ท่านมาหาอะไร
วันที่ 15 มีนาคม 2550 เวลา 8:25 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ท่านมาหาอะไร

ก่อนจังหัน

พระครั้งพุทธกาลดังพระองค์นี้ละ ปะๆ ชุนๆ เก็บผ้าบังสุกุลอะไรๆ มาเย็บปะติดปะต่อ ตั้งแต่สบงไป จีวร สังฆาฏิ เก็บเป็นผ้าบังสุกุลถือเป็นเอก นอกนั้นไม่เห็นมีสำคัญ พระพุทธเจ้ายกย่องให้เป็นชั้นเอก เพราะฉะนั้นจึงขึ้น ปํสกูล ขึ้นเลย อย่างอื่นท่านไม่ว่านะ นี่ละศาสดาบ่งบอกที่ตรงไหนให้จำให้ดี จุดสำคัญๆ ทั้งนั้นละ พระพุทธเจ้ารับสั่งตรงไหนๆ อย่าง ปํสกูลจีวรํ อย่างนี้ละ ไม่ว่าของเหลือเฟืออะไร มีค่ามีราคาสู้นี้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้พวกเราชาวพุทธมันพวกฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ในห้องหนึ่งเต็มด้วยเครื่องแต่งตัวของบุคคลคนเดียว คนเดียวเท่านั้นในห้องนั้นจนเครื่องแต่งตัวจะไม่มีที่เก็บ อัดแน่นเลย มันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่เราเป็นลูกชาวพุทธ

มองเห็นนี่ ดูเอา เราเอาแบบเอาฉบับของท่านผู้เลิศเลอมาใช้ เป็นแบบฉบับของท่านผู้เลิศเลอเลิศโลกนะ พวกเรามันพวกเลวโลก ให้ดู อย่าพากันฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว มีอะไรมามากน้อยคว้ามับๆ นี่แสดงถึงความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความไม่รู้จักประมาณ ไม่มีหลักมีเกณฑ์ คนนี้ตั้งหลักไม่ได้ ไปอยู่ที่ไหนอดอยากขาดแคลนตลอด ผู้ที่ตั้งหลักได้มีความประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักการกินอยู่ใช้สอยทุกอย่างๆ ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม นี่เรียกว่าธรรม ธรรมท่านไม่ตื่น

ความตื่นนั้นเป็นเรื่องของกิเลส พาคนให้ล่มจมมากมาย เดือดร้อนไปถึงความล่มจม ส่วนธรรมนี้มีความสงบเสงี่ยมเจียมตัว สะดวกสบาย เป็นฆราวาสก็ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เป็นพระด้วยแล้วก็ยิ่งอย่างนี้ละดูเอา ท่านทั้งหลายดูเอา จีวรที่ท่านนำมาใช้ นี่ละแบบฉบับอย่างเอกของพระพุทธเจ้า ให้ดูเอา ท่านผู้เลิศเลอท่านใช้กันอย่างนั้น ท่านไม่ได้ใช้แบบฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเหมือนอย่างพวกเราๆ ท่านๆ ที่เป็นอยู่เวลานี้ มีแต่กิเลสลากจมูกๆ พวกนี้มานี่จมูกมันมีหรือเปล่า ไม่ใช่กิเลสจูงจมูกขาดไปหมดแล้วเหรอ มันไม่ได้ฟังเหตุฟังผลฟังอรรถฟังธรรม วิ่งตามความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมมันได้เรื่องได้ราวอะไร เลอะเทอะ

เมื่อวานซืนเราไปอำเภอภูเขียว มันขบขันดี เขาเขียนไว้ท้ายรถเขาพวกตลก นำมาเป็นคติด้วย ตลกอยู่ในนั้นด้วย เขาเขียนว่า กูจะฟ้องท่านเปา เราเลยให้คัดมาไว้หน้าวัด กูจะฟ้องท่านเปา มันเที่ยวเพ่นพ่าน เอาไปติดไว้หน้าวัด บอกให้พระเอาไปติดไว้นั้น ไม่ทราบว่าพระติดหรือไม่ติด หรือพระกลายเป็นท่านเปาไปหมดแล้ว เขากำลังจะฟ้องท่านเปาอยู่นะเดี๋ยวนี้ เขาเขียนเป็นโลก เราเอามาเป็นธรรม ตลกอยู่ในนั้นเสร็จ เอาละให้พร

หลังจังหัน

         ภาคอีสานนี่ชอบเล่น ทั้งภาคเลย เหมือนเด็กภาคอีสานนี่ เป็นเหมือนเด็ก มันก็เข้ากันได้กับเหมือนเด็ก คือไม่ถือสากันเลย เว้าหยอกเว้าเล่นได้สบาย ไปเลยเฉย เป็นนิสัยอย่างนั้นนะ คิดดูซิอยู่ๆ มันสมบัติอะไร กูจะฟ้องท่านเปา เขียนไว้ท้ายรถ ก็ไม่ได้ทำอะไร.ก็เพราะมันดื้อ มันชอบเล่น ทีนี้เราก็ดึงออกมาเลย เราก็ภาคอีสานด้วยกัน กูจะฟ้องท่านเปา มันเขียนไว้ท้ายรถ เราก็ดึงออกมาจากท้ายรถมาหน้าวัด กูจะฟ้องท่านเปามันมาเที่ยวเพ่นพ่าน ต่อจากนั้นกูจะฟ้องท่านเปามันแย่งที่นั่งกัน ไล่เข้ามาๆ ซี ต้องอย่างนั้นซี (โยมถวายปัจจัยสองพันบาท) เขามาถวายปัจจัยสองพัน เราก็ตอบรับว่าเอาละเราพอใจถอนฟ้อง ที่จะฟ้องท่านเปานี่จะถอนฟ้อง

วันที่ ๒๔-๒๕ นี่เราไปทางหลวงพ่อผาง ดูเหมือนไม่ได้ค้างนะ เทศน์เสร็จแล้วเรากลับไม่ได้ค้าง ดูว่าไปหนหนึ่งแล้วนะ ฟ้าหญิงก็เคยเสด็จไปพร้อมกัน วันนั้นเราไปเทศน์ ฟ้าหญิงทรงเป็นประธานในงานหลวงพ่อผาง หลวงพ่อผางนี่ผ่านได้เรียบร้อยนะ เวลาพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านเทศน์ให้หลวงพ่อผาง คือหลวงพ่อผางท่านอ่อนพรรษากว่าเรา ท่านเคยมีครอบครัวแล้ว ลาครอบครัวไปบวช เพราะฉะนั้นท่านถึงอ่อนพรรษากว่าเรา เราก็อยู่ที่นั่นที่บ้านนามน หลวงพ่อผางไปที่นั่น

         นั่นละฟังซิธรรมะพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านหยั่งตรงไหนสำคัญๆ วันนั้นเราก็อยู่บ้านนามน หลวงพ่อผางนี่ก็ไป ไปนั่งฟังท่านเทศน์ใส่เปรี้ยงๆๆ เผ็ดร้อนมากนะ ถ้าพูดแบบภาษาโลกเรียกว่าเผ็ดร้อนมาก ภาษาธรรมเรียกว่าเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดมากทีเดียว ท่านว่าท่านได้โอวาทอันนั้นละกระเทือนใจเข้าถึงหัวตับหัวปอด คุ้มค่าที่อุตส่าห์พยายามไปหาท่าน ได้มานี้ฝังหัวใจลึกเลย นั่นละท่านมาปฏิบัติ แล้วผ่านได้นะ

นี่ละเป็นธรรมะกระเทือนหัวตับหัวปอดท่าน ท่านว่างั้น พอไปก็เปรี้ยงเลย พอดีเราก็อยู่ที่นั่น แต่เรามักจะชินจากโอวาทของท่าน คนไหนที่ควรจะเด็ดจะเฉียบขาดท่านจะพุ่งๆ เลย เราก็เคยได้ฟังมา หลวงพ่อผางไปที่นั่นก็แบบเดียวกัน ก็ได้ธรรมะนี้ไปปฏิบัติ ท่านผ่านได้หลวงพ่อผางไม่สงสัย นั่นละธรรมะอันนั้นท่านบอกว่ากระเทือนหัวตับ ท่านว่าอย่างนั้น ว่าอะไรมันก็ไม่ถึง ฟาดใส่หัวตับเรียกว่าถึงหมดเลย

ท่านเอาธรรมะนั้นมาพิจารณาไม่จืดไม่จาง ว่าอย่างนั้นนะ ธรรมะท่านเอาเด็ดๆ เผ็ดๆ ร้อนๆ เหมือนว่าผันหัวใจตลอดเวลา ทำให้ความเพียรพุ่งๆ ท่านผ่านได้นะหลวงพ่อผาง ตอนนั้นเราก็อยู่นั้น หลวงพ่อผางพรรษาอ่อนกว่าเรา เราก็อยู่ที่นั่น ทีนี้จะพูดถึงเรื่องของเราเราก็เคยพูดมาแล้ว นี่ท่านเห็นความตั้งใจนะพ่อแม่ครูจารย์มั่น อย่างหลวงพ่อผางนี้ไปท่านก็บอกว่าท่านมุ่งจะให้สำเร็จมรรคผลนิพพานในชาตินี้ ถึงเฒ่าแก่ก็ตามหัวใจนี้ไม่มีวัย ท่านว่าอย่างนั้น มรรคผลนิพพานก็ไม่มีวัย หัวใจของเราที่ปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานก็ไม่มีวัย เข้ากันได้ ท่านว่าอย่างนี้ ท่านสนิทในหัวใจของท่าน ไปฟังเทศน์แล้วหมุนเข้านี่เลย อย่างนั้นละอุบายของแต่ละท่านที่จะออกเป็นอย่างนี้ละ เฒ่าแก่ชราไม่สำคัญ ใจไม่มีวัย มรรคผลนิพพานไม่มีวัย เข้ากันได้ ท่านก็เอาเสียจนผ่านได้

เวลาเราไปหาท่านก็ไปด้วยความมุ่งมั่นจริงๆ ไม่ใช่ไปธรรมดา ไปท่านก็ผางมาเลยจริงๆ เราไม่ลืมพ่อแม่ครูจารย์มั่นใส่เราเปรี้ยงๆ ครั้งแรกเลยไปถึงทีแรก ไปถึงก็เริ่มโดนแล้ว มันก็เข้ากันได้กับที่พระสีนวลท่านไปจากบ้านนามน เราไปนั้นท่านอยู่บ้านโคก ท่านย้ายมาจากนามนมาอยู่บ้านโคก เราพักอยู่หนองคายเราจะไปหาท่านแต่ยังไม่กำหนด หากจะไปแน่ๆ ขึ้นมาจากโคราชมาอุดรจะรีบมาให้ทัน

ที่เขาขโมยเอาผ้าสังฆาฏิเราไป ผู้หญิงโคราชมันของเล่นเมื่อไร เราจะรีบไปให้ทันท่าน เขาจะนิมนต์เรารับกฐินเสียก่อน เราบอกเราไม่รับ เราจะไปเรามีธุระด่วน เขาไม่ฟังละซี มาร้องไห้ต่อหน้าเรา เราเผลอสังฆาฏิเราวางไว้ข้างหลังนี่ จัดนั้นจัดนี้มา ฉวยได้สังฆาฎิแล้วไป พอลงไปบันไดแล้วหันหน้ามา ท่านจะไปอุดรก็ไปเสียนะ พูดยิ้มๆ ไม่ต้องบอกก็ได้มันอยู่ในใจนี่ละ เราไม่รู้เขาใส่หมัดเด็ดแล้ว พอลงไปพระเลยมากระซิบ ทำไมเขาร้องไห้ลงไปจากที่นี้ เวลาลงไปถึงบันไดแล้วเห็นหันหน้ามาว่า ท่านจะไปอุดรก็ไปเสียนะ ยิ้มๆ เป็นยังไง เราก็เฉย ไม่ใช่เขาเอาของดีเราไปแล้วเหรอ ของดีอะไร สังฆาฏิ อ้าว ใช่ หมดท่าเลยยอมเขา แน่ะ เราแพ้แต่ผู้หญิง เป็นแต่อย่างนั้น นี่ก็แพ้ผู้หญิง รับกฐินเสียก่อนแล้วค่อยไป มันก็ไม่ทันพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านไปผ่านได้สามวันเรามาถึงที่นี่ไปสกลนะไม่ทันกัน นี่ละช้าเพราะกฐิน

พอไปถึงท่านก็ใส่เปรี้ยงเลยเทียว เพราะมุ่งอย่างแรงกล้าเลย นี้เป็นที่จะตัดสินใจเราเกี่ยวกับเรื่องมรรคผลนิพพาน คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้แหละว่างั้นเลย ตัดสินใจลงไปแล้วตั้งแต่ยังไม่ถึงท่าน พอไปถึง ท่านมาหาอะไร ขึ้นเลย ใส่เปรี้ยงๆ มาหาธรรมเหรอ ต้นไม้ภูเขาไม่ใช่ธรรม ดินฟ้าอากาศไม่ใช่ธรรม ไล่ไปหมดทั่วโลกธาตุไม่ใช่ธรรมไม่ใช่กิเลส กิเลสแท้ธรรมแท้อยู่ที่ใจ เอาฟาดลงไปตรงนี้ด้วยจิตตภาวนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยการภาวนา สาวกทั้งหลายตรัสรู้ด้วยการภาวนานี้ เราก็เอาลงไป กิเลสอยู่ที่นั่นแหละ ธรรมก็อยู่ที่นั่น ท่านใส่เปรี้ยงๆ

เราไม่ลืมนะกัณฑ์เทศน์กัณฑ์แรกเด็ดมากฝังใจลึกทีเดียว ทีนี้ก็ลงใจผึงละ เอาละที่นี่ นั่นละที่ว่าความเพียรตั้งแต่บัดนั้นละที่ว่าเป็นเวลา ๙ ปี เรียกว่าตกนรกทั้งเป็นนะเรา เราไปคนเดียวๆ การอยู่การกินไม่สนใจ มันจะตายจริงๆ ค่อยกินเสียวันหนึ่ง จากนั้นก็ไปคนเดียว ป่าช้าอยู่กับเราคนเดียว ถ้ามีสองก็น้ำไหลบ่ามันไม่รุนแรง เดี๋ยวห่วงองค์นั้นเดี๋ยวห่วงองค์นี้ เราจึงไปตั้งแต่คนเดียวไปเที่ยวกรรมฐาน ป่าช้าอยู่กับเรา เป็นตายเรารู้เราเอง นั่นละที่ไปหาพ่อแม่ครูจารย์ พอลงใจแล้ว คือนิสัยอันนี้เป็นอย่างนั้น มันเอาจริงจังมากทีเดียว พอลงใจแล้วว่าไงที่นี่ ฟังเทศน์ท่านสมใจไหมวันนี้ แล้วเป็นยังไงเราที่นี่ ต้องตายเท่านั้นว่างั้น เรียกว่า เอา สู้จนตายเลยตัดสินแล้ว

จากนั้นมาจึงเรียกว่าตกนรกทั้งเป็น ใส่กันเต็มเหนี่ยว ตั้งแต่พรรษา ๗ ถึงพรรษา ๑๖  เก้าปี นี่ละหนักมากนะความเพียรของคนๆ เดียวเสียด้วย ไม่ไปกับใคร ซัดกับเจ้าของ ส่วนมากมักจะอดอาหาร คืออดอาหารมันภาวนาดี การฉันนี้สมมุติว่าเราอ่อนเปียกเดินไปบ้านเขาไม่ถึงบ้าน เวลาฉันจังหันเสร็จแล้วกลับมานี้เหมือนม้าแข่ง มันรวดเร็วกำลังทางร่างกาย กำลังทางด้านจิตใจไม่ค่อยขึ้น จึงต้องพยุงทางด้านจิตใจ ผ่อนอาหารแล้วใจก็ค่อยดีดขึ้นๆ มันจึงหนักมากเรา

๙ พรรษานี้เอาเป็นเอาตาย ไปคนเดียวทั้งนั้น พ่อแม่ครูจารย์มั่นก็เสริมเสียด้วย พอว่าเราไปองค์เดียว เอ้อ ท่านมหาไปองค์เดียวนะใครอย่าไปยุ่งท่าน นั่น ท่านรู้นิสัยเราแล้วว่าจริงจังเท่าไร ก็อยู่กับท่านมาสักเท่าไร ท่านรู้ความตั้งอกตั้งใจทุกสิ่งทุกอย่างของเราภายในวัดเรียบร้อยแล้วว่าเป็นพระเช่นไร ว่างั้นเถอะน่ะ การเรียนเป็นมหาเปรียญมานี้ถ้าไม่ทราบเราตั้งแต่ต้นว่าเป็นมหานี้ที่ไปถามว่า ใครมานี่ กระผม ไปหาท่านทีแรกนะ ท่านเดินจงกรมอยู่มืดๆ บ้านโคก เราก็บุกป่าเข้าไป ทางก็พอไปได้ ท่านไปสร้างวัดใหม่ๆ ไปหาท่าน ใครมานี่

ท่านยืนอยู่นี่ท่านเดินจงกรม เรากำลังคำนึงดูศาลา ว่าศาลาหลังนี้ถ้า เออ นี่เป็นศาลาหรือเป็นกุฏิน้า ถ้าเป็นกุฏิของกรรมฐานจะใหญ่เกินไป ถ้าเป็นศาลาก็รู้สึกจะเล็กไปหน่อย เพราะเป็นเรื่องของพ่อแม่ครูจารย์มั่นเป็นพระผู้ใหญ่ เรารำพึง ใครมานี่ท่านว่างั้น ท่านยืนอยู่นี่แล้ว เดินจงกรมกลางคืน เราไป พอว่ากระผมเท่านั้นขึ้นเลยทันที อันผมๆ แต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน เอ้า ค้านซิน่ะ โห ทำไมถึงพูดถูกต้องเอานักหนานะ กระผมชื่อพระมหาบัว เอ้อ ก็ว่าอย่างงั้นซิ นี่ผมๆ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผมเข้าอีกแหละ อู๊ย ถึงใจ นั่นละที่อยู่กับท่านมา

ตั้งแต่นั้นก็ฟัดกันเลย คือนิสัยอันนี้ไม่เหมือนใคร ถ้าลงลงจริงๆ ถ้าไม่ลงไม่ลง ถ้าลงแล้วทุ่มเลย ชีวิตจิตใจไม่มีความหมาย เอาตายเข้าว่าเลยเพื่ออรรถเพื่อธรรม อันนี้ก็แบบเดียวกัน พอลงท่านเท่านั้น ทีนี้ก็ใส่กัน ๙ ปีนี้เหมือนตกนรกทั้งเป็น เราไปคนเดียวๆ ส่วนมากอดอาหารไม่ค่อยฉัน คืออดอาหารนี้มันภาวนาดี ดีเรื่อยๆ มันจะตายจริงๆ ก็ฉันเสียวันหนึ่ง จากนั้นก็อด ภาวนาดี ถ้าฉันจังหันแล้วท้องอิ่มแต่จิตใจมันหิวธรรมะซิมันภาวนาไม่ดี ถ้าอิ่มหมีพีหมาแล้วไม่ได้เรื่อง ต้องอดอดตลอด เราจึงท้องเสีย ตั้งแต่วันออกปฏิบัติอดเรื่อยไปเลย

ตั้งแต่ ๗ พรรษาถึง ๑๖ พรรษาท้องเสียแล้วตั้งแต่ ๑๐ พรรษา จากนั้นมามันก็เสียมาเรื่อยๆ จนกระทั่งจะช่วยชาติบ้านเมือง มันก็ถ่ายเอาเสียจน แล้วได้ยาหมอเติ้งมามันถึงระงับกัน จึงได้ออกช่วยชาติได้อยู่มาได้จนกระทั่งถึงบัดนี้ ยาหมอเติ้งนะที่ช่วยท้องของเรา ทางหมอเขาตรวจแล้วเขาบอกเป็นมะเร็งในลำไส้ เขาไม่กล้าบอก แต่เวลายาหมอเติ้งใส่เข้าไปหายเลยนะ ถ่ายนี้แบบเดียวกัน แต่เขาบอกไว้เรียบร้อยแล้ว คือฉันยาลงไปนี้การถ่ายจะเหมือนกันกับมันถ่ายท้องเวลาท้องเสีย แต่การถ่ายคราวนี้ไม่เมื่อยไม่เพลีย ไม่ต้องตกใจมันถ่ายเท่าไรให้มันถ่ายไปเถอะ ถ่ายเท่าไรก็ไม่เพลีย มันถ่ายโรคต่างหากว่างั้น ก็ไม่เพลียจริงๆ ถ่ายเอาเสียจน โธ่ จากนั้นมาก็หายเรื่อยจนกระทั่งทุกวันนี้หายเลย

นี่พูดถึงเรื่องการประกอบความพากเพียรของเรา มันจะไปปีนั้นละ ปี ๒๕๔๐ มันก้ำกึ่งกันอยู่ พอดีได้ยาหมอเติ้งมาก็ตั้งตัวใหม่ขึ้นได้จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่งั้นตายแล้วนะ เรานี้ก็หลายครั้งที่มันจะไป แต่มันก็รอดมาได้ๆ หลายหนอยู่ ทุกวันนี้ก็ค่อยสบายธาตุขันธ์ เป็นแต่เพียงว่าเป็นคนแก่เฉยๆ ไปไหนมาไหนเดิน ที่เดินไปโน้นไปนี้ไม่ใช่อะไรนะ เดินเปลี่ยนอิริยาบถนะนั่น เดินจงกรมในนั้นแหละ เดินนั้นเดินนี้ไปนั้นไปนี้ไม่ใช่อะไร คือเดินยืดเส้น เดินเปลี่ยนอิริยาบถ เดินจงกรมไปในตัว ถ้าตั้งใจเดินจริงๆ ก็ไม่ได้นานมันเพลีย ค่อยเดินไปอย่างนั้นละ เดินไป

ถ้าไม่เดินมันขัดมันปวด เราค่อยเดินนั้นเดินนี้ ไปนั้นมานี้ คนเขาไม่รู้เขาก็จะคิดไปอย่างอื่น แต่เรื่องของเราไม่มีใครรู้กับเรา เดินไปนั้นมานี้เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ แล้วก็ไปพักนอนอย่างนั้นละ เพราะเวลานี้แก่แล้วเดินนานไม่ได้ กลางคืนเดินจงกรมอยู่บนกุฏินั้นแหละ มันมีทางจงกรมยาวๆ เดินก็ไม่ได้นาน ไม่เหมือนแต่ก่อน เอาละวันนี้สายแล้วมีเท่านั้นละ

เทศน์อย่างนี้ก็เทศน์ทุกวันออกวิทยุทุกวันนะ เทศน์ให้พี่น้องชาวไทยฟัง เรื่องพุทธศาสนาถูกเหยียบย่ำทำลายมานานแสนนานจากชาวพุทธของเรา พึ่งจะมาเริ่มฟื้นขึ้นมาบ้างเล็กน้อยตอนที่เรานำพี่น้องชาวไทยออกช่วยชาติบ้านเมือง ธรรมะก็ออกในเวลาเดียวกัน ถ้าจะฟื้นก็ฟื้นคราวนี้ ไม่ฟื้นก็ตายทิ้งเปล่าๆ ไม่ไปกุสลาให้นะจะว่าไม่บอก เราเทศน์สอนขนาดนี้แล้วยังไม่ฟื้นอยู่แล้วก็ตายทิ้งเปล่าๆ เราไม่ไปกุสลาให้ละ เหนื่อยปากพอแล้ว สอนก็สอนจนหนักปาก จนจะไม่มีลมสอนแล้ว ตายแล้วยังจะไปให้กุสลาอีก ไม่ไปเราบอก เข้าใจเหรอ ใครถ้าจะตายแล้วตายไปเลย อย่ามานิมนต์หลวงตาไปกุสลานะ เรากุสลาสอนพอแล้ว กุสลาทั้งนั้นละนี่ ออกจากปากนี่ เอาละให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก