เทศน์อบรมฆราวาส
ณ ศาลาสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
เมื่อค่ำวันที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๐
ศาสนาที่แท้จริง
วันนี้คนมากก็เหมาะกับวันนี้เป็นวันสงกรานต์ เป็นวันว่าง ทางโลกก็ว่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทางธรรมก็เปิดโอกาสให้ฟัง ใจได้เปิดรับอรรถรับธรรม มันรับตั้งแต่มูตรแต่คูถกิเลสตัณหาเต็มหัวใจ เผาตัวเองและกระจายออกไปเผาคนอื่น แล้วทั่วโลกเอาแต่กิเลสตัณหาเผาหัวอกกัน สุดท้ายลามไปถึงด้านวัตถุ ขนาดรบราฆ่าฟันกัน เป็นเถ้าเป็นถ่านไปหมด ก็เพราะกิเลสมันเป็นฟืนเป็นไฟเผาอยู่ในหัวใจ ไม่มีน้ำดับไฟคือธรรม
พูดถึงเรื่องทางเวียงจันทน์ เราว่าจะเอาของไปส่งให้ทางเวียงจันทน์ ไม่ทราบว่าขัดข้องอะไร จนกระทั่งได้พักของซึ่งจะส่งไปเวียงจันทน์ ไม่ใช่น้อยๆ นะ ตั้งสิบคันรถ สิบล้อสิบกว่าคัน คือเราเตรียมพร้อมที่จะไปสงเคราะห์พี่น้องชาวเวียงจันทน์ เขาว่ามีอุปสรรคอะไร เขาแย็บๆ ออกมา เรามาพิจารณา อันนี้เพียงแง่หนึ่ง ไม่ได้หนักหนาอะไร แง่สำคัญที่เป็นเหตุไม่ให้ไปเพราะอะไร ก็พวกภายในบ้านในเรือนของเขานั้นแหละมีอะไรๆ อยู่ในนั้น กลัวจะไม่ปลอดภัยแก่พี่น้องชาวไทยเราเวลาไป เขาหาอุบายวิธีการอย่างอื่นมาแก้ บอกว่าเวลานี้กำลังโรคไข้หวัดนกระบาดบ้าง อะไรบ้าง เขาหาอุบายเป็นความงาม ความจริงอันลึกๆ มันขัดกันอยู่ภายในนั้น กลัวจะกระทบกระเทือนกับพี่น้องชาวไทยเราที่ไปสงเคราะห์เขา พวกที่เจตนาดีต่อพี่น้องชาวไทยเราวิตกวิจารณ์ พวกนั้นมันเป็นภัย มันจะเอาจริง เลยต้องหาอุบายพักอันนี้ไว้ ตกลงพอพักเราก็เลยไม่ได้ไปละ
ของทั้งหมดที่ว่าจะเอาไปเวียงจันทน์ตั้งสิบกว่าคันรถ เพราะเราเป็นคนสั่งให้เตรียมพร้อมๆ ทุกอย่างเอาให้สมบูรณ์พูนผลเลย พวกเครื่องกระป๋งกระป๋องอะไรเหมือนกันเป็นพันๆ ใส่รถเต็มเลย พอทางนู้นเกิดอุปสรรคเราเตรียมพร้อมแล้วที่จะให้แล้วทำอย่างไร ก็พอดีทางแม่ฮ่องสอนคณะพวกไทยใหญ่เขาบกพร่องขาดเขินมาก เขามาติดต่อ เหตุที่จะติดต่อนี้คงจะเป็นเพราะเณรอยู่ในวัดเรานี้แหละ เณรนี้มันเป็นไทยใหญ่ มันมาอยู่นี้จนเป็นลูกวัดป่าบ้านตาดแล้วแหละ มันยังไม่ได้บวชเป็นพระ มันจะรอเป็นปู่เณรเสียก่อนหรือไงก็ไม่รู้ มันยังไม่ได้บวช
นี่ละตัวสื่อ มันคงจะส่งข่าวไปบอกทางนู้น ว่าเวลานี้หลวงตากำลังเตรียมของว่าจะไปทางประเทศลาวไม่ได้ไป ของท่านเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านเตรียมจะขนย้ายออกไปในที่จำเป็นๆ ช่วยเหลือ ทางนี้คงสะกิดทางนู้น ทางนู้นก็มาติดต่อขอ ทางไทยใหญ่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เรายกให้ทั้งหมดเลย เพราะเราเตรียมจะให้แล้ว ที่อื่นสำหรับเมืองไทยเรายังพอเป็นพอไป ที่ไหนที่ขาดแคลนกว่าเรายังมีมากอยู่ จึงต้องได้ถามหา ทางไทยใหญ่ทางนู้นรู้สึกว่าบกพร่องมาก พอดีกับเณรที่อยู่ในนั้นเป็นไทยใหญ่ มันคงเป็นสื่อละท่า เลยสั่งให้เขามาเลย บอกให้มาเลย เอารถมากี่คันมา รถเราเตรียมไว้พร้อมแล้ว มาก็ทุ่มให้เลย ขนไปหมด
ของที่จะเอาไปเวียงจันทน์ ทุ่มไปให้ทางแม่ฮ่องสอนพวกไทยใหญ่ทั้งหมดเลย ทางที่อื่นๆ เราเห็นว่าพอเป็นไป เราก็ไม่เอา เพราะพอเป็นไปอยู่แล้ว ผู้อดอยากขาดแคลนมากเวลานี้คือพวกไทยใหญ่ ส่งไปทางนั้นหมดเลย ส่งไปให้หมดเลย ดูเหมือนสิบกว่าคันรถ ของที่เราเตรียมพร้อมไว้เพื่อเวียงจันทน์ประเทศลาวนั้นยกให้หมดเลย มีแต่ของดิบๆ ดีๆ ทั้งนั้น ข้าวทางนู้นบอกมาทีแรกที่ว่าจะได้ไปอยู่นะ ทางนู้นบอกมาว่าข้าวมันมากไม่มีที่เก็บ เขากำหนดที่เก็บให้พอประมาณเท่านั้นตัน เราก็เตรียมพร้อมเท่านั้นตันไปเลย
แต่พอดีไม่ได้ไปเสีย ข้าวจำนวนนี้ก็หมุนไปทางแม่ฮ่องสอนหมดเลย เครื่องกระป๋องละมากเพราะตั้งสิบกว่าคันรถ เราเป็นคนสั่งเองเสียด้วย ทุกอย่างถ้าเราลงได้สั่งแล้วต้องเต็มเม็ดเต็มหน่วย เหยาะๆ แหยะๆ ไม่เป็นนะนี่ ถ้าหากว่าต่อยอย่างนี้หมัดหนึ่งไม่พอต้องเอาสองหมัดซัดเลย เข้าใจไหม มันจึงถึงใจ ทำอะไรมันหากถนัดในจิตอย่างนั้น ทำเหยาะๆ แหยะๆ อย่างนี้ไม่ได้เมื่อของมีอยู่ ถ้าของไม่มีก็จำเป็น เมื่อของมีอยู่จะมาทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่ได้สำหรับนี้ เป็นอย่างนั้นละ หมดเป็นหมด ว่าอย่างนั้นเลย
ชาตินี้เรียกว่าเป็นชาติที่สำคัญมากสำหรับชาติของเรา ที่บวชมาในพุทธศาสนา ตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤษภา ๒๔๗๗ นั้นละเป็นวันก้าวเข้าสู่ชีวิตของนักบวช ตั้งแต่บัดนั้นมาสร้างแต่ความดีงามตลอดเลย ไม่ได้ปรากฏในตัวเองว่าสร้างมลทินความมัวหมองฟืนไฟที่ไหนไว้ในกายวาจาใจแห่งเพศของนักบวช ไม่มี ชุ่มเย็นไปตลอด แม้เกี่ยวกับเพื่อนกับฝูงก็เหมือนกัน ถ้าว่าสังคมเราก็เป็นนักสังคม ทางปริยัติก็เรียน ฟังซิจนเป็นมหา ไม่สังคมเป็นมหาได้อย่างไร
เรียนสำนักนั้นสำนักนี้น้อยเมื่อไร ตรี-โท-เอก-เปรียญสามประโยค นี่ผ่านทางด้านปริยัติ เข้านอกออกในได้หมด วัดราษฎร์วัดหลวงวัดอะไรเข้าถึงหมด เห็นเหตุการณ์ต่างๆ หมด โดยมีหลักธรรมวินัยเป็นรั้วกั้นว่าปฏิบัตินี้ผิดแปลกต่างกันไป แต่ไม่ให้ผิดต่อหลักพระวินัย ยืนยันกันตรงนั้น ส่วนจะมีอ่อนมีอะไรบ้างก็เป็นธรรมดา แต่ไม่เลยขอบเขตข้ามเกินหลักธรรมวินัยก็เป็นอันว่าใช้ได้ นี่ละการสังคม ก็เรียบร้อยมา ไปสำนักทั่วประเทศไทยนั้นละเรา
จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ทางภาคปฏิบัติ ทางภาคปฏิบัตินี้มันเป็นอยู่ในจิตนะ มันอาจจะมีนิสัยปัจจัยวาสนาอยู่ลึกๆ ก็ได้ เรียนหนังสือนี้อ่านไปปริยัติบอกไปถึงมรรคถึงผล ถึงสวรรค์-นิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนั้นๆๆ พระสาวกทั้งหลายดำเนินกันดำเนินตามบรรลุธรรมตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ สุดขีดของทุกข์ที่จะเอื้อมถึง หมดโดยสิ้นเชิงมันก็ดูดดื่มเข้าๆ ความอยากถึงนิพพานก็หนักเข้าๆ
แต่ก็มีข้ออันหนึ่งอยู่มาขัดอยู่ในจิตใจ ก็เมื่อเรามุ่งหวังต่อมรรคผลนิพพานอย่างเต็มกำลังอย่างนี้แล้ว แล้วการปฏิบัติไปเป็นอย่างไร มรรคผลนิพพานท่านแสดงไว้โดยถูกต้องแต่จิตใจเรามันเป็นข้าศึกต่อตัวเอง มันทำให้สงสัยอยู่เรื่อยๆ ไปหาปลดเปลื้องความสงสัยนี้จากครูบาอาจารย์ที่เป็นที่แน่ใจ พอหยุดจากเรียนปั๊บเดียวเข้าหาหลวงปู่มั่นเลย พอเข้าไปท่านก็ปลงให้เลยเต็มเหนี่ยว ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ใส่เปรี้ยงๆ ๆ
เราไม่ลืมสดๆ ร้อนๆ นะ เหมือนว่าท่านกางเรดาร์ไว้หมดกับความมุ่งหวังตั้งใจอย่างแรงกล้าของเรา เข้ากันได้สนิทปุ๊บเลย เพราะมุ่งต่อพระนิพพาน ให้มีท่านผู้ชี้แจงให้ถึงมรรคถึงผลเต็มหัวใจหายสงสัยเถอะ เราจะเอาชีวิตเข้าว่าเลย ต้องตาย ไม่ตายต้องให้ถึงพระนิพพาน ให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ มันตั้งไว้ขนาดนั้น พอดีไปถึงหลวงปู่มั่นท่านก็ปลดเปลื้องให้หมดร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ใส่เปรี้ยงๆ เหมือนว่าท่านถอดออกมาจากหัวใจ นี่น่าๆๆ โอ๊ย มันถึงใจนะ สมใจที่เรามุ่งไปหาท่าน จะไปปลดปล่อยความสงสัยอันเป็นก้างขวางคอต่อมรรคผลนิพพานออกจากใจให้หมด แม้กิเลสจะยังอยู่ความสงสัยมรรคผลนิพพานไม่มีก็ทุ่มได้เต็มกำลัง
พอไปฟังท่านแล้วถึงใจเลย ชี้ลงๆ ที่นี่ๆ ชี้ไปต้นไม้ภูเขาท่านมาหาอะไร ไม่ใช่ขึ้นธรรมดานะ เผ็ดร้อนมาก ประหนึ่งว่าผูกโกรธผูกแค้นให้เรามาตั้งแต่เมื่อไร นั่นละเรดาร์ท่านจับไว้ท่านจะทุ่มลงให้เต็มเหนี่ยวตามความต้องการของเรา ชี้ไปต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศตลอดทั่วแดนจักรวาลไม่ใช่กิเลสไม่ใช่ธรรม สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งเหล่านั้นแต่ละอย่างๆ กิเลสแท้ธรรมแท้อยู่ที่ใจ ท่านอย่าไปวกวนหาที่ไหนให้เสียเวล่ำเวลาและลำบากเปล่าๆ ให้ขุดค้นลงที่ใจท่าน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ใจ เป็นศาสดาเอกขึ้นมาที่ใจ พอรื้อลงไปนั้นแล้วจะเจอทั้งกิเลสสังหารทั้งกิเลส เจอทั้งธรรมฟื้นธรรมขึ้นมาๆ จะสิ้นเสร็จกันในจุดนั้นแหละด้วยจิตตภาวนา ท่านว่าอย่างนั้น เอาๆ เปิดลงไปตรงนี้ ท่านอย่าไปสนใจอะไร
ท่านพูดเป็นลักษณะอนุโลมนิดหน่อย ท่านอย่าไปสงสัยอะไร การเรียนนี้ท่านก็เรียนมาถึงขนาดเป็นมหา แต่อย่าว่าผมดูถูกศาสนาของพระพุทธเจ้าปริยัตินะ เวลานี้การเรียนมามากน้อยยังไม่เป็นประโยชน์สำหรับท่าน เพียงเป็นความจดความจำเป็นแบบแปลนแผนผัง ยังไม่ลงมือปฏิบัติ ผลงานที่จะเกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติยังไม่มี ผลงานนี้คือจิตตภาวนา เอาๆ ทุ่มลงไปนี้ให้เต็มเหนี่ยว ผลงานจะปรากฏขึ้นมาโดยลำดับลำดา กิเลสจะเจอกันที่นั่น สังหารกันที่นั่น ธรรมะตั้งแต่ต้นจนสุดขีดแห่งธรรมก็จะเจอกันที่นั่น ส่งเสริมกันให้สมบูรณ์ที่นั่น
ท่านใส่เปรี้ยงๆ แหม เราฟังมันถึงใจนะ คือตั้งหน้าฟังร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพื่อจะปลดเปลื้องความสงสัยมรรคผลนิพพานให้สิ้นไป กิเลสยังมีอยู่ ความสงสัยยังมี มันก็ทุ่มกำลังลงไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย พอฟังท่านอย่างถึงใจแล้วเอาละที่นี่เดินไปที่พักยังไม่ถึง ฟังเทศน์จากท่านที่ศาลา ก็กระต๊อบนะศาลา ว่าอย่างไรที่นี่ถามเจ้าของ มาสมใจไหมวันนี้มาฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วถึงใจไหม แล้วจะเป็นอย่างไรที่นี่สำหรับตัวเรา ปัญหาเข้ามาถามตัวเอง
ทางนี้ก็รับกันทันทีเลย บอกว่าตายเท่านั้นให้ถอยไม่มี ต้องให้ได้ครองมรรคผลนิพพานเต็มหัวใจ ตามโอวาทที่ท่านสอนแล้วอย่างไม่มีลี้ลับ เปิดเผยอย่างเต็มที่ เราจะปฏิบัติให้เห็นอันนี้ เอาตายเข้าว่าเลย นั่นละต้นเหตุ นิสัยนี้มันอาจจะต่างใครๆ อยู่มากนะนิสัยหลวงตา คือมันจริงจังทุกอย่าง ไม่ค่อยเหลาะแหละ ถ้ายังไม่ลงใจนี้ก็คาราคาซัง เพราะฉะนั้นจึงหาที่ทำให้ลงใจ เช่นยังไม่ลงใจเรื่องมรรคผลนิพพาน จะมีอยู่หรือไม่มีน้า ทั้งๆ ที่ท่านเขียนไว้แล้วในปริยัติว่ามรรคผลนิพพานมี แต่จิตเรามันมีกิเลสตัวขัดข้องยุ่งเหยิงกีดขวางมรรคผลนิพพาน มันก็ทำให้สงสัยอยู่นั้นแหละ
เพราะฉะนั้นจึงไปปลดเปลื้องที่พ่อแม่ครูจารย์มั่น พอปลดจากมันนั้นแล้วแม้กิเลสจะมีอยู่ในหัวใจก็ตาม แต่ความเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ทีนี้พุ่งเลยเชียว จึงได้ปฏิบัติ สดๆ ร้อนๆ ไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นทีแรก เรามาตำหนิเราคนเดียวตามความรู้สึกที่เป็นในใจ ไปดูพระทั้งหลายที่อยู่นั้นก็ไม่มากละ ท่านไม่รับมาก ๙ องค์ ๑๐ องค์นี้เป็นอย่างมาก พ่อแม่ครูจารย์รับพระไปอยู่ด้วย แต่ก่อนท่านมักไปอยู่องค์เดียวสององค์เท่านั้นปรกติ นี่ท่านว่าอนุโลมผ่อนผันเต็มที่ รับไว้ทีละ ๙ องค์ ๑๐ องค์
เราไปนั้นดูพระองค์ไหนเหมือนผ้าพับไว้ๆ เรียบหมด ประหนึ่งว่าท่านเป็นพระอรหันต์หมดเลย มันเป็นในจิตเรา เออ นี่พระชั่วช้าลามก พระหมดราค่ำราคา ไม่มีค่าแต่อย่างใดก็คือเราองค์เดียวเข้ามาขวางวัดอยู่นี้ มันคิดเจ้าของนะ พระทั้งหลายเหล่านั้นท่านเป็นพระอรหันต์หมด เป็นปุถุชนคนหนาแน่นด้วยกิเลสเป็นส้วมเป็นถานแต่เราคนเดียว มันคิดถึงขนาดนั้นนะ เพราะดูพระท่านเรียบตลอดเหมือนผ้าพับไว้ ทีนี้เวลาอยู่กันไป ท่านเทศนาว่าการองค์นั้นแสดงความคิดความเห็นจากภาคปฏิบัติของตนออกมา องค์นี้แสดงออกมา องค์นี้เป็นอย่างนั้น องค์นั้นเป็นอย่างนั้น เราค่อยทราบว่าภูมิจิตภูมิธรรมนี้มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันอยู่ ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ทุกๆ องค์ เหมือนที่เราคิดไว้ ทีนี้ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป ไอ้เราก็พอฟิต ไม่เป็นส้วมเป็นถานอย่างเดียวแต่เราองค์เดียว
นั่นละท่านผู้ทรงอรรถทรงธรรม พูดอรรถพูดธรรมนี้มีแต่ธรรมล้วนๆ ดึงดูดจิตใจผู้ปฏิบัติให้เกิดศรัทธาความเคารพเลื่อมใส กำลังใจที่จะสร้างความดีงามทั้งหลาย ถือท่านผู้ที่บรรจุไว้แล้วซึ่งมรรคผลนิพพานเต็มหัวใจมาเป็นแบบเป็นฉบับ มาฉุดมาลากเรา ทีนี้กำลังใจมันก็มาของมันๆ แหละ จึงได้เอาเต็มที่ นี่ละที่ว่าขึ้นเวที พอไปถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นหายสงสัยทุกอย่างแล้ว แต่ก่อนยังไม่เรียกว่าขึ้นเวทีนะ หลังจากนั้นมาแล้วถึงขึ้นเวที บอกว่าเป็นตายจะให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ ต้องให้ถึงนิพพานในชาตินี้เพราะธรรมนี้บอกชัดเจน จากท่านผู้เป็นคลังแห่งธรรมคือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไม่เป็นอื่น ถ้าเป็นอื่นก็คือเรา เราจะเป็นอื่นไปไม่ได้ ตีเข้าไปหาธรรมจุดนี้ เอาให้ได้มรรคผลนิพพาน ก็ซัดกันเลย
นั่นแหละการปฏิบัติธรรม แล้วจริงจังด้วยนะ นิสัยนี้เป็นนิสัยอย่างนั้น มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็เป็นนิสัยดั้งเดิมอยู่นะ ว่าอะไรจริงอันนั้น ถ้าแน่ใจแล้วขาดสะบั้นไปเลย ไม่มีอะไรจะมาแก้ไขดัดแปลง แม้ตัวเองก็ไม่กล้าที่จะแก้ไขดัดแปลง ถ้าเหตุผลไม่เหนือกว่าไปแก้ที่เราตกลงใจในเหตุผลอันก่อนนั้นไม่ได้ ไม่แก้ ถ้าเหตุผลเหนือกว่าแก้ได้ เอาขนาดนั้นนะ ออกปฏิบัติแล้วก็สมมักสมหมาย เพราะผู้ชี้ทางชี้อย่างถูกต้องแม่นยำ ไม่มีที่จะให้สงสัยในการก้าวเดิน ก้าวไปก้าวไหนก็ถูกก้าวนั้นๆ เพราะทางที่ท่านทำที่ท่านสอนไว้เป็นธรรมที่ถูกต้องทุกก้าวของผู้ดำเนินตาม
ปฏิบัติตามท่านยากลำบากขนาดไหนมันก็เป็นการก้าวเดินเพื่อจะถึงจุด ไม่ได้ปลีกออกนอกลู่นอกทางไปไหนด้วยความลูบๆ คลำๆ มันก็ก้าวเรื่อยๆๆ ก็เร็วอยู่ ถ้าพูดถึงเร็วนะ ที่จิตเสื่อมไปถึงปีกับห้าเดือนนั้นพลิกตัวเองได้ แก้ได้ จากนั้นก็ก้าวเรื่อยๆๆ จิตไม่เคยสงบร่มเย็นล้มลุกคลุกคลาน ไปน้ำตาร่วงบนภูเขาเราไม่ลืม เราได้เคยมาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังเพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจ เราตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติอย่างเต็มกำลังแต่อำนาจของกิเลสเหนือเรา ตั้งสติไม่อยู่ ตั้งพับล้มผล็อยๆ นี่คือกระแสของกิเลสมันรุนแรง ปัดสติให้ล้มเหลวไปทันทีๆ จนน้ำตาร่วงบนภูเขา เสียใจมาก
มันเป็นอุทานภายในใจนะ ไม่ได้ออกทางวาจาแหละ มันเจ็บมันแสบให้กิเลสมาก นี่ก็ทำให้เกิดธรรมะข้อหนึ่งขึ้นมา การโกรธการเคียดแค้นให้ผู้ใดและสัตว์ตัวใดก็ตาม นี้เป็นบาปเป็นกรรม เป็นกิเลสตัณหา แต่การโกรธการเคียดแค้นให้กิเลสซึ่งเป็นข้าศึกต่อใจของตัวเองนี้เป็นธรรม นี่เคียดแค้นจริงๆ นั่งอยู่น้ำตาร่วง ตั้งสติไม่อยู่ โถ มันเป็นอย่างไร ตั้งหน้าขึ้นมาฟัดกันบนภูเขามันเอาเราหงายลงภูเขา
โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น กลับไปก็ฟิตใหม่ กลับมาอีกล้มอีก ฟิตไม่ถอย มุมานะ ความเคียดแค้นให้กิเลสนี้ยิ่งฝังลึกๆ จะเอาให้ชนะให้ได้ ที่จะให้แพ้นี้ตายเสีย ว่าอย่างนั้น จิตมันเด็ด ซัดไปซัดมาหลายครั้งหลายหนไม่หยุดไม่ถอยด้วยความมุมานะและความเคียดแค้นให้กิเลสที่เป็นภัยต่อตัวเอง ทีนี้มันก็ค่อยเห็นเหตุเห็นผลไป จิตใจค่อยสงบๆ ลง ค่อยสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา ทีนี้ได้กำลังแล้วก็ยิ่งเพิ่มใหญ่นะ พอได้กำลังแล้วฟัดใหญ่เลยเชียว ได้กำลังคือจิตเป็นสมาธิ คือความสงบเย็น ไม่กังวลกับสิ่งใด จิตมีความสว่างไสวสงบเย็นอยู่ภายในใจ ไม่เป็นกังวลกับสิ่งใดทั้งนั้น
นี่เรียกว่าใจสบายแล้วนะนั่น กิเลสไม่กวน ให้ลากไปคิดทางนู้นทางนี้ กิเลสภายนอกสงบ มีแต่ธรรมขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นจิตก็แน่นหนามั่นคง นั่งอยู่ที่ไหนสบาย คือนั่งอยู่อย่างนี้แหละจิตมันไม่ออก นี่ละผู้มีธรรมในใจ เพียงสมาธิเท่านั้นก็เป็นสุขๆ เราไปนั่งอยู่ที่ไหนเหมือนหัวตอ ไม่อยากเคลื่อนอยากไหวไปไหน จิตนี้ไม่คิดไม่ปรุงไปไหน เหลือแต่ความรู้ล้วนๆ เด่นอยู่ภายในจิต ความคิดความปรุงเป็นเรื่องให้เกิดความรำคาญ ไม่อยากคิดอยากปรุง อยู่กับความรู้ที่ว่าเป็นเอกจิต เอกธรรม หรือเอกัคคตาจิต เพียงเท่านี้สบายแล้ว นั่งกี่ชั่วโมงลืมตัวนะ
นี่ละจิตมีความสุข เหมือนหัวตอ นั่งอยู่ท่าไหนก็ท่านั้น คือจิตมันไม่ไหว กิเลสไม่เข้ากวนได้ จิตก็สบาย นี่เป็นความสุขแล้ว จากนั้นก้าวออกทางด้านปัญญา ที่พ่อแม่ครูจารย์ไล่ลงจากสมาธิ สมาธิไม่ใช่ธรรมแก้กิเลส เป็นบาทฐานคือการหนุนปัญญาให้แก้กิเลสต่างหาก ถ้ามานอนจมสมาธิมันก็ไม่ผิดอะไรกับหมูขึ้นเขียง ท่านเอาขนาดนั้น ไล่ออกจากสมาธิ สมาธิไม่ใช่ธรรมแก้กิเลส เป็นธรรมเครื่องหนุนจิตใจให้อิ่มอารมณ์แล้วทำงานหน้าที่ทางปัญญาเพื่อแก้กิเลสต่างหาก สมาธิแท้ไม่ใช่ธรรมแก้กิเลส นั่นซัด แล้วไล่ออกทางด้านปัญญา
พอออกทางด้านปัญญาก็จิตมันอิ่มอารมณ์แล้ว มันอยากคิดกับอะไรเมื่อไร ในโลกอันนี้เหมือนไม่มี มีแต่ความสว่างไสวความสงบเย็นภายในใจ ความคิดตัวเองเกิดขึ้นพับมันรำคาญ แต่ก่อนถ้าไม่คิดอยู่ไม่ได้ มันกวน มันอยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่เวลาความสงบมีกำลังมากแล้วทีนี้การอยากคิดอยากปรุงอะไรนี้รำคาญ นั่งมีแต่ความรู้อันเดียวแน่ว นั่นละที่นี่เอาจิตอันนี้ออกทางด้านปัญญา พิจารณาทางธาตุทางขันธ์ แยกสัดแยกส่วน
อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ความเกิดความตาย ความพรัดพรากจากกัน พิจารณาแยกทั้งเขาทั้งเรา สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยเป็นสิ่งที่จะพรัดพรากจากกันอยู่เป็นประจำๆ เขาไม่พรากเราก็พราก เขาไม่จากเราก็จาก พิจารณาแยกออกๆๆ จิตค่อยปล่อยๆ สิ่งทั้งหลายที่มันยึดมันหึงมันหวงว่าเป็นสมบัติของตนนั้น พอพิจารณาทางด้านปัญญามันปล่อย อันนั้นจางเข้ามาๆ ทีนี้หนาแน่นเข้ามาทางด้านจิตใจ ปล่อยไปเป็นลำดับลำดา ปัญญากระจ่างแจ้ง นี่ละปัญญา
การฝึกจิตที่มันว้าวุ่นขุ่นมัวมันเป็นทุกข์มาก ไม่ได้ผลประโยชน์อะไร พอจิตสงบแล้วเป็นคุณขึ้นมา จากความสงบพิจารณาทางด้านปัญญาออกสอดส่องมองทะลุกว้างขวาง ไม่มีอะไรเกินปัญญา มันมองทะลุไปหมดเลย พอก้าวเข้าถึงขั้นปัญญาแล้วกิเลสที่เคยจมอยู่ในหัวใจมากี่กัปกี่กัลป์เริ่มเห็นตัวกันแล้ว เริ่มเห็นความเคลื่อนไหวของมัน จากความเคลื่อนไหวก็เริ่มเห็นกัน ต่อสู้กัน ฟัดกันๆ กิเลสขาดลงไปๆ จิตใจสว่างขึ้นมาๆ
นี่ละจิตดวงที่กิเลสมันครอบเอาไว้ ให้เป็นบ้าอยู่ทั้งเขาทั้งเราตลอดทั่วโลกดินแดนคือกิเลสนั้นแหละมันกวน มันบีบบี้สีไฟจิตใจสัตว์โลกให้หาความสุขไม่ได้ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อยก็เป็นสมบัติเงินทอง แต่ไม่แก้ทุกข์อันนี้ให้ ไม่แก้ทุกข์ได้เลย ความรู้เรียนมามากน้อยที่ไหนก็แก้ทุกข์ไม่ได้ บทเวลามันจะแก้ทุกข์มันก็มาแก้ตรงนี้ พอปัญญาออกทะลุไปแล้วนี่มันแก้ทุกข์ไปเป็นลำดับลำดา สิ่งทั้งหลายภายนอกที่หนักหน่วงที่สุดคือสมบัติเงินทองข้าวของบริษัทบริวาร อันนี้มันจะค่อยปล่อยออกๆ จืดชืดเข้ามาๆ อันนี้หนักหน่วงขึ้นไปเรื่อย มีรสมีชาติหนาแน่นขึ้นไปเป็นลำดับ ความเห็นทุกข์เห็นภัยเห็นขึ้นเป็นลำดับ ความที่อยากจะเอาให้หลุดพ้นไปเสียก็ก้าวไปเป็นลำดับลำดา ทีนี้ปัญญาก็เร่งพิจารณา
นี่อธิบายถึงเรื่องภาคปฏิบัติให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ประจำพุทธศาสนามีมานาน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญา สาวกทั้งหลายตรัสรู้ด้วยปัญญา ด้วยจิตตภาวนา จึงฟื้นขึ้นมา ทีนี้มันจะไปไหนมันก็ไปทางเดียวกัน บรรลุธรรมได้ ตรัสรู้ได้ ไม่อย่างนั้นเป็นสาวกของศาสดาองค์เอกไม่ได้ แก้ออกๆ พุ่งถึงนิพพาน บริสุทธิ์สุดส่วนแล้วเป็นสรณะของพวกเราได้โดยสมบูรณ์ เพราะอำนาจแห่งปัญญามันคลี่มันคลาย มันชะมันล้างกิเลสตัณหาตัวกำดำกำขาว ตัวมืดตัวบอดปกคลุมอยู่ในหัวใจ ให้กระจายออกไป ด้วยน้ำอรรถน้ำธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม แก้ออกไป ชะล้างลงไป ทีนี้ทางนี้กระจ่างขึ้นมาๆ
สิ่งที่มัวหมองทั้งหลายที่กวนใจสัตว์โลกทั้งเขาทั้งเราตลอดมานี้ หนักมากขนาดไหนค่อยจางลงๆ ทุกข์จางลงไปที่นี่ เมื่อกิเลสตัวสร้างทุกข์จางลงไปแล้วความทุกข์ก็จางลง เพราะกิเลสเป็นตัวสร้างทุกข์ กิเลสเบาลงมากน้อยเพียงไรทุกข์ก็เบาลงๆ กิเลสสิ้นซากหมดทุกข์ไม่มีในใจพระอรหันต์ หมด เอากันลงจนกระทั่งถึงกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดเลย ไม่มีสิ่งใดเหลือหลออยู่ ผลแห่งการบำเพ็ญและความบริสุทธิ์ของจิตเป็นอย่างไร สว่างจ้าครอบโลกธาตุ นั่นฟังซิ มีรายใดที่จะมาพูดได้อย่างพระพุทธเจ้าและสาวกผู้สิ้นกิเลสแล้วนี้ได้มีไหม ไม่มี
นี่ละผู้ที่ว่าโลกวิทูรู้แจ้งโลกตลอดทั่วถึง โลกเมืองคนเมืองผี โลกเปรตโลกผี โลกสัตว์นรกอเวจี จนกระทั่งถึงโลกสวรรค์พรหมโลก ถึงนิพพาน พระพุทธเจ้ารู้แจ้งแทงทะลุหมด จึงเรียกว่าโลกวิทู นำธรรมที่รู้แล้วเห็นแล้วไม่เป็นอื่นนี้มาสอนสัตว์โลกจะผิดไปไหน เป็นแต่เพียงว่าสัตว์โลกมันดื้อด้าน ท่านบอกว่าบาปมีมันไม่ยอมเชื่อ นี่ละมันจะจม บุญมีไม่ยอมเชื่อ นรกมีไม่ยอมเชื่อ ทั้งๆ ที่สิ่งเหล่านี้มีประจักษ์มาแล้วตั้งกัปตั้งกัลป์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็มารู้มาเห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งฝ่ายเป็นพิษเป็นภัย ฝ่ายเป็นคุณ นำออกมาชี้แจงให้บรรดาสัตว์ทั้งหลายได้รู้ทั้งคุณทั้งโทษ มันก็ไม่ยอมรับ แต่กิเลสตัณหาความทะเยอทะยานดีดดิ้น ไม่รู้จักเป็นจักตายหนาแน่นเข้าในหัวใจสัตว์ทุกวี่ทุกวัน
ความทุกข์มันจึงเต็มบ้านเต็มเมือง ว่าบ้านนั้นเจริญบ้านนี้เจริญมันเจริญที่ไหน มองไปที่ไหนก็มีแต่อิฐแต่ปูนแต่หินแต่ทรายถนนหนทาง ซึ่งมันมีอยู่แล้ว ไปดัดแปลงให้มันเป็นอย่างนั้นๆ สร้างขึ้นเป็นบ้านเป็นเรือน เอาอิฐเอาปูนเอาหินเอาทรายขึ้นไปสร้างมันเจริญที่ไหน หัวใจเป็นไฟทำไมไม่ดู พอเปิดอันนี้ออกมาใจก็สว่างขึ้นมาๆ ทีนี้ก็เปิดจ้าขึ้นมา นั่นละการปฏิบัติธรรม ให้มันเห็นได้อย่างพระพุทธเจ้าปฏิบัติ สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น ผิดไปไหน มันผิดตั้งแต่พวกเราที่มันดื้อด้านหาญทำในสิ่งที่พระองค์ทรงห้ามนั้นแหละ
เมื่อทำลงไปมันก็กระจ่างแจ้งขึ้นมา ท่านว่าอกาลิโกๆ คืออะไร ธรรมมีกาลสถานที่เวล่ำเวลาที่ไหน ไม่ว่ากิเลสไม่ว่าธรรม การสร้างความชั่วสร้างเมื่อไรเป็นความชั่วขึ้นมา เป็นอกาลิโกไม่เลือกกาลสถานที่ ที่ลับที่แจ้งไม่มี เวลาสร้างลงไปแล้วมันก็เป็นความชั่วขึ้นมาเผาตัวเอง ผู้ที่สร้างความดีไม่ว่าที่ลับที่แจ้งเป็นความดี อย่างพระพุทธเจ้าตรัสรู้ใครเห็นพระองค์ พระองค์อยู่องค์เดียวยังตรัสรู้ได้ พระสาวกทั้งหลายตรัสรู้อยู่ในป่าในเขาเสียมากต่อมากใครไปเห็นท่าน ท่านเอาใครมาเป็นพยาน ท่านทำไมบริสุทธิ์ถึงพระนิพพานได้ จึงเรียกว่าอกาลิโก ไม่มีที่ลับที่แจ้งเมื่อปฏิบัติตามแล้ว
ให้เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้านะ อย่าไปเชื่อคำของกิเลสที่มันหลอกโลกมานานให้ล่มจมๆ แต่ไม่รู้จักเบื่อหน่ายอิ่มพอ คือพวกสัตว์โลกที่มันหนาแน่นวิ่งตามกิเลส แล้วมันยังจะกล่อมไปเรื่อยๆ นะ จะให้มันปล่อยไม่ปล่อยกิเลส ถ้าลงมันได้จับฟาดจมูกจมูกขาด ฟาดแขนแขนขาด คอขาดไปตามมัน ให้มันปล่อยมันไม่ปล่อยละ ถ้าไม่สลัดมันเข้าสู่อรรถสู่ธรรมเพื่อปฏิบัติตนให้เป็นคนดี
อย่าพากันตื่นนักนะตื่นกิเลสตัณหา มันหลอกโลกมานานแสนนานแล้ว พาให้ล่มจมนี้ใครพาให้ล่มจม กิเลสทั้งนั้น ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้พาโลกให้ล่มจม ทำไมจึงไม่สนใจปฏิบัติพวกเราเป็นอย่างไร ชาวพุทธให้พิจารณากันบ้างซิ งมๆ งายๆ อยู่อย่างนั้น วันหนึ่งๆ มีแต่มืดกับแจ้ง มันอะไรวิเศษวิโสยิ่งกว่ามืดกับแจ้ง มันก็มีมาอย่างนั้น สร้างความดีสร้างลงไปซิ มันวิเศษยิ่งกว่ามืดกับแจ้ง ความชั่วก็เลวยิ่งกว่ามืดกับแจ้ง ให้ดูตัวนี้ซิ แก้ความชั่วออกจากตรงนี้เป็นลำดับลำดา แล้วความสุขความทุกข์ไปหาที่ไหนไม่ต้องหา ในขอบเขตจักรวาลไม่มีสถานที่ใดที่เป็นที่สถิตอยู่แห่งความสุขและความทุกข์ มีใจดวงเดียวเท่านั้น
ใจเวลามันสร้างความชั่วช้าลามกมากองทุกข์ทั้งมวลมารวมอยู่ที่หัวใจ เป็นผู้แบกผู้หาม เวลาสลัดมันออกด้วยการสร้างคุณงามความดี ละบาปบำเพ็ญบุญแล้วใจจะใสสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา ทีนี้สุขสามแดนโลกธาตุไม่มีอยู่ที่ไหน อยู่ที่จิตของท่านผู้บริสุทธิ์ ที่ชำระสิ่งเป็นภัยออกหมดแล้ว เป็นจิตธรรมธาตุได้แก่จิตพระพุทธเจ้า-พระอรหันต์ เวลานี้ธรรมเหล่านี้หายไปไหน จึงไม่มีใครสนใจที่จะปฏิบัติ แล้วปล่อยตัวไปอย่างนั้นมันดีอะไรบ้างล่ะ พิจารณาซิ ไม่เห็นมีอะไรดี
ตายแล้วนิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา ใครกุสลาก็ได้ ยากอะไรเรียนมาแล้ว กุสลา ธมฺมา ยายนี้ตายแล้วไปไหนนา ตาคนนี้ตายแล้วไปไหนนา ถามเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์ เวลามีชีวิตอยู่ไม่สนใจกับบุญกับกุศล กุสลา ธมฺมา แปลว่าธรรมยังคนให้ฉลาด สร้างความดีงามแก่ตน แล้วมันไม่สนใจสร้างความดีงามจะเอาความดีงามมาจากไหน ต้องสร้างซิ อกุสลา ธมฺมา เรานั่นเองเป็นผู้สร้างเพื่อเผาหัวใจเรา กุสลา ธมฺมา เราเป็นผู้สร้างเพื่อเบิกกองทุกข์ฟืนไฟทั้งหลายออก แน่ะ ก็คือเราเอง สร้างลงไปซิ
พากันพิจารณานะ นี่หลวงตาก็จวนจะตายแล้ว ธรรมประเภทนี้พูดตรงๆ ถอดออกมาจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลายนะ การเรียนปริยัติก็เรียน ยกไว้ว่าเป็นปากเป็นทาง แต่ไม่ใช่สมบัติของตนโดยแท้เหมือนภาคปฏิบัติ ภาคปริยัติเรียนจดจำได้มากน้อยเพียงไรมันก็หลงลืมไปได้ตามธรรมชาติของมัน แต่ภาคปฏิบัตินี้ทั้งเวลาปรากฏผลขึ้นมา ทั้งรู้ด้วยเห็นด้วย ทั้งเป็นสมบัติของตนด้วยเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์เป็นสมบัติของตนโดยสมบูรณ์ นี่ภาคปฏิบัติ นี่ก็ได้ปฏิบัติมา เรียนก็เรียนมา
ภาคปฏิบัตินี้แหละที่สอนโลกอยู่เวลานี้ แล้วภาคปฏิบัตินี้แหละพาเจ้าของให้สมบูรณ์แบบเวลานี้ หาที่ต้องติไม่ได้ในหัวใจดวงนี้ เราไม่มีที่จะมาต้องติเราว่าบกพร่องที่ตรงไหน เราหมดโดยสิ้นเชิง หายสงสัยในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ สาวกทั้งหลายทุกพระองค์ สาธุพูดให้เต็มยันนั่งอยู่ในท่ามกลางพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงจากใจธรรมจ้าขึ้นมา นั่นละเข้าไปนั่งอยู่ในท่ามกลางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายและสาวกทั้งหลาย ท่านผู้บริสุทธิ์เป็นธรรมธาตุด้วยกันแล้ว จะแยกแยะไปที่ไหน
ถ้าเทียบแล้วมันเป็นอันเดียวกันหมด เหมือนกันกับน้ำเต็มอยู่ในมหาสมุทร ทีนี้ฝนตกลงมามากน้อยเอาเพิ่มเข้ามาๆ พอเพิ่มเข้ามาแล้วไปแยกได้ไหม ฝนเม็ดใดหยดใดหยาดใดตกเข้ามาในมหาสมุทร นี้ฝนเก่านี้ฝนใหม่แยกออกจากน้ำมหาสมุทรได้ไหม มันเป็นมหาสมุทรด้วยกันแล้วแยกกันได้อย่างไร จิตเมื่อเข้าถึงบริสุทธิ์เต็มสัดเต็มส่วนเป็นธรรมชาติ เรียกว่าธรรมธาตุความบริสุทธิ์เลิศเลออย่างเดียวกันแล้วแยกกันได้ที่ไหน เข้าใจไหมล่ะ
ฟังให้ดีนะเราถอดออกมาจากหัวใจมาสอน ไม่ได้มาสอนโดยลูบๆ คลำๆ นะสอนออกมาจากหัวใจที่รู้แล้วเห็นแล้วทุกอย่าง เราไม่สงสัยในโลกอันนี้ เราก็แน่ใจ ไม่อย่างนั้นประกาศได้อย่างไร ท่านว่าภาษาธรรม ไม่มีการโอ้การอวด พูดตามหลักความจริง โลกกิเลสมันจะมาเห่าฟ้อๆ ว่าท่านโอ้ท่านอวดอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่อวด ว่าอย่างนั้น เวลาไปน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาก็พูดให้ฟังใช่ไหม เวลาฟัดกับกิเลสด้วยความผูกโกรธผูกแค้นอาฆาตกัน จนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์พุทโธนั่งอยู่ในท่ามกลางพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายอรหันต์ไม่สงสัยเลย นี่ก็มาพูดให้ฟัง
นี่มันเข้าในท่ามกลางนั้นแล้ว ธรรมธาตุเป็นแบบเดียวกันแล้ว ก็ได้มาพูดให้ฟัง คุยแล้วเหรออย่างนี้ โอ้อวดแล้วเหรอ ธรรมใดไม่โอ้อวดมาแข่งหลวงตาบัวหน่อยนะ ถ้าหลวงตาบัวพูดอย่างนี้มันโอ้อวดนะ เอา ธรรมไหนไม่โอ้อวด ดีกว่าธรรมหลวงตาบัวที่พูดเวลานี้มาแข่งกันสักหน่อยน่ะ พอกราบเราจะกราบ แต่มันจะไม่ได้กราบ มีแต่ฝ่ามือจะฟาดหน้าผากมันละกราบแทน มามันก็จะมาลูบๆ คลำๆ ให้ขวางหูขวางตาขวางใจผู้ฟังน่ะซี ถ้ามันเปิดในหัวใจมันจะสงสัยอะไร มันจ้าไปหมดแล้ว
บาปบุญนรกสวรรค์พรหมโลกนิพพานเปรตผีประเภทต่างๆ ใครเป็นคนสอนไว้ พระพุทธเจ้าสอนมาตั้งแต่องค์ไหน ก็มันมีอยู่แล้ว ท่านสอนตามหลักความจริงที่มีอยู่แล้ว เราจะไปลบล้างได้อย่างไรว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์เปรตผีประเภทต่างๆ ไม่มี จนกระทั่งถึงพรหมโลกนิพพานไม่มี เราไปลบได้อย่างไร ก็มันมีอยู่แล้วตั้งแต่ไหนแต่ไร พระพุทธเจ้าองค์ไหนโกหกโลกมีเหรอ ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนโกหก มีแต่กิเลสโกหกสัตว์ หลอกอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราจะไปวัดไปวา วันนี้ปวดศีรษะ วันนี้เหนื่อย แล้วยิ่งวันนี้เป็นวันสงกรานต์ โอ๊ยวันนี้เล่นสงกรานต์เหนื่อย ไปวัดไปวาฟังธรรมไม่ได้ นี่เห็นไหมกิเลสมันหลอก พวกเรานี่พวกถูกหลอกทั้งนั้นแหละ
พากันจำเอานะพี่น้องทั้งหลาย นี่เราจวนจะตายแล้วจึงเปิดออก ธรรมประเภทนี้เป็นธรรมปัจจุบันเหมือนพระพุทธเจ้าเป็น สาวกทั้งหลายเป็น เป็นแบบเดียวกันนี้ นำธรรมประเภทเดียวกันนี้เป็นปัจจุบันเหมือนกันหมด เลิศเลอเสมอกันหมด จะว่าก่อนหรือหลังได้อย่างไร ให้พากันตั้งใจปฏิบัติบ้างนะ พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามศาสนาใดๆ เราเอาหลักความจริงมาพูด เรียกว่าพูดเป็นธรรมๆ ดำเนินเป็นธรรม พิจารณาเป็นธรรม นำมาพูดเป็นธรรม
เพราะอะไรเป็นเครื่องยืนยันกัน พระพุทธเจ้าตรัสรู้กิเลสหมดจากพระทัย สอนโลกด้วยใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ สอนไม่ผิดไม่พลาด เรียกว่าโลกวิทูรู้แจ้งเห็นจริงโลก ไม่ว่าโลกไหนเห็นหมดแล้วนำมาสอน สอนอย่างไม่ผิด เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว นอกจากนั้นเป็นอย่างไร ก็เป็นเจ้าของกิเลสคลังกิเลส เวลาสอนไปกิเลสจะไม่บังคับบัญชาให้สอนแบบกิเลสได้อย่างไร เมื่อสอนแบบกิเลสแล้วจะเอาความถูกต้องดีงามสุดส่วนได้อย่างไร ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว
อันนี้ใครจะไปชอบ กิเลสเต็มหัวใจมันเอาชอบมาจากไหน หลอกตัวเองให้เย่อหยิ่งจองหองว่าเรานี้เป็นศาสดาของเขา เขามานับถือเรา เราเป็นศาสดา ศาสนานั้นศาสนานี้ กิเลสเต็มหัวใจมันอยู่ มันศาสนาขี้หมาอะไร ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนธรรม ผู้เป็นเจ้าของศาสนาเป็นใจที่บริสุทธิ์ โลกวิทูรู้แจ้งโลก สอนออกมาเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว เป็นศาสนาที่แท้จริง ให้ยึดให้ดีนะ อย่าตายเปล่าๆ โลกนี้มันโลกตายเปล่าๆ มันไม่สนใจกับอรรถกับธรรมที่จะเป็นสารประโยชน์แก่หัวใจเจ้าของ แต่สิ่งใดที่จะเป็นฟืนเป็นไฟเป็นภัยเผาเจ้าของเอาแล้วนะ มันชอบอย่างนั้น พากันจำเอานะ เอาละพอ เหนื่อยแล้ว
รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
และเครือข่ายทั่วประเทศ
|