เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
กิเลสเท่านั้นกวนใจ
ก่อนจังหัน
สำหรับพระผมไม่ค่อยได้มีการอบรมเหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนการอบรมพระเป็นประจำๆ ตลอดเลย อาทิตย์ละครั้งๆ เป็นประจำตลอดมา ตอนเฒ่าแก่แล้วเกี่ยวกับเรื่องการช่วยชาติเลยห่างเหินไปจนกระทั่งแทบไม่มี การอบรมพระทุกวันนี้ว่าไม่มีก็ไม่ผิด ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่าสนใจกับกิจอื่นงานใด ในโลกนี้ไม่มีงานใดเลิศเลอยิ่งกว่างานถอดถอนกิเลสออกจากใจ อันนี้เป็นงานที่เลิศสุดยอด พอถอนกิเลสออกจากใจหมดแล้ว ความสุขในสามโลกธาตุมารวมอยู่ที่ใจนี้หมด พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
การทำข้อวัตรปฏิบัติด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคี อย่าให้ได้บอก ทุกวันนี้ก็หากเรียบร้อยอยู่แล้วๆ แต่เตือนให้คิด เหล่านี้เป็นงานการของตัวเองทั้งนั้น แล้วทำอะไรๆ อย่าเผลอสติ สติเป็นสำคัญ ถ้าสติขาดไปเสียเดินจงกรมก็ไม่มีความหมาย นั่งภาวนาก็ไม่มีความหมาย ทำข้อวัตรปฏิบัติอะไรๆ ก็ไม่มีความหมายทั้งนั้น ความหมายอันยิ่งใหญ่อยู่กับสติ เมื่อความรู้ตัวหรือสัมปชัญญะติดอยู่กับตัวแล้วกิเลสจะไม่เกิด กิเลสเกิดเวลาเผลอสติ
ท่านว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่เห็นได้ชัดเจน อวิชชาเป็นรังแห่งวัฏวน โมหะจิตอยู่ที่อวิชฺชาปจฺจยา ดันออกมาเป็นสังขารเรื่อยๆ ไป นี่ตัวสำคัญ ถ้ามีสติแล้วกิเลสจะไม่เกิด คือสังขารเกิดไม่ได้ กิเลสเกิดตามสังขารก็ออกไม่ได้ๆ สติดีเท่าไรกิเลสจะไม่เกิด ดีทั้งวัน สติติดแนบทั้งวัน กิเลสไม่เกิดทั้งวัน กิเลสจะเกิดเวลาเผลอเท่านั้น ท่านทั้งหลายจำให้ดี ที่เทศน์นี้เทศน์อย่างแม่นยำ เราผ่านมาเรียบร้อยแล้วที่นำมาสอนหมู่เพื่อน ไม่ใช่มาสุ่มสี่สุ่มห้าสอนด้นๆ เดาๆ เราผ่านมาหมดแล้ว สติไม่เผลอติดแนบตลอดทั้งวัน กิเลสเกิดไม่ได้ทั้งวัน นี่สำคัญมาก
สติควบคุมกิเลสทุกประเภทได้เป็นอย่างดี อย่าให้เผลอสติ มีการงานใดๆ เราทำการทำงานนี้สติติดอยู่แล้วกิเลสไม่เกิด ทำการทำงานก็ได้ สติก็ดี สตินี่สำคัญ สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา ท่านบอกว่า สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง ไม่มีเว้นเลยที่ว่าจะไม่มีสติ ขอให้มีสติตั้งหน้าประกอบความพากเพียร
การอบรมพระเวลานี้ผมไม่ค่อยมีแล้วแหละ งานมากต่อมาก เราก็แก่ไปเรื่อยๆ แม้แต่เดินจะมาฉันจังหันนี้มันไม่อยากมานะ ฝืนเฉยๆ นะนี่ เดินจากกุฏิมาฉันจังหันอย่าคิดว่ามันอยากมาอยากฉันนะ ไม่นะ มันถอยกรูดๆ มันไม่อยากมาไม่อยากฉัน มันถอยขนาดนั้นละเดี๋ยวนี้ ธาตุขันธ์เวลามันไม่เอาไหนไม่เอาจริงๆ เวลายังหนุ่มยังน้อยนี้ขยับๆ ใบไม้สดใบไม้แห้งมันนึกว่าเป็นผักไปหมดนั่นแหละ ใบไม้สดใบไม้แห้งร่วงหล่นลงมามันนึกว่าเป็นผักไปจิ้มน้ำพริกทั้งนั้นแหละ แต่เดี๋ยวนี้ โอ๋ย ไม่นะ มันพลิก ถึงเวลาที่จะลงมาฉันนี้มันอืดอาดไม่อยากลง คือไม่อยากไม่หิวเลย ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นอยู่สบาย ไม่อยากยุ่งอะไรกับอะไร ถึงเวลาแล้วดีดผึงไปเลยนั่นเหมาะ มันยุ่งกับขันธ์ทุกวันนี้
พูดให้ชัดเจนการปฏิบัติ รวมกองทุกข์หรือกองสุขทั้งหลายเข้ามาอยู่ที่หัวใจ ใจเวลาชำระให้เรียบร้อยหมดแล้วเป็นใจที่บริสุทธิ์เต็มเหนี่ยวแล้ว ทีนี้มันถึงเห็นได้ชัดเรื่องของโลกของสงสารที่หมุนกันเป็นฟืนเป็นไฟนี้ เพราะอำนาจของกิเลสทั้งนั้น กิเลสมันตัวสำคัญ โลกมองไม่เห็นและไม่มองนะ มีธรรมะพระพุทธเจ้าอย่างเดียว พุทธศาสนาเป็นศาสนาชั้นเอก สอนโลกอย่างแม่นยำๆ แต่ไม่มีใครสนใจ ถ้าเป็นศาสนาของกิเลสแล้วเอาวันยังค่ำคืนยังรุ่ง ตายก็ตาย คอขาดขาดไปเลย เพราะความสมัครใจกับกิเลส เรื่องอรรถเรื่องธรรมมันไม่อยากเล่นไม่อยากสนใจปฏิบัติ ท่านทั้งหลายเอาไปพิจารณา
พระนักภาวนาเอาให้จริงให้จังนะ มรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน อยู่กับตัวของท่านผู้ภาวนา มีสติติดแนบ ใครมีธรรมบทใดที่ฝึกหัดเบื้องต้น หรือใช้วิปัสสนาหรือปัญญาก็ดี สติต้องติดแนบๆ ถึงขั้นปัญญาแล้ว สติกับปัญญาไปด้วยกันๆ สอนทุกท่านนี่เราสอนอย่างแม่นยำ เพราะเราผ่านมาหมดแล้ว ที่นำมาสอนนี้สอนอย่างแม่นยำไม่สงสัย เราผ่านมาหมดแล้ว ขอให้นำนี้ไปประพฤติปฏิบัติจะไม่ผิดไม่พลาด เอาละให้พร
หลังจังหัน
เรียนวิชาธรรมกับวิชาโลกนี้ต่างกันในแง่ปฏิบัติ ถ้าเรียนธรรมดานี้วิชาธรรมกับวิชาโลกก็เหมือนกัน คือเรียนเพื่อความจำๆ เรียนวิชาธรรมก็เพื่อความจำ วิชาโลกก็เพื่อความจำ ทีนี้จำแล้วเอาไปเป็นโลกไปเลย คือเรียนจบชั้นนั้นชั้นนี้ ตั้งขึ้นว่าชั้นนั้นชั้นนี้ สุดท้ายก็มาติดความสำคัญว่าตนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ ไปไม่รอด ติดอยู่ตรงนี้เอง ต้องเอาภาคปฏิบัติเข้าทำลาย ภาคปฏิบัตินี่เรียนมาๆ ท่านสอนว่ายังไง ท่านสอนเพื่อจะแก้จะปลดจะเบิกทางทั้งนั้น ท่านสอนเข้ามาให้เบิกทางที่เราติดอยู่ กิเลสมันปิดตันเอาไว้ ธรรมะท่านสอนท่านเบิกทางให้ เรานำมาปฏิบัติก็เบิกทางๆ กว้างออกๆ
ธรรมดาเรียนธรรมกับเรียนโลกไม่ผิดกัน ถ้าเรียนเพื่อความจำไม่เกิดประโยชน์ ต้องเรียนเพื่อการปฏิบัติ...เป็น ทางโลกเขาเรียนไปปฏิบัติตามหลักวิชาที่เรียนมาก็เป็นประโยชน์ เรียนธรรมเรียนแล้วปฏิบัติตามหลักธรรม ยิ่งเป็นประโยชน์อันใหญ่หลวง เราเรียนเฉยๆ เรียนโลกกับเรียนธรรมไม่ผิดกัน จำได้ๆ เช่นอย่างสอบได้ชั้นนั้นชั้นนี้ ตรี โท เอก มหาเปรียญ ๓ ประโยคถึง ๙ ประโยค ก็เป็นความจำทั้งหมดไม่ได้เป็นความจริง ซึ่งเป็นสมบัติของตนโดยแท้เลย ความจริงเป็นยังไง เรียนแล้วปฏิบัติ ปฏิบัติได้มากน้อย รู้เห็นขึ้นมาเท่าไร รู้เห็นขึ้นมาแล้วนั้นละเป็นสมบัติของตนพร้อมไปเลยๆ
ภาคปฏิบัติจึงเป็นภาคขวนขวายหาสมบัติเข้าสู่ความเป็นของตัว ใครไม่ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้าก็ไม่เห็นมีความหมายอะไร คือเรียนไปเฉยๆ ไม่ได้มาปฏิบัติก็ได้แต่ความจำ ความจำไม่ใช่สมบัติของตัวเอง ภาคปฏิบัติต่างหากเป็นสมบัติของตัวเอง เช่นท่านสอนให้ทำความสงบใจ สมถะ วิปัสสนา หรือสมถะ สมาธิ วิปัสสนา วิชชา วิมุตติหลุดพ้น นี่เป็นแถวแนวของธรรมที่สอน เบิกกว้างออกๆ จนกระทั่งพ้นทุกข์ ถ้าดำเนินตามนั้นแล้วออกได้ๆ ถ้าไม่ดำเนินตามนั้นเรียนก็มีแต่ความจำ ไม่เกิดประโยชน์ สุดท้ายก็เป็นหนอนแทะกระดาษ ไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนกัน
ที่เราพูดอย่างนี้ก็มีผู้คัดค้านมาเหมือนกัน เขาติดอันนั้น ส่วนเราติดอะไรก็ไม่รู้แหละ เราเทศน์ไปถึงขั้นหนอนแทะกระดาษ เขาบอกว่าคำนี้ไม่น่าพูด ทางนี้ตอบปั๊บเลยมันน่าพูดตั้งแต่ยังไม่พูด นั่นเห็นไหมล่ะตอบกัน เป็นอย่างนั้น ก็มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรียนเฉยๆ เรียนในกระดาษก็เป็นหนอนแทะกระดาษ เรียนในใบลานก็เป็นหนอนแทะแต่ใบลานไป เรียนเพื่อปฏิบัติแทะเข้ามาแหละ...กิเลส แทะกิเลสอยู่ในหัวใจออกๆ นี่เรียนเพื่อปฏิบัติ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ผลของงานก็ปรากฏขึ้นโดยลำดับๆ ท่านเรียกว่าปฏิเวธ ความรู้แจ้งไปโดยลำดับในผลงานของตน
นี่เอาจริงๆ จึงพูดได้เต็มปากตามที่ปฏิบัติมา ได้รู้เห็นอย่างไรๆ ไม่สะทกสะท้าน เพราะมันรู้จริงๆ เห็นจริงๆ ไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน สนฺทิฏฺฐิโก เป็นขั้นๆ โดยลำดับ จนกระทั่ง สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้ายกิเลสพังหมดเป็น สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดยอดเลย นี่ละพระพุทธเจ้ามอบ สนฺทิฏฺฐิโก ให้ เพราะฉะนั้นบรรดาพระอรหันต์ที่ตรัสรู้ธรรมแล้วจึงไม่ไปทูลถามพระพุทธเจ้าแม้พระองค์เดียว ตรัสรู้ผางขึ้นมานี้ สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้ายแล้วเป็น สรณํ คจฺฉามิของตัวเอง แล้วก็เป็น สรณํ คจฺฉามิ ของโลกได้เลย
ตราบใดถ้าโลกไม่มีธรรมเข้าแทรกสิงใจเลย โลกจะเดือดร้อนอย่างนี้ตลอดไป ท่านทั้งหลายให้ฟังทั่วประเทศไทยเป็นลูกชาวพุทธ เวลานี้มันเป็นบ้าอยู่กับโลกกับสงสาร เที่ยวเอาฟืนเอาไฟเผาตัวเอง ไม่มีความเข็ดหลาบอิ่มพอเลยก็คือกิเลสเผาหัวใจสัตว์โลก ให้ดีดให้ดิ้น ไม่เอาธรรมเข้าไปชะล้างให้เป็นน้ำดับไฟบ้างเลย หาความเย็นไม่ได้นะ
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นของเล่นเมื่อไร เป็นศาสนาของผู้สิ้นกิเลส พวกเรามันพวกคลังกิเลสจะไปแข่งพระพุทธเจ้าได้ยังไง คลังกิเลสก็พวกหูหนวกตาบอด ไปที่ไหนชนดะไปเลยๆ พระพุทธเจ้า โลกวิทู รู้แจ้งชัดไปหมด ไม่มีอะไรมาขัดข้องพระทัยได้เลย ธรรมอันนั้นละเอามาสอนโลก แต่โลกมันใช้วิชาหูหนวกตาบอดเข้าชนศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า จึงเกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า ใครมีความสุขที่ไหน ที่ต่างคนต่างดิ้นกันทั่วโลกดินแดน มีแต่ฟืนแต่ไฟเผากัน แล้วโผล่ขึ้นมาตื่นเงากันว่าเมืองนั้นเจริญเมืองนี้เจริญ มันเจริญที่ไหนเจริญอะไรหัวใจเป็นไฟ นั่น เอาตรงนั้นซิ หาความจริงต้องหาอย่างนั้น
ต้นไม้ภูเขาเป็นต้นไม้ภูเขา ไฟเขาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นไฟเขาร้อน คนที่เข้าไปสัมผัสไฟต่างหากร้อน ให้ปรับปรุงแก้ไขตัวนี้ซิ ที่จะสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งใดให้เป็นคุณเป็นประโยชน์ อย่าให้เป็นโทษแก่ตัวเอง อย่างนั้นนะการปฏิบัติธรรม ต้องรู้จักวิธีแก้ไขดัดแปลง เอามันตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน นี่ก็พูดให้ฟังแล้ว ล้มลุกคลุกคลานน้ำตาร่วงบนภูเขา เคียดแค้นให้กิเลสนี้ดีนะ นั่นละเราได้เป็นคติเครื่องเตือนใจมาตั้งแต่ไปน้ำตาร่วงบนภูเขา สู้กิเลสไม่ได้ สติไม่มี ตั้งพับล้มทันทีเลย
เวลากระแสกิเลสรุนแรง เอาขนาดนั้นละ พยายามตั้งพับ ตั้งพับล้มพร้อมๆ ไม่มีที่จะอยู่ได้เลย โถ ขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำตาร่วงเราไม่ลืมนะ อันไม่ลืมนี่ละเคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจเจ้าของนี้ได้เคียดแค้นสุดหัวใจ ทีนี้ก็ไปเทียบละที่นี่เวลามันได้ผลขึ้นมาจากการเคียดแค้นตัวเองเป็นธรรมทั้งนั้น ได้ผลขึ้นมาเรื่อยๆ ก็คิด คนเราไปเคียดแค้นกับสัตว์หรือบุคคลใดก็ตามเป็นกิเลส เป็นบาปเป็นกรรมทั้งนั้น แต่การมาเคียดแค้นแก่กิเลสซึ่งเป็นภัยแก่ตัวเองนี้เป็นธรรม นั่น เอาอันนี้ละเข้ามาหมุนตัวเอง เคียดแค้นให้กิเลสภายในตัวเอง มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอาละยังไงกูก็ไม่ถอย ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ซัดกันกับมัน เคียดแค้นถึงใจ เคียดแค้นให้กิเลสเป็นธรรมนะ เคียดแค้นให้คนอื่นสัตว์อื่นเป็นกิเลสทั้งนั้น ถ้าเคียดแค้นให้กิเลสภายในหัวใจเจ้าของเป็นธรรม นี่เคียดแค้นสุดหัวใจ
โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา ซัดกันเรื่อยๆ ไม่หยุดไม่ถอย เอาจนจิตใจเบิกกว้างๆ จนถึงขั้นว่า เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ มันเงียบหมดเลย กิเลสตัวใดไม่ดีดไม่ดิ้น เงียบหมด สว่างจ้าอยู่ในหัวใจ หือ นี่มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ แต่ยังไม่ได้สำคัญนะ ว่าเฉยๆ ตอนที่มันว่างกิเลสไม่แสดงตัวต่อสู้ เดี๋ยวโผล่ขึ้นมาก็ซัดกันเลยๆ ไม่หยุดไม่ถอย สุดท้ายฟาดเสียจน อรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่เลยไม่ถาม นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละความเคียดแค้นให้กิเลสภายในตัวเองเป็นธรรม เคียดแค้นหนักเท่าไรความเพียรยิ่งหนัก มุมานะหนัก ให้ถอยไม่มีเลย เคียดแค้นให้คนอื่นก็พยายามสั่งสมบาปกรรมเข้า เคียดแค้นให้ตัวเอง พยายามสั่งสมอรรถธรรมเข้าแก้ไขตัวเอง
ให้พากันเคียดแค้นให้ตัวเองนะ ความขี้เกียจขี้คร้าน ตื่นขึ้นมา หือ วันนี้นอนตั้งแต่หัวค่ำจนกระทั่งป่านนี้ เคียดแค้นให้มัน วันหลังกูจะไม่นอน ให้ว่าอย่างนี้เข้าใจไหมล่ะ จากนี้ถ้ามันไม่พอให้ออกไปหน้าประตูวัด ไปนั้นเขาเขียนไว้ว่ากูจะฟ้องท่านเปา มันมาเที่ยวป้วนเปี้ยน ทีนี้เราเปลี่ยนแปลงปั๊บ กูจะฟ้องท่านเปา จิตมันเพ่นพ่านนอนไม่หลับ กิเลสกวน กูจะเอาให้มันหมอบราบ แก้กิเลส ฟ้องท่านเปาแก้แบบนี้ เขียนนั้นเป็นคติทั้งนั้น เราไปเห็นอยู่ท้ายรถเขาก็เคยพูดแล้ว ไปจังหวัดชัยภูมิ เขาติดท้ายรถไว้ เขาเขียนสนุกของเขานั่นแหละ เราก็เป็นนิสัยตลกด้วย พอเห็นเข้า เข้าท่านะ กูจะฟ้องท่านเปา เราก็จับอันนั้นมาใส่หน้าวัด เพิ่มคำของเราในนามของวัดไปว่า ต้นฉบับเขาว่า กูจะฟ้องท่านเปา สำนวนของเราเกี่ยวกับเรื่องวัดว่า มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน แก้กันตรงนี้
อันนี้ก็แก้ซิ ฟ้องท่านเปาเรื่อย พวกขี้เกียจขี้คร้าน ฟ้องท่านเปา มันขี้เกียจขี้คร้าน กินแล้วนอนไม่ตื่น กูจะฟ้องท่านเปา ดูซิเราเขียนมีคตินะ เราคิดหมดแล้วในหัวใสจ ไม่ได้เขียนด้วยความคึกความคะนองล้วนๆ เหมือนโลก กิริยาเป็นความคึกความคะนอง แต่อันหนึ่งเป็นกิริยาของธรรมแทรกๆ อยู่ในนั้น จะทำให้มันเป็นโลกก็ไม่เป็นจิตดวงนี้น่ะ พูดชัดๆ อย่างนี้ละ แต่กิริยาที่จะทำให้เป็นตลกเหมือนโลกเป็นได้ไม่สงสัย โลกเป็นสมมุติอันนี้ก็เป็นสมมุติมันออกรับกันได้ทั้งนั้น อย่างกูจะฟ้องท่านเปา มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน คือมันมายุ่งในวัดนี้ ก็บอกว่ามาเที่ยวเพ่นพ่าน ท่านเปาไม่ทราบอยู่ไหนละ แต่ไปฟ้องท่านเปา พวกนี้มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน
สอนให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ เขาเขียนทางโน้น ก็เอาทางโน้นมาติดที่นี่ กูจะฟ้องท่านเปา เราเอาฉบับเขามา กูจะฟ้องท่านเปา ฉบับของเราก็ว่า มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน ใส่เข้าไป ให้พากันคิดซิ จะได้ฟ้องท่านเปาเรื่อยนะพวกนี้ กิเลสเที่ยวเพ่นพ่าน ลงมันได้กล่อมแล้วนอนแต่หัวค่ำจนกระทั่งสว่างก็ไม่ตื่น นี่ควรจะฟ้องท่านเปาหรือยัง พิจารณาซิ กูจะฟ้องท่านเปาให้เอาพระมากุสลา มันจะตื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ พระกุสลาจนเลิกไปแล้วมันยังไม่ตื่นก็สุดวิสัย เข้าใจ อย่ามานิมนต์พระวัดนี้ไม่ได้นะ กูจะฟ้องท่านเปา แล้วก็ไปนิมนต์พระมากุสลามันนอนไม่ตื่น กิเลสกล่อมมัน
โธ้ กิเลสเป็นของง่ายเมื่อไร เวลามันได้กล่อมกระดิกไม่ได้นะ อำนาจของกิเลสนี้จมๆ ตลอด ดึงลงๆ อำนาจของธรรม เราพยายามไม่หยุดไม่ถอย พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม เดี๋ยวก็ฟื้นขึ้นมาได้ๆ พอธรรมมีอำนาจแล้วเอาละนะ ความรู้อันนี้เราก็ไม่เคยคิด มันมาเป็นในหัวใจเราเราถึงได้รู้ ว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โลกโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าหัวใจใดกิเลสจะทำงานของมัน ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสสัมพันธ์อะไรกิเลสจะออกก่อนๆ ธรรมไม่มีจะออก นี้เป็นหลักธรรมชาติของสัตว์โลก ทีนี้เวลาเราปฏิบัติธรรมจนธรรมมีกำลังแก่กล้าแล้ว ทีนี้สัมผัสอะไรที่นี่นะ สัมผัสอะไรเป็นธรรมหมด แก้กิเลสฆ่ากิเลสทั้งนั้น มันถึงรู้ได้นะ
คือกิเลสนี้ทำงานบนหัวใจสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมัน ทีนี้พอธรรมมีกำลังขึ้นแล้วรับกันปั๊บ ธรรมก็มีกำลังสามารถที่จะแก้กิเลสโดยอัตโนมัติ จนกิเลสขาดสะบั้นไปจากหัวใจได้เช่นเดียวกัน นั่น มันก็ขึ้นมาจากนี้ละ ถึงขั้นนี้แล้วมันไม่ถอย ถึงขั้นฆ่ากิเลสไม่ถอย อยู่ที่ไหนไม่ถอย กลางคืนนอนไม่หลับ กลางวันยังจะไม่หลับอีก มันหมุนของมันตามฆ่ากิเลส ถึงขั้นมันฆ่ามันฆ่าจริงๆ ฆ่าโดยอัตโนมัติ ฆ่าด้วยความดูดดื่ม ประหนึ่งว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อมๆ ตลอดเวลา เอาจนกระทั่งกิเลสพัง ทีนี้หมด ภาระทุกอย่างหมด ในโลกสมมุตินี้ไม่มีเลย มีกิเลสตัวเดียวเป็นตัวยุ่งกวนที่สุดอยู่ในหัวใจ พอกิเลสขาดแล้วไม่มีอะไรยุ่งกวน
กิเลสเป็นตัวสำคัญ พาโลกให้เกิดแก่เจ็บตายกองกันอยู่นี้ก็คือกิเลส พอฟาดตัวนี้ลงไปแล้วไม่ตายกองกัน ขาดสะบั้นลงไปแล้วดีดผึงเลย เรียกว่าตัดป่าช้าแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ต่อไปนี้เราจะไม่มาเกิดอีก มันก็รู้อยู่ในใจ คือมันขาดไปคนละฝั่งแล้ว ฝั่งวัฏวนพาสัตว์ให้หมุนเวียน กับฝั่งวิวัฏฏะพระนิพพาน เป็นคนละฝั่งแล้ว มันก็รู้ชัดๆ ภายในใจของเรา ให้พากันปฏิบัติ
ธรรมะพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ นะ อย่าเข้าใจว่าเป็นธรรมะครึ ล้าสมัย กิเลสเวลามันเสกสรรปั้นยอตัวขึ้นมานี้มันทันสมัยล้ำสมัยล้ำยุคทั้งนั้น จนเจ้าของจะตายมันยังล้ำยุคล้ำสมัยไปเรื่อยกิเลส ธรรมเลยตายไม่มีเหลือ ตายทิ้งเปล่าๆ นะ ตั้งแต่วันเกิดมาถึงวันนี้เป็นยังไง เราได้สาระอะไรบ้าง ทดสอบดูตัวเองบ้างหรือเปล่า ได้ทำความชั่วช้าลามกและความดีงามอะไรบ้าง ตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ทดสอบดู บวกลบคูณหารดู อะไรที่บกพร่องในส่วนดีทั้งหลายให้แก้ไขให้เป็นส่วนดีเพิ่มเข้าๆ จนกระทั่งหาที่ตำหนิไม่ได้
จิตนี้เมื่อถึงขั้นเต็มภูมิแล้วไม่มีที่ตำหนิ โลกอันนี้สูญเปล่าไปหมด ท่านว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต ดูก่อน โมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ความถือว่าเขาว่าเราอันเป็นก้างขวางคอนั้นออกเสีย จะพึงข้ามพ้นพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันผู้ที่พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้ แล้วเวลาพิจารณาเป็นอย่างพระโมฆราชแล้ว ก็เป็นพระโมฆราชทุกองค์ บรรดาพระอรหันต์เป็นพระโมฆราชทุกองค์ ท่านยกพระโมฆ ราช องค์เดียว พอขึ้นมาแล้วเป็นแบบเดียวกันหมดนั่นแหละ ตั้งใจปฏิบัติ
มีกิเลสเท่านั้นกวนใจ กิเลสหมดไปแล้วไม่มีอะไรกวน โลกอันนี้จึงว่าสูญเปล่า ว่างเปล่า ที่ไม่ว่างก็คือกิเลสเป็นก้างขวางคอ กิเลสมันขวางตลอดเวลาภายในหัวใจ ดินฟ้าอากาศจะโล่งขนาดไหนก็ตาม แจ่มใสขนาดไหนก็ตาม กิเลสมันมืดบอดของมัน มันเป็นหอกเป็นหลาวทิ่มแทงหัวใจตลอด ถอดอันนี้ออกไปแล้วไม่มี ว่างไปหมดเลย ท่านว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โลกว่างว่างตรงนี้นะ ไม่ได้ว่างที่ไหน เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละพอ ให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz |