ผู้มีแก้วสารพัดนึก
วันที่ 20 มีนาคม 2550 เวลา 11:45 น.
สถานที่ : วัดป่านาสีดา
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์ในงานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่จันทร์โสม

ณ วัดป่านาสีดา อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี

เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ผู้มีแก้วสารพัดนึก

         ใครที่ยังไม่เคยเห็นเจ้าคุณอุดร นั่นนั่งอยู่ถัดกับเจ้าคุณ.... นี่ละที่ว่าให้เรา ไม่เคยดุใครนะ ไม่เคยได้ยินดุใครเลย เรียกว่าเลิศทางไม่ดุนะ นี่ละที่ได้ออกมาเป็นต่อหน้าต่อตา วันนั้นมีการประชุม ชำระเรื่องราวเสร็จสรรพ เราเป็นตัวออกโรงพูดง่ายๆ ว่างั้น ขึ้นเวที ๔๕ นาที จบ พอจบเราก็เหนื่อยนอนแผ่สองสลึง พระก็นวดเส้นให้ เจ้าคุณนี้นั่งอยู่ข้างๆ ถ้าใครอยากเห็นฤทธิ์เดชอาจารย์ของเรา ให้มาดูเวลาขึ้นเวที  เห็นนิสัยของท่านเราก็ใส่ปั๊วะเลย เราทำท่าดุนะ ดุเพื่อจะหยั่งเสียง นิสัยคนใจดีว่างั้นเถอะ

เพื่อจะหยั่งเสียงคนใจดีจะเป็นยังไง จะออกลายไหนมา พอจบลง ก็นี่มันเน่าเฟะมาแล้ว มาอุ่นกินอะไร  มันเสียปากเสียท้องรู้ไหม มันบูดมันเสียไปหมดแล้วนี่น่ะ  มาอุ่นกินหาอะไร เราขู่นะ ทางนั้นจะออกแง่ไหน  ก็แบบเก่านั่นละ  โอ๊ย อุ่นไม่อุ่นกินวันยังค่ำก็อร่อยตลอดเวลา พูดเฉยนะ แบบเฉย  ท่านก็ไปแบบของท่านเฉย  เราขู่แหย่ลองดูเป็นยังไง  นึกว่าจะคึกคักขึ้นต่อสู้กัน โอ๊ยแล้วเท่านั้น ไม่มี ไม่เคยดุใครละ  ดุคนไม่เป็น ท่านเจ้าคุณนี่ดุคนไม่เป็น

ไอ้เรานี่ไม่ได้ละ ถ้าวันไหนไม่ได้ดุ วันนั้นต้องสะพายยาทันใจติดย่ามไปแก้ปวดศีรษะ ไม่ได้ดุคนมันปวดหัว มันต้องเอายาทันใจกินไป แก้ไปเรื่อย พอระงับ  ถ้าได้ดุคนละก็ไม่ต้องกินยาทันใจ  นี่ไม่มีใครดุ เป็นอย่างนั้นละ

ให้นั่งธรรมดาสบายๆ เสียก่อนเถอะ เทศน์เมื่อไรก็ได้ ยากอะไร เทศน์เอาอย่างนี้ละ เทศน์ที่ไหนก็เทศน์มาพอแล้ว ก็เอานิทานย่อเข้ามาซิ ฟังเสียนิทาน หลวงตาจะเล่าให้ฟัง พ่อเฒ่า เรียกว่าพ่อตา  ลูกเขยลูกสาวเข้าใจไหมล่ะ  พ่อตาตื่นแต่เช้าก็ไปเผาสวนเผาไร่ ที่มันเศษมันเหลือเผาส่วนใหญ่ยังไม่เสร็จ ตอนเช้าตื่นแต่เช้าก็ไปเผาไร่เผาสวน ที่มันยังเศษยังเหลือยังเผาไม่หมด ไปแต่เช้าเลย ก็คิดว่าลูกสาวเขาจะไปตามหลัง

เผาสวนตั้งแต่เช้าจนสาย มันก็หิวละซิไม่ได้กินข้าว จนกระทั่งสายๆ หิวข้าว หิวจัด หิวมากทีเดียว  จนตะวันเที่ยง  ลูกเขยกับลูกสาวจึงหาบกล่องข้าว ต้อนแต้นๆ ไป เข้าใจบ่  มันก็โมโหซิ คนกำลังหิวข้าวหลายๆ สิว่าจังใดมันก็เกินไป   จะว่าอะไรมันก็จะเกินไป พอเห็นลูกสาวกับลูกเขย หาบกล่องข้าวต้อนแต้นๆ ไปนั่นละ  ไป เห็นหน้าเขาก็ สูนี่ มีแต่สูนี่ จะว่าอะไร มันก็จะเลยเถิด ก็มีแต่สูนี่ๆ เข้าใจไหม เลยพูดอะไรไม่ได้  มันจะเลยเถิดเพราะความโกรธความเคียดแค้นมันเต็มหัวใจ  จะว่าอะไรมันจะเลยเถิด เลยบังคับเครื่องเอาไว้ออกได้แต่เพียงว่า สูนี่ๆ ความหมาย ทำไมมาสายนัก กูหิวข้าวกำลังจะตายสูรู้ไหม ความหมายว่างั้นแหละ  แต่นี่พูดอะไรไม่ออก ก็พูดได้แต่เพียงว่าสูนี่ๆ เข้าใจไหมล่ะ นี่เทศน์กัณฑ์หนึ่งแล้ว เทศน์สูนี่ๆ อันนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ เรานั่งอยู่ในร่ม พวกนี้ตากแดด มันร้อนจะตาย แทนที่ทางนั้นจะว่าเราสูนี่ไม่ว่า  สูนี่ไม่ร้อนเหรอ สูนี่ๆ ไม่ร้อนเหรอ เขาน่าจะโมโหว่าให้เรา เขานั่งตากแดด ว่าสูนี่ เขาไม่กล้า ตกลงเราเลยต้องว่าเสียเอง ว่าพวกนี้นั่งตากแดดมันจะเป็นจะตาย เลยสูนี่ไม่ร้อนเหรอ เข้าใจเหรอ

พูดนิทานย่อๆ ให้ฟังเสียก่อน พูดกันอย่างนี้ละ นิทานเอาย่อมาๆ เรื่อยมา ทีนี้พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกได้ เมื่อ ๒ วัน ๓ วันนี้  เราไปอำเภอภูเขียว เอาอาหารไปให้โรงพยาบาล พอเห็นเขาเขียนไว้ท้ายรถเขา เขาเขียนไว้ที่ท้ายรถ เรานั่งรถไปเห็นท้ายรถเขา เขาเขียนว่า กูจะฟ้องท่านเปา เขาเขียนติดท้ายรถเขา เขียนเท่านั้น เราก็เลยได้อันนั้นกลับมาวัดเรา มาเราก็เอาบทนี้ขึ้นเป็นบทหน้าเลย บทหน้าก็คือว่า กูจะฟ้องท่านเปา ที่อยู่บทของเราที่ออกตามกันไปบทที่สองนี้ว่า ขึ้นบทแรกกูจะฟ้องท่านเปา บทที่สองเป็นบทของเราเอง  มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน เข้าใจไหม กูจะฟ้องท่านเปา มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน มันเข้ากันได้ไม่ใช่เหรอ

เข้ามาวัดแล้วก็ต้องเขียนแบบนี้ใช่ไหม มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน อยู่นอกช่างหัวมันซิ เข้ามาวัดเรา มันต้องมีขนาบกันละ กูจะฟ้องท่านเปา ทางนี้ตีเข้ามาในวัด มันมาเที่ยวเพ่นพ่าน เข้าใจไหมล่ะ ตากแดดฟังมันเข้าใจหรือเปล่าพวกนี้น่ะ  พวกนั้นตากแดดฟังมันเข้าใจรึเปล่าล่ะ ถ้ามันโมโหมาก ก็เอาสูนี่แทนก็ได้นะ  มันตากแดดทำไง แดดมันร้อนนี่นะ มันไม่มีที่ร่มเหรอ พูดอย่างนี้ให้ฟังก็ฟังเอานะ เทศน์แปลว่าบอกว่าสอน เทศนาว่าการแปลว่าบอกว่าสอน  อันนี้ก็บอกว่าสอนนั่นแหละ เข้าใจ

         ท่านอาจารย์จันทร์โสม ท่านเป็นพระ บ้านท่านอยู่บ้านนาสีดา ท่านออกประพฤติปฏิบัติกรรมฐานมานานแหละ คุ้นเคยกันกับเรา เรียกว่าท่านเป็นรุ่นน้องเรา  เคยอยู่วัดหนองผือด้วยกัน ก็พอดีเรื่องมันไปสัมผัส ท่านทำกระติกน้ำด้วยไม้นะ เจาะคว้านข้างในออกหมด แล้วท่านก็ติดกาวหรืออะไรไม่รู้แหละ ทีนี้ท่านก็เอาน้ำรักเขาเรียกน้ำเกลี้ยง ทาข้างนอก  น้ำรักมันคันนะ น้ำเกลี้ยงมันคัน ครั้นทำแล้วท่านก็ไปขุดหลุมไว้ข้างทาง  นี่เป็นทางจงกรมของเรา เราเข้าไปเดินจงกรมอยู่ในป่า ผ่านไปผ่านมา หลุมนั้นอยู่ทางโน้นนะ ไกลกันอยู่

เราก็เดินผ่านไปผ่านมา ท่านขุดหลุมเอาไว้ แล้วท่านเอาน้ำรัก เอาน้ำเกลี้ยงที่มันคันๆ น่ะทากระติก  เสร็จแล้วท่านเอาไปแขวนไว้ที่หลุม เพื่อให้มันได้รับอากาศรอบตัวมัน ท่านก็ไปแขวนไว้นู้น ทีนี้เราเข้าไปเดินจงกรมในป่ามันคันจะตายที่นี่ คันผิดปกติ  พอดีไปเจอกับท่าน ท่านโสมผมเป็นอะไรไม่รู้นะ ตอนนั้นเราก็แน่ใจเฉยๆ  ละว่าไม่มีน้ำเกลี้ยงน้ำเกิ้งน้ำรักอะไรละ มันคันเหมือนน้ำเกลี้ยงนี่นะ  มันคันหมดตัวเวลานี้ มันเป็นยังไง ดูซิน่ะ มันคันได้ยังไง มันคันเหมือนน้ำเกลี้ยงนะ

โอ๋ย น้ำเกลี้ยงมีอยู่ มียังไงว่ามาซิ อู๊ย ผมเอามาทานี้ เลยผมไปทำเป็นหลุมตรงโน้น มีหลุมๆ ที่ท่านทำไว้ ท่านเอาไปแขวนไว้นี่นะ ให้มันได้อากาศรอบตัวมันแห้งง่าย ไหนพาไปดูซิ ไปดู แขวนอยู่  โอ้ อันนี้เอง อย่างนั้นท่านยอมรับเลยนะ  ท่านโสมไปทำ เราเป็นคนคัน เราก็บอกว่าเราคัน เหมือนคันน้ำเกลี้ยงเราว่า  มันเป็นยังไงน้ำเกลี้ยงที่ไหนจะมี  มีๆ ท่านว่างั้น  ผมทำแล้วผมไปไว้ที่นั่น ไหนไปดู ดูก็มีจริงๆ 

นี่วัดท่านโสมที่อยู่หนองผือด้วยกัน อันนี้จะพูดธรรมะเป็นกันเองให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ ให้ฟังกันทั้งด้านพระเจ้าพระสงฆ์ทั้งประชาชน ญาติโยมมาคละเคล้ากันวันนี้ได้เห็นทั้งพระ ได้เห็นทั้งประชาชนด้วยกัน ได้ฟังทั้งอรรถทั้งธรรม แดดช่างหัวมันเถอะ เราไปดำนาอยู่ในนาเฮา เราบ่เห็นไปกั้นฮ่มดอก  ผู้ใดไปดำนากั้นฮ่มมีบ่ บ่มีน่ะ ตากแดดทั้งนั้นละ ดำนาอยู่กลางแจ้งมันแดดๆ ก็ยังดาดกันได้ มาฟังเทศน์นี่ มันเลิศเลอกว่าเฮาไปดำนาตั้ว เข้าใจบ่  แดดซิฮ้อนก็ช่างหัวมันเถาะ เวลาเลิกกันไปนี้จึงพากันยกทัพไปตีตะวันมันเด้อ  เอาให้มันแตกกระจัดกระจาย กูฟังเทศน์อยู่  มึงเป็นหยังจึงแผดกูแท้ เข้าใจบ่  พอยกทัพจากนี้ไปตีนั่น พอดีตีกลางคืนมันก็ดับเลย ตะวันตกแล้วกลางคืนมันบ่แดดหรอก

         ไปที่ไหนก็มีแต่เทศน์ละเรา เรียกว่าเป็นนักเทศน์เสียแล้วละในประเทศไทยเรานี้ เทศน์หมดทุกแห่ง ไม่มีที่ไหนว่าไม่ได้เทศน์ ในสนามหลวงก็เทศน์แล้ว จำได้เทศน์สนามหลวง ๑ ชั่วโมงกับ ๒๓ นาที มาครบหมด สนามหลวงกว้างๆ เต็มหมดคน  เราเป็นองค์เทศน์ช่วยชาติบ้านเมืองของเรา  วันนั้นเขานิมนต์เราไปเทศน์ในสนามหลวงซึ่งไม่เคยนิมนต์พระองค์ไหนมาเทศน์  เราในนามเทศน์ช่วยชาติจึงต้องเข้าสนามหลวงได้ ก็ไปเทศน์ที่สนามหลวง มาทั้งชาติ ชาติก็นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งคณะรัฐมนตรีมา ศาสนาก็พระเป็นพันๆ นั่งเต็มไปหมด  พระมหากษัตริย์ก็ได้แก่เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ฯ มา นั่นครบหมดแล้ววันนั้น จัดที่ประทับให้ท่านนู้นท่านก็ประทับที่เขาจัดให้ บทเวลาเราขึ้นธรรมาสน์ปั๊บ ท่านจะเสด็จมาประทับข้างๆ นี้ทุกครั้งนะ ฟังเราเทศน์  ท่านฟังเทศน์เรามามากต่อมากแล้ว ฟัาหญิง

วันนี้เราก็มาเกี่ยวกับงานศพของท่านจันทร์โสม ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเหมือนกับได้แก้วสารพัดนึกบรรจุภายในหัวใจ ไปที่ไหนเย็นไปหมด ธรรมเย็นที่หัวใจเท่านั้น ไม่มีอะไรจะเย็นจะอัศจรรย์เท่าธรรมกับใจกลมกลืนเป็นอันเดียวกัน  ธรรมจึงเป็นของเลิศเลอที่โลกทั้งหลายยอมกราบกันทั้งนั้น อย่างอื่นเขาไม่ยอมกราบง่ายๆ นะ โลกมนุษย์เรา  เฉพาะมนุษย์เราเป็นโลกทิฐิมานะสูงมากนะ  แต่ธรรมแล้วโลกมนุษย์เรานี้กราบก่อนเพื่อนเลย วันนี้ก็มาเต็มไปหมด มาเพื่ออรรถเพื่อธรรม บำเพ็ญการกุศลก็เป็นเรื่องของธรรม  แล้วจากนั้นได้ฟังเทศน์ฟังธรรมของครูบาอาจารย์ก็เป็นเรื่องของธรรม ได้นำไปประพฤติปฏิบัติ 

พระเป็นองค์นำหน้าแห่งประชาชนทั้งหลาย พระเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  มีแก้วสารพัดนึกอยู่ในหัวใจ กายวาจาของพระคือมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา มีวิชชา มีวิมุตติ เต็มอยู่ในหัวใจไปไหนไม่อดอยาก สง่างามไปหมด ไม่มีใครที่จะสง่างามกว่าพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบถึงพร้อมด้วยธรรมสมบัติ มาเต็มอยู่ในหัวใจ ศีลสมบัติ ศีลก็บริสุทธิ์ สมาธิสมบัติจิตใจก็ได้อบรมภาวนา ที่มันเคยวอกแวกคลอนแคลนทำใจให้มีความสงบเย็น  ใจเย็นไม่มีอะไรเย็นเท่าใจ มีความสุขความเจริญ สง่างามอยู่ภายในใจ  นี่เรียกว่า ศีลแล้วก็สมาธิ

สมาธิคือความแน่นหนามั่นคงของใจ ไม่วอกแวกคลอนแคลนไปตาม รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่างๆ จากนั้นก็เป็นปัญญา  นี่ละงานของพระ  พระพุทธเจ้าท่านบวชมาเป็นศาสดาเอกของโลกก็คือ ท่านมีธรรมสมบัติ ล้นในพระทัยกลายเป็นศาสดาของโลกขึ้นมา ให้โลกทั้งหลายได้กราบไหว้บูชา เป็นขวัญตาขวัญใจ  ทั้งประชาชน เทวบุตร เทวดาอินทร์พรหม กราบพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ เพราะธรรมเลิศเลอในพระทัยของพระองค์ นั่นละออกพระองค์แรกก็คือพระพุทธเจ้าของเรา ได้ตรัสรู้ธรรมที่เลิศเลอภายในพระทัย ไปที่ไหนเย็นไปหมด  จนกลายเป็นพุทธกิจ ๕ ขึ้นมา 

พุทธกิจ ๕ คืออะไร งานของพระพุทธเจ้า ๕ ประการคืออะไรบ้าง  ท่านทั้งหลายจะไม่ได้ยินได้ฟังง่ายๆ ละ งานของพระพุทธเจ้าที่ประจำพระองค์มี ๕ ประการ ตอนบ่าย ๓ โมง ๔ โมง เทศนาว่าการโปรดบรรดาสัตว์ทั้งหลาย นับแต่พระมหากษัตริย์ลงมาโดยลำดับลำดา นี่เป็นข้อที่หนึ่ง พอเย็นเข้ามาก็สั่งสอนพระเจ้าพระสงฆ์ที่พร้อมแล้วที่จะมาฟังอรรถฟังธรรม เพื่อมรรคผลนิพพานเต็มหัวใจ  พระองค์ก็ทรงโปรดพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่เราไม่ยกเป็นบาลีขึ้นมา บาลีเราก็ได้อยู่แต่ไม่ยก แปลออกมาเลยทีเดียว

พอถึงเที่ยงคืน นี่เป็นวาระที่สามในพุทธกิจห้าของพระพุทธเจ้า ที่ทรงทำประจำโลกทั้งหลาย ราว ๖ ทุ่มล่วงไปแล้วแก้ปัญหาเทวดา เทศนาว่าการโปรดพวกทวยเทพทั้งหลายตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา ถึงเทวดาสวรรค์ชั้นต่างๆ เป็นลำดับลำดา นี่เป็นวาระที่สามของพระพุทธเจ้า เป็นงานที่สาม

งานที่สี่ ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ผู้ใดมีนิสัยปัจจัยควรที่จะได้รับมรรคผลนิพพานอย่างรวดเร็ว แต่จะถึงชีวิตไปก่อน พระองค์จะเสด็จไปโปรดคนนั้นก่อน เมื่ออยู่ในฐานะที่จะเสด็จไปโปรดได้พระพุทธเจ้าก็ทรงโปรด

พอตอนเช้าก็ ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ทั้งหลาย เขาได้เห็นได้กราบไหว้บูชาในขณะที่พระองค์เสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ ก็เป็นขวัญตาขวัญใจเหลือล้นพ้นประมาณ นี่ละงานของพระพุทธเจ้าห้าประการ ทรงบำเพ็ญตลอดมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งวันปรินิพพาน  นี่คืองานของศาสดา ทรงสงเคราะห์โลกเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้  เป็นงานเพื่อสัตว์โลกทั้งนั้นๆ แหละ

งานของพระพุทธเจ้ามี ๕ ประการ คือตอนบ่าย ๓ โมง ๔ โมง สอนประชาชนพลเมืองทั้งหลายนับแต่พระมหากษัตริย์ลงมา  พอตอนค่ำเข้ามาประทานพระโอวาทแก่พระสงฆ์ผู้ต้องการมรรคผลนิพพานอย่างเต็มหัวใจได้ฟังอย่างถึงใจ พอ ๖ ทุ่มขึ้นไปแล้วก็แก้ปัญหาและเทศนาว่าการ สอนพวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายให้ได้รับผลประโยชน์ทั่วถึงกัน จากนั้นแล้วก็ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ผู้มีอุปนิสัยใจคอต่างกัน เพราะคนเรานี้มีแต่รูปแต่คนเฉยๆ แต่งเนื้อแต่งตัวเหมือนเทวดา แต่หัวใจนั้นเหมือนไฟบรรลัยกัลป์ เผาอยู่ที่หัวอกมีเยอะนะ

การแต่งเนื้อแต่งตัวนี้สดสวยงดงาม เทวดาอินทร์พรหมสู้ไม่ได้  มนุษย์นี้ชอบแต่งตัวมาก เก่งมากทีเดียว  แต่หัวใจดีดดิ้นเป็นฟืนเป็นไฟ ด้วยอำนาจของราคะตัณหา ดีดดิ้นหาหญิงหาชาย  ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเต็มอยู่ในหัวใจมนุษย์  ไม่ได้มองดูตัวเลย นี่ละมันเสียที่ตรงนี้มนุษย์เรา ให้พากันเข้าใจ เทศน์สอนเทวบุตรเทวดา อินทร์พรหม แล้วเล็งญาณดูสัตวโลกดังที่ว่านี้ สัตวโลกบางรายมันหนาแน่น บางรายก็อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ  พวกอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญูนี้พร้อมแล้วที่จะรับมรรคผลนิพพานเข้าสู่ใจ ถ้าเป็นสัตว์ก็อยู่ปากคอกแล้ว พอเปิดประตูก็ออกผามผิมๆไปเลย สำเร็จ ผู้นี้สำเร็จโสดา องค์นั้นสำเร็จสกิทา ผู้นั้นสำเร็จพระอนาคา ผู้นี้สำเร็จอรหันต์พ้นไปได้โดยสิ้นเชิง นั่น

ผู้ที่รองลงมาก็ตามกันไปๆ เนยยะ พอแนะนำสั่งสอนตัวเองได้ ฝึกฝนอบรมตัวเอง มันจะผาดโผนโจนทะยานไปไหน ฝึกใส่อรรถใส่ธรรม ยากง่ายก็ไม่ถึงตาย  การฝึกตัวเองนี้ฝึกยากก็ให้รู้ว่ายาก เพราะกิเลสมันพาให้ยาก มันไม่พาทำให้ง่ายละการฝึกฝนอบรมเพื่ออรรถเพื่อธรรมนี้กิเลสจะฝ่าฝืน ขัดขวางอยู่ตลอดเวลา เราต้องฝึกเราให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ผ่านเป็นคนดิบคนดีเป็นคนมีศีลมีธรรม ไปสวรรค์นิพพานไม่ได้ แม้จะมีสวรรค์นิพพานเต็มอยู่ในไตรโลกธาตุนี้ก็ไปไม่ได้ ไปได้แต่ผู้มีบุญมีกุศล ผู้สร้างบุญสร้างกุศล สวรรค์พรหมโลกนิพพาน รอรับท่านผู้มีบุญทั้งหลายเหล่านี้ไว้เป็นชั้นๆ แห่งวาสนาของตน ที่ควรจะได้ในขั้นใดไปสวรรค์ชั้นนี้ ไปชั้นนั้นๆ ตามวาสนาของตนที่สร้างได้มากน้อยจนกระทั่งขึ้นถึงพรหมโลก ถ้าเต็มที่แล้วก็ถึงนิพพาน ไม่ต้องกลับมาเกิดแก่เจ็บตายกองกันอยู่อีกอย่างนี้ 

นี่ละพระพุทธเจ้าท่านสอนโลกท่านสอนไว้อย่างนี้ คนเราก็มีพวกอุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ  พวกเนยยะนี้พอฝึกฝนอบรมได้ ถ้าพวกปทปรมะ ไม่เอาไหน พวกนี้ไม่ยอมฟังเสียงอรรถเสียงธรรม  ถ้าเสียงเรื่องการพนันขันต่อ เรื่องความชั่วช้าลามก เรื่องฉกเรื่องลัก เรื่องปล้นเรื่องสะดม เรื่องจี้เรื่องอะไรเหล่านี้ พวกนี้เก่ง เก่งมากทีเดียว นี่พวกปทปรมะ ตายแล้วยมบาลเลยจดบัญชีไม่ทัน เพราะพวกนี้ลงมากกว่าขึ้นจนยมบาลจดบัญชีไม่ทัน เพราะมันมากต่อมากไม่ทราบจะจดใครต่อใคร มันไหลเข้าไปๆ ให้ลงบัญชีลงนรกแต่ละหลุมๆ

นรกก็มีหลายหลุม ท่านแสดงไว้ว่ามีถึง ๒๕ หลุมนรก นรกหลุมที่ ๑ ที่เป็นกรรมหนักมากที่สุดท่านแสดงไว้ ๕ อย่าง คือ อนันตริยกรรม ๕ อนันตริยกรรม ๕ คืออะไร คือการฆ่ามารดา ๑  ฆ่าบิดา ๑  ฆ่าพระอรหันต์ ๑ ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตาย ๑  ยุยงส่งเสริมพระที่ท่านพร้อมเพรียงสามัคคีกันด้วยศีลด้วยธรรมให้แตกร้าวสามัคคีกัน ๑  นี่ละกรรม ๕ ประการนี้  ถ้าพอมีสติอยู่บ้างแล้วให้รีบยับยั้งทันที  อย่าให้มันฝ่าฝืนไปทำความชั่วหนักๆ ๕ ประการนี้ได้ เพราะกรรม ๕ ประการนี้ตกนรกกี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่ได้ขึ้นมาละ เป็นกรรมที่หนักมากสำหรับบรรจุพวกที่บาปหนาที่สุด ได้แก่ ฆ่ามารดาบิดา เป็นกรรมที่หนักมาก ในโลกอันนี้มีกรรมนี้เป็นกรรมหนักมากที่สุด  ฆ่าผู้มีบุญมีคุณ  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้วสัตว์ที่มีบุญมีคุณก็มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันโดยลำดับลำดา จนกระทั่งฆ่าสัตว์ทั่วๆ ไปก็เป็นบาปเป็นกรรมรองกันลงมาๆ นี่เรียกว่าบาป

ผู้ที่ทำแล้วก็ต้องรับผลแห่งกรรมของตน กรรมดีก็ตัวเองเป็นเจ้าของของกรรม  กรรมชั่วเจ้าของก็เป็นผู้รับกรรมของตัวเอง  ท่านจึงสอนให้ละชั่วทำดี  อย่าพากันไปทำตั้งแต่ความชั่วช้าลามก ตายแล้วมันจะหายมันไม่ได้หายนะตัวผู้ทำอยู่กับเรา  ตกนรกหมกไหม้ก็คือเราเอง ให้เชื่อฟังพระพุทธเจ้า ผู้ตาดี หูแจ้ง ตาสว่าง ได้แก่โลกวิทู  คือหูตาของพระพุทธเจ้าเป็นโลกวิทู ไม่มีใครแจ้งสว่างยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก  ให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ทุกอย่าง แล้วจะค่อยเป็นคนดิบคนดีขึ้นไป

เราจะดี ดีด้วยการฝึกฝนอบรม  แม้ต้นไม้จะมีเนื้อแข็งเนื้อดีขนาดใดก็ตาม  ถ้ายังไม่เอามาตัดมาเลื่อย มาจาระไนเสียก่อน มันก็เป็นไม้เนื้อดีอยู่อย่างนั้น ไม้เนื้อแข็งอยู่อย่างนั้นไม่เกิดประโยชน์อะไร  ต่อเมื่อเรานำไม้ประเภทนั้นๆ มาทำประโยชน์ มันก็เกิดประโยชน์ตามคุณภาพแห่งเนื้อไม้ของมัน ดีขึ้นไปเป็นลำดับ เราเมื่อมีการฝึกฝนแล้ว ก็ค่อยเป็นคนดีขึ้นเป็นลำดับ

ไม่ใช่เกิดมาแล้วจะดีเอาเฉยๆ ดีด้วยการประพฤติปฏิบัติ ไม่ใช่ดีด้วยชื่อด้วยเสียงอย่างโลกมนุษย์กำลังเป็นบ้ากันอยู่เวลานี้ เป็นบ้าตื่นชื่อตื่นเสียง เวลานี้ถาม แล้วนี่ชื่อว่าไง เราอย่าไปฟังนะ ถามเขาว่านี่ชื่อว่าไง ให้ไปคอยฟังอยู่นู่นฟากจรวดดาวเทียม ชื่อจรวดชื่อดาวเทียมนู้น แต่ตัวเจ้าของอยู่ใต้ก้นนรก นั่น  มันสนใจตั้งแต่ชื่อแต่นาม  ไม่สนใจในการประพฤติตัวให้เป็นคนดี มันก็ดีไม่ได้คนเรา  จะตั้งไปขนาดไหนก็มีแต่ชื่อคือลมปากเฉยๆ ตัวชั่วตัวดีแท้ๆ อยู่กับเราผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชั่ว  ถ้าปฏิบัติชั่วก็เลวในตัวของเราเอง ถ้าปฏิบัติดีก็ดีในตัวของเราเอง 

จงพากันไปประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งไม่ดีทั้งหลายในตัวของเรา จะค่อยกลายเป็นคนดิบคนดีขึ้นมา เราเองก็ภาคภูมิใจ ถ้าเราปฏิบัติตัวของเราให้เป็นคนดีเราก็ภาคภูมิใจ  ถ้าปฏิบัติตัวเป็นคนเลวแล้วก็ยังเหลือแต่ลมหายใจ ตายแล้วก็ขาดสะบั้นลงไป นรกอเวจีไม่มีอะไรห้ามไว้เลย ไม่มีอะไรกีดขวางได้ขาดสะบั้นลงไปถึงนรกอเวจีตามกรรมของตนนั้นแล ให้พากันระมัดระวังตั้งแต่บัดนี้

การสอนเรื่องบาปเรื่องบุญ เรื่องนรกเรื่องสวรรค์ ไม่มีใครสอนได้นอกจากศาสดาผู้ทรงธรรมอันเอกเรียกว่าโลกวิทูไว้เท่านั้น นี้เป็นผู้สอนโลกด้วยความถูกต้องแม่นยำ ธรรมที่แสดงออกสอนโลกก็เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วๆ ไม่มีผิดมีเพี้ยน คือคำสอนของพระพุทธเจ้า สิ่งที่ทรงบัญญัติไว้ตรงไหนเป็นความถูกต้องแม่นยำของศาสดาทุกองค์ที่ยอมรับกันว่า นรกมีกี่หลุม ก็ทุกศาสดายอมรับด้วยกันหมด แล้วก็สวรรค์มีกี่ชั้นถึงนิพพาน ก็ศาสดาทุกองค์ยอมรับด้วยกันหมดแล้ว  เราหูหนวกตาบอดจะไปคัดค้านศาสดา เอาความดิบความดีเป็นจอมปราชญ์ มาจากคนโง่คือตัวของเราเองจะได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้นะ  ท่านสอนยังไง ให้ฟังเสียงท่านนะ 

คนตาบอดเดินตามคนตาดี มีคนตาดีจูงไปก็แคล้วคลาดปลอดภัย ถ้าคนตาบอดอวดดิบอวดดีว่าตัวเก่ง คนนี้จะตกหลุมตกบ่อตกเหว สุดท้ายตายก็คือคนตาบอดอวดดีนั้นแหละ คนตาดีเขาไม่เป็นอะไร คนตาบอดมักจะอวดดีเสมอ เราอย่าให้เป็นคนตาบอดอวดดิบอวดดี  ตาบอดให้ยอมรับว่าบอด คนตาดีเขาจะได้สงสาร จูงไปในที่ปลอดภัยๆ ไปโดยลำดับ  ถ้าคนตาบอดอวดดีไม่ยอมให้ใครจูงแล้ว ตกเหวตกบ่อ จมลงทั้งสดๆ ร้อนๆ ก็คือ คนตาบอดอวดดีนั้นแหละ ให้พากันฟังเสียงธรรม 

ธรรมคือธรรมของจอมปราชญ์ผู้ฉลาดแหลมคม ตาดิบตาดีไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าแหละ เราผู้เป็นคนตาบอด ให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมท่าน จะได้เป็นคนดิบคนดีต่อไป  จิตใจเป็นสิ่งที่ฝึกได้ ร่างกายนี้เป็นเครื่องมือของใจ  ถ้าใจบ่งบอกให้ทำอะไร กายวาจาก็ต้องทำไปตามนั้น  ถ้าใจบ่งบอกในทางที่ถูกที่ดี  กายวาจาก็เคลื่อนไหวไปตามความถูกความดีที่จิตใจบงการ ถ้าจิตใจบงการในทางที่ชั่ว ร่างกายซึ่งเป็นเครื่องมือ ก็ทำไปตามจิตใจบงการ  เวลาตายแล้วธาตุขันธ์อันนี้ไม่ไปตกนรกนะ  ไปเป็นดินน้ำลมไฟตามสภาพของตน  แต่ใจผู้บงการทั้งดีทั้งชั่วนั้นละจะเป็นผู้ไปตกนรกได้ เป็นผู้ไปสวรรค์ก็ได้คือผู้บงการนั้นแหละ ให้เราระวังรักษาใจของเราให้ดี

ให้พากันอบรมศีลธรรม ประชาชนก็ให้มีศีลธรรม  ตื่นขึ้นมามีแต่หาอยู่หากิน มีแต่ความทะเยอทะยานวิ่งเต้นเผ่นกระโดด ประหนึ่งว่าป่าช้าไม่มี บทเวลาตายแล้วเดือดร้อนถึงพระ นิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา ทั่วดินแดนไทยเรานี้  พอตายแล้วกุสลา ธมฺมา มีแต่พระมาให้บุญๆ  เวลามีชีวิตอยู่เจ้าของไม่สนใจกับบุญกับกุศล จะเอาบุญมาจากไหน  นิมนต์พระมาทั่วประเทศมันก็เท่าเก่านั้นแหละ  ถ้าเจ้าของดีแล้ว ตายแล้วไม่ต้องนิมนต์พระมากุสลา  แน่อยู่กับหัวใจ 

พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายตายแล้วไม่มีใครไปกุสลาท่าน ท่านนิพพานๆ ทั้งนั้น นั่นละธรรมอยู่กันคน สนฺทิฏฺฐิโก รู้ผลงานของตนตั้งแต่ต้นจนอวสาน สุดยอดแห่งธรรมก็คือใจ เป็นผู้รู้ผลงานของตัวเอง ให้เราชั่งตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ ถ้าบกพร่องไม่ดีไม่งามตรงไหน ให้พากันแก้ไขดัดแปลงอย่าฝ่าฝืน ถ้าฝ่าฝืนแล้วจะเป็นคนหน้าด้าน แล้วทำแต่บาปแต่กรรมตายแล้วก็ลงนรกจม ไม่มีใครช่วยได้นะ  เวลานี้ธรรมยังช่วยเราได้อยู่ถ้าเราฟังเสียงธรรม ถ้าเราไม่ฟังเสียงธรรม เสียงธรรมก็เป็นเสียงธรรม เสียงเราก็เป็นเสียงเราที่โหดร้ายทารุณ ทำความชั่วช้าลามก จมลงในนรกอยู่นั้นแหละ ไม่เป็นอื่นไปได้

จงพากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี  พระเราก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ หน้าที่ของพระก็คือ ท่านบวชมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล บวชมาแล้วให้รักษาสมบัติของตนไว้ให้ดีนับตั้งแต่วันบวช  ศีลให้บริสุทธิ์ นี่คือสมบัติของพระจะต้องรักษาไว้ด้วยดี ให้ศีลสมบูรณ์บริบูรณ์  จากนั้นก็บำเพ็ญจิตให้เป็นสมถะคือความสงบแล้วเป็นสมาธิความแน่นหนามั่นคง กลายเป็นปัญญาวิชชาวิมุตติหลุดพ้นขึ้นในหัวใจนี้ เรียกว่าเป็นผู้มีแก้วสารพัดนึก เป็นผู้สง่างามภายในจิตใจ

พระไม่ต้องมีอะไรมาเป็นเครื่องประดับเหมือนโลกเขา  โลกเขามีสมบัติเงินทองข้าวของ ไร่นา บริษัทบริวารมาเป็นเครื่องประดับจึงจะสวยงามน่าดู  แต่พระเรานี้มีศีล สมาธิ ปัญญา วิชชาวิมุตติเท่านั้นเป็นเครื่องประดับตน อยู่ที่ไหนสวยงามหมด เย็นตลอดเวลา ให้พากันนำธรรมเหล่านี้มาเป็นเครื่องประดับกาย วาจา ใจ ของพระเรา  อย่าให้มีแต่หัวโล้นๆ โกนคิ้ว ไปที่ไหนก็อาตมาๆ แต่ศีลไม่มีในตัว สมาธิก็ไม่เคยนั่งภาวนา พูดถึงนิพพานยิ่งแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็มาอวดโลกเขาเปล่าๆ มีแต่ผ้าเหลืองห่ม ครอง คลุมหัวอยู่เท่านั้นไม่เกิดประโยชน์

เราบวชเข้ามาเพื่อรักษาศีลรักษาธรรม รักษาศีลก็ศีล ๒๒๗ เป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นเราก็รักษาได้หมด แล้วสมาธิ อบรม ภาวนาเพื่อจิตใจมีความสงบ มีความสง่างาม จนกระทั่งปัญญาความเฉลียวฉลาดฟาดกิเลสขาดสะบั้นไปจากจิตใจ  ไม่มีอะไรเหลือ เป็นจิตใจที่สง่างามครอบโลกธาตุ เป็นใจของท่านผู้บริสุทธิ์ด้วยการชำระซักฟอกเต็มที่แล้ว นี่คือสมบัติของพระ อยู่ที่ไหนสบายหมด พระประเภทนี้อยู่ที่ไหนไม่จำเป็นต้องพึ่งใครอาศัยใคร  จะอดอยากขาดแคลนขนาดไหน อดบ้าง อิ่มบ้าง ทนได้เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ มันเคยผ่านเรื่องอด เรื่องอิ่ม เรื่องทุกข์ยากลำบากมาพอแล้ว ทำไมจะทนไม่ได้ ทั้งๆ ที่มีจิตใจบริสุทธิ์เต็มหัวใจทนไม่ได้มีอย่างเหรอ นั่น  ท่านก็เย็นสบายอยู่ที่หัวใจ ให้เป็นที่เย็นใจ

สมบัติของพระคือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชาวิมุตติหลุดพ้น นั่นคือสมบัติของพระ ไม่ใช่ชื่อเสียงเรียงนามตั้งเป็นชั้นนั้นชั้นนี้ อย่างหลวงตาบัวนี้ก็เป็น หลวงตาบัวชื่อพระธรรมวิสุทธิมงคล อันนี้ไม่พาไปสวรรค์นิพพานใดๆ ตั้งไว้เฉยๆ ตัวผู้ชำระกิเลส กิเลสเป็นข้าศึกอยู่ภายในใจ ธรรมเป็นเครื่องแก้กิเลส แก้ให้ขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีชื่อมีนามอะไรก็ตาม ตายแล้วไม่ต้องนิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา ดีดผึงเลย  รู้แล้วตั้งแต่ยังไม่ตาย สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศบอกอยู่ตลอดเวลาของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ 

ให้พากันสนใจดูตัวเอง สนฺทิฏฺฐิโกจะประกาศก้องขึ้นมา มีบกพร่องตรงไหน เราปฏิบัติรักษาศีล ศีลเราบกพร่องข้อไหน ล่วงเกินศีลข้อไหน แก้ไขทันที  สมาธิ ปัญญา เอ้าอบรมให้ดีให้เกิดจนกระทั่งถึงนิพพานเต็มหัวใจ อยู่ที่ไหนสบายหมด นี่พระเราบวชมาหาศีลหาธรรม ให้มีศีลมีธรรมเหล่านี้เป็นสมบัติเป็นที่ครองของพระ จะเป็นพระที่เลิศเลออยู่ภายในตัวเอง ไม่ต้องเรียกร้องหาผู้ช่วยเหลือต่างๆ ยศถาบรรดาศักดิ์ ความเยินยอสรรเสริญไม่ต้องไปหามัน พออยู่แล้วภายในจิตใจของเรา อยู่ไหนสบายเลยๆ

นี่ละธรรมถ้าได้เข้าสู่หัวใจไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติม  ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน  ความเลิศเลออยู่กับใจ  เขาจะยกยอสรรเสริญ  ความยกยอสรรเสริญก็เป็นลมปาก ไม่เห็นวิเศษวิโสเท่าใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วเลิศเลออยู่ภายในตัวเอง  อันนี้เลิศเลอที่สุด ให้หาธรรมชาตินี้ ไม่มีใครที่จะมาตั้งแล้วมาปลดไปได้  เจ้าของตั้งให้เจ้าของไว้แล้วเรียบไปเลย ให้พากันตั้งอกตั้งใจ

ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว เป็นธรรมปัจจุบันสดๆ ร้อนๆ บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี  แล้วแต่ท่านผู้ใดจะหมุนตัวไปทางผิดถูกดีชั่วประการใด แล้วจะไปเจอสิ่งที่ตัวหมุนเข้าไปนั้นแหละ ถ้าหมุนไปในทางที่ดีก็จะไปเจอตั้งแต่ความดีงาม เกิดในภพใดชาติใดมีแต่ของดิบของดี สมบัติเงินทองสิ่งที่ได้มาเป็นสมบัติของเจ้าของมีแต่ของดี  ได้ผัวก็เป็นผัวดี ใจดี ไม่ดุ ไม่ด่า ประพฤติปฏิบัติตัวดี ไม่นอกใจเมีย

ได้เมียก็ไม่ใช่เป็นเมียปากจัด ไปที่ไหนด่าใครก็ไม่ถนัดเหมือนด่าผัวของตัว ถ้ามาเห็นผัวแล้ว แว้ดๆๆๆ ถ้าหลวงตาบัวเป็นผัวแล้วจะฟาดปากมัน เราว่าอะไรก็ไม่ถนัดนัก เราจะฟาดปากให้มันหงายหมาไปเลย ไอ้เมียประเภทนี้ เพราะฉะนั้นหลวงตาบัวจึงไม่เอาเมีย กลัวว่าฝ่ามือจะแตกจะขาดไปหมด มันจะอดไม่ได้ มันจะมาแว้ดๆๆ ต่อหน้านี่ เดี๋ยวก็ฟาดปากเอาๆ ด้วยเหตุนี้จึงไม่เอา เพื่อรักษาฝ่ามือเอาไว้ ฝ่ามือจะได้ดิบได้ดี ไม่ตีปากเมียจนฝ่ามือขาด เข้าใจไหม

นี่ละถ้าเป็นผัว ก็ผัวใจดี  ไม่หากินเหล้าเมาสุรา การพนันขันต่อ ไม่มีอารมณ์มาก หากินไม่พอ เห็นผู้หญิงที่ไหนตาสอดๆ นี่ละผัวประเภทนี้ผัวเทวทัต เมียอยู่เป็นสุขไม่ได้นะ ผัวประเภทนี้ อย่าหามานะ  มีเมียแล้วครบทุกอย่าง ใครมีเมียไม่ครบ เอ้าว่ามา ผู้หญิงมีกี่อัน ผู้ชายมีกี่อันครบเครื่องแล้ว ผู้ชายมีกี่อันก็มีหำกับควย ผู้หญิงก็มีหีเท่านั้นละ มันครบกันหมดแล้วนับกันได้เรียบร้อยแล้ว จนกระทั่งวันตาย อย่าพากันไปดีดไปดิ้นไปหาหญิงหาชายอื่น ที่จะให้มีมากยิ่งกว่าผัวกว่าเมียของเราไม่มี มีเท่าๆ กัน อย่าเสือกอย่าเป็นบ้านะ ของเขาก็มีเท่ากัน ของเราก็มีเท่ากัน  ให้พากันดู  สันตุฏฐี อัปปิจฉตา มักน้อย  ผัวเดียวเมียเดียวเป็นความสงบสุขเย็นใจของเรา

ถ้ามากกว่านั้นไม่ได้ เกิดวิชาหมากัดกันขึ้นมา อย่างน้อยกัดกัน มากกว่านั้นแตกจากกัน ถ้าแตกจากกันไปแล้ว  ผู้ชายก็ไปถาม มึงเป็นยังไง  เมียมึงมึงถึงปล่อยมันเสียล่ะ ปะมัน หย่ามันไปหาอะไร  โอ๊ย มันเหมือนหมานี่ อยู่กับมันได้ยังไง ไอ้เราเป็นคนทั้งคนจะไปอยู่กับหมาไม่ได้ ว่างั้นนะ  เพราะฉะนั้นถึงได้หย่าร้างกันไป ที่นี่พอไปถามเมีย แล้วเป็นยังไงล่ะไอ้นั่น ถึงหย่ากันไป โอ๊ย มันเลวกว่าหมา ว่าอีกแล้วนั่นน่ะ ไปอยู่กับมันได้ไง เราเป็นคน อยู่กับมันก็เลวกว่าหมาอีกซิ นี่มันมีแต่ตำหนิกัน ความจริงมันก็หมาทั้งสองนั่นแหละ มันถึงกัดกันจนกระทั่งแตกจากกัน  อย่าให้มีประเภทนั้น ให้มีผัวเดียวเมียเดียว

       นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บอกไว้ว่า ใครมีเมียมาก มีผัวมาก คนนั้นเป็นคนเลิศเลอ ยกทัพไปที่ตรงไหนแพ้กันหมดทั้งโลกไม่เคยมี คนนี้เป็นคนเลวร้ายขยายตัวไปไหน แยกย้ายไปไหนนี้ เขาชี้หน้าๆ ชี้หลังไปหมด มันเลวคนประเภทนั้น อย่านำมาเป็นเรื่องของเรา  ผัวเดียวเมียเดียวเป็นความสงบสุขเย็นใจแล้ว อารมณ์ไม่มีมาก  ฝากเป็นฝากตายต่อกัน ทุกข์ยากลำบากลำบนขนาดไหน ก็อยู่กินด้วยกันเป็นตายด้วยกัน นี่ละเป็นความเป็นธรรม

       เป็นเศรษฐีมีเมียมากๆ เมียทั้งหลายเขาไม่ได้พอใจนะ อย่าเข้าใจว่าตัวเป็นเศรษฐีมีเงินมากๆ แล้วเมียทั้งหลายเขาจะง้องอน เขาไม่ง้อนะ  เขาเคียดเขาแค้นขนาดไหนนั้นน่ะ เข้าใจไหม  ถ้าฆ่าได้เขาฆ่าเลย ถ้าเป็นอย่างหลวงตาบัวเป็นเมียนี้ จะฟาดมันแตกกระจัดกระจายเลย ไอ้ผัวคนนี้มันก็มีควยเดียว มันไปเก่งอะไรหนักหนา  เดี๋ยวจะฟาดตัดควยมันเสียเลยไม่ให้มีเหลือมันจะได้ไม่มีเมียต่อไปอีก พากันเข้าใจไหมล่ะผู้ชายนั่นน่ะ  ผู้หญิงก็มีหีเดียวอย่าไปหีมาหลายหีไม่ได้นะ ฟาดขาดสะบั้นไปหมดนั้นละ ให้พากันจำเอา 

       นี่ละศีลธรรมท่านสอนอย่างตรงไปตรงมา  ความประพฤติมันไม่ได้มาบอกอย่างนี้ แต่มันเลวร้ายกว่ายิ่งกว่าธรรมที่สอนเพื่อการแก้ตัว  แก้ไขดัดแปลงตัวเอง อันนี้การสอนนี้ไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายพอจะเป็นการทำลายพี่น้องผู้ฟังทั้งหลายนะ เป็นสิ่งที่ส่งเสริม อันใดไม่ดีให้ตัดออก อันไหนดีท่านสอนเพื่อความดิบดี ไอ้เราสอนเรานี้ สอนไปทางความชั่วช้าลามก นั่นเลวร้ายขนาดไหน เอามาเทียบกับอันนี้ จะว่าท่านเทศน์หยาบเทศน์โลน แล้วเราทำหยาบทำโลนทำไมไม่ว่า  ให้พากันจดจำเอานะ

       วันนี้ก็เทศน์เพียงเท่านี้แหละ เทศน์มากเทศน์ไปเทศน์มามันก็เหน็ดเหนื่อย  ผู้ที่ตากแดดฟังเทศน์นั้นเขาก็ว่า สูนี่ มาหาเรา เราก็ชักจะโมโหตอบ เอาละการแสดงธรรมก็เห็นสมควร แก่พี่น้องทั้งหลายที่มาฟังเทศน์ฟังธรรมจำศีลวันนี้ ให้นำไปประพฤติปฏิบัติตัวนะ  จะเป็นบุญเป็นกุศล เราก็ตายเป็นเหมือนกันกับท่านนั่นแหละ  ก่อนที่จะตายนั้นขอให้สร้างความดีให้พอใจ เมื่อเป็นที่พอใจตายที่ไหนตายได้คนเรา ถ้าความดีไม่มีนี้ ตายที่ไหนมันก็ไม่อยากตาย สุดท้ายมันก็ตายเหมือนกันกับคนชั่ว  ตกนรกได้ด้วยกัน เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลาและธาตุขันธ์  ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายทั่วหน้ากันเทอญ

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก