ธรรมอริยสัจเป็นหินลับปัญญา
วันที่ 9 เมษายน 2550 เวลา 18:50 น.
สถานที่ : กุฏิกลางน้ำ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม กรุงเทพฯ

เมื่อค่ำวันที่ ๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๐

ธรรมอริยสัจเป็นหินลับปัญญา

       (เอาภาพหลวงตามาถวายหลวงตาครับ) ไม่เอา เรากับหลวงตาบัวมันเป็นเวรเป็นกรรมกันอยู่ จะเอามาให้ไม่ได้ ไม่เอา เอาคืนเสีย ถ้าเป็นคุณแก่คุณก็เอาไปกราบไหว้ กับหลวงตาบัวนี้มันเป็นคู่กรรมคู่เวรกัน (กับพระสังฆราชครับ) สังฆราชเป็นเพื่อนเรา ก็เป็นจริงๆ สมเด็จสังฆราชเป็นเพื่อนสนิทกันมาก ท่านนิ่งๆ ท่านไม่ค่อยชอบพูด ธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปท่านไม่ค่อยชอบพูดสมเด็จสังฆราช เฉพาะสองต่อสองกับเรานี่  โถ เป็นคนใหม่ขึ้นมา ซักเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องจิตตภาวนา เราก็ได้เปิดเต็มที่ให้ท่านฟัง ท่านสนใจมาก เพราะแต่ก่อนเราไปพักอยู่วัดบวรฯเป็นประจำ จากนั้นท่านออกไปพักที่วัดป่าบ้านตาดทีละอาทิตย์ๆ ท่านไป ท่านไปท่านเอาจริงเอาจังนะ ไม่ให้ใครไปกวนเลย เวลาอยู่ธรรมดาท่านไม่ค่อยคุย ทั่วๆ ไปนี่ท่านเฉย นิ่ม บทเวลาขึ้นเวทีสองต่อสองกับเรานี่ โถ ซัก เราก็เปิดเลยเชียวนะ ให้ท่านได้เห็นเรื่องภาคปฏิบัติว่าอย่างนั้น ฟัดกันจนถึงที่สุดเลยกับสมเด็จสังฆราช สองต่อสอง

ท่านหาความจริงเราก็เอาความจริงออกเต็มเหนี่ยวๆ เลย ถ้าอยู่ธรรมดาท่านไม่ค่อยคุยละ เฉยๆ ธรรมดา เวลาเข้ากันสองต่อสอง โห เป็นคนใหม่ขึ้นมานะ ซักละเอียดลออเรื่องจิตตภาวนา เราก็ได้เปิดหัวอกออกให้ท่านฟังอย่างเต็มเหนี่ยวเหมือนกัน ท่านรู้สึกว่าสนใจมากจริงๆ ต่อธรรมที่เราถอดออกจากหัวใจพูดให้ท่านฟัง เพราะไม่มีใครต่อใคร สองต่อสองเท่านั้น เปิดเต็มเหนี่ยวใส่กันเลย เอาจนถึงเหตุถึงผลว่าอย่างนั้นเถอะ ท่านพอใจมาก

ปรกติท่านไม่ค่อยคุย เฉยนะ อยู่กับเราก็ตามถ้ามีแขกมีคนท่านก็ไม่คุย แต่เวลาเอาจริงเอาจังท่านจะเหตุหาผลกับภาคปฏิบัติจริงๆ ท่านก็ซักจริงๆ นั่นละภาคปฏิบัติ เราก็เปิดเลยเชียว ให้ท่านได้ฟังสักทีเถอะภาคปฏิบัตินี่น่ะ ภาคเป็นสมบัติของตนโดยแท้ คือการศึกษาเล่าเรียนนั้นมันเป็นความจำ จำมาได้เท่าไรมันก็หลงลืมไปๆ อย่างท่าน เรียนถึง ๙ ประโยคนั่นท่านหลงลืมไปหมดนะทุกวันนี้ ก็อยู่เซ่อๆ ซ่าๆ ของท่านไป นั่นเห็นไหม นี่ละความจำเสื่อมไปหมดแล้ว สำหรับความจริงไม่เป็น ตรงแน่วตลอดเวลา

นี่ละนิพพานเที่ยงอยู่ที่จิต ให้มันเข้าถึงจิตแล้วไม่มีอะไรหวั่น ร่างกายจะเป็นอะไรพูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด ใช้อะไรไม่ได้นี้เป็นเครื่องมือไม่ต้องใช้ สำหรับจิตจ้าอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา นั่นละจิตแท้ ธรรมแท้อยู่ภายในใจของผู้ปฏิบัติ เป็นสมบัติของตนด้วย รู้เห็นมากน้อยเป็นสมบัติของตนขึ้นมาๆ ที่เราศึกษาเล่าเรียนเราไม่ได้ประมาท เรียนเพื่อเป็นปากเป็นทางเพื่อจะปฏิบัติเอาเหตุเอาผล เหมือนอย่างเราปลูกบ้านปลูกเรือนมีแปลน แปลนนี้เขาชี้แจงว่าอย่างไรนี่แปลนเหมือนปริยัติ นำแปลนออกมากาง กางแล้วทีนี้จะปลูกบ้านปลูกเรือนขนาดไหน ความกว้างความยาวอะไร จะเอากี่ชั้นกี่ห้องกี่หับแปลนบอกไว้หมด กางแปลนแล้วก็ทำตามแปลนๆ

นี่ละภาคปฏิบัติคือทำตามแปลน ทีนี้เวลาเอามาภาคปฏิบัติมันเป็นขึ้นมาจริงๆ ก็เราทำตามแปลนท่านบอก แปลนท่านถูกต้องแม่นยำทุกอย่างแล้ว เราก็เอาแปลนนั่นมากางแล้วปฏิบัติตามนั้นๆ เหมือนเราปลูกบ้านปลูกเรือนตามแปลน มันก็ถูกต้องไปโดยลำดับลำดา นี่ละเป็นภาคปฏิบัติ ผลของงานก็ตั้งแต่เริ่มต้นเขาขุดต้นเสาเทคานอะไรๆ นี้เป็นภาคปฏิบัติ ผลปฏิเวธก็เห็นผลงานเป็นลำดับลำดาไปจนกระทั่งถึงที่สุดเรียบร้อย ปลูกบ้านปลูกเรือนสมบูรณ์แบบ นี่ก็จนถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานสมบูรณ์แบบจากปริยัติที่ท่านสอนไว้

ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเป็นโมฆบุคคล สอนโลกไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า การสอนโลกที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุม บาปบุญนรกสวรรค์ใครอย่าไปค้าน ถ้าอยากจมให้ไปค้าน มีแต่จอมปราชญ์เท่านั้นมาแสดงเป็นเสียงเดียวกัน คำเดียวกัน คือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ถ่ายทอดอันเดียวกัน รู้เห็นอย่างเดียวกันมา แล้วจะพูดให้ผิดกันไปไหน ไม่ผิด เวลามาสอนจะผิดไปไหน ผู้ปฏิบัติตามนั้นก็ต้องรู้เห็นตามนั้นๆๆ สำเร็จเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา มรรคผลนิพพานอยู่กับแปลนคือปริยัติที่ท่านสอนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว นั่นแปลน แล้วนำแปลนออกมากางปฏิบัติ ท่านสอนว่าอย่างไร

ศีลรักษาให้ดีตามที่ท่านสอนก็เป็นศีลสมบูรณ์ขึ้นมาตั้งแต่วันบวช ด่างพร้อยที่ไหน เราไม่ทำลายศีลของเราศีลจะด่างได้ที่ไหน ศีลก็บริสุทธิ์เต็มตัวอยู่แล้ว พูดถึงเรื่องจิตมีความสงบร่มเย็นก็ฝึกที่ท่านสอนว่าอย่างไรสอนภาวนา จิตใจมันวอกแวกคลอนแคลน ดีดดิ้นไขว่คว้านู้นนี้ไม่มีอะไรเกินจิต ที่ดีดดิ้นที่สุดคือจิต ทีนี้เอาภาวนาเป็นน้ำดับไฟเข้าไป เอาเริ่มต้น การภาวนาเบื้องต้นภาวนาอย่างไร ถามครูบาอาจารย์เสียก่อนท่านผู้ดำเนินมาแล้ว ภาวนาอย่างไร เช่นให้บริกรรม บริกรรมคำไหน ตามแต่จริตนิสัยเจ้าของที่ชอบ

ทีนี้เวลาบริกรรมแล้วสติติดแนบๆ กับคำบริกรรม อย่าให้มีแต่คำบริกรรมเฉยๆ สติเป็นสำคัญมากตั้งแต่พื้นจนถึงวิมุตติพระนิพพานพ้นจากสติไปไม่ได้ นักภาวนาอย่าข้ามสติ ถ้าข้ามสติไปไม่ได้ สตินี่ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน เอา ตั้งแล้วล้มๆ ตั้งไปตั้งมาก็ค่อยขึ้นมาได้ ต่อไปสติสืบเนื่องๆ กันไป สติดีเท่าไรจิตก็เป็นความเพียรตลอดเวลา จะบริกรรมคำใดเป็นภาวนาโดยแท้ ถ้าสติครอบอยู่กับคำภาวนาของตน นี่เบื้องต้น จากนั้นจิตก็เป็นสมาธิ สมาธิแน่วแน่ สติติดอยู่กับสมาธิแน่วแน่ตลอด ออกทางด้านปัญญาสติก็ติดตามไปๆ ตลอดๆ

การภาวนาอยากเห็นเหตุเห็นผลตามทางของศาสดาสอนไว้ อย่าทำงูๆ ปลาๆ เราเป็นจอมปราชญ์สอนพระพุทธเจ้าไปเสียหมด ส่วนมากพวกเรามีแต่จอมปราชญ์ตาบอดสอนพระพุทธเจ้า เก่งกว่าพระพุทธเจ้าเสียทุกอย่าง มันก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ถ้าลองทำตามพระพุทธเจ้าดูซิน่ะ ไม่มีใครที่จะพูดถูกต้องแม่นยำได้กว่าองค์ศาสดา ที่ว่าสวากขาตธรรม สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีที่แก้ไขดัดแปลงเป็นอย่างอื่นอย่างใดได้เลย เป็นความถูกต้องแม่นยำ เอา ให้ปฏิบัติตามนั้น

เมื่อปฏิบัติตามนั้นแล้วมันก็ค่อยไปตามร่องตามรอย ก้าวหนึ่งก้าวสองก้าวถูก ก้าวหนึ่งสองก้าวถูก สามก้าวถูกเรื่อยไป ไปไกลเท่าไรก็ถูกต้องก็ถึงจุดที่หมายได้ ถ้าออกนอกลู่นอกทางจากคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีหวัง ออกก้าวหนึ่งผิดไป ก้าวหนึ่งออกสองก้าวผิดไปสองก้าว ถ้าเดินตามนี้แล้วก้าวหนึ่งสองก้าวถูกไปตลอด จนกระทั่งถึงที่สุดถูกต้องเป็นลำดับ นี่ละก้าวถูกเป็นอย่างนั้นถึงที่สุด ก้าวผิดผิดไปจนถึงที่สุดเหมือนกัน

จึงให้ยึดเอาหลักเอาเกณฑ์ หลักเกณฑ์พระพุทธเจ้านี้แม่นยำสุดยอดแล้ว ไม่มีใครในโลกอันนี้ที่จะมาสอนโลกได้ถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าพุทธศาสนา พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาของท่านผู้บริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสเจือปนเลย สว่างกระจ่างแจ้งเรียกว่าโลกวิทู รู้แจ้งโลกนอกโลกใน เมืองมนุษย์เมืองเปรตเมืองผีเมืองคนเมืองเทวบุตรเทวดาอินทร์ พรหม จนกระทั่งถึงนิพพาน รู้แจ้งหมดจึงเรียกว่าโลกวิทู ไม่มีที่สงสัย การที่นำสิ่งที่รู้ที่เห็นหายสงสัยมาสอนโลกมันจะผิดพลาดไปไหน ไม่ผิด ถูกต้องแม่นยำ ถ้าเราไม่ฝืนคำสอนของพระพุทธเจ้าไปเสีย อย่างไรมีหวัง มรรคผลนิพพานอยู่กับหัวใจของผู้ปฏิบัติ ให้กลมกลืนกับธรรม ถ้านอกเหนือไปจากธรรมแล้วจะแบกคัมภีร์ก็หลังหักไม่เกิดประโยชน์

ถ้าตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาเริ่มต้นตั้งแต่เกสาโลมาซิ นี่ละยอดกรรมฐาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แปลว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง แล้วย้อนตโจ  ทันตา นขา โลมา เกสา ตลบทบทวนไปหลายครั้งหลายหนความชำนิชำนาญทางบริกรรมก็ชำนิชำนาญ สติติดแนบกันเข้าไปจิตใจก็สงบ ที่ว่ากรรมฐานห้าทำใจให้สงบก็ได้ ในเบื้องต้นเป็นกรรมฐานที่กล่อมใจให้สงบก่อน

พอใจสงบแล้วกรรมฐานห้านี่ละเป็นพื้นฐานแห่งวิปัสสนาต่อไป คลี่คลายผมเป็นอย่างไร ขนเป็นอย่างไร เล็บเป็นอย่างไร ฟันเป็นอย่างไร เนื้อหนังเป็นอย่างไร ตับไตไส้พุงกระดูกกระเดี้ยวทั้งสัตว์ทั้งบุคคลทั้งหญิงทั้งชายเป็นอย่างไร คลี่คลาย เอาเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นทั้งสมถะเพื่อความสงบใจ เป็นทั้งวิปัสสนานำอันนี้ออกมาคลี่คลายออกไป มันก็รู้ก็เห็น ก็ของมีอยู่ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนในของไม่มี สิ่งที่ว่าเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มันเต็มทุกคนๆ ตลอดถึงสัตว์ก็มี

ทีนี้เข้าไปเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ตับไตไส้พุง มีหรือไม่มี มันก็มีอยู่ทุกคน สอนของมีอยู่แต่เราไม่ปฏิบัติตามมันก็ไม่รู้ไม่เห็นเท่านั้นเอง ถ้าลงปฏิบัติตามนั้นอะไรจะแจ้งขาวดาวกระจ่างยิ่งกว่าใจที่ถูกกิเลสปิดบัง กิเลสแตกกระจายออกหมดแล้วใจสว่างจ้าขึ้นมาเลย ปัจจุบันอย่างนี้ละธรรมพระพุทธเจ้า มีอดีตอนาคตที่ไหน ว่าศาสนาล่วงไปเท่านั้นปีเท่านี้ปี แล้วหมดมรรคหมดผล บาปไม่มี บุญไม่มี มีแต่กิเลสเข้ากุมอำนาจไปเสียหมด แล้วสร้างตั้งแต่บาปแต่กรรมตายแล้วจมนรกไปหมด ดีแล้วเหรอ ให้พากันพิจารณานะ

ศาสดาองค์เอกเท่านั้นสอนไว้ถูกต้องแม่นยำ นอกนั้นมีแต่พวกหูหนวกตาบอดมันจะเอาความดีงาม หรือถูกต้องดีงามวิเศษวิโสมาจากไหนพอที่จะมาสอนโลกแข่งพระพุทธเจ้าได้ ไม่มี ให้ยึดให้ดีนะยึดคำสอนพระพุทธเจ้า ถูกต้องแม่นยำไม่มีอะไรเกิน ให้นำไปปฏิบัติ ใจมันไม่สงบมันเป็นอย่างไรถึงไม่สงบ ท่านสอนวิธีระงับใจให้สงบ สติตั้งลงไป มันจะปรุงไปไหน กองสังขาร สังขารนี้ออกจากอวิชชา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ อวิชชานี้เป็นเรือนรังใหญ่โตของวัฏจักรได้แก่อวิชชา

สติติดเอาไว้ไม่ให้มันออก อวิชชาจะหนาแน่นขนาดไหน สติครอบมันไว้ไม่ให้ออก เมื่อความคิดอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารคิดไม่ได้ กิเลสไม่เกิด มีแต่สติครอบอยู่ๆๆ แล้วจิตสงบแน่วๆๆ สร้างฐานแห่งความสงบแน่นหนามั่นคงขึ้นไป สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นไปกลายเป็นสมาธิความแน่นหนามั่นคง สติสำคัญมากนะ ใครอย่าปล่อยสติ ทีนี้เวลาจิตมีความสงบแล้วมันมีทางละคนเรา เพราะมีต้นทุน จะคิดอ่านไตร่ตรองอะไรพอคิดได้อ่านได้

ดูทางด้านปัญญาเอาดู เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มันสะอาดไหม พวกเหล่านี้สะอาดไหม ปกคลุมหุ้มห่อนี้ก็เพราะปิดยางอายนั่นเอง จะเป็นของสวยงามมาจากที่ไหน มันไม่ได้สวยงาม ตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นความจริงแล้วหาความสวยงามไม่ได้ พวกนี้พวกจอมปลอม เอาอะไรมาตกมาแต่งประดับประดาทุกสิ่งทุกอย่าง ประดับประดาขนาดไหนมันก็ปลอมอยู่อย่างนั้นละ ของปลอม เอาอะไรมาจริง ถ้าเอาของจริงจับเข้าไปเกสาดูให้ดี โลมา นขา ทันตา ตโจ กระทั่งเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ดูให้ดี มันก็มีแต่ของที่จะสลัดปัดทิ้งๆ ด้วยความเบื่อหน่ายเท่านั้นเอง

ใครจะมีความกำหนัดยินดีกับมันได้ล่ะ ของสกปรกเป็นส้วมเป็นถานของคนที่มีชีวิตอยู่ก็เป็นส้วมเป็นถานอยู่ในตัว ออกไปถ่ายที่ไหนก็เป็นส้วมเป็นถาน ถานนอก ถานใน ส้วมถานนอก ส้วมถานใน ส้วมถานในคือตัวของเราเอง เต็มไปด้วยของปฏิกูล ออกไปข้างนอกก็เป็นส้วมถานข้างนอก ไปถ่ายที่นั่นที่นี่ไป มันก็ออกจากของสกปรกนี่เอง ถ้าสะอาดแล้วเราชะล้างกันหาอะไร นี่คือมันไม่สะอาด มนุษย์ไปอยู่ที่ไหนตัวสกปรกอยู่ที่นั่น ต้องเช็ดต้องล้างต้องถูต้องชะต้องล้างอยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นดูไม่ได้ เดี๋ยวแมลงวันจะบินตาม

จึงต้องชะต้องล้าง แต่กิเลสก็แฝงเข้าไปเพื่อความสวยความงามเข้าไปอีก คำว่าของสกปรกกิเลสมันไม่อยากให้เห็นตัวของมันซึ่งเป็นตัวสกปรก มันเอาความประดับประดามาตกแต่งอันนั้นสวยอันนี้งาม เรื่องของกิเลสมันแฝงธรรมไปตลอด เวลาธรรมเปิดออกไปนี้มันอยู่ที่ไหนเห็นหมดเลย เห็นหมดแล้วใครจะไปยึดไปถือได้ ก็จงอางงูเห่าทั้งตัวจะเอามาพันคอได้เหรอ มันเป็นอสรพิษ สิ่งเหล่านี้มีแต่อุปาทานให้ยึดมั่นถือมั่นให้เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หัวใจเราเท่านั้น เมื่อเห็นมันชัดเจนแล้วตีกระจายออกๆ มันก็ปล่อยวางเป็นลำดับลำดา

การพิจารณาทางด้านภาวนาท่านสอนอย่างนั้นนะ ด้านศีลด้านธรรมท่านทั้งหลายเข้าใจกันแล้ว การทำบุญให้ทานเป็นประจำเป็นพื้นฐานแห่งบุญแห่งกุศล สำหรับเราเป็นชาวพุทธไม่ได้ตำหนิติเตียน การรักษาศีลการภาวนานี้ด้อยๆ ให้ภาวนาเพื่อจิตสงบ เมื่อจิตสงบแล้วเราจะเริ่มเห็นความสุข ตั้งแต่วันเกิดมาเราไม่เคยเห็นความสุข ไปที่ไหนได้อะไรมาก็ว่าความสุข ประเดี๋ยวประด๋าวตกหายไปแล้ว เขาไม่ตกเราตก เขาไม่หายเราหาย เขาไม่จากเราจาก เขาไม่ตายเราตายไปเสียแล้ว ไม่มีอะไรแน่นอนอยู่ด้วยกันสมบัติสิ่งภายนอก แต่สมบัติภายในจิตใจนี้ติดตัวไปเลย นี่ละท่านว่าอัตสมบัติเป็นสมบัติอันล้นค่าคือจิตใจของเราได้รับการอบรมภาวนา อย่าให้มันดีดมันดิ้นจนเกินเนื้อเกินตัว

โลกไม่มีศาสนาเป็นโลกที่เดือดร้อนที่สุด ในสามแดนโลกธาตุนี้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยมูตรด้วยคูถ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงมีตั้งแต่ความเดือดร้อนวุ่นวาย หาความสุขไม่ได้ ไปถามบ้านใดเมืองใด ถามเศรษฐีก็ถาม ถามดอกเตอร์ก็ถาม ถามคนทุกข์คนจนก็ถาม ความทุกข์เป็นอันเดียวกัน ใครมั่งมีศรีสุขขนาดไหนความทุกข์มันก็เป็นเงาตามตัวๆ อยู่ในนั้น ถ้ามีธรรมในใจสุขหรือทุกข์มันไม่ได้ไปเกี่ยวกันนะ สิ่งนั้นเป็นนั้น สิ่งนั้นได้มา สิ่งนี้หายไป หัวใจกับธรรมนี้สงบร่มเย็นกระจ่างแจ้งอยู่ภายในจิตใจ ไปที่ไหนติดกับตัวไป นั่นละสมบัติภายใน มันต่างกัน

สมบัติภายนอกเราไม่ประมาท เกิดขึ้นมาต้องอยู่ต้องกิน ต้องหลับต้องนอน ต้องขับต้องถ่าย ต้องเป็นอย่างนี้ด้วยกัน เราก็ทราบกันแล้วว่าเป็นความจำเป็นอย่างนี้ของมัน เราก็จัดไปเสียตามความจำเป็น แต่เราอย่าถือให้เลยเถิดเลยแดน มันจะเป็นทุกข์เผาหัวเรา ทางภายในจิตใจทำให้สงบเย็น เมื่อจิตใจมีความสงบเย็นเท่าไรๆ สิ่งภายนอกทั้งหลายที่ว่ามีคุณค่ามีราคามันก็ค่อยจางลงไปๆ ไม่มีสมบัติใดยิ่งกว่าธรรม

ธรรมปรากฏขึ้นที่ใจมากน้อยเพียงไรแล้ว จะมีความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาๆ ภายในจิตใจ สุดท้ายปล่อยไปๆ ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง แม้ที่สุดธาตุขันธ์ที่อาศัยกันอยู่มีใจเป็นผู้ครองก็ไม่ได้ยึดกัน อาศัยเป็นเครื่องมือไปวันหนึ่งๆ พอสิ้นลมหายใจก็ดีดผึงเดียวไปเลย นั่นท่านผู้สิ้นแล้วไม่ยึดถืออะไรแล้ว ท่านไม่มีทุกข์นะ พวกเรานี้ไขว่คว้า ความตายไม่ต้องเรียนกันละมันรู้ด้วยกันทุกคน แม้แต่สัตว์เดรัจฉานกลัวตายแต่ไม่เห็นมีใครพ้นความตายไปได้ ถ้าไม่เรียนธรรมเข้าเคลือบแฝงกัน ถ้าเรียนธรรมเข้าเคลือบแฝงความตายมันจะกลัวขนาดไหนมันก็ค่อยลดตัวลงไปๆ

คนไม่ได้ทำบุญให้ทานไม่ได้ทำความดีงามพอระลึกถึงความตาย โอ๋ย เดือดร้อนวุ่นวาย รีบหาอารมณ์เครื่องเพลิดเครื่องเพลินมากลบกันไว้ๆ พอรอดตัวไปวันหนึ่งๆ เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าผู้มีความดีงามภายในจิตใจเป็นก็เป็น เราก็เรียนเป็นหินลับปัญญาอยู่แล้ว เราจะไปตื่นมันหาอะไร มันเป็นด้วยกันตายด้วยกันทุกคนนั่นแหละ ไม่ว่าคนมีคนจนคนโง่คนฉลาดมันตายด้วยกันถึงกาลเวลาแล้ว เวลานี้ยังไม่ตายสร้างความดีงามคืออรรถธรรมเข้าสู่ใจซึ่งเป็นของไม่ตาย

ใจนี้เป็นของไม่ตาย ความดีงามเป็นของไม่ตาย ส่งเสริมกันถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพาน คำว่าบุญว่าบาปเป็นสมมุติปล่อยวางไว้ตามเป็นจริง จิตที่หลุดพ้นแล้วพ้นจากสมมุติไปแล้วปล่อยโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ นั่นท่านผู้บำเพ็ญคุณงามความดี เราอย่ามานอนกอดเสื่อกอดหมอนเฉยๆ ไม่กอดอรรถกอดธรรมบ้างไม่ได้นะ ให้พากันพินิจพิจารณาบ้าง เกิดมาเหมือนโลกหาความสุขด้วยกันแต่มีใครเจอความสุข ไม่เห็นมีใครเจอ มีแต่ความทุกข์เดือดร้อนเต็มหัวใจ

สมบัติภายนอกยกให้มีอยู่ด้วยกันมีมากมีน้อย แต่ภายในใจนี้ร้อนด้วยกันนั้นแหละถ้าไม่มีธรรม ถ้ามีธรรมแล้วคนทุกข์คนมีก็มีที่พอซุกหัวนอนได้ ถ้าไม่มีธรรมแล้วเป็นอันว่าหาที่ปลงที่วางไม่ได้ ตายไปแล้วก็จมทั้งคนมีคนจนคนโง่คนฉลาด ไม่มีอะไรผิดแปลกจากกันถ้าขาดศีลขาดธรรมเสียอย่างเดียวจมได้ทั้งนั้น ถ้าผู้มีศีลมีธรรมแล้วไม่จม อย่างไรๆ ก็ไม่จม สง่างามอยู่ภายในจิตใจ

ยกตัวอย่างเช่นนักภาวนาของท่านเริ่มต้นตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน จิตว้าวุ่นขุ่นมัวฝึกกันลงไปๆ ตีกันลงไปด้วยสติสตังไม่ให้มันคิดภายนอก ให้มันคิดอยู่แต่ภายใน เอาสติสตังหล่อเลี้ยงคำภาวนาของตนคือคำบริกรรม คำบริกรรมภาวนาหล่อเลี้ยงจิตใจ จิตใจมีความสงบเย็นเข้าไปๆ ทีนี้ค่อยเย็นไปๆ มันก็ปล่อยออกภายนอก ที่เห็นว่าเป็นของมีค่ามีราคาค่อยจืดไปจางไปๆ ทางจิตใจนี้แน่นหนามั่นคงดูดดื่มเข้าไปเป็นลำดับลำดา

ทางด้านจิตใจมีอรรถมีธรรมมากเท่าไร ภายนอกยิ่งจืดออกไป จางออกไปๆ จนกระทั่งเต็มที่แล้วปล่อยหมด ไม่มีอะไรเหลือ แม้ที่สุดร่างกายที่อยู่กับเจ้าของครองกันอยู่ก็ตามไม่ยึดไม่ถือ เพียงอาศัยกันไปวันหนึ่งๆ พอสิ้นลมหายใจแล้วปล่อยลงไว้ตามสมมุติ ธรรมชาติที่เป็นวิมุตติพุทโธเต็มดวงแล้วไม่สงสัย ไม่ถามหาอะไร นั่นท่านว่าพอ อยู่ก็พอ ไปก็พอ เป็นก็พอ ตายก็พอ ผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ธรรมะเป็นของเล่นเมื่อไร มันคู่ควรกับมนุษย์นี้มาตั้งแต่กาลไหนๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ทำไมไม่นำมาครองหัวใจเรา กิเลสเป็นของคู่ควรอะไร มันเป็นส้วมเป็นถานเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ ทำไมจึงติดพันกันไม่รู้จักเข็ดหลาบอิ่มพอบ้าง มันโง่ขนาดไหนมนุษย์เรานี่น่ะ

ให้พิจารณาถามตัวเองนะ อย่าไปถามใครมันกระทบกระเทือน ให้ถามตัวเอง ผู้จะแก้ไขดัดแปลงเพื่อตัวเองให้เป็นคนดีมีความสุขความเจริญให้แก้ตัวเอง ซักถามตัวเองลงไป มันจะมีสิ่งบกพร่องให้เห็นขึ้นมาแล้วแก้ไขดัดแปลงไปเรื่อยๆ ต่อไปก็ดีขึ้นไปๆ จิตใจนั่นละพาให้ดี พอจิตใจมีธรรมแล้วดีทั้งนั้น แล้วค่อยสง่างามขึ้นไปๆ พอจิตใจสง่างามอยู่ที่ไหนอยู่ได้หมด แน่ะ ทำไมเป็นอย่างนั้น แต่ก่อนหอปราสาทกี่ชั้นก็ยังว่าไม่ดี เอาซากอสภทั้งเป็นที่ยังไม่ตายขึ้นไปอยู่บนหอปราสาทราชมณเทียรเท่านั้นชั้น ก็ว่าตัวได้อยู่ดิบๆ ดีๆ กองกระดูกขึ้นไปอยู่ในหอปราสาทกี่ชั้นมันก็เป็นกองกระดูกอยู่นั้นละ มันวิเศษวิโสอะไร

นั่นละธรรมจับ จับอย่างนั้น สิ่งนั้นเป็นต้นไม้ภูเขาเรามาเจียระไนเป็นบ้านเป็นเรือนตึกรามบ้านช่อง เป็นเสื้อผ้าแล้วครองกันไปนุ่งกันไป ตัวนี้มันก็สกปรกของมันเต็มตัวอยู่ในตัวของเรา มันไปฟังเสียงใครที่ไหน เอานี่มาเทียบกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ทั้งหลายนั้นละ พออยู่ก็อยู่ พอเป็นพอไปเท่าไรก็เป็นไปเท่านั้น ไม่ดีดไม่ดิ้นจนเกินเหตุเกินผลก็ไม่มีทุกข์มากคนเรา อันนี้มันดีดหาเหตุหาผลไม่ได้ มันจึงมีทุกข์มาก สุดท้ายตายก็จม สิ่งเหล่านี้เขาเป็นอิฐเป็นปูนเป็นหินเป็นทรายเหล็กหลาอยู่ตามธรรมดา ตัวเองก็จมไปเลย ธาตุขันธ์ของเราเป็นดินน้ำลมไฟไปเท่านั้น ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร เวลาที่จะควรเกิดประโยชน์อยู่นี้ให้พากันสร้างความดีงาม

จอมปราชญ์แท้ๆ เป็นผู้สอนไว้เรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องบาปเรื่องบุญ ลบล้างไม่ได้นะ ลบล้างบาปบุญนี้ก็เท่ากับลบล้างทำลายเจ้าของให้ล่มจมลงไปทั้งเป็นนี่แหละ พอชีวิตขาดแล้วไม่ต้องถามหาเมืองเปรตเมืองผีเมืองนรกอเวจี ตัวสร้างไว้เต็มหัวใจแล้วมันจะไปไหน มันก็เป็นสมบัติของตัวเอง หรือเป็นข้าศึกตัวเอง เผาตัวเองไปตลอด ถ้าเป็นความดีงามแล้วก็เป็นเครื่องส่งเสริมตัวเอง อย่างที่สวรรค์ท่านมีไว้กี่ชั้นตามอุปนิสัยวาสนาของผู้มีบุญกรรมมากน้อย จาตุมฯขึ้นไปถึงปรนิมมิตวสวัตดี สวรรค์ ๖ ชั้น จากนั้นพรหมโลก ๑๖ ชั้น สร้างไว้สำหรับผู้มีความดีเป็นชั้นๆๆ ที่จะเข้าไปอยู่เสวยกรรมของตน มีมากมีน้อย จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่นิพพาน นี่สถานที่ดี

สถานที่ชั่วก็นรกฟาดลงไปกี่หลุมๆ ท่านแสดงไว้มากนะ แต่เราจำไม่ค่อยได้หมด นรกมีน้อยหลุมเมื่อไร เพื่อบรรจุคนชั่วช้าลามกไม่มีอัดมีอั้นเหมือนกัน ความชั่วช้าลามกไปแล้วนรกแตก ความชั่วช้าลามกไม่มีที่อยู่เร่ร่อนไปมา เพราะไม่มีนรกเป็นที่คุมขังคนชั่ว ไม่มี มีเท่าไรเต็มอัดแน่นอยู่นั้น มันเป็นกรรมของสัตว์ จะแน่นขนาดไหนมันก็อยู่ เพราะกรรมของสัตว์ นี่มีไว้สำหรับสัตว์โลกผู้กำลังสร้างกรรมดีชั่วอยู่นั้นแหละ ผู้ที่สร้างกรรมดีไปในทางดี ผู้สร้างกรรมชั่วก็ไปในทางชั่ว ไม่มีอัดมีอั้นการไปของชีวิตดวงนี้ที่เป็นไปด้วยบาปด้วยบุญ บาปมีไปทางบาป บุญมีไปทางบุญ ถ้าหมดบุญหมดบาป หมดกุศลทุกอย่างแล้วที่เป็นส่วนสมมุตินิพพานเลย นั่น

พากันจดจำเอานะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ไม่อย่างนั้นจะตายทิ้งเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ตื่นขึ้นมาวันไหนเพลินกับสิ่งนั้นเพลินกับสิ่งนี้แล้วมันได้อะไร พิจารณาซิ ลมหายใจอันเก่านั้นแหละ หากดีดหากดิ้นอยู่ในหัวใจของเราที่มันเป็นฟืนเป็นไฟเผาตัวเองมันอยู่เฉยๆ ไม่ได้ สุดท้ายก็ตายทิ้งเปล่าๆ ให้เสาะแสวงหาความดีงาม การทำบุญกุศลศีลทานในเราทั้งหลายเราเป็นลูกชาวพุทธเคยแล้ว การทำบุญให้ทานไม่ว่าจะสมบัติประเภทใดๆ เราเคยทำกันแล้ว รักษาศีลก็ให้รักษา สำคัญที่รักษาใจนี่ละตัวสำคัญมาก มันจะพาแหวกแนวลงนรกอเวจีคือใจดวงนี้ ลากมันขึ้นมาสวรรค์พรหมโลกนิพพานก็คือบุญกุศล ให้พากันฉุดกันลากนะ อย่าปล่อยวางไว้เฉยๆ ให้มันเห็นประจักษ์ในใจซิ

การสร้างบุญไม่ใช่ว่าจะไปคอยเอาบาปเอาบุญในเมืองผีเมืองคน เทวบุตรเทวดาที่ไหน เป็นอยู่ที่ใจรู้ที่ใจ พอพูดอย่างนี้มันก็ไปสัมผัส ไม่ใช่คุยใช่โม้นะ เอาความจริงมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไปภาวนาอยู่ที่กะโหม-โพนทอง อำเภอบ้านผือหรือท่าบ่อก็ไม่รู้แหละ เวลานั้นเขาตายกันเต็มบ้านเต็มเมือง วันหนึ่งตายอย่างมาก ๘ คน วันน้อย ๓ คน เขานิมนต์เราไปกุสลา เราไปอยู่ร่มไม้ในป่าในเขา เขาก็ไปลากมากุสลา เพราะแถวนั้นไม่ค่อยมีคน เราเลยมากุสลา พอเที่ยงแล้วนั่นละเขาเรียกผีตกป่า

พอเที่ยงแล้วเขาขนคนตายออกมา เราก็กุสลา ธมฺมาคนนี้ กุสลา ธมฺมาคนนั้น จนค่ำถึงจะได้กลับวัด ที่สุดมาภาวนาเลยไม่ได้อะไร มีแต่มากุสลาให้คนตาย คนเป็นเลยจะตายที่นี่ เราคนเป็น กุสลาให้คนตายเลยจะตาย ไม่นานนะขึ้นที่นี่เลย มันเสียดแทง เหมือนเข็มยิบแย็บๆๆ แป๊บปั๊บๆ ในหัวอก นั่งกุสลาให้เขาอยู่ในป่าช้า เอ๊ะทำไมเป็นอย่างนี้นา แปลกๆ นั่งกุสลาอยู่นั้นละ มันเร็วนะ เพราะฉะนั้นคนจึงตายวันหนึ่งตาย สองวันตายมากที่สุด ถึงสามวันไปแล้วก็ค่อยเบาลงๆ ที่ตายเร็วที่สุดวันหนึ่งกับสองวัน เพราะมันรวดเร็ว มันมาเป็นกับเราถึงได้รู้ พอมันแป๊บปั๊บๆ เหมือนเข็ม ทีแรกเหมือนเข็ม ต่อมานี้หนักเข้าเข็มก็เข็มเล่มใหญ่เข้าไป เลยกลายเป็นหอกเป็นหลาวทิ่มประสานกันภายในใจ หายใจแรงไม่ได้ พอหายใจแรงนี่สลบ ยิ่งไอยิ่งจามไม่ได้นะ

เป็นขึ้นแล้วทำอย่างไร มันเป็นแบบเดียวกัน เพราะฉะนั้นเขาถึงได้ตายง่ายอย่างนี้ มันเป็นอย่างรวดเร็ว เราเลยพูดกับญาติโยมเขา พวกโยมน่ะ อาตมามากุสลาให้คนตายเดี๋ยวนี้อาตมาจะตายแล้วนะนี่ โรคอันนี้เริ่มเป็นแล้วนะ ปัจจุบันนี้เป็นขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นแล้ว ให้อาตมาลากลับไปที่พัก พักอยู่ในป่านู้นแหละ เขารีบปล่อยเลย เอาให้ท่านไป เขาปล่อยให้เราไป พอไปถึงที่แล้วเขาเป็นห่วงเรา เขาแตกกันไปทั้งบ้านไปดูเรา เราไล่เขาหนีหมดเลย ไม่ให้เขามา เพราะเวลานั้นหมุนเร็วแล้วนะ สติปัญญาเป็นความเพียรอัตโนมัติแล้ว มันถอยไม่ได้แล้ว อะไรมามันต้องฟัดกันขาดสะบั้นตกเวทีไปเลย ให้ถอยไม่ถอย

เวลานั้นเป็นความเพียรอัตโนมัติหมุนติ้วๆ อยู่แล้ว ทีนี้มาเป็นห่วงอันหนึ่งอีก ตอนนั้นจิตยังไม่พ้นเราก็รู้ชัดๆ นี่ละเห็นไหมการอบรมจิตใจ อบรมไปๆ พอมันสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมามันรู้ชั้นรู้ภูมิที่จะไปนู่นน่ะ ไม่ใช่ธรรมดานะ พูดชัดๆ สุทธาวาส ๕ ชั้นแน่นอน แต่ยังไม่อยากตายเวลานี้ ถ้าตายต้องค้างในสุทธาวาส ๕ ชั้นนี้ จะค้างกี่วันกี่คืนไม่อยากค้าง ถ้าถึงนิพพาน เอา ตายเดี๋ยวนี้ตาย เราไม่ว่าอะไร เลยเป็นห่วงระหว่างความเป็นกับความตายเลยถกเลยเถียงกันอยู่ แล้วพระธรรมท่านสะเทือนขึ้นมาในหัวใจ สิ่งเหล่านี้ท่านพิจารณามาพอแล้ว ตั้งแต่นั่งหามรุ่งหามค่ำท่านก็นั่งเพื่อรบทุกขเวทนาเหล่านี้ ทุกขเวทนาเหล่านี้เป็นอริยสัจ ท่านหลบหน้าไปไหน ท่านทำไมไม่พิจารณา อริยสัจนี้เป็นหินลับปัญญา เอาพิจารณาลงไปซิ

จิตมันพลิกปุ๊บเลยทันที หมุนติ้วเลย ซัดกันตั้งแต่หัวค่ำ โยมเขาไปดูเรา เราไล่หนีหมดไม่ให้เข้ามาใกล้เลย เพราะตอนนั้นต้องช่วยตัวเอง ใครอื่นมาช่วยไม่ได้ ฟาดตั้งแต่หัวค่ำถึงหกทุ่ม มันหมุนกันทุกขเวทนาเหมือนหอกเหมือนหลาว สติปัญญาฟัดกันเต็มเหนี่ยวๆ คนเรานี้เวลาจะเป็นจะตายจริงๆ มันไม่ได้โง่นะ มันฉลาดหาอุบายวิธีการพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม แก้กิเลสตัวกีดตัวขวางนั้นได้เป็นลำดับลำดา พุ่งเลย จิตโล่งหมดในเที่ยงคืน พอมันโล่งหมดแล้วทีนี้ไม่มีอะไรเหลือ แน่ใจไม่ตาย นั่นเห็นไหมล่ะ ทีนี้ไม่ตายละ

คือมันพิจารณาเต็มที่แล้ว มันรวมเต็มที่มันสว่างจ้าไปหมด คำว่าทุกขเวทนาทั้งหลายที่มีอยู่ในร่างกายเราเต็มสัดเต็มส่วนหายหน้าไปหมด เพราะสติปัญญาไล่มันแหลกไปหมด พอหกทุ่มหายเงียบ แต่ไม่นอนคืนนั้น จากนั้นก็ลงเดินจงกรม แล้วมีโยมคนหนึ่งนอนอยู่ข้างๆ กอไผ่ แอบนอนไม่ให้เราเห็น เขากลัวเราตาย เขาว่าอย่างนั้น  ซัดกันนี้เลยหาย นี่ละที่ว่ามันห่วง คำว่าห่วงคือตายเวลานี้เราจะยังไม่พ้นทุกข์ ยังไม่ถึงนิพพาน จะไปอยู่ชั้นใดก็ตาม สองวันสามวันก็ไม่อยากอยู่ ถ้าถึงนิพพานแล้วไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ มันเป็นอยู่ในใจ ชัดอยู่ในใจ เวลานี้ยังไม่ตาย

นั่นละธรรมซึ่งโหมตัวเข้ามาตีเอาเรื่องอริยสัจ กลัวเป็นกลัวตายที่ไหน ธรรมอริยสัจเป็นหินลับปัญญา ท่านเคยพิจารณามาแล้วทำไมท่านถึงปล่อยวาง ซัดลงไปนี้มันก็หมุนกลับปั๊บทีนี้ซัดกันเลย หกทุ่มจ้าขึ้นมา ไม่มีคำว่าจะเป็นจะตายอะไรหายเงียบเลย นั่นละแก้ปัจจุบันแก้ด้วยธรรมโอสถ ธรรมโอสถนี้ไม่มีใครแก้ง่ายๆ นอกจากพระกรรมฐาน มีแต่พอจามไอก็วิ่งหาหมอ หมอไม่มาวิ่งหาหมอ อันนี้หมอก็ยกให้ไม่ประมาท แต่ถึงเวลาที่จะช่วยตัวเองไม่ต้องยุ่งกับใคร ซัดกันเลย นี่ก็เห็นแล้วซัดเจ้าของ หกทุ่มจิตสว่างจ้าขึ้นมาแล้วทุกขเวทนาที่ว่านี้หายหมด เลยหายตั้งแต่นั้นไม่เป็นอีกเลย

นี่พูดถึงเรื่องว่าความเป็นห่วงความตาย ตอนนั้นมันยังจะค้าง มันรู้เจ้าของอยู่ ยังไปนิพพานไม่ได้ รู้ชัดๆ อยู่ชั้นไหนก็ไม่อยากอยู่ ถ้าถึงนิพพานไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ นี่ละเราพูดถึงเรื่องว่าการห่วงเป็นห่วงตาย ห่วงที่ว่ามันจะค้างเท่านั้นเอง ห่วงกลัวตายจริงๆ ไม่ห่วง หากว่ามันจะค้างค้างกี่วันมันก็ช้าเวลา เอาให้มันถึงที่สุดเสียเดี๋ยวนี้ไปเดี๋ยวนี้ก็ได้ นี่ละเราพิจารณาจึงได้มาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เห็นไหมล่ะธรรมโอสถแก้โรคภัย เขาตายวันตายสองวันตายสามวันตายขนกันมา เรากุสลาจนไม่ได้ไปที่พักจะเป็นจะตาย สุดท้ายเป็นแบบเขาก็รีบบอกเขา เขาก็เปิดทางให้เลย เขาก็แห่ไปตามกลัวเราตาย เราก็ไล่หนีหมด ซัดกันเลยหายตอนเที่ยงคืน

นี่ละอำนาจของธรรมโอสถหมุนเข้าไป สติปัญญามีเท่าไรๆๆ เรื่องทุกขเวทนาเกิดมาอย่างไรๆ มันก็เกิดขึ้นจากความสำคัญมั่นหมายของจิต เพิ่มให้เกิดความกังวลวุ่นวาย ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมามากขึ้นอีก เลยทุกข์ทางใจมากขึ้นอีกยิ่งกว่าทุกข์ทางร่างกาย ทีนี้เวลาแก้ทางจิตใจแล้วมันก็เปิดออก ทางร่างกายก็เบาลงไปๆ ผ่านได้ ท่านทั้งหลายฟังเสียนะ การพูดนี้ถอดออกมาจากหัวใจ เจ้าของเป็นผู้เป็นเองทำเอง นี่ละไม่ตาย เดือนเมษา ๒๔๙๓

พอพฤษภาก็กลับมาวัดดอยธรรมเจดีย์ พอดีวันที่ ๑๕ พฤษภา ก็มาปลงกันลงที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ฟ้าดินถล่มลงที่นั่น ตั้งแต่บัดนั้นมาหายสงสัย ทุกข์ภายในใจแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่เคยมี มีแต่บรมสุขเต็มหัวใจ สอนพี่น้องทั้งหลายสอนด้วยความเมตตาสงสาร สอนเล่นๆ เหรอ ศาสดาองค์เอกเป็นอย่างไรพระเมตตาของท่าน ตั้งแต่เราตัวเท่าหนูยังมีความเมตตาขนาดไหน ลำบากลำบนก็ไปทุกวันนี้ ไม่ได้ไปหาอะไรนะ ไม่เอา ทุกอย่างที่เขาถวายนี้แจกทานไปหมดทั่วโลกดินแดน สำหรับเราจะกำไม่มี เราปล่อยหมด เราทำประโยชน์เพื่อโลกในครั้งสุดท้าย ให้มันชัดเจนอย่างนี้เลย

ครั้งสุดท้ายนี้หมายความว่าอย่างไร ตายแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก มันประจักษ์อยู่ภายในจิตใจ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างขึ้นมา รู้ผลของงานตนเองครั้งสุดท้ายว่าขาดสะบั้นกันไปแล้ว ระหว่างวิมุตติกับสมมุติที่ตายกองกันอยู่นี้ขาดเป็นคนละฝั่งไปแล้ว ประจักษ์ เพราะฉะนั้นจึงพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย นี่ละการปฏิบัติธรรม ถ้าปฏิบัติจริงๆ รู้จริงๆ ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกโลก แต่เรามันหลอกเจ้าของเท่านั้นเอง ถ้าเราทำตามพระพุทธเจ้า เอา หนักก็หนัก พระพุทธเจ้าก็หนักเหมือนกัน สลบถึงสามหนไม่หนักได้หรือ ถ้าเลยสลบมันก็ตายเท่านั้น นั่นหนักหรือไม่หนัก

เราเพียงเหยาะแหยะๆ เท่านี้มันไม่เกิดประโยชน์อะไร ถึงเวลาจะหนักหนักซิ สติปํญญาก้าวเดินเรื่อยๆ อย่าไปหนักทนเฉยๆ ใช้ไม่ได้ ต้องใช้สติปัญญาหนุนกันเรื่อยๆ จากนั้นมันก็เบิกกว้างๆๆ ออก ฟาดเสียจนกิเลสขาดสะบั้น ไม่มีอะไรเป็นเสี้ยนเป็นหนาม ในสามแดนโลกธาตุมีกิเลสเท่านั้นเป็นหอกเป็นหลาวตลอดถึงผงเข้าตา เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด พอกิเลสทุกประเภทนี้ขาดสะบั้นไปจากใจแล้วไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้องกับใจ นั้นละบรมสุขอยู่ที่ตรงนั้น แสนสบาย ร่างกายสังขารเป็นทุกข์บ้าง เหมือนกับโลกทั่วๆ ไป มันก็ไม่หนักใจ เพราะมันไม่เข้าถึงใจ ใจบริสุทธิ์เต็มที่แล้วอะไรจะไปเข้าถึงได้ มันทนไม่ไหวมันก็ตายเหมือนโลก แต่ธรรมชาตินี้ไม่ตาย รู้อยู่อย่างชัดๆ

นี่คือการปฏิบัติธรรมให้เห็นกันชัดๆ ซิ พระพุทธเจ้าหลอกลวงโลกเหรอ สอนอะไรก็ว่าแต่พระพุทธเจ้าหลอก กิเลสหลอกลวงมาตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่เห็นเข็ดหลาบอิ่มพอกันบ้าง มันไม่โง่เกินมนุษย์แล้วเหรอพวกเราชาวพุทธน่ะ ฟังให้ดีนะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้เหนื่อยแล้ว ทองคำตั้งแต่เช้าถึงค่ำวันนี้ได้ ๒๒ บาท ๗๓ สตางค์ ทองคำที่ได้ตั้งแต่วันที่ ๖ เมษายนถึงค่ำวันนี้เป็น ๕ กิโล ๔๘ บาท ๑๙ สตางค์ มาตั้งแต่วันที่ ๖ ถึงวันนี้

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก