พลิกแพลงหลอกจิตด้วยสุภะกับอสุภะ
วันที่ 6 กรกฎาคม. 2544 เวลา 19:00 น. ความยาว 72.26 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระเนื่องในวันเข้าพรรษา ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

พลิกแพลงหลอกจิตด้วยสุภะกับอสุภะ

 

               เราจุดไฟไว้ที่ไหนก็เป็นความสว่าง ในที่มืดไม่ถูกพระวินัยนะ ให้มีความสว่าง ท่านบอกว่าไม่ให้คุยกันในที่มืด มันเหมือนโจรเหมือนมาร นั่นพระวินัยมี ต้องให้มีแสงสว่างของไฟ พระวินัยข้อนี้ใครเห็นไหมนี่ แต่ผู้ไม่เห็นก็จะมีนะ ถ้าพูดถึงเรื่องพระวินัยผมจริง ไม่รู้ว่ากี่เที่ยวดูพระวินัย ละเอียดลออมากอยู่นะ ได้อาศัยที่เคยอ่านเคยศึกษาเล่าเรียนมาหลายครั้งต่อหลายครั้งจึงพอจำได้ ถ้าพูดถึงพระวินัยละเอียดมากนะ เราเรียนเต็มที่อ่านเต็มที่ บุพพสิกขาไม่ทราบว่ากี่เที่ยว เล่มไหน อ่านละเอียดลออ นอกจากวินัยที่เป็นหลักสูตรของการสอบนักธรรมแล้ว เช่น วินัยมุข เล่มหนึ่ง เล่มสอง เล่มสาม เป็นประจำในหลักสูตร

นอกจากนั้นค้นคว้ามหาขันธ์ที่ไหน โอ๊ย ค้นจริงๆ เรื่องพระวินัยนี่ เพราะเรารักพระวินัย เหล่านี้ได้อาศัยที่ได้มาแต่ก่อนนะมาพูดทุกวันนี้ ความจำมันหลุดหายไปๆ พอยังมีเหลืออยู่บ้างก็ดังที่มาพูดให้ฟังนี้ อย่างไม่ให้คุยกันในที่มืด มันเป็นเหมือนโจรเหมือนมารท่านว่า ให้คุยกันในที่เปิดเผย คือมีฟืนมีไฟอย่างนี้ไว้จึงถูกตามพระวินัย คุยกันซุบซิบ ในที่มืดท่านปรับอาบัติ เหมือนโจรผู้ร้ายคุยกัน กระซิบกระซาบกัน นั่นเห็นไหมล่ะพระพุทธเจ้าละเอียดไหม เรื่องพระวินัยนี้เราจริงๆ เราเอาจริงเอาจังมาก ยิ่งไปอยู่คนเดียวด้วยแล้วยิ่งระมัดระวังมากทีเดียว เพราะเวลาเป็นอาบัติขึ้นมาไม่มีผู้แสดงซิ จึงต้องเข้มงวดกวดขันมากทีเดียว เรื่องจะให้คุยกับผู้กับคน โอ๋ย ไม่ละ ระมัดระวัง

พระ ๔๘ เณร เป็น ๕๐ ก็มีปีนี้ที่มากที่สุดพระเรา ผมก็ดังหมู่เพื่อนเห็นนั่นแหละ จะทำยังไงโลกมันเกี่ยวโยงกันอย่างนี้ ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้มาทำงานอย่างนี้  มันก็คงเกี่ยวกับเรื่องบุญเรื่องกรรมนั่นเองถึงได้มาเกี่ยวโยงกัน เราไม่เคยคาดเคยคิดมันก็ออกมาให้เห็นเป็นให้เห็นอย่างที่เป็นนี่ ธรรมดาแล้วจะไปยุ่งกับอะไร อายุก็แก่ขนาดนี้แล้ว คอยดูแต่ลมหายใจที่ขันธ์มันทำงานเท่านั้นเอง นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ทีนี้แทนที่มันจะเป็นอย่างนั้น มันก็กลับเป็นอย่างที่เห็นนี่เป็นยังไง

ต่อไปนี้ก็จะพูดธรรมะบ้างเล็กๆ น้อยๆ เหนื่อยก็เหนื่อย พูดธรรมะอบรมพระเณรก็ไม่ได้อบรม ผมก็หยุดมาแต่อายุ ๘๐ นะ พออายุ ๘๐ แล้วก็หยุด การประชุมพระเณรนี้ไม่เอาแล้ว เพราะธาตุขันธ์มันก็พอประมาณของมันแล้ว นี่คิดดูซิน่ะ เหมือนหนึ่งว่าได้ปลงใจแล้ว ไม่เทศนาว่าการ ดูธาตุดูขันธ์ของตนไป พอถึงวันเวลาแล้วก็ปล่อยแล้วไปเลยเท่านั้นเอง แล้วอยู่ มันก็เป็นอย่างที่เห็นนี่ว่าไง มันเป็นอย่างนั้นนะ มันพลิกใหม่ขึ้นมา เรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งไม่เคยคิดเคยอ่านกระทบกระเทือนทั่วโลกดินแดนในชาติไทยของเรามันก็เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาแง่นั้นแง่นี้ขึ้นมาแล้ว นั่นละเรื่องมัน อะไรก็จะกุดจะด้วนไปตาม กันหมดชาติไทยทั้งชาติ ศาสนาก็จะไม่มีเหลือ เอ๊ ยังไงกัน ล่ะซี

ติดหนี้ติดสินเขารายหนึ่งๆ ๖๒ ล้านคน ติดหนี้เขาคนละห้าหมื่นๆ โถ เหยียบเข้ามาทุกด้าน โรคเราก็อ่อนลง มองหน้ามองหลังมองดูธาตุขันธ์ของเราก็หมดวิสัยแล้ว  แล้วอยู่ๆ ก็เห็นไหมล่ะ หมอเติ้ง เมืองจีนนั้นน่ะเขาก็มาเสนอ เรื่องเขาหายจากโรคของเขาซึ่งเป็นโรคชนิดเดียวกันกับเรา มาเล่าให้ฟังทุกกระเบียดไม่ได้ผิดกันเลย เอ๊ ชอบกล คือเราปลงใจลงไปแล้วว่าเรามีแต่จะตายท่าเดียว เราจะไม่หวังวุ่นอะไร กับหมอกับอะไรไม่ยุ่งทั้งนั้น ปล่อย ครั้นอยู่ ก็พูดขึ้นมาอย่างนี้ละ

ไม่นึกไม่ฝันนะ ไม่ได้ติดต่อกับใคร เขามาเสนอเองเกี่ยวกับเรื่องเขาเป็น ตั้งฮั่วไถ่นี่ละต้นเหตุ เขาเป็นเขาไปรักษาที่ไหน โรงพยาบาลทั่วประเทศไทย โรงใหญ่โรงไหนไปหมด เขาก็ให้พอไม่ให้เสียมารยาท ครั้นตรวจอะไรเรียบร้อยแล้วเขาก็ให้ยามาพอเป็นน้ำใจไม่เสียมารยาท แล้วไปโรงนั้นก็แบบเดียวกัน ไปโรงไหนแบบเดียวกัน เขาบอกว่ารักษาไม่ได้ว่างั้นเลย จึงมาเจอเอาหมอนี่แหละ แล้วแกหายมาเลย หายอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ว่างั้น แล้วแกก็มานิมนต์เราขอให้รักษา เราฟังกับโรคของเราของแกแล้วเข้ากันได้ทุกกระเบียดเลยนะ  นั่นละที่นี่จึงได้พลิกใจมา ก็บอกว่าหมอนี่เป็นคนสุดท้ายของเรานะ เราปลงใจแล้วว่าจะไม่เอาอะไรแล้ว เรายังต้องพลิกมา เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็รักษาดู หายก็หาย ไม่หายก็ไม่หาย

แต่เวลาพิจารณามันมีแง่อยู่นะ แปลกอยู่ พิจารณาในจิตนี้แหละ อันนี้พูดให้ใครฟังยากอยู่ รู้เฉพาะเจ้าของ สิ่งที่แยกออกมาพูดนี้เพียงเล็กน้อย อันไหนที่ไม่สมควรมันก็รู้เองในจิต ทีนี้เวลาพิจารณาตัวเองแล้วสายตายนี่มันดิ่งเลย แล้วสายนี้มันอยู่นี่ อันหนึ่งเหมือนกับว่าเส้นค้ำมันแนบกันอยู่นี่ เอ๊ะ ว่าจะไปจริง ทำไมถึงมีอย่างนี้อยู่ นี่อันหนึ่งนะ มันมีอยู่งี้ เหมือนกับว่าเส้นค้ำ สายนี้สายดิ่งจะไป อันนี้มาอยู่นี้ เอ๊ นี่มันยังไงทำให้สงสัย นี่ละที่รับหมอเติ้งก็เห็นสายนี้ละมันรับกันอยู่ หมอจีนนะ ถ้าไม่มีแล้วปล่อยเลย มันก็มามีอันนี้

ทีนี้เวลารักษามันเหมือนปาฏิหาริย์นะ อันนี้ผมอัศจรรย์อันหนึ่ง จนผมเองก็ไม่เชื่อ  ไม่เชื่อหมอทีแรก ไม่เชื่อโรคเจ้าของด้วย เป็นขนาดนี้ถึงได้ ๕๐ ปีกว่ามาแล้วนี้ แล้วหนักเข้าทุกวัน ๆ เวลานี้เป็นเวลาที่จะตายเท่านั้น เดินจากศาลาไปหากุฏิก็จะไม่ถึง เดินจากกุฏิมาหาศาลาก็จะไม่ถึง ทางจงกรมยังเหลือแต่จะรื้อทิ้งเท่านั้น เข้าไปไม่ได้เลย เดินไม่ได้  หมดกำลังขนาดนั้นละ เดินจงกรมก็เดินแค่นั้นในกุฏิ ไม่กี่ก้าวเหนื่อย พอฉันยานี้ไปแล้ว หมอเขาก็คำนวณยาถูกต้องนะ คือธรรมดาของโรคทั้งหลายนี้ที่เขาเคยรักษาหายมาโรคชนิดนี้ เขาจะให้เฉพาะ ๗ แก้ว ยาเป็นน้ำนะ อย่างมากเขาก็ ๘ แก้วเขาว่างั้น แต่เวลารักษาเรานี้เขาเอาบวกเข้าไปอีกเท่าตัวเลย ๑๕ แก้ว เพราะเขาคำนวณถึงเวลาเราเป็นนาน

ยานี้ฉันเข้าไป ๆ เขาก็แนะบอกทุกอย่าง ก็เป็นไปตามที่เขาบอก ว่ายานี้ฉันลงไปแล้วก็จะถ่ายเหมือนที่ท่านถ่ายโรคแต่ก่อน แต่การถ่ายคราวนี้เป็นถ่ายโรคถ่ายภัยออกจากนั้น ถ่ายด้วยอำนาจของยา เขาว่างั้น ไม่ใช่ถ่ายแบบโรคถ่ายอย่างนั้น ผิดกัน ท่านอย่าวิตกวิจารณ์ เขาว่างั้น คือการถ่ายแต่ก่อนถ่ายเท่าไรเหนื่อยลง ๆ ถ่ายคราวนี้จะถ่ายเท่าไรก็ตามไม่เหนื่อย เขาบอกงั้นนะ มันจะถ่ายเท่าไรก็ปล่อยให้มันถ่ายไปเถอะ มันจะเข้าไปซักฟอกชำระสารพิษอยู่ภายในร่างกายนี้สั่งสมมานาน เขาว่างั้น ไม่มีใครรักษาได้ง่าย ๆ เขาบอกอย่างงั้นเลย เราก็กินยาลงไป

พอกินลงไปถ่ายก็ถ่ายเรื่อย ๆ ๆ ถ่ายเท่าไรมันก็ไม่เพลีย แปลกนะ ทำให้คิดอันนี้อันหนึ่ง ถ่ายนี้ถ่ายมากนะ ถ่ายเหมือนแต่ก่อน ยิ่งมากกว่านั้นเป็นบางครั้งนะ แต่มันไม่เหนื่อยไม่เพลีย อันนั้นถ่ายเท่าไรอ่อน ลุกขึ้นจากที่ถ่ายจะไม่ได้นะ ต้องเอามือยันขึ้น ขนาดนั้นนะ ถ่ายแต่ก่อน คือถ่ายเท่าไรอ่อนลงๆ ปัสสาวะหัวคะมำลงไป ลุกไม่ขึ้น สุดท้ายก็ต้องไปยืนต้นเสา ต้องถ่ายปัสสาวะยืน คือลงนั่งถ่ายแล้วลุกไม่ขึ้น มือต้องยันแล้วจะขึ้นได้ เลยต้องเปลี่ยนท่าถ่ายใหม่ ต้องยืนถ่ายที่นี่นะ มิหนำซ้ำยังต้องได้พิงต้นไม้ถ่าย มันยังจะพาโซเซล้มลง

แล้วหายลง ๆ หายวันหายคืน หายอย่างรวดเร็วจนกระทั่งเราสงสัย เอ๊ ไม่มีปฏิกิริยาอะไรบอกเลยนะ มีแต่หายลงไปเรื่อย การถ่ายถ่ายเรื่อย ถ่ายแล้วไม่เพลีย  จนกระทั่งได้ถามหมอ เอ๊ มันจะหายจริง ๆ เหรอ ทำไมโรคอันนี้ถ้าเป็นนักเลงก็เรียกว่านักเลงโต ถ้าเป็นเสือก็เสือโคร่งใหญ่ ก่อนที่มันจะตายนี้มันต้องต่อสู้เราสุดเหวี่ยงของมัน  ทั้งฝ่ายโจรฝ่ายเสือโคร่งนั่นแหละ แต่โรคอันนี้ไม่เห็นมีปฏิกิริยาแสดงอะไรโต้ตอบกันบ้างเลย เป็นอย่างนี้ ถ่ายเท่าไรก็ถ่ายแต่มันไม่เพลียเหมือนแต่ก่อน ก็บอกงั้น ไม่มีปฏิกิริยา เราบอกว่า “เหล่านี้จะหายได้จริงๆ เหรอ” เราว่า “หาย” เขาว่างั้น “เพราะเหตุไร เอ้าว่ามา” “เพราะโรคชนิดนี้ผมเคยรักษาหายมาเป็นร้อย ๆ แล้ว” ว่างั้น เราก็ชักอ่อนลง

ทีแรกไม่เชื่อยา ไม่เชื่อหมอ และไม่เชื่อโรคตัวเอง แล้วก็เป็นอย่างงั้นตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ หายวันหายคืน หายวันหายคืน พอฟื้นขึ้นบ้างก็เรียกว่าขึ้นเวทีเลย นั่นละมันถึงผอมโซอยู่เวลาขึ้นเวที เขาฉายออกทางทีวีทางไหนก็ผอมโซ ๆ ก็คนพึ่งฟื้นขึ้นมา ก็ขึ้นไปเรื่อยๆ มันก็หายช้าเหมือนกัน เพราะเป็นมานาน หนึ่ง แล้วก็คนแก่ หนึ่ง หายช้าแต่มันหายของมันไปเรื่อย ไม่เคยมีปฏิกิริยา จนทุกวันนี้ปกติเป็นปีกว่าแล้วนะ ท้องนี้เหมือนไม่เคยเป็นอย่างนั้นเลย ท้องดี ถ่ายแข็ง เขาก็ให้สังเกตดูว่าการถ่ายถ้าโรคนี้มันเบาลงไปการถ่ายก็จะค่อยแข็งตัวขึ้นๆ ข้นขึ้น เขาว่างั้น ปกติแล้วการถ่ายก็ธรรมดา มันก็ค่อยเป็นมา ๆ จนกระทั่งการถ่ายเป็นธรรมดามาได้ปีกว่าแล้วนะ นี่ละเรียกว่าปีกว่า หายขาดจริงๆ จึงได้แน่ใจ ทุกวันนี้ไม่มีเลยนะโรคชนิดนั้นไม่ปรากฏเลย ตั้งแต่วันฉันยาแล้ว ยาถ่ายก็ถ่ายไป เรื่อยๆ สุดถ่ายแล้วมันก็ค่อยข้นเข้ามา การถ่ายก็ลดน้อยลง ๆ มันก็เลยกลายเป็นปกติขึ้นมา

นี่ละมันเป็นกรรมเป็นบุญอะไรก็ไม่ทราบนะ ที่ได้อุตส่าห์พยายามช่วยโลกสงสารมานี่ ไม่ได้คิดได้ตั้งใจ มีแต่ตั้งหน้าจะตายท่าเดียวมันก็ฟื้นขึ้นมาได้อย่างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ยานี้ก็เหมือนยาเทวดา โรคนี้ก็เหมือนปาฏิหาริย์ฟื้นขึ้นมาอย่างง่ายดาย เอ้อ มันน่าคิดอยู่นะ  นี่ที่สำคัญมาก จึงได้เล่าเรื่องให้หมู่เพื่อนฟังถึงเรื่องธาตุขันธ์ของเรา อายุ ๘๐ เราก็หยุด  เริ่มหยุดการอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อนหยุดไปแล้วนะ ทีนี้มันก็พลิกแพลงขึ้นมาใหม่ด้วยเหตุการณ์ดังที่กล่าวนี้ จึงได้เทศน์อย่างที่เห็นนี่เอง จึงไม่ค่อยได้สั่งสอนหมู่เพื่อนนะ ตั้งแต่ ๘๐ มาแล้วไม่ค่อยได้ประชุมสั่งสอนหมู่เพื่อนเลย นอกจากวันมีงาน เช่น วันเข้าพรรษา วันกฐินบ้าง ถึงจะได้เทศน์อบรมหมู่เพื่อน ตามธรรมดาไม่ได้อบรมแหละ แค่เทศน์สอนประชาชนก็หมดกำลังแล้วผม แล้วทำไมจะได้มีกำลังมาสอนพระสอนเณร นี่เรื่องราวมันเป็นอย่างงั้น จึงไม่ได้อบรมหมู่เพื่อน ดูกำลังเจ้าของอยู่

        วันนี้เป็นวันเข้าพรรษาของพระทั่ว ไปทั่วพระราชอาณาจักร และที่อื่น ก็เข้าวันนี้เช่นเดียวกัน วันนี้เป็นฤดูฝน แรมค่ำหนึ่งเดือนแปด เข้าฤดูฝนวันนี้ ที่ผ่านมาเป็นฤดูร้อน นี่เป็นกาลเวลาที่พระทั้งหลายเราจะได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติศีลธรรม อบรมจิตใจของตนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ได้มีธุระไปทางนู้นทางนี้ค้างวันค้างคืนที่อื่นใด อยู่สถานที่ที่เดียว มีแต่การบำเพ็ญสมณธรรม ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตนเอง หลักใหญ่ที่ได้แนะนำอยู่เสมอ ย้ำเสมอสำหรับในวัดนี้ความเพียรเป็นหลัก หนักแน่นยิ่งกว่ากิจการงานอื่นใด   เราไม่เคยส่งเสริมงานใดให้ยิ่งไปกว่างานจิตตภาวนา เพราะเราเคยได้เห็นผลอย่างนั้นในตัวของเราเอง ที่ได้มาแนะนำสั่งสอนเพื่อนฝูงอยู่เวลานี้ ได้ดำเนินมาอย่างนั้น เห็นผลมาอย่างนั้นประจักษ์ใจ

เรื่องการยุ่งนั่นยุ่งนี่ การก่อการสร้าง การติดต่อผู้คนญาติโยมนั้นสำหรับผมเองไม่มี  พูดได้เด็ดขาดเลย เวลาก้าวเข้าสู่ทางด้านภาวนาเรียกว่าขึ้นเวทีแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นเหมือนหนึ่งว่าเปลี่ยนความรู้สึกใหม่หมด ให้เหลือแต่ความตั้งหน้าตั้งตาชำระกิเลส ภายในจิตใจตลอดไปจนกว่าจะสิ้นซากจากหัวใจ กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาล้วน นี้เท่านั้น อย่างอื่นไม่มีข้อปลีกแวะอะไรเลย เพราะได้ฟังอรรถฟังธรรมจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นอย่างถึงใจแล้วเกี่ยวกับเรื่องมรรค ผล นิพพาน

แต่ก่อนเรียนไปเท่าไรความสงสัยคืบคลานไปตาม บาป บุญ นรก สวรรค์ สงสัยไปทั้งนั้น ทั้ง ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เต็มบทเต็มบาท เหมือนธรรมทั้งหลายไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันเลย เรื่องบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี เปรตผีประเภทต่าง นับจำนวนไม่ถ้วนในไตรโลกธาตุนี้มี อย่างนี้ก็ตาม ความจำมันก็จำของมันไปได้อย่างที่เรียนมานั้นแหละ แต่ความสงสัยมันก็คืบคลานไปตามทุกแง่ทุกมุม ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วด้วยความถูกต้อง เช่น บาป บุญ นรก สวรรค์ เป็นต้น ว่ามี

มันก็ทำให้เกิดความสงสัยอยู่นั้นจนได้ ไม่มีใครมาบอก มันหากเป็นในนิสัยสันดานของเราเอง จึงได้แบกความสงสัยนี้เข้าไปหาหลวงปู่มั่นเรา ได้รับคำชี้แจงอย่างจะแจ้งหายสงสัยตั้งแต่วันแรกนั้นเลยทีเดียว ถึงที่เลย หมดแล้วเรื่องความสงสัยในมรรค ผล นิพพาน แม้กิเลสจะมีอยู่ก็ตาม ความหายสงสัยนี้หายโดยสิ้นเชิง ว่างั้นเถอะ เรื่องความเชื่อในมรรค ผล นิพพาน ก็เชื่ออย่างเต็มหัวใจ นี่ละที่เป็นกำลังใจให้เกิดความมุ่งมั่นต่อมรรค ผล นิพพาน ตลอดไปเลย กำลังใจจึงไม่มีคำว่าอ่อนแอท้อแท้เพราะความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์ มีมรรค ผล นิพพานเป็นที่รับรองเอาไว้จากการปฏิบัติของเรา

ความมุ่งมั่นจึงมีกำลังกล้า จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนมันก็ไม่เคยถอยไอ้เรื่องความมุ่งมั่นต่อแดนมรรค ผล นิพพาน จึงได้เร่งความพากความเพียรตลอดมา ผลก็ปรากฏเป็นที่พอใจเป็นลำดับลำดา ส่วนไหนที่มันผิดพลาดไป เพราะทางไม่เคยเดิน มันก็ผิดพลาดไปก็ได้มาเล่าให้หมู่เพื่อนฟัง เช่นจิตเสื่อมนี้เสื่อมเอามาก ถึงขนาดที่ว่าเข็ดหลาบเลยทีเดียว เสื่อมขนาดนั้นนะ ทุกข์มากขนาดนั้น คนเราธรรมดาจิตไม่มีความเจริญขึ้นให้เป็นที่ปีติยินดีเอิบอิ่มภายในใจ อยู่ธรรมดาเรา ท่าน นี้ความทุกข์ก็มีธรรมดา ไม่ได้รุนแรงเหมือนผู้มีจิตกลมกลืนกับธรรมเป็นขั้นเป็นตอน จนถึงเป็นที่อบอุ่นภายในตัวเอง มีความเป็นสุขสงบร่มเย็นนี้เลย

ผู้นี้เวลาจิตเสื่อมแล้วจึงมีทุกข์มากที่สุด แต่ก่อนเราก็ไม่มี พอจิตเสื่อมนี้ แหม ความทุกข์โหมตัวมาสุมอยู่ภายในหัวอกตลอดเวลา พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงท่าไหน ๆ จะให้จิตฟื้นขึ้นมามันก็ไม่ฟื้น ๆ อยู่ที่ไหนเป็นตกนรกทั้งเป็น ๆ ตลอดเวลาเพราะจิตเสื่อม เป็นทุกข์มากยิ่งกว่าจิตที่ไม่เคยอบรมธรรมะได้ผลเป็นที่พอใจในขั้นเช่นนั้นมาเลย นี่ผมเป็นแล้วจึงได้สอนหมู่เพื่อนให้เข็ดให้หลาบ ให้ระมัดระวัง เมื่อจิตมีความสงบร่มเย็นให้รักษาระดับแห่งความสงบร่มเย็นไว้ด้วยความมีสติ ความพากเพียร อย่าห่างไกลกัน

จิตจะได้รับการประคับประคองจากสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรของเราตลอดไป  แล้วจิตก็จะค่อยก้าวหน้าขึ้นไปโดยลำดับลำดา ถ้าไม่มีหลักเลยนั้นพระเราอย่าเข้าใจว่ามีคุณค่านะ ไม่ได้มีคุณค่าอะไร ยิ่งจิตเสื่อมอย่างผมที่ว่าเสื่อมมานี้แล้ว แหม ไม่มีอะไรเทียบเท่าได้เลย ความหมดค่าหมดราคา เหลือแต่ลมหายใจ มองดูหัวใจเมื่อไรเป็นไฟตลอดเวลาเพราะความเสียดาย สมาธิที่เคยเจริญแล้ว ถึงขนาดที่ว่าแน่นเป็นหินไปเลยนะจิตเรา นั่นละที่ทำให้เราตายใจนะ จิตสงบเข้าไป สงบเข้าไป ถึงขนาดแน่นเป็นเหมือนหินเลย อยู่ที่ไหนสบายหมดเลย รื่นเริงบันเทิงอยู่กับความสงบที่แน่นหนามั่นคงนั้น

แล้วเราก็ไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็น ไม่เคยเป็น ถ้าว่าทางก็ไม่เคยเดิน จึงไม่รู้จักวิธีรักษาเข้มงวดกวดขัน แล้วงานที่จะทำให้จิตเสื่อมก็คือมาทำกลดหลังหนึ่งเท่านั้นเอง การภาวนาไม่ค่อยติดค่อยต่อ ทีแรกมันก็แน่นปึ๋ง ๆ ของมัน ครั้นนานไปหลายวันไปรู้สึกมีลักษณะเปลี่ยนแปลง เข้าได้บ้างไม่ได้บ้าง อ้าวแปลกแล้ว นี่ละจิตเราจะเสื่อมนะนี่นะ แล้วขยับเข้าใหญ่ รีบร้อยกลดให้เสร็จเรียบร้อย ดีไม่ดีช่างหัวมัน ออกปฏิบัติเลย ตั้งแต่นั้นเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ จนหมดเนื้อหมดตัวเลยนะ ไม่มีอะไรเหลือติดตัว นั่นแหละที่มีแต่ไฟล้วน ๆ สุมหัวใจ เสียดายก็เสียดาย ทำความพากเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย บางคืนไม่นอนตลอดรุ่ง

พอจิตค่อยก้าวขึ้น ๆ ก็พยายามใหญ่เลย พอไปถึงขั้นที่มันเคยเสื่อม ไปอยู่นั้นได้เพียงสามวัน สามวันเท่านั้นแล้วก็เสื่อมมาต่อหน้าต่อตาอย่างรุนแรง หักห้ามต้านทานไม่ได้ ลงถึงขีดแห่งความหมดราค่ำราคา เหลือแต่ตัวเปล่า ๆ เอ้า ขยับขึ้นอีก ๑๔–๑๕ วัน ได้ถึงที่นั้นแล้วลงอีก อยู่ได้เพียงสามวัน เป็นอย่างนี้มาเป็นเวลาปีกว่า มันเริ่มเสื่อมตั้งแต่เดือนพฤศจิกา ส่วนพ..เท่าไรผมก็จำไม่ได้ จำได้แต่ว่าเดือนพฤศจิกาจิตเริ่มเสื่อม แล้วไปฟื้นขึ้นได้เดือนเมษาปีหน้านู้น พฤศจิกาแล้วก็ธันวา มกรา กุมภา มีนา เมษา เสื่อมถึงปีหนึ่งกับห้าเดือน

นี่ละได้รับความทุกข์ความทรมานเอาอย่างมาก จึงได้ตั้งวิธีใหม่ นี่ก็ได้นำมาสอนหมู่เพื่อน วิธีใหม่นี้คือยังไง แต่ก่อนเราไม่ได้กำหนดเป็นคำบริกรรม กำหนดความรู้เฉย ๆ พยายามไม่ให้เผลอให้อยู่กับความรู้ ความรู้อยู่กับตัว มันเสื่อมไปได้ จิตเถลไถลไปคิดอย่างอื่นอย่างใดได้ เราก็ไม่รู้ จนกระทั่งมันหมดทางไปจริง ๆ แล้วจึงได้ย้อนมาคิดคำนึงคำนวณ ว่า หรือจะเป็นเพราะเราไม่นำคำบริกรรมเข้ามากำกับใจให้มีที่ยึดที่เกาะด้วยสติ มันถึงได้เสื่อมไปอย่างงั้น คราวนี้เราจะตั้งใหม่ คราวนี้เอาคำบริกรรมเป็นหลัก ไม่ได้กำหนดเอาเฉพาะความรู้เหมือนแต่ก่อน ซึ่งเจริญขึ้นแล้วเสื่อมลง ๆ

เหมือนว่าตั้งต้นใหม่ ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะภาวนาด้วยบทคำบริกรรมคือพุทโธ ผมชอบพุทโธ นิสัยผมกลมกลืนกับพุทโธมาดั้งเดิม ก็ตั้งกำหนดกฎเกณฑ์ให้ใหม่ ทีนี้จะบริกรรมด้วยพุทโธ แต่สำหรับนิสัยผมนี้รู้สึกว่าเป็นคนจริงจังมากตลอดมา พอว่าตั้งกับคำว่าพุทโธก็เหมือนทำสัตยาบันสัญญากันเลย จะเคลื่อนเป็นอื่นไปไม่ได้ กับคำว่าพุทโธจะต้องตั้งกันตลอดเวลา ไม่ว่าอิริยาบถใดจะไม่ยอมให้เผลอจากคำว่าพุทโธนี้เลย ตั้งตลอด ตั้งแต่ตื่นนอนตั้งไม่ให้เผลอ ควบคุมกันตลอดเวลา ทุกข์ก็ให้อยู่กับพุทโธ สุขก็ให้อยู่กับพุทโธ เอ้า มันจะเสื่อมไปถึงไหนก็ให้มันเสื่อม มันจะเจริญก็ตาม เพราะความเสื่อมความเจริญนี้เรามันเคยมาพอแล้ว จนอิดหนาระอาใจต่อความเสื่อมความเจริญ

คราวนี้มันจะเสื่อมให้เสื่อมไป เจริญก็เจริญไป จะไม่ถือมาเป็นอารมณ์ยิ่งไปกว่าการบริกรรมด้วยความมีสติ ไม่ปล่อยวางนี้เท่านั้น จึงได้ปักลงตรงนั้น แล้วปักจริง ๆ นะ เอาอยู่กับนั้นเลย จะเจริญก็ตามเสื่อมก็ตามไม่เอามาเป็นอารมณ์ เพราะเราเคยเป็นอารมณ์แล้วก็สร้างความทุกข์ร้อนให้เรามามากขนาดไหน ปล่อยเลย เมื่อภาวนาเข้าไปๆ พุทโธเข้าไป พุทโธเข้าไป บังคับจิตตลอดเวลา สุดท้ายจิตที่เคยเสื่อมเคยเจริญ มันก็ไม่เสื่อม ค่อยเจริญขึ้น ๆ ค่อยสงบเย็นใจเข้าไป ๆ ปักเข้าไปเรื่อย ๆ ไม่ถอย จนกระทั่งจิตสงบ

ถึงบางครั้งนี้บริกรรมไม่ได้นะ คือจิตมันละเอียด สงบเข้าไปจนถึงขั้นละเอียด นึกคำบริกรรมไม่ออกเลย คือหมดจริง ๆ ปรุงขึ้นมาไม่มีเลย ไม่มีเลย เหลือตั้งแต่ความรู้ที่ละเอียดสุดอยู่ในนั้นในจิตขั้นนี้ จนเกิดความงง เอ๊ นี่จิตของเราบริกรรมมาตลอด คราวนี้คำบริกรรมก็ไม่มี บริกรรมยังไงก็ไม่ปรากฏ ทำยังไงก็ไม่ปรากฏ เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียด แล้วจะทำยังไง งง กลัวมันจะเสื่อมอีกจึงได้งง ก็เลยได้สติ เอ้าถ้าหากว่าคำบริกรรมมันหายไปเอ้าให้หายไป แต่กับความรู้อันนี้จะไม่หาย สติจะจับเข้าอยู่กับความรู้อันนี้ จนกว่าบริกรรมได้เมื่อไรจะบริกรรมทันที จิตก็ปักอยู่กับความรู้

พอได้จังหวะความรู้ที่ปรุงไม่ได้นี้ มีแต่ความละเอียด รู้อย่างละเอียด ๆ มันก็ค่อยคลี่คลายตัวออกมา เรียกว่ามันถอยออกมา คำบริกรรมบริกรรมได้ เอาคำบริกรรมติดเข้าไปอีกเลยตลอด อย่างนี้เป็นพัก ๆ ๆ พอถึงขั้นมันละเอียดจริง ๆ หมดคำบริกรรมหายเลย จับอันนั้นไว้ตามเดิม ๆ ต่อไปมันก็ค่อยละเอียดขึ้น ๆ จนถึงขั้นที่มันเคยเจริญแล้วเสื่อม ๆ ไปถึงนั้นแล้ว เอ้า เสื่อมไป อยากเสื่อมก็เสื่อมไป เราไม่เป็นกังวลกับความเสื่อมความเจริญ เพราะเคยเป็นมาแล้วไม่ได้ผลอะไรเลย แต่เราจะไม่ปล่อยคำบริกรรมนี้ตลอดไป เอากันตลอด มันก็ขึ้นไปเรื่อย ๆ ๆ พอถึงขั้นมันจะเสื่อม มันก็ไม่เสื่อม

ทีนี้ก็ก้าวขึ้นเรื่อย ๆ อ๋อทีนี้ถูกแล้ว จับได้แล้วนะ จากนั้นก็ย้ำคำบริกรรมเข้าไป จนกระทั่งจิตมีความแน่นหนามั่นคงปึ๋ง ๆ เอาละที่นี่ เราจะจับเอาจุดแห่งความแน่นหนามั่นคงซึ่งเป็นจุดผู้รู้อย่างเด่นชัดนี้ด้วยสติอีก เอาสติจับตรงนั้นไม่ปล่อยอีก เช่นเดียวกับคำบริกรรมพุทโธไม่ปล่อยวางเช่นเดียวกัน จิตก็ละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป จนกระทั่งปล่อยเองนะคำบริกรรม เมื่อถึงขั้นที่จะปล่อยแล้วมันปล่อยเอง มีแต่ความรู้เด่น อยู่กับความรู้นั้นด้วยสติ ๆ ตลอดไปเลย นี่วิธีตั้งความพากเพียรขอให้ท่านทั้งหลายตั้งไว้อย่างนี้

ผมเคยตั้งมาแล้วได้ผลเป็นที่พอใจ แต่ต้องทำจริงจังนะ นี่ทำจริงจังไม่ได้ทำเล่น ไม่ว่าอะไรก็ตาม บิณฑบาตในหมู่บ้านไม่ยอมให้เผลอเลย เดินจงกรมไปตลอด เขาใส่บาตรไม่ทราบเขาใส่อะไรไม่ได้สนใจ มีตั้งแต่คำบริกรรมพุทโธ ๆ ตลอด ทั้งไปทั้งกลับ ทั้งขบทั้งฉัน กระดิกพลิกแพลงไปไหนคำบริกรรมจะไม่ปล่อยเลย นี่เรียกว่าบริกรรมโดยแท้ จนกระทั่งจิตมันตั้งได้แล้วก็เข้าอยู่ในสมาธิ มันถึงแน่นหนามั่นคง พอถึงขั้นแน่นหนามั่นคงจริง ๆ แล้ว แน่ใจเจ้าของว่าไม่เสื่อมนี้ก็คือเวลานั่งตลอดรุ่ง

จิตหักโหมกันเต็มเหนี่ยว จนได้ความอัศจรรย์ขึ้นมาทุกคืนที่นั่งตลอดรุ่ง ๆ เป็นเวลา ๙ คืน ๑๐ คืน นานไหมล่ะ แต่ไม่ได้ติดต่อกันนะ เว้นสองคืนบ้างสามคืนบ้าง นั่งตลอดรุ่งทีหนึ่ง ๆ นับแล้วไม่ต่ำกว่า ๙ คืน ๑๐ คืน ในคืนที่นั่งภาวนาตลอดรุ่ง ๆ นั้นจิตได้ความอัศจรรย์ทุกคืน ไม่มีพลาด ลงแบบอัศจรรย์เลย เพราะมันทุกข์มากทีเดียว ความทุกข์ในร่างกายของเราจากการนั่งมากนี้ ร่างกายนี้เหมือนกับท่อนซุง ทุกขเวทนาเหมือนกับไฟเผาขอนซุงคือร่างกายเราทั้งท่อนนั้นแหละ นี่แหละสติปัญญามันก้าวออกตอนนี้แหละ หมุนกันไปหมุนกันมา ทุกข์มากเท่าไรสติปัญญายิ่งหมุนติ้ว ๆ

เราจะไปทนเฉย ๆ ไม่ใช่ธรรม เราต้องทนด้วยสติปัญญาฟัดกัน ๆ พอมันรอบกันแล้วจิตมันก็ลงผึงเลย นั่น จิตเราไม่เคยลงอย่างนี้ ลงแบบอัศจรรย์ พอถอนขึ้นมาก็พิจารณาอีกลงอีก ได้ที่แล้ว ได้หลักได้เกณฑ์แล้ว ตั้งแต่นั้นมาลงได้นั่งตลอดรุ่งแล้วไม่มีคืนใดพลาดไปได้เลย ต้องได้ทุกคืน เป็นแต่เพียงว่าช้ากับเร็ว จากการพิจารณายากบ้างง่ายบ้างเป็นคืน ๆ ไป ถ้าคืนไหนพิจารณาจับติด ๆ คืนนั้นจะไม่นานจิตจะลงถึงที่เลย ถ้าวันไหนจับผิดจับพลาดเป็นเวลานาน แต่ก็ต้องลงเหมือนกัน หากช้าต่างกันเท่านั้น นี่ทุกคืน

ตั้งแต่นั้นมาแน่ใจเลยว่า เอ้อ อย่างนี้ไม่เสื่อม นี่ชัดเจนเลย จิตนี้จะไม่เสื่อมอีกแล้วคราวนี้ มันก็ไม่เสื่อมจริง ๆ ถึงไม่เสื่อมก็ตามความนอนใจไม่มี ซัดกันตลอดเวลา จนกระทั่งจิตเป็นสมาธิ โอ๋ย เหมือนภูเขาทั้งลูกนะ จิตเป็นสมาธิเต็มภูมินี้เหมือนภูเขานะ แน่นปึ๋งตลอดเวลาเลย แล้วก็มาติดอยู่ในสมาธินั้นเสียด้วยความรื่นเริงบันเทิง เพราะจิตอิ่มอารมณ์ เรื่องคิดเรื่องปรุงแต่ก่อนที่กิเลสลากถูไปนี้ อยากคิดนั้นคิดนี้ๆ หมด มีแต่ความสงบแน่ว อารมณ์อันเดียวของจิตที่เป็นสมาธิ เรียกว่าเอกัคคตารมณ์ อยู่เท่านั้น อยู่เท่าไรอยู่ได้ตลอด ๆ เลย จิตเลยติดอยู่กับนั้นเสีย ไม่อยากคิดอยากปรุงอะไร

ความคิดปรุงถือเป็นความรำคาญ มายุ่งไม่ได้ ความสงบแน่วแน่นั้นเป็นของที่มีคุณค่ามากกว่า มันก็อยู่ในจุดนั้นเสีย มันถึงติดสมาธิอยู่เป็นเวลาห้าปีสำหรับผมเอง นอนใจ จนพ่อแม่ครูอาจารย์มาขนาบไล่ออกจากสมาธิ มันถึงได้ออกก้าวทางด้านปัญญา พอมันออกมันก็ออกอย่างรุนแรง อย่างรวดเร็ว เพราะสมาธิพร้อมแล้ว สมาธิอิ่มตัว หายเรื่องความหิวโหยกับอารมณ์ต่าง ๆ ไม่อยากคิดอยากปรุง ถือเป็นความรำคาญ มีแต่ความสงบแน่ว ๆ ๆ มันติดนั้นเสีย

ทีนี้พอก้าวออกจากสมาธิ ซึ่งพอตัวแล้วนั้นมันก็รวดเร็วในทางปัญญา ปัญญาก้าวออกพิจารณาอะไร ๆ นี้ มันรู้อย่างรวดอย่างเร็วนี่นะ พอออกทางด้านปัญญามันตื่นเต้นนะที่นี่ ความรู้ทางด้านปัญญาไม่เหมือนสมาธิ สมาธิรู้อันเดียวแน่วอยู่อย่างงั้น แต่ความรู้ทางด้านปัญญามันมีความเฉลียวฉลาดแยบคาย สอดส่อง มองทะลุนั้นมองทะลุนี้ พูดถึงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์สกลกาย พิจารณาอสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนฺตตา มันก็ชัดเจน ๆ เฉพาะอย่างยิ่งอสุภะอสุภังนี้เอาจนกระทั่งถึงชำนาญเต็มเหนี่ยวเลย

การพิจารณาอสุภะอสุภังพิจารณาได้ทั้งกายนอกกายใน กายนอกเช่น สัตว์ บุคคลใด หญิงชายใดก็ตามมาพิจารณาเป็นอสุภะอสุภังได้ กายในก็หมายถึงตัวของเราพิจารณาให้เป็นอสุภะอสุภังแตกกระจัดกระจายลงไปได้ เช่นเดียวกันกับภายนอก เมื่อมันชำนาญเข้าเต็มที่ ๆ แล้วสติปัญญามันรวดเร็ว มองดูคนนี้มันจะเห็นเป็นซากอสภไปเลย พริบตาเดียวเท่านั้นถึงแล้ว ๆ เวลามันชำนาญพอ ในเรื่องอสุภะอสุภัง จนถึงขนาดเกิดความกล้าหาญชาญชัยต่อราคะตัณหา ไม่มีราคะตัณหาตัวใดจะมาแสดงยิบ ๆ แย็บ ๆ ให้เห็นเลย บางครั้งถึงขนาดที่ว่าหมดไปเลย แต่มันสำคัญที่เราไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อ หายเงียบไปเลย ก็เพราะอสุภะเข้าไปเป็นหินทับหญ้าทับมันไว้ ความสวยงามจึงไม่มี

ทีนี้เร่งเข้าไปมากเท่าไรมันก็ยิ่งคล่องตัว ๆ มองเห็นหญิงเห็นชายนี้ขาดสะบั้นไปเลย ๆ นี่เรื่องปัญญาที่พิจารณาด้วยความคล่องแคล่วว่องไวเป็นอย่างนั้น จากนั้นมามันก็ยิ่งเร่งของมัน ทีนี้พิจารณาดูราคะตัณหาอะไรมันก็หมด ไม่มีอะไรเหลือเลย กำหนดอะไรมันก็ไม่มีความกำหนัด มองเห็นหญิงเห็นชายนี้มันเป็น หนึ่ง ให้เป็นโครงกระดูกเป็นทันทีแพล็บเดียวเป็นแล้ว มองดูเห็นเป็นเนื้อเต็มตัวแดงโร่มันก็เป็นให้เห็นชัดเจน พลิกทางไหนเป็นทั้งนั้น เพราะความเชี่ยวชาญของปัญญา หมุนไปทางไหนได้หมดๆ จนกระทั่งราคะไม่ปรากฏ ประหนึ่งว่าหมดไป หือ ไปยังไงหมดทีนี้ราคะ กำหนดยังไงมันก็ไม่มีราคะตัณหา ก็เพราะอสุภะอสุภังทับหัวมันไว้น่ะซิ

จึงต้องได้ทดลอง สำหรับเราเองเป็นอย่างนั้น ต้องได้ทดลอง เพราะจิตมันสิ้นเอาเฉย ๆ ไม่บอกขณะ ไม่บอกเวล่ำเวลาว่าราคะมีหรือไม่มี มันไม่มีเอาเลยปรากฏว่านะ ทำยังไงมันก็ไม่มี เอ้า สมมุติว่าพวกหนุ่มๆ สาวๆ ยืนเป็นตับกันอยู่นี้เดินบุกเข้าไปได้เลย มันจะไม่มีความกำหนัดยินดีในหญิงใด จะเป็นเทวดามามันก็ไม่มี ก็เพราะอสุภะอสุภังเต็มหัวใจอยู่แล้ว มันเอาอสุภะอสุภังออกเป็นโล่บังหน้า เบิกทางไปอย่างสบาย ๆ แล้วจะมีหญิงชายใดที่สวยที่งามพอให้เกิดความกำหนัดยินดี

นี่ละมันถึงได้หมด ไม่แสดง แต่มันไม่หมดจริง ๆ นะ คือมันหมดการแสดงออกเท่านั้นเอง มันสงบตัวของมัน นี่ละการทดสอบเจ้าของได้ทดสอบ เพราะเรานี้ทำยังไงก็ไม่มี  ยังไงก็ไม่มี จึงได้ทดสอบ นี่ผมก็เคยเล่าให้หมู่เพื่อน สอนหมู่เพื่อนฟังวิธีการทดสอบตัวเอง  เอาจนกระทั่งเมื่อมันเป็นอย่างงั้นแล้ว มองดูอะไรมันเป็นอสุภะทั้งนั้น ไม่ว่าหญิงว่าชายแพล็บเดียวนี้ขาดสะบั้นไปเลย ถ้ากำหนดให้พัง พังทันที กำหนดให้เป็นกระดูกก็เป็นกระดูก โครงกระดูกอยู่งั้น กำหนดเป็นยังไงเป็นอย่างงั้น ๆ เพราะความชำนาญของจิต

จากนั้นมามันก็สิ้น สิ้นจริงๆ เหรอ มันไม่มีอะไรเหลือ เราก็ไม่ไว้ใจ ไม่เชื่อ ไม่เอา จึงได้ทดสอบทบทวนใหม่ คราวนี้พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงเรื่องอสุภะอสุภังทั้งหลายที่ว่าไม่สวยไม่งาม ความกำหนัดจึงระงับลงไปในขณะนั้น ทีนี้พลิกใหม่ขึ้นมา พลิกให้มันสวยมันงามเพื่อจะทดสอบดูราคะตัณหาตัวนี้มันจะแสดงขึ้นในขณะใด อยากจะรู้ตัวของมัน  กำหนด เอาทดสอบเอาใหม่ที่นี่ ไอ้ที่ว่าอสุภะอสุภังพลิกหมด เปลี่ยนรูปร่างใหม่ เอาหนังหุ้มห่อเข้าให้เป็นหญิงสวยหญิงงามประหนึ่งว่าเทวดา ทีนี้เอาอันนี้ แต่พอหมุนไปทางอสุภะไม่ได้นะขาดสะบั้นทันที รั้งเอาไว้นะอสุภะไม่ให้ออกมาทำงานเวลานั้น จะให้ตั้งแต่สุภะคือความสวยความงามออกมาทำงานอย่างเดียว

เอ้าเอาให้มันเต็มยศเลยนะ นี่เราสอนนักปฏิบัติเราก็ปฏิบัติมาอย่างนี้ เอาผู้หญิงสวยๆ นั้นน่ะมากอดไว้ตลอดเลย ทำยังไงมันจะกำหนัด หาอุบายวิธีให้มันแสดงให้เห็น เมื่อมันมีแล้วมันจะแสดงออกมา เพราะฉะนั้นจึงทดสอบทุกอย่าง เอาทุกแง่ทุกมุม หาเหตุหาผล พูดจริง ๆ ดูเหมือนได้สามหรือสี่วันนี้ผมก็ลืมแล้ว ในตอนนี้แหละ ทดสอบกันไม่ให้พรากจากกายตัวเองเลยนะ ไปไหนกอดผู้หญิงสวย ๆ ไปด้วยทุกแห่งทุกหน ทำทุกอย่างที่มันจะเกิดความกำหนัดยินดี สมมุติทุกอย่าง แง่ใดที่มันจะเกิดราคะตัณหาเอามาทุกแง่ทุกมุม อยู่นั้นถึงสามวันมันไม่แสดงเลย ๆ จนกระทั่งดูเหมือนจะเป็นวันที่สี่ ที่ผมเทศน์แล้วนั้นนั่นแหละเป็นความแน่นอน

คราวนี้กลายมาเป็นความจำเสื่อมแล้วแหละทีนี้ แล้วพลิกไป ดูเหมือนเป็นวันที่สี่นั่นแหละ พอถึงวันที่สี่กลางคืนประมาณ ๓ ทุ่มนี้ คือให้กอดรัดกันอยู่อย่างงั้น เอาตั้งแต่เรื่องสวย ๆ มาหลอกมันอยู่งั้น เรื่องอสุภะไม่ให้เอาเข้ามา ถ้าเอาเข้ามาไม่ได้มันขาดสะบั้นไปเลยเพราะมันรุนแรง เอาแต่อย่างเดียว พอถึงประมาณสัก ๓ ทุ่มกว่า ๆ หรือไง มันมีลักษณะยิบแย็บ ๆ นี่ละจับได้แล้วนะ นี่มันหมดยังไง คือมันมีอยู่ในความเคลื่อนไหวของจิตนิด ๆ เท่านั้นนะ ไม่ได้แสดงออกมาทางอวัยวะ พอให้เราจับได้ ยิบ ๆ เอ๊ นี่ชอบกล

เรายิ่งทำหนักเข้าหลอกเข้าไปเรื่อย ๆ เพื่อจะทดสอบหาตัวโจรผู้ร้ายที่ันซ่อนอยู่ในความสวยงามนั่นน่ะ มันซ่อนอยู่อย่างลึกลับ ทีนี้มันแสดงออกมายิบแย็บ ๆ เอากำหนดเข้าอีกเสริมเข้าอีก มันก็แสดงออกมาให้เห็นชัดเจน เราจะเอาเพียงความชัดเจน เราไม่เอาให้มากกว่านั้น ให้เห็นชัดเจนว่าราคะนี้ยังไม่สิ้น เอาทดสอบ พอมันแสดงขึ้นมารู้ว่า อ้อ นี่มีจริง ๆ ยังมี ทีนี้เราจะปฏิบัติยังไงนา เพราะทางไม่เคยเดิน เรื่องอสุภะอสุภังเราก็ก้าวเดินมาแล้วมันก็สงบลงไปถึงขนาดนี้ จนประหนึ่งว่าเจ้าของนี่สิ้นราคะตัณหา แต่มันก็ไม่สิ้นอย่างนี้จะว่าไง แล้วนี้จะปฏิบัติยังไง สุดท้ายก็เลยเอาสับปนกันนะ พลิกแพลงเปลี่ยนวาระกัน

เมื่อกำหนดสุภะคือความสวยงามขึ้นมาหลอกจิต ให้มันแสดงตัวราคะตัณหาขึ้นมา เสร็จแล้วก็เอาอสุภะฟัดลงไปขาดสะบั้นไปทันที มันเร็วขนาดนั้นนะ พอจับได้ว่ามันมีเท่านั้น อสุภะฟาดลงไปนี้ทับกันนี้ขาดสะบั้นไปเลย เปลี่ยนกันอยู่อย่างงั้น เปลี่ยนกันอยู่อย่างงั้น เวลามันจะได้หลักได้เกณฑ์ก็สองอย่างนี้ละทำอยู่อย่างนี้ เปลี่ยนแปลงกันไป พลิกไปทางสุภะบ้าง พลิกไปทางอสุภะบ้าง กำหนดดูมัน เรื่องทำลายนี้มันรวดเร็วที่สุดแหละ รั้งเอาไว้ยังไม่ให้ทำลาย เอา ดูกองซากอสุภะ เอา ดูมันเป็นยังไงดูไปดูมา ทีนี้กำหนดเพ่งดู ไม่ทำลาย นี่แหละตอนมันจะได้หลักได้เกณฑ์นะ ให้ฟังนะท่านทั้งหลายให้ฟังเอาไว้

พอถึงขั้นนี้แล้ว เอ้า กำหนดอสุภะตั้งไว้ตรงหน้านั่นเลยทีเดียว ไม่ยอมทำลาย มันจะไปยังไงอสุภะอันนี้ ทำไมมันถึงหลอกกูเอานักหนา ถ้าว่าสุภะมามันก็ไปอีกแบบหนึ่ง หลอกไปอีกแบบหนึ่ง อสุภะมาก็หลอกอีกแบบหนึ่ง คือรูปสวยงามมามันก็หลอกไปอีกแบบหนึ่ง รูปไม่สวยไม่งามมันก็หลอกไปอีกอย่างหนึ่ง ทั้งสองอย่างนี้มันหลอกเรา ต้นเหตุมันมายังไง นี่เหตุที่จะจับได้ เอ้า คราวนี้จะไม่ทำลายมัน แต่กำหนดอสุภะนั่นเอาไว้ ให้มันนั่งเป็นคนตาย พองตัวเน่าให้เห็นอยู่ต่อหน้า เอากำหนดไว้ที่นี่ ไม่ให้มันทำลาย คือไม่ยอมทำลาย ถ้าเราทำลายมันรวดเร็วมากนะผางเดียวเสร็จเลย

นี้ไม่ทำลาย ไอ้ภาพอันนี้มันจะไปยังไงมายังไงเราจะดูมันที่นี่ ทุกอย่างเราก็ทำไปแล้ว มันก็เท่าที่เห็นเท่าที่เป็นมานั้นน่ะ ยังไม่เห็นความคืบหน้าประการใดเลย คราวนี้เราจะดูไอ้ภาพสุภะก็ดี อสุภะก็ดี ที่มันหลอกกันทั้งวันทั้งคืนมันต้นสายปลายเหตุมันมายังไง ว่างั้นนะ เลยตั้งอสุภะนี้ไว้ตรงหน้า เพ่งดู ไม่ทำลายเหมือนอย่างเพ่งกสิณนี่ เอาตั้งไว้นี้มันจะไปไหน เราจะดูตัวนี้มันมายังไงไปยังไงมันถึงได้หลอกเรานักหนา ก็ตั้งไว้กำหนดเพ่ง ไม่ทำลายมันก็ไม่ทำลาย แต่เพ่งดูจดจ่อต่อเนื่องด้วยสติ ดู ๆ แล้วอสุภะนั้นนะค่อยหดตัวเข้ามา หดตัวเข้ามาภายในใจ แล้วค่อยหดเข้ามา ๆ ตามดูตลอด มันจะไปยังไง ดู

แล้วสุดท้ายจิตนี้มันกลืนเอาเสียเอง อสุภะนั้นน่ะจิตนี้กลืนเข้ามาๆ กลืนเข้ามาจนกระทั่งถึงจิต พอเข้าถึงจิตปั๊บเต็มเหนี่ยวแล้วทีนี้มันก็รู้ขึ้นในขณะนั้น อ๋อ ตัวนี้เองตัวหลอกเรา คือจิตเท่านั้นไปเป็นสุภะก็ดี ไปเป็นอสุภะก็ดี เมื่อเวลามันรวมมันก็เข้ามาสู่จิต จิตเป็นตัวหลอกลวง เหล่านั้นสุภะก็ดีอสุภะก็ดีไม่ใช่ราคะ ไม่ใช่ตัณหา ตัวหลอกลวงที่มันกลืนเข้ามานี้เองเป็นราคะเป็นตัณหา มันก็ปล่อยปึ๋งเลยที่นี่ ปล่อยสุภะภายนอก สุภะภายนอกเป็นเครื่องหลอกไปจากจิตใจตัวนี้ พอดึงเข้ามาแล้วก็ตัวนี้เองเป็นอสุภะ ไม่ใช่ตัวไหน ตัวจิตนี้เองเป็นอสุภะ ตัวจิตนี้เองเป็นตัวหลอก สุภะอสุภะข้างนอกไม่ใช่เครื่องหลอก ตัวนี้เป็นหลอกไปวาดภาพหลอกตัวเอง มันก็จับอันนี้ได้มันก็ปล่อยผึงเลย นั่น

ทีนี้ไม่ต้องบอก เอาละที่นี่เข้าใจ นี่สิ้นหรือไม่สิ้นมันก็รู้เองอย่างนี้ ไม่ต้องถามใครเลยนะ พอถึงขั้นจับตัวได้แล้วปล่อยทันที เรื่องเหล่านั้นเป็นเงา ตัวนี้เป็นตัวจริง ตัวนี้เป็นนักโทษ ตัวนี้เป็นราคะขึ้นทันที ๆ ทีนี้ก็กำหนดอีกอย่างนั้นแหละ พอมันได้หลักแล้ว มันขาดจากกันแล้วระหว่างอสุภะกับจิตนี้ จิตไปเป็นเสียเอง ทีนี้มันก็ฝึกซ้อม เอาอันอสุภะนั่นละฝึกซ้อม ตั้งแล้วกำหนด ๆ แล้วกลืนเข้ามา ตั้งเข้าไปกำหนดกลืนเข้ามา กลืนเข้ามา เร็วเข้ามาเรื่อย เร็วเข้ามาเรื่อย กลืนเข้ามาเรื่อย เร็วเข้ามาเรื่อย ปรุงเท่าไรเป็นภาพเท่าไรแล้วจิตนี้กลืนเข้ามา ๆ มาอยู่ในจิต ๆ นี้ นี่เรียกว่าฝึกซ้อมในขั้นนี้ ในขั้นเริ่มแรกเรียกว่าสอบได้ ๕๐% ถ้าไปถึงขั้นอนาคาก็เรียกว่าได้ ๕๐%

จากนั้นเราจะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ให้มีความคล่องแคล่วแกล้วกล้าไปโดยลำดับ ด้วยการฝึกซ้อมโดยทางอสุภะอสุภังเพ่งอยู่งั้น แล้วกลืนเข้ามา กลืนเข้ามา ต่อไปมันก็เร็วเข้ามา เร็วเข้ามา นี่เรียกว่าการฝึกซ้อมธรรมขั้นนี้ให้มีความคล่องแคล่วว่องไว ละเอียดลออ จนกระทั่งมันเร็วเข้าโดยลำดับ พอกำหนดปั๊บนี้กลืนเข้ามาพับหายเงียบ ๆ จนกระทั่งไม่มี อสุภะไม่มีเลย ปรุงพับเป็นอสุภะดับลงที่หัวใจ ดับลงที่หัวใจ นี่คือการฝึกซ้อมธรรมขั้นนี้ให้มีเปอร์เซ็นต์หรือระดับสูงขึ้นไปๆ เบื้องต้นขึ้น ๕๐% ที่เราจับหลักได้นี้ก่อน จากนั้นก็ก้าวไป ๆ ละเอียดเข้าไปๆ สุดท้ายมันก็ว่างหมดเลยจิต ปรุงพับดับพร้อม ๆ ว่างหมด ๆ เลย นี่ละขั้นอนาคามีเต็มภูมิตอนนั้นแหละ ตอนว่างหมด ๆ ๆ

จากนั้นมันก็เข้าถึงอวิชชา อวิชชานี่เป็นขั้นสุดท้ายของอนาคามีจะก้าวเข้าขั้นนั้น พอเข้าถึงอวิชชานี้ก็ดับ พออวิชชาดับพรึบแล้วหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง นี่ผมพูดอย่างย่อ ๆ ให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายฟังวิธีการปฏิบัติกรรมฐาน เรื่องราคะตัณหาอย่าไปเชื่อมันง่าย ๆ ให้จับจุดนี้ไว้ให้ดี แต่อย่าไปคาดไม่ได้นะ ให้มันเป็นเองในหัวใจ ด้วยเหตุนี้เองการสอนหมู่เพื่อนขั้นนี้สอนลำบากมากนะ สอนขั้นที่จะเอาจริงเอาจังเข้าด้ายเข้าเข็ม ก่อนหน้ามันที่จะกลืนเข้ามาเป็นอสุภะภายในใจเสียเองนี้ ต้องเป็นเรื่องของจิตเป็นเอง ถ้าสอนแล้วอย่างนี้มันก็จะไปหมายไว้ก่อนเสีย มันก็ไม่จริงอีกนะ ต้องให้เป็นในตัวเองมันถึงจริง

เพราะฉะนั้นเวลาสอนนี้เราจึงไม่บอกนะ บอกแบบนี้ไม่บอก บอกตั้งแต่ให้จับจุดนั้นไว้ มันจะเคลื่อนไหวไปมาที่ไหน ๆ เราไม่บอก เอ้า ให้จับจุดนี้ไว้ มันจะเคลื่อนไหวไปมาทางไหนก็ช่างหัวมัน ให้เราเห็นในขณะนั้นปัจจุบัน ๆ แล้วมันจะเข้าตัดสินตัวของมันเอง เราพูดได้เท่านั้น จะบอกแบบนี้บอกไม่ได้นะ แล้วผู้ปฏิบัติทั้งหลายจะมาสำคัญมั่นหมายอย่างละเอียดนะ สัญญาตัวสมุทัยอย่างละเอียดมาหลอกไปก่อนล่วงหน้าไปก่อน  ทั้ง ๆ ที่มันไม่สิ้น ทั้ง ๆ ที่มันยังไม่กลืน มันก็มากลืนเอาด้วยความสำคัญมั่นหมายตัวเอง มันก็ไม่เกิดผล ต้องให้เป็นหลักปัจจุบันในปัจจุบัน ๆ เป็นเองในปัจจุบันนั้นเป็นที่แน่ใจตัวเอง การปฏิบัติธรรมต้องเป็นอย่างงั้น

ออกจากนี้แล้วมันก็ฝึกซ้อมของมันไปเรื่อยๆ สติปัญญาอัตโนมัติไปเรื่อย หมุนติ้วๆ จนกระทั่งถึงขั้นอวิชชา ขั้นอวิชชานี้บทเวลามันจะเอาจริง ๆ แล้ว โอ๋ย มันพูดกับใครไม่ได้นะ ถ้าพูดไปผู้ฟังก็หมายอีกล่ะ มันลำบากนะ เพราะฉะนั้นพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านเทศน์นี่พอเข้าถึงนั้นท่านหยุดนะ ท่านไปพูดเอาข้างหน้า เวลามาเป็นในเราแล้วถึงได้รู้ อ๋อ ทำไมท่านถึงหยุด มันเป็นเพราะเหตุนี้เอง ผู้ปฏิบัติจะมีความสำคัญแล้วก็ไม่รู้ตัวเอง เป็นสมุทัยคาดตัวเองไปโดยลำดับ แล้วก็ไม่เกิดผลประโยชน์ มันเป็นความคาดลึก ๆ ลับ ๆ ที่ได้ยินจากครูบาอาจารย์มาแล้วมาคาดอย่างไม่รู้ตัวนะ นี่สัญญาตัวนี้ละเอียดมากทีเดียวจึงไม่สอน เวลาสอนนี่ผมได้ระวัง

ถึงขั้นอวิชชาก็อีกเหมือนกันนั่นแหละ มันไม่ใช่เล่นๆ นะ ให้มันเป็นขึ้นมาเองๆ นั้นมันประจักษ์ๆ เรื่องอวิชชานี้ก็แบบเดียวกัน ถ้าลงไม่เห็นจิตใจนี้ว่าเป็นตัวโทษตัวกรรมเมื่อไรแล้วนั้นแลคืออวิชชา พูดได้เพียงเท่านั้น ทีแรกก็ไปบำรุงรักษาพยายามกันอยู่อย่างงั้น ว่าเป็นของแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ในนั้น ๆ ๆ มันก็ติดอยู่ในนั้น ตัวนั้นคืออวิชชา พอเวลาเอากันจริง ๆ แล้วมันเป็นไฟ มันต้องเป็นโทษขึ้นมาก่อน ไม่เป็นโทษขึ้นมาเสียก่อนไม่เห็นโทษของอวิชชา ละอวิชชาไม่ได้ อวิชชาขาดไปไม่ได้ อันนี้ก็ลำบากเหมือนกัน

ให้ผู้ปฏิบัติทั้งหลายปฏิบัติเอง นี้มันเป็นประจักษ์ ๆ ๆ เป็น สนฺทิฏฺฐิโกไม่ต้องมีใครมาบอก มันเป็นขึ้นมาเอง ยอมรับ ๆ ทุกอย่าง ไม่สงสัย ๆ จึงเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ถึงขั้นอวิชชานี้แล้วเป็นเรื่องที่ โอ๋ย อัศจรรย์มากสำหรับจิตผม ผมพูดจริงๆ  พูดอะไรก็ไม่ถูก พอถึงขั้นอวิชชาดับนี้ประหนึ่งว่าฟ้าดินนี้ถล่มเลยเทียว สะเทือนสะท้านไปหมดเลย มันเป็นอยู่ในจิตนี้นะ ขณะที่อวิชชาขาดสะบั้นลงไปจากจิต จิตตวิมุตติดีดผึงขึ้นมานี้ โถ เหมือนฟ้าดินถล่มสะท้านหวั่นไหวไปหมด ปรากฏนะ

สิ่งทั้งหลายเขาก็มีอยู่งั้น แต่มันเป็นในหัวใจเองนะ ประหนึ่งว่าสิ่งทั้งหลายนั้นก็ไหวไปตามหมด มันรุนแรง ถึงขนาดที่ว่าโอ้โห ๆ ขึ้นมาเลย โอ้โหอย่างนี้เหรอ มันออกอย่างอุทานด้วย อย่างไม่สะทกสะท้าน อย่างไม่สงสัยด้วย เหอ อย่างนี้เหรอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้และเหรอ อย่างนี้และเหรอ นู่นน่ะฟังซิ มันถึงใจว่างั้นเถอะ เกิดมาเราไม่เคยพบเคยเห็นธรรมชาติ เราไม่เคยคาดเคยหมายว่าจะรู้จะเห็นจะเป็นอย่างนี้ขึ้นมา พอฟ้าดินถล่มนั่นละขณะที่อวิชชากับจิตกับวิมุตติมันขาดสะบั้นจากกัน จิตเป็นวิมุตติขึ้นมา

อวิชชาซึ่งเราเคยชมเชยสรรเสริญมันว่าสง่าผ่าเผยละเอียดลออ ความอัศจรรย์ล้นโลกมันกลายเป็นกองขี้ควายขึ้นมา ขณะที่มันขาดลงไปจิตตวิมุตติโผล่ขึ้นมาเท่านั้นแหละ จิตตวิมุตตินี้เป็นอะไรฟังซิ มันถึงได้ต้องไปตำหนิอวิชชาที่ว่าอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย กลายเป็นกองขี้ควายไปได้ มันไม่เหนือกันขนาดนั้นจะมาตำหนิอวิชชาได้หรือ ทั้ง ๆ ที่อวิชชาแต่ก่อนเราก็ชมมัน แล้วก็เราเองเป็นผู้มาตำหนิมันว่าเท่ากับกองขี้ควาย ฟังซิน่ะมันเท่ากับกองขี้ควาย มันเลวขนาดไหน เหลวไหลขนาดไหน หลอกเรามาได้ขนาดไหน พอถึงขั้นไม่หลอกแล้วมันก็สนุกดูกันละซิ นี่ละที่ว่าอัศจรรย์

เวลามันขึ้นมานี้จ้าไปหมดเลย โถ เป็นอย่างนี้ๆ เหรอ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ นู่นน่ะ แล้วพระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ นั่น มันเป็นแล้วนะนั่นน่ะ มันถึงเป็นอย่างนี้ละเหรอๆ แล้วพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น เป็นแล้วเป็นธรรมธาตุล้วน ๆ แล้ว ถ้าว่าน้ำก็เป็นมหาสมุทรเต็มตัวแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับน้ำสายต่าง ๆ ที่จะไหลเข้ามาแหละ เป็นน้ำมหาสมุทรเต็มตัว นี้ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมธาตุก็เป็นเต็มตัวแล้ว พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คือธรรมธาตุเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เท่ากับน้ำมหาสมุทร

เมื่อเป็นเช่นนั้นไปถามพระพุทธเจ้าหาอะไร พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนถามหาอะไร พระธรรม พระสงฆ์ ถามอะไรก็มันเป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นธรรมธาตุล้วน ๆ เท่ากับน้ำมหาสมุทรครอบโลกธาตุ เป็นธรรมธาตุด้วยกันทั้งนั้น แล้วไปถามท่านหาอะไร นี่แหละที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคตเต็มตัว เห็นตรงนี้ ไม่สงสัยที่จะไปทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์เป็นผู้เช่นไร ธรรมชาตินี้แลคือพุทธะ พุทธะแท้หรือพระพุทธเจ้าแท้ ธรรมธาตุแท้คืออันนี้ สำหรับเรือนร่างคือสกลกายนี้มันก็ต้องแปลกต่างกันเป็นธรรมดา เช่นท่านนิพพานเมืองนู้นเมืองนี้อยู่อินเดียนั้นเป็นอย่างหนึ่ง อันนั้นเป็นสังขารร่างกายมันพังลง เป็นส่วนผสมของธาตุขันธ์

ธรรมธาตุท่านเป็นแล้วตั้งแต่วันท่านตรัสรู้นั้น ครองธาตุขันธ์นี้อยู่ พอธาตุขันธ์สลายไปธรรมธาตุนั้นก็เต็มตัว ไม่ต้องมีความรับผิดชอบอะไรอีกเลย นั่นแหละที่ว่าสมมุติขาดไปหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือในจิตของพระอรหันต์ และของธรรมธาตุ นั้นเลย ก็ขณะที่ธาตุขันธ์ดับลงไปพรึบเดียว นั่นละสมมุติหมดโดยประการทั้งปวง ทั่วแดนโลกธาตุไม่มีความหมายอะไรเลย มีแต่ขันธ์เท่านั้นที่ดีดที่ดิ้นสัมผัสสัมพันธ์ให้รับทราบตลอดเวลา เวลาท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านจึงมีความรับผิดชอบในเพียงขันธ์นี้เท่านั้น มีผ่านกันอยู่ตลอดเวลาคือธาตุขันธ์ พอธาตุขันธ์นี้ดับลงไปแล้วก็หมด สมมุตินี้หมดโดยประการทั้งปวง ไม่มีสิ่งใดเหลือหลอเลย นั่นเป็นอย่างนั้น

นี่ละจิตที่มันถึงขั้นเต็มภูมิของมันแล้ว จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร พูดแล้วสาธุขึ้นเลยนะ มันประจักษ์ขนาดนั้นแล้ว ถึงขนาดที่ว่า เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ อย่างนี้ละเหรอ คือมันจัง ๆ แล้วนั่น มันไม่มีอะไรสงสัยกันแล้ว พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้เหรอ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้เหรอ มันก็เป็นอันเดียวกันแล้ว พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น เป็นธรรมธาตุอย่างเดียวกันแล้ว แล้วจะถามใคร นี่ละจิตดวงนี้แหละเวลาถึงขั้นนั้นแล้วหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง

ท่านแสดงไว้ว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ. เสร็จกิจในพระพุทธศาสนา คืองานที่ควรจะบำเพ็ญได้บำเพ็ญสำเร็จเรียบร้อยแล้ว งานอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้อีกไม่มี นั่น นั่นแหละงานพระพุทธศาสนา เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วเรียกว่างานนี้หมดโดยสิ้นเชิง งานละการบำเพ็ญไม่มีอีกเลย ไม่มีอะไรเข้าไปเกี่ยวข้อง ก็มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ความเป็นอยู่ปูวายพากินอยู่หลับนอนเป็นธรรมดา เป็นเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ การที่จะให้เป็นงานละกิเลสเป็นงานต่อไปดังที่เคยเป็นมาแล้วหมดโดยสิ้นเชิงขณะที่กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว

นั่นแหละงานของธรรมมีเวลาสิ้นสุดยุติลงได้ ตั้งแต่ขณะนั้นแล้วไม่ปรากฏว่ามีงานอะไรที่จะให้จิตทำเพื่อละเพื่อถอนอีกต่อไปเลย มันก็ประจักษ์อยู่ในหัวใจ แล้วรู้ประจักษ์อย่างงั้นด้วยว่างานนี้สิ้นเสร็จลงไปแล้ว ครั้นต่อมามันก็เป็นดังปัจจุบันที่เป็นอยู่นั้น ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงที่จะให้เราทำอีกต่อไป นี่การละกิเลสสิ้นสุดลงไปแล้ว ไม่มีอะไรเป็นข้อกังวลต่อไป แต่งานของกิเลสไม่มีสิ้นสุดนะ พาสร้างพาทำเท่าไรได้เท่าไรยิ่งอยากได้อยากมี ยิ่งดีดยิ่งดิ้น ยิ่งมีแต่ความทุกข์ความทรมานเต็มหัวใจๆ เต็มโลกเต็มสงสารเหมือนกันหมด งานของกิเลสในหัวใจสัตว์โลก

โลกมีความมั่งมีศรีสุขมากน้อยเพียงไร อย่าเข้าใจว่าผู้นั้นจะมีความสุขนะ ก็คือพอกพูนงานขึ้นให้ดีดให้ดิ้นต่อไป เป็นน้ำล้นฝั่ง น้ำล้นฝั่งตลอดไป ที่จะพออยู่ในขอบปากแก้วไม่มี นอกจากธรรมอย่างเดียวเท่านั้น ธรรมนี้เมื่อถึงขอบปากแก้วแล้วสิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นหมด ไม่มีงานทำอีกแล้ว พระพุทธเจ้าหมดภาระเรื่องการละกิเลสตั้งแต่ขณะตรัสรู้ พระอรหันต์ทั้งหลายหมดภาระตั้งแต่ขณะที่บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาเท่านั้น หมด ตั้งแต่บัดนั้นมาไม่มีงานใดอีกเลย ก็มีแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ การสงเคราะห์โลกสงสารซึ่งเป็นเรื่องภายนอก ไม่เห็นจำเป็นอะไรกับเรื่องจิตใจที่บริสุทธิ์แล้วอีกต่อไปเลย

นี่ละการปฏิบัติธรรม ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ  มรรค ผล นิพพาน อย่าไปถามหา กิเลสหลอกต่างหาก มันหลอก อกาลิโก ๆ ท่านแสดงแล้ว ธรรมเป็นอกาลิโกไม่เลือกสถานกาลเวลา ใครบำเพ็ญธรรมเมื่อไรธรรมเกิด ใครวิ่งตามกิเลสเท่าไรกิเลสเกิดตลอดเวลา เหมือนกันหมด กิเลสก็เป็นอกาลิโกเหมือนกัน ทำให้เกิดกิเลสเมื่อไรเกิดได้มากน้อยตามผู้ที่ดีดดิ้นไปตามมัน ผู้บำเพ็ญธรรมะมากน้อยก็แล้วแต่กำลังวังชาของผู้นั้นจะทำ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นไปแล้ว เรียกว่าน้ำเต็มแก้วแล้วพอ ไม่ต้องมาทำอะไรอีกต่อไป นี่แหละเรื่องมรรค ผล นิพพาน

ศาสดาองค์เอกคือพระพุทธเจ้าของเราตรัสรู้แล้วไม่มีอะไรสงสัย สอนโลกทั้งหลายนี้สอนมาจากหลักความจริงที่ทรงรู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างเสมอกันหมด ไม่มีอะไรคำว่าด้อย ไม่มีอะไรคำว่าผิดพลาดที่ศาสดาสอนไว้แล้ว ตรงเป๋ง ๆ เลย เพราะฉะนั้นให้ตั้งใจปฏิบัติธรรมตามหลักศาสดา ไม่มีคำว่าโกหก เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ ทุกบททุกบาท ทุกแง่ทุกมุมแห่งธรรมทั้งหลาย ตั้งแต่บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามหลักความเป็นจริงที่มีอยู่ ให้ทุกคนจำไว้นะ

เทศน์ไปเทศน์มามันก็รู้สึกเหนื่อย เหนื่อยไป ๆ อย่างนี้ละการเทศน์ ให้ถือให้เป็นคติตัวอย่างต่อไป ให้พากันไปปฏิบัติ อย่าเห็นโลกสงสารว่าเป็นของเลิศของเลอ มันเลิศเลอตั้งแต่ความสมมุติเสกสรรปั้นยอ แต่ตัวจริงมันไม่ได้เลิศ มันสร้างแต่ความทุกข์ให้สัตว์โลกดีดดิ้นกันตลอดเวลา ก็คือกิเลสนั่นแหละ ธรรมท่านไม่สร้างนะ ท่านอยู่สม่ำเสมอพอดิบพอดีทุกด้านทุกทาง เป็นอย่างนั้นนะ พากันตั้งอกตั้งใจ เอาละการแสดงธรรมก็พอสมควรกับกำลังวังชา ตั้งหน้าตั้งปฏิบัตินะ เอาละพอ

พระใหม่บิณฑบาตก็ไปหน้าวัดนี้ ผู้ที่มีความแข็งแรงด้วยธาตุด้วยขันธ์ก็ไปในหมู่บ้านตามธรรมดา ผู้ที่ไม่ชำนิชำนาญธาตุขันธ์ไม่อำนวยก็ไปบิณฑบาตที่หน้าวัด เต็มอยู่นั้นใส่บาตร การบิณฑบาตนี้ผมตามหลักความจริงทุกวันนี้ผมบิณฑบาตได้ ไม่ใช่ผมบิณฑบาตไม่ได้นะ ผมบิณฑบาตได้ แต่มาทดสอบผลได้ผลเสียนี้ต่างกัน คือเวลาออกบิณฑบาตคนมาใส่บาตรนี้รุม ๆ ๆ สร้างความกังวลต่อเราในเวลาบิณฑบาต จากนั้นก็แค่นี้ไปนี้แล้วก็ก้มก็เงย แล้วก็เทบาตร เทบาตรแล้วก็รับบาตร แล้วก้มเงยๆ มันวิงเวียน นี่อันหนึ่ง แล้วความยุ่งเหยิงกับคนรุม ๆ นี้อันหนึ่งสร้างความกังวลให้จิตใจ แล้วเป็นความหมุนในประสาทอีกด้วยให้เกิดลักษณะหวิวแหววและวิงเวียนนะ ก้มเงยๆ ไม่นานแสดงออกมาแล้ว ดีไม่ดีรับบิณฑบาตไม่สุดสายแหละออกอีกแล้ว เพราะมันกวนมันบอก จากนั้นแล้วล้มตูมนะ อันหนึ่งที่ผมไม่ไปบิณฑบาตเพราะเหตุนี้

อันหนึ่งที่ผมไม่ไป เวลาผมไปเดินจงกรม ผลได้ของธาตุของขันธ์มันได้มากกว่าผมออกบิณฑบาต เวลาเดินจงกรมนี่ไม่มีอะไรมายุ่ง เราพิจารณาของเรา ธาตุขันธ์ก็สะดวกสบายราบรื่น ทางด้านจิตใจพิจารณาอรรถธรรมแง่ใด ๆ มันก็สว่างกระจ่างแจ้ง เพราะเดินจงกรมนี้เราพูดให้ฟังชัด ๆ นี้ เรื่องละกิเลสผมไม่มี มีแต่คิดพิจารณาเรื่องธาตุ เรื่องอรรถเรื่องธรรมลึก ตื้น หยาบ ละเอียดแค่ไหน ๆ พอจะเป็นประโยชน์แก่โลกขนาดไหนมันจะแสดงออกมาในหัวใจ ๆ เท่านั้น สำหรับเรื่องของเจ้าของผมบอกแล้วผมไม่มี อันนี้ก็เคยได้พูดแล้วไม่มีมาได้ ๕๑–๕๒ ปีนี้แล้วนะ ไม่มีก็บอกไม่มี ที่ว่าเราจะหวังประโยชน์อะไรจากการบำเพ็ญนี้อีกต่อไป ไม่มี จึงเรียกว่า วุสิตํ ล่ะซิ พูดให้มันยันอย่างนี้

ธรรมพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างงั้นพูดอย่างงั้นไม่ได้ยังไง กิเลสมันเป็นยังไงก็พูดได้ตามกิเลสล่ะซิ ธรรมเป็นยังไงพูดได้ตามธรรม เวลามันสิ้นสุดของมันแล้วจะให้มันไปไหนอีก มันก็รู้อยู่ชัด ๆ การที่จะทำประโยชน์ให้โลกหนักเบามากน้อยกว้างแคบอะไร มันจะเป็นของมันอยู่ตลอดภายในใจ นี่เวลาเดินจงกรมเราพิจารณาธรรมแง่ใดมุมใดๆ มันจะเป็นของมันเอง นี่ก็ไม่ต้องถามใคร ที่จะรู้ลึก ตื้น หยาบ ละเอียด มันจะเป็นภายในจิต ๆ เป็นอย่างงั้น นี่ละเป็นผลดีกว่าที่ผมออกบิณฑบาต

เพราะฉะนั้นผมถึงเปลี่ยนมาทางเดินจงกรม เพราะทางนี้ได้ผลมากกว่าไปบิณฑบาต ใครจะว่าขี้เกียจผมไม่ได้ขี้เกียจ ผมเคยบิณฑบาตมาตั้งแต่บวชอยู่แล้ว ทำไมมาเปลี่ยนเอาตอนนี้ มาเปลี่ยนตอนพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ แล้วก็มาเกี่ยวกับอรรถกับธรรม ก็เห็นว่าเดินจงกรมนี้มีผลดีกว่าเราไปเดินกับสถานที่ชุลมุนวุ่นวาย เกี่ยวข้องกับผู้กับคนยุ่งเหยิงมาก จากนั้นก็มากวนประสาทของเราให้วิงให้เวียนอะไร ๆ ดีไม่ดีเดินไม่สุดสาย มันหกคะเมนเทนเท่ไปก็ได้ จึงไม่ไปทุกวันนี้ ไม่ใช่ไปไม่ได้นะ ไปได้ มันหากเป็นอย่างที่ว่า

ส่วนเดินจงกรมไม่มีอะไรขัดข้องตลอด เดินจนกระทั่งหมู่เพื่อนมา ได้เวลาพอสมควรหมู่เพื่อนมาแล้วออกจากทางจงกรมก็มาที่นี่ เรื่องจิตอันนี้พูดตรง ๆ เลยว่ามันไม่ได้มีอะไรติดข้องในโลกนี้ มันว่าง โลกธาตุมันว่างไปหมด สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต จะเป็นอะไรก็คือใจดวงนี้เอง มันว่างไปหมด ถ้าเราไม่แย็บ  ๆ ออกไปว่าอันนั้นมีอันนี้มี มันไม่มี มีแต่หัวใจดวงเดียวนี้มันว่างไปหมดโลกธาตุนี่จะว่าอะไร วัตถุสิ่งของอะไรนี้มันไม่ได้เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับจิต จิตมันทะลุไปหมดเลย นี่ท่านจึงว่าจิตว่าง มันว่างอย่างงั้น ให้มันเป็นหัวใจเจ้าของเอง มันก็รู้

จะให้มันไปติดนู้นติดนี้ติดนั้น ภูเขาทั้งลูก หรืออะไร โอ๋ย มันไม่ติดแหละ มันทะลุไปเลย จึงเรียกว่าว่าง ไม่มีอะไรเข้ามาผ่านได้เลย จึงเรียกว่าว่าง ภูเขามาผ่านไม่ว่าง มันไม่มี ภูเขาทั้งลูกก็ไม่มี ดินทั้งแผ่นก็ไม่มี ทะลุไปหมด เรียกว่าว่าง ให้มันเห็นประจักษ์ในหัวใจจะถามใครวะ ใครเชื่อไม่เชื่อไม่ได้สนใจ ธรรมชาตินี้เต็มตัวอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปหาเอาอะไรมาเพิ่มมาเติม มันเต็มหัวใจอยู่แล้ว มันรู้เต็มตัว ๆ ให้หมู่เพื่อนปฏิบัติ งุ่ม ๆ ง่าม ๆ ไม่ได้เรื่องนะภาวนา มันต้องจริงต้องจัง เข็มแข็งจริงจังด้วยนะ ใจลอย ๆ นี้ไม่ได้เรื่องนะภาวนา ต้องมีหลักมีเกณฑ์จริงจังมันถึงได้เหตุได้ผล เหลาะๆ แหละ ๆ ไม่เป็นท่านะ

อะไรจะไปอัศจรรย์เท่าจิตวะ ให้เบิกออกหมดสมมุติไม่มาเกี่ยวข้องแล้ว เหนือสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้วมันไม่มีอะไรติดอะไรข้องนะ มันว่างไปหมดเลย เป็นอย่างงั้นนะจิตใจ ไม่มีใครรู้ล่ะซิพระพุทธเจ้าจึงได้ท้อพระทัย นี่เพียงตัวเท่าหนูนี้มันก็เป็นนะ มันท้อใจที่จะสั่งสอนโลก เพราะธรรมชาตินี้ไม่ได้เหมือนโลก มันเลยเถิด อัศจรรย์ไปทุกด้านทุกทาง เอาทีนี้ก็พากันกราบแล้วก็ไป

 

ชมถ่ายทอดสดภาพและเสียงของหลวงตาทุกวัน ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก