่งในเรื่องตามจิตใครก็ตาม แม้พระจิตของพระพุทธเจ้าก็ตามเสด็จทันตลอดเวลาเลยจิตที่บริสุทธิ์ อนุรุทธะนี้เก่งทางด้านปรจิตตวิชชา คิดดูอย่างพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วเขาจะให้เสด็จไปทางทิศนี้ยกไม่ขึ้นนะ ยกอย่างไรก็ไม่ขึ้นๆ พระอนุรุทธะต้องมาตัดสินให้ ไม่ขึ้น เทวดาไม่เห็นด้วย นั่นเห็นไหมท่านรู้กระทั่งเทวดา
เทวดาไม่เห็นด้วย เทวดาให้ออกทางช่องนี้เลย เอาออกทางช่องนี้ ยกไปเลย ใครรู้ละพลังของเทวดาหักห้ามเอาไว้ไม่ให้พระสรีระของพระองค์เคลื่อนที่ ยกก็ไม่ขึ้น ทำอย่างไรก็ไม่ขึ้น ว่าจะเอาไปทางทิศนี้ไม่ขึ้น พอพระอนุรุทธะมาบอกว่าไม่ขึ้น เทวดาไม่เห็นด้วย เทวดาเห็นด้วยให้ออกทางด้านทิศนั้นทิศนี้ พอว่าอย่างนั้นยกปึ๋งไปเลย พระอนุรุทธะรู้พวกเทพทั้งหลายเฝ้าอยู่นั้นหมด รู้หมด เวลาพระพุทธเจ้าจะปรินิพพานก็เหมือนกัน ตั้งแต่เข้าปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เรียกว่ารูปฌาน ๔ นี่พระอนุรุทธะก็ตามเสด็จจิตที่บริสุทธิ์คือจิตพระพุทธเจ้า ตามเสด็จตลอดเวลา
ฌานนั้นฌานนี้เป็นสมมุตินะ ผู้ที่บริสุทธิ์ผู้เดินตามฌานนั้นคือจิตที่บริสุทธิ์ เข้า ปฐมฌานก็จิตที่บริสุทธิ์เข้า ทุติยฌาน-ตติยฌานก็จิตที่บริสุทธิ์ผ่านๆๆๆ ขึ้นถึง อากาสานัญจายตนะเรียกว่าอรูปฌาน วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ พอจากนั้นก้าวเข้าสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ ดับสัญญาและเวทนา ไม่มีเหลือในพระสรีระ สัญญาหมด เวทนาในพระสรีระหมด ไปถึงนั้นก็ไปสงบ พอจากนั้นแล้วเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธดับสัญญาและเวทนา ไปสงบพระอาการอยู่ที่นั่น พระอนุรุทธะตามเสด็จ
บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายก็สงสัย เอ๊ นี่ไม่ใช่พระองค์ปริพพานแล้วเหรอ ทางพระอนุรุทธะตอบทันที ยัง เวลานี้กำลังอยู่ในสัญญาเวทยิตนิโรธ พระอนุรุทธะติดตามเสด็จ พระจิตของพระพุทธเจ้าที่บริสุทธิ์แล้วจะก้าวเพื่อจะนิพพาน ทางนี้ก็ตามตลอด พอจากสัญญาเวทยิตนิโรธแล้วย้อนถอยกลับมา พระอนุรุทธะก็ตามมาเลย จนกระทั่งถึงปฐมฌาน จากปฐมฌานเข้าถึงพระจิตบริสุทธิ์ธรรมดา พระอนุรุทธะตามตลอดเลย ทีนี้ก้าวเข้าสู่ปฐมฌาน ทุติยฌานถึงจตุตถฌาน ระหว่างจตุตถฌานซึ่งเป็นรูปฌานกับอรูปฌาน อากาสานัญจายตนะ ทั้งสองฌานนี้รูปฌาน-อรูปฌาน ออกนิพพานในท่ามกลาง ไปเลย นั่น พระอนุรุทธะบอกตลอด
พอไปถึงขั้นนี้นิพพานในย่านกลางแห่งรูปฌานและอรูปฌาน ทีนี้ปรินิพพานแล้ว ทีนี้ไม่มีจุดหมายจะถามละหมด สมมุติหมดที่จะติดตามว่าไปอยู่ที่ไหนอีก นั่นละจิตของท่านผู้บริสุทธิ์ เมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วคือเลยสมมุติทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรที่จะไปเกี่ยวข้องได้คือจิตของท่านผู้บริสุทธิ์ อันนี้เรียกว่าเลยวงสมมุติทั้งหมด ในสามไตรโลกธาตุเป็นสมมุติทั้งมวล จิตดวงนั้นผ่านหมด ข้ามไปหมดเลย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีสมมุติใดๆ เข้าไปเกี่ยวข้องได้ นิพพานแล้ว นิพพานคือหมดสมมุติ นอกจากนั้นจะมีสมมุติ พอผ่านเข้านั้นแล้วก็นิพพานแล้ว พระอาการทุกส่วนก็ใช้ในเวลาที่ยังมีพระสรีระอยู่ แต่เวลาถึงขั้นนั้นแล้วปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง เข้านิพพานล้วนๆ เลย
นี่เราพูดถึงท่านผู้บำเพ็ญทางด้านจิตใจ เป็นไปตลอดจนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็เป็น เราจะว่าหมดเขตหมดสมัยไปที่ไหนล่ะ ก็ธรรมสอนไว้เพื่อเหตุเพื่อผล เพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อมรรคผลนิพพาน ต้องเป็นมรรคผลนิพพานวันยังค่ำ ถ้าปฏิบัติตามนั้นเป็นตามนั้นวันยังค่ำ ถ้าไม่ปฏิบัติตามเกาะชายจีวรพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร มันต่างกันตรงนี้ มันสำคัญอยู่ที่จิตนะ
อย่างเราถือพุทธศาสนามีแต่คำว่าถือพุทธศาสนา แต่หัวใจมีแต่เปรตแต่ผีแต่ยักษ์แต่มาร ความโลภ ความโกรธ ความหลง เต็มหัวใจ มันเป็นศาสนาอะไร มารของศาสนาล้วนๆ ทำลายศาสนาคือหัวใจตัวเองอยู่ตลอดเวลา จะทรงมรรคทรงผลนิพพานได้อย่างไร ท่านจึงแก้ไขอันนี้ออก ทีนี้ถึงมรรคผลนิพพานได้ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้จดจำเอาไว้ ฟังอย่างให้ถึงใจนะ
ไม่มีศาสนาใดในโลกธาตุอันนี้ โดยที่ว่าเราไม่ได้พูดเพื่อดูถูกเหยียดหยามศาสนาใด พูดตามทางของธรรมของความจริงว่าพุทธศาสนาเท่านั้นจะรื้อถอนขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์ถึงพระนิพพานได้มีพุทธศาสนาแห่งเดียว เป็นศาสนาที่ถูกต้องแม่นยำ เพราะผู้เป็นเจ้าของศาสนาเป็นผู้สิ้นกิเลสเรียบร้อยแล้ว สอนธรรมด้วยความถูกต้องดีงามทุกอย่าง จึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีที่จะได้เพิ่มเติมหรือตัดออกอะไรไม่มี พอเหมาะพอดี ผู้ปฏิบัติตามนั้นไม่ว่ากาลนั้นสมัยนี้หรือสมัยใดก็ตามก้าวหนึ่งสองก้าวก็ก้าวเข้าสู่มรรคสู่ผล เพราะก้าวตามทางของศาสดาที่สอนไว้แล้วโดยถูกต้อง การก้าวก็ถูกต้อง หนึ่งก้าวก็ถูกต้อง สองก้าวถูกต้อง ใกล้เขาไป ใกล้เข้าไปถึง ถ้าผิดจากศาสนธรรมแล้วก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็ห่างไปหนึ่งก้าว สองก้าวห่างไปๆ ห่างไปเลยหายเงียบ ไม่มีมรรคผลนิพพาน
คำสอนนี้จึงเป็นคำสอนเป็นแบบฉบับตายตัวเลย เคลื่อนไม่ได้ ถ้าหากเดินตามคำสอนนี้ไม่มีสัตว์ตัวใดจะเล็ดลอดไปลงนรกได้ ถึงสวรรค์นิพพานด้วยกันทั้งนั้นแหละ ท่านจึงสอนไว้โดยถูกต้อง นี่ละพุทธศาสนาสอนไว้โดยถูกต้อง ขอให้พากันไปปฏิบัติ จิตใจเป็นของสำคัญมากนะในโลกนี้ สัตว์โลกเกิดตายๆ มีแต่ใจดวงเดียวพาให้เป็น ใจดวงนี้ แหม มันพิลึกกึกกือนะ มันพิสดารเอามากพรรณนาไม่ได้ เจ้าของตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายสับสนปนเปไปด้วยภพชาติต่างๆ ไม่มีประมาณคือจิตดวงเดียวนี้แหละ
คนเราคนเดียวนี้อย่าเข้าใจว่าเคยเกิดเป็นมนุษย์และเกิดเป็นมนุษย์มา เป็นสัตว์ประเภทต่างๆนี้นับจำนวนไม่ได้จากจิตดวงเดียวนี้ เพราะอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วที่ตนทำแล้ว มันแจงออกไปให้เป็นภพนั้นภพนี้ไป เกิดตายเท่าไรมันเป็นมาอย่างนั้นเรื่อยๆ นี่ละจิตดวงนี้ท่านเรียกว่านักท่องเที่ยว คือไม่ตาย ไม่มีคำว่าตาย จะตกนรกหมกไหม้ถึงกี่กัปกี่กัลป์ก็ตามด้วยอำนาจแห่งกรรมที่หนาแน่นมากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ตกนรกเพราะอำนาจแห่งกรรมหนักที่ทำอนันตรยิกรรมห้า อนันตริยกรรมห้าคืออะไร ฆ่ามารดา๑ ฆ่าบิดา๑ ฆ่าพระอรหันต์๑ ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตาย๑ ยุยงให้สงฆ์ที่สามัคคีกันแตกจากกัน๑ กรรมห้าอย่างนี้เป็นอนันตริยกรรม ทุกข์นี้หาระหว่างไม่ได้ แม้ชั่วฟ้าแลบก็ไม่มีว่าสุขจะแทรกเข้ามาในขณะที่ฟ้าแลบไม่มี ขนาดนั้นละ ตกอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์กี่กัปกี่กัลป์ใจนี้ก็ยอมรับทุกข์ หนักมากน้อยเพียงไรยอมรับ แต่ไม่ยอมฉิบหาย
โลกนี้เป็นโลกอนิจฺจํ อยู่ในโลกสมมุติเป็นโลกอนิจฺจํ ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง แม้จะเปลี่ยนแปลงช้าหลายกัปหลายกัลป์ก็เปลี่ยนแปลงอยู่นั้น จนกระทั่งพ้นจากนรกลงมาได้ ทีนี้เวลามาแล้วมาเกิดเป็นภพชาติต่างๆ ด้วยอำนาจแห่งกรรมอีกประเภทหนึ่งๆ สลับซับซ้อนกันมากทีเดียวใจดวงนี้นะ พิสูจน์กันทางภาคจิตตภาวนา พิสูจน์อย่างอื่นไม่เห็นไม่มีทาง เหยียบย่ำทำลายร่องรอยของตัวเองอยู่นั้น ถ้าได้พิสูจน์ทางด้านจิตตภาวนานี้ดังพระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้ว่าทรงเจริญอานาปานสติ
พอปฐมยามบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติของพระองค์ได้ย้อนหลังไปไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เกิดมานานสักเท่าไรตามรอยของตัวเองเห็นหมดเลย เกิดเป็นนั้นๆๆ มาถึงปัจจุบัน พอมัชฌิมยามบรรลุจุตูปปาตญาณ จุตูปปาตญาณคือความเกิดความดับของสัตว์ทั้งหลายที่เสาะแสวงหาเกิดที่ตายเต็มโลกเต็มสงสาร พิจารณาของเราเป็นอย่างนี้ของโลกเป็นอย่างไรของโลกก็เป็นอย่างนี้แบบเดียวกัน พระองค์บรรลุ พอมัชฌิมยามบรรลุจุตูปปาตญาณรู้ความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลาย
สัตว์เหล่านี้ออกจากนี้แล้วเกิดจากนี้จะไปตายไหนเกิดไหนๆ แล้วคำว่าสัตว์นรกไปตกนรกหมกไหม้ที่ไหนๆ แต่ละรายๆ นี้เขาทำกรรมอะไรไว้พระองค์ทรงทราบหมดนะ สัตว์นรกมากขนาดไหนตกในนรก สัตว์นรกรายนี้มันทำกรรมอะไรจึงมาตกนรกอย่างนี้ รายนี้ทำอะไร รู้จนกระทั่งสาเหตุแห่งการทำกรรม และการทำกรรมมาจนปัจจุบัน ท่านทราบขนาดนั้น แล้วพ้นขึ้นมา เพราะอยู่ในกฎอนิจฺจํ ไม่เที่ยงก็ค่อยเปลี่ยนมาๆ จนพ้นขึ้นมาได้ จิตก็ไม่ฉิบหาย จิตดวงนี้ไม่มีทางฉิบหาย
เข้ามาทางดีก็หมุนทางด้านดี สร้างคุณงามความดีอบรมจิตใจให้อยู่ในกรอบของศีลของธรรม เพราะกรอบศีลกรอบธรรมนี้เป็นกรอบที่จะยังมนุษย์ให้ค่อยหลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดาไป แต่กรอบแห่งกิเลสนั้นมีแต่จะลากลงโดยถ่ายเดียว เอาถึงขั้นล่มจม ไม่ว่าจะภพใดไปเกิดถ้ากิเลสพาไปเกิดหาค่าหาราคาไม่ได้ สัตว์หมดค่าหมดราคาคือสัตว์ที่มีกรรมหนานั้นแหละ ไปเกิดที่ไหนไม่มีคำว่ามีค่ามีราคา ฉิบหายไปตามๆ กัน ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ความฉิบหายสร้างไว้ที่ใจ ความทุกข์จึงเผารนที่ใจตลอดมา
นี่ละกรรมชั่ว อย่าพากันประมาทกรรมนะ คำว่ากรรมชั่วกรรมดีไม่มีใครสอนได้ในโลกนี้ มีพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นผู้สั่งสอนไว้โดยถูกต้องแม่นยำ ไม่เคลื่อนคลาดคือสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่วไม่ผิดไม่พลาด คือศาสดาองค์เอกของเราสอนไว้ ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ถ้าฝืนพระพุทธเจ้ากิเลสมันชอบฝืนเสมอนะ ถ้าอันใดเป็นทางถูกต้องมันไม่พอใจจะทำ อะไรที่เป็นทางผิดมันพอใจ หมุนตัวเข้าใส่เลย สัตว์โลกทั้งหลายจึงชอบจะจมกันมากยิ่งกว่าผู้จะไปทางดี เพราะเป็นไปตามกำลังของกิเลสที่มันรุนแรงกว่าธรรม แล้วก็หมุนไปตามมันก็จมไปๆ
ท่านจึงสอนให้ระมัดระวัง การฝึกฝนอบรมตนนี้พระพุทธเจ้าเอามาเป็นประมาณเลยทีเดียว เอามาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ศาสดาองค์เอกของเราทรงฝึกทรมานมาสลบถึงสามหนนะ ถ้าไม่ฟื้นก็ตาย ถึงขั้นสลบสามหนจึงได้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา หนักหรือไม่หนัก ทุกข์หรือไม่ทุกข์ เอามาเป็นคติตัวอย่างสอนเรา เราทุกข์เพียงเท่านี้มันจะเป็นอะไรไป เอานั้นละไปเป็นคติ ฟัดกันไปฟัดกันมา เดี๋ยวก็ผ่านได้ ตามจุดๆ แล้วสะดวกขึ้นไปโดยลำดับ ให้พากันฝึก
ถ้าจะปล่อยเฉยๆ ให้ใจดีไม่มีทางดีนะ ไม่มีดี เพราะกิเลสไม่มีคำว่าดีกิเลส ติดกับใจดวงใดจะทำใจให้ชั่วตลอดไป มีมากเท่าไรแล้วทำตามมันเท่าไรยิ่งหนักเข้าเรื่องความทุกข์ความทรมานในจิตใจ เกิดภพใดชาติใดเขาได้รับความสุขความเจริญเราได้รับตั้งแต่ความทุกข์ความทรมาน เพราะการสร้างกรรมชั่วของเราตามกำลังอำนาจของกิเลสที่มันฉุดลากไป ให้ฝืนมันนะ ไม่ฝืนไม่ได้ ต้องฝืน เวลาฝืนเต็มที่แล้วทางธรรมะมีกำลัง ทีนี้ก็เอากิเลสได้ ทีแรกมีแต่กิเลสฟัดเอาหลงทิศหลงแดนไป ล้มลุกคลุกคลาน ตั้งสติไม่อยู่ ตั้งสติตั้งพับล้มผล็อย ไม่มีคำว่าอยู่ ตั้งเพื่อล้มโดยถ่ายเดียว นี่เวลากิเลสกระแสมันรุนแรงตั้งสติไม่อยู่นะ
เราเคยตั้งแล้ว จึงได้นำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายอย่างออกหน้าออกตา ไม่สะทกสะท้านเพราะเราเป็นเอง ตั้งหน้าตั้งตาจะตั้งสติให้อยู่จะไม่ให้มันล้ม ตั้งพับล้มพร้อม ตั้งพับล้มพร้อมๆๆ สู้ไม่ไหวก็น้ำตาร่วง ไม่ลืมนะ อุทานในใจนะ โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ คือเอาจนกระทั่งตั้งพับล้มผล็อยๆ หงายตลอดเวลา ตั้งไม่ได้นะ กระแสของกิเลสมันรุนแรง สติตั้งไม่ได้เลย ตั้งล้มๆ จนกระทั่งถึงออกอุทาน โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ คือมันหมดทางสู้ สู้เสือด้วยกำปั้น โมโหให้เสือด้วยกำปั้น แต่กำปั้นนี้มันมีอันหนึ่งที่อยู่ฉากหลังเคียดแค้นให้กิเลสนะ
โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ จนน้ำตาร่วง คือตั้งสติไม่อยู่ กระแสของกิเลสตีทีเดียวล้มๆๆ เอาล่ะอย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง เอาตรงนี้ละ ให้กูถอยกูไม่ถอย มันเป็นอยู่ในใจนะ ไม่ได้ออกปากพูดออกมาละ เป็นอยู่ภายในจิตใจ เหอ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ อย่างไรให้กูถอยกูไม่ถอย ไม่ถอยจริงๆ ทีนี้มันก็มาได้ธรรมะข้อหนึ่งอีก มาเป็นคติเครื่องเตือนใจจนกระทั่งทุกวันนี้ การเคียดแค้นให้บุคคลหรือสัตว์ตัวใดก็ตามเป็นกิเลสเป็นบาปเป็นกรรมทั้งนั้นนะ แต่การเคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นภัยในหัวใจของเรานี้เป็นธรรมนะ
เราเคียดแค้นให้กิเลสของเรานี้กระทั่งน้ำตาร่วงแล้วก็..หือ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอา..อย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่งให้กูถอยกูไม่ถอย นี่เคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจ ฟัดกันเลย ไม่หยุดไม่ถอย สุดท้ายมีทางแก้ได้ๆ แก้ได้ก็ซัดกันใหญ่เลย นี่มุมานะ เคียดแค้นให้กิเลสที่มีอยู่กับตัว เป็นภัยแก่ตัวเองนี้เป็นธรรม ต่างกัน เคียดแค้นให้คนอื่นคนใดเป็นโทษเป็นกรรมทั้งนั้น อย่าพากันไปเคียดแค้นให้คนอื่นคนใดนะ ถ้าเคียดแค้นให้เคียดแค้นให้ตัวเองแก้ตัวเอง มันไม่ดิบไม่ดีที่ตรงไหนให้แก้ที่ตรงนั้น แล้วจะดีขึ้นมาให้เห็นชัดเจนเลย สำคัญมากที่ตรงนี้นะการแก้ตัวเอง
นั่นละที่ว่ามุมานะ อย่างไรมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เอาจริงๆ เอาจนพังให้เห็นได้อย่างชัดเจน ถึงวาระที่ธรรมมีกำลังมากแล้วนี้กิเลสมันเก่งกล้าสามารถมาจากไหนก็ตามอ่อนพับไปหมดเลยนะ อำนาจของธรรมรุนแรงมากนะ พอโผล่ขึ้นมาปั๊บขาดสะบั้นๆ นี่คือพลังของธรรมเร็ว รวดเร็วว่องไว ขาดทันทีทันใด ไม่มีเงื่อนต่อ อยู่ได้นาน ซัดกันไปซัดกันมา สุดท้ายมันก็เชื่อมโยงถึงมหาสติมหาปัญญา ถึงขั้นที่จะเอากิเลสให้ม้วนเสื่อโดยถ่ายเดียว นับวันเวลาไว้ก็ได้ มันรวดเร็ว จากนั้นกิเลสพังเลย
พอกิเลสพังแล้วมีอะไรทีนี้มาเป็นข้าศึกในหัวใจของสัตว์โลก เฉพาะอย่างยิ่งหัวใจของเรา มีอะไร หมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีเรื่องมีราวจิตดวงนี้หมดเรื่อง ที่แท้อ๋อผู้ก่อเรื่องคือกิเลส กิเลสจะมีหนักมีเบามากน้อยเพียงไรจะเป็นผู้ก่อเรื่องให้รับความทุกข์ความทรมานยุ่งเหยิงวุ่นวายตลอดมานะ พอกิเลสทุกประเภทๆๆ ขาดลงๆ ฟาดประเภทที่วาระสุดท้ายละเอียดสุดยอดฟาดขาดสะบั้นลงไปแล้วหมด ไม่มีอะไรเข้ามากวนใจ
นั้นละจิตของท่านผู้บริสุทธิ์ไม่มีสมมุติเข้ามากวนใจ ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสสัมพันธ์ได้เห็นได้ยินอะไรตกพร้อมๆ ไม่เข้าไปติดในใจนะ ไม่ได้เป็นอารมณ์ในใจเหมือนแต่ก่อนที่กิเลสเป็นรวงรังใหญ่อยู่นั้น แต่ก่อนกิเลสอยู่ในนั้นมีอะไรมันกว้านเข้าไปเป็นไฟเผาเจ้าของ พอกิเลสภายในนี้หมดแล้วพอได้ยินได้ฟังพับตกพร้อมๆ ไปเลย เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ท่านจึงไม่มีอารมณ์ ท่านจึงไม่มีความทุกข์ หมด เพราะกิเลสเป็นผู้สร้างความทุกข์ กิเลสสิ้นซากไปแล้วทุกข์ไม่มี หมด
นี่ละการชำระจิตใจการอบรมจิตใจถึงขั้นว่าหมดทุกข์ กิเลสตัวสร้างทุกข์หมดไป ทุกข์ไม่มี ดับโดยสิ้นเชิง บรมสุขไม่ต้องถามอยู่ที่ตรงนั้นเอง แล้วการฝึกทรมานนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้โดยถูกต้องแล้วนะไม่ผิดไม่พลาด ให้พากันนำวิธีการที่ท่านสอนนี้ไปปฏิบัติตามขั้นตามภูมิของตัวเอง เช่นเบื้องต้นจิตใจมันเอาไว้ไม่อยู่ท่านก็สอนให้ภาวนาบริกรรม จิตมันไขว่มันคว้าอยู่ทีนี้เอาคำบริกรรมเข้ามา ให้จิตมันเกาะกับคำบริกรรม เพราะเมื่อจิตเกาะกับคำบริกรรมสติจับไว้ปั๊บจิตมันก็ไม่เคลื่อนย้ายไปไหน คำบริกรรมก็ติดกับจิต ติดกับจิต เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิต สติหล่อเลี้ยงจิต จิตก็สงบเย็นๆ ไม่มีอะไรเข้ามากวนได้ เพราะสติควบคุมอยู่ จากนั้นค่อยสงบลงลงไป เย็นๆ และกระจายออกไปเป็นความสงบเย็น
นี่ท่านก็สอนเอาไว้ในการฝึกหัดจิตใจเบื้องต้น ให้เราจับเอาไว้ให้ดีนะ จิตมีความสงบแล้วมันหากมีทางที่จะก้าวเดินได้คนเรา เมื่อมีทุนมีรอนแล้วคิดได้อ่านได้ การค้าการขายก็พอเป็นไปได้ ถ้ามันไม่มีทุนมีรอนค้าขายด้วยกำปั้นลำบากนะ อันนี้ท่านก็สอนไว้แล้ว ให้ยึดอันนี้ให้ดี เป็นคำบริกรรมเสียก่อน อย่าอยู่เฉยๆ รู้เฉยๆ กำหนดสติเฉยๆ ไม่อยู่ เราเคยทำมาแล้วนะ มีคำบริกรรมไปติดปั๊บไว้นั้นแล้วสติติดไว้ตรงนั้น ไม่ให้มันคิดไปทางไหน คิดมันคิดมาตั้งแต่วันเกิด ตั้งแต่ตื่นนอนคิดแล้ว มันได้ประโยชน์อะไร
นี่ให้คิดกับอรรถกับธรรม งานของอรรถของธรรมให้เอามาคิดให้เอามาทำด้วยคำบริกรรม สติติดแนบอยู่นั้นเดี๋ยวก็สร้างความสงบขึ้นมา สงบขึ้นมา สงบได้ถ้ามีธรรมเข้าไปให้จิตได้เกาะเช่นคำบริกรรมพุทโธเป็นต้น แล้วสติติดแนบเข้าไป สติติดดีเท่าไรกิเลสหนาแน่นขนาดไหนเกิดไม่ได้นะ อำนาจของสตินี้แรงมากนะ ต่อจากนั้นก็สร้างความร่มเย็นให้แก่ตน จากนั้นก็สว่างไสวขึ้นมาๆ เรื่อยๆ มีทางเดินจนได้ละ นี่วิธีการภาวนาเพื่อความสงบของใจท่านก็สอนไว้แล้วให้นำไปปฏิบัตินะ มีตั้งแต่ว่าอยากสงบเฉยๆ ไม่บริกรรมไม่ภาวนาตามแบบพระพุทธเจ้าไม่มีทางนะ คว้าน้ำเหลวๆ
ให้ยึดหลักนี้ไว้ให้ดีแล้วเราจะได้หลัก เมื่อได้หลักแล้วจิตจะสงบร่มเย็นไปโดยลำดับ เมื่อสงบร่มเย็นแล้วมีทางละทีนี้ เพราะมีทุนมีรอนแล้ว ก้าวเดินเรื่อยๆ ให้พากันจำเอานะทุกคน อยู่เฉยๆ ไม่ได้นะจิตดวงนี้นะ ไม่ฝึกฝนอบรมเลยไม่เป็นท่า ตายทิ้งเปล่าๆ ทั้งโลกนั่นแหละ โลกนี้โลกตายเปล่าก็คือโลกไม่มีธรรมในใจ ถ้าโลกมีธรรมในใจอยู่ที่ไหนๆ เป็นเกาะเป็นดอนที่จะเป็นความสงบแก่โลกผู้มีธรรมในใจอยู่จุดนั้นดอนนั้น ถ้าไม่มีธรรมเลยนี้ใครจะเก่งขนาดไหนก็เก่งเถอะเป็นเถ้าเป็นถ่านไปด้วยกันหมดนั้นแหละ เพราะกิเลสมีแต่เผา ที่จะทำให้เป็นผู้เป็นคนเป็นสัตว์เป็นบุคคลไปสวรรค์นิพพานไม่มีทางกับกิเลส ถ้าเป็นธรรมมีได้เลย สร้างผู้สร้างคนขึ้นมาตั้งแต่คนชั่วให้เป็นคนดีเรื่อย จนกระทั่งถึงเป็นคนเลิศเลอ พระพุทธเจ้าก็เลิศเลอ สาวกทั้งหลายเลิศเลอจากการสร้างหรือการอบรมตัวเอง พากันจำเอานะ เอาละพูดเท่านั้นวันนี้
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|