กลัวด้วยความเคารพ
วันที่ 11 มีนาคม 2550 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าศรีไพรวัลย์
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส

ณ วัดป่าศรีไพรวัลย์ ต.บ้านแก้ง อ.นาแก จ.นครพนม

เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ (เช้า)

กลัวด้วยความเคารพ

เมื่อเช้ามีโอกาสว่าจะไปดูถ้ำพระเวส เลยไม่ได้ไปหมดเวลาเสียก่อน ถ้ำพระเวสแถวนี้นะ ( ถ้ำพระเวสจากนี้ไปประมาณ ไม่ถึง ๖ กิโลครับ ถ้ำตาฮดก็ติดกันมาอยู่นั่นละครับ) มันจำไม่ได้ละเดี๋ยวนี้ มันเปลี่ยนแปลงไปหมดทุกอย่าง (จากนี้ไปถ้ำตาฮดก็ประมาณสัก ๓ กิโลเมตรครับ เลยไปถ้ำพระเวสก็ประมาณสัก ๒ กิโลเมตร ใกล้ๆ กัน) ไปถ้ำพระเวสไกลอยู่นะ ถ้ำพระเวสมาหาบ้านแก้ง มาหาถ้ำตาฮดนี่ ไกลอยู่ เพราะเราเคยเที่ยวมาอยู่แถวนี้นะ ทางถ้ำพระเวส ทางถ้ำตาฮดหรืออะไร เรามาพักอยู่แถวนี้ ถ้ำตาฮดนี่ละ ไม่ใช่ถ้ำพระเวส ถ้ำพระเวสไปดูเฉยๆ เขาว่ามันหินปูนหินอะไร เข้ากับธาตุขันธ์ของเราไม่ได้ เราเลยไม่อยู่ เรามาอยู่ถ้ำตาฮด เที่ยวแถวนี้แหละ  ทางบ้านแก้งก็ยังจำไม่ได้ เข้ามานี่จำไม่ได้บ้านแก้ง

พอจากนี้แล้ว เราก็กลับเท่านั้นละ พอเสร็จธุระนี้แล้วเราก็กลับเลย ไม่มีธุระอะไร เทศน์ก็เทศน์แล้ว ไม่เทศน์อีกละเหนื่อย คนมาอะไร เดินลัดเลาะมาแถวนี้ ทางนี้มาไม่ได้เต็มหมด มานี้อ้อมไปโน่น อ้อมมานี่ เข้ามานี้ไม่ได้ คนเต็มหมด ไปเอาแตนมาวางไว้นี่สักสองรังหน่อยน่ะ ไปหาแตนมาให้สักสองรัง มาวางไว้นี่รังหนึ่ง วางไว้นี่ พวกนี้แตกฮือ เราเข้าออกได้สะดวก มีแตนเท่านั้นจะชำระความได้ เอาแตนมาวางไว้นี่รังหนึ่ง วางนั้นรังหนึ่ง มันซัดทางนี้แตกฮือแล้วก็ไปมาได้สะดวก

         พอพูดเรื่องนี้แล้ว เราก็ระลึกได้ถึงเณรหนึ่ง เณรนี้ชื่อน้อย เดี๋ยวนี้มันไปอยู่สหรัฐแล้ว ชื่อน้อย เป็นคู่กันกับท่านอุ่น วัดป่าแก้ว เป็นเณร อะไรเอะอะ นี่มันเวิ้กว้าก มันร้อง แกไม่ค่อยชอบพูด แต่เวลาตื่นอะไร นี่มันตื่นเหลือประมาณ เวิ้กว้ากเลย มันเก่งนัก เราก็เอาไปดัด พาไปเที่ยวในป่า พอดีเป็นปลวก ปลวกนี้ปลวกตัวใหญ่อยู่นะ ไม่ใช่ปลวกเล็กๆ มันเป็นแผ่น ปลวกนี่นะ มันร้องดีนักเณร พาไปในป่า พอไปเจอปลวกเราก็หลีกออกมา แล้วทำท่าดูนั้นดูนี้ ให้มันเถ่อตามเราว่างั้นเถอะ เราเห็นปลวกแล้วเราหลีกนี้ ทางอยู่นี่นะ ปลวกเต็มมันไม่เห็น เราเห็นปลวกแล้ว เราหลีกปลวก ไปยืนอยู่ข้างทาง

นั่นอะไร เราชี้ละที่นี่ มันเดินไปไม่เห็น มันเถ่อกับเราไป มองไปตามเรา เดี๋ยวเสียงมันเวิ้กว้ากเลย อะไร ปลวกๆ นั่นละมันเซ่อนัก ดัดสักทีหนึ่ง เอาไปดัดเฉยๆ นี่แหละ ไปเจอปลวก พอปลวกซัดเข้านี้ เสียงร้องเวิ้กว้าก ธรรมดามันไม่ค่อยชอบพูด แต่เรื่องตื่นเต้นมันเวิ้กว้ากละเณรนี่ เอาเสียเสียงเวิ้กว้ากๆ ไปเลย

เมื่อเช้านี้คิดว่าจะไปดูถ้ำตาฮด ไปทางนี้ ไม่มีเวลาก็เลยไม่ไป มาคราวนี้ไม่ได้ดูอะไร มาเฉพาะงานนี้เท่านั้นเราก็กลับ ถ้ามีโอกาสจะไปดูนั้นดูนี้ ทำเลที่เราเคยเที่ยว มาคราวนี้เลยไม่ได้ไป ต้นจิกต้นรังหลายอยู่แถวนี้ นี่ป่าจิก ไม้เต็งไม้เนื้อแข็ง ทำต้นเสาแต่ก่อนไม้เต็งไม้รัง เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่เฉพาะที่สงวน นอกนั้นไม่มีเหลือ หมดเลย เดี๋ยวนี้จำทิศจำทางไม่ได้แล้วมาคราวนี้ ที่มาแต่ก่อนๆ จำไม่ได้เลย บ้านแก้งทางนี้ นี่ก็มาวัดทางนี้แล้ว ที่ว่าเป็นถ้ำตาฮด ถ้ำพระเวส ไปทางนั้นหรือ  (ครับผม ทางด้านนี้ล่ะครับ) เออ จำไม่ได้

เพราะแต่ก่อนเรามาเที่ยวอยู่ทางนี้ ทางถ้ำตาฮดถ้ำอะไร จึงได้จำได้ผู้เฒ่าคนหนึ่ง แต่ก่อนก็จำชื่อได้ สนิทกันนี่นะ ผู้เฒ่าคนนั้นแกหัวล้าน คนในเขตอำเภอนาแกนี้ มีคนหัวล้านคนเดียวเก่งกว่าเพื่อน ดูเหมือนไม่มีผมสักเส้น ล้านๆ หมดเลยจริงๆ เราก็จำชื่อแกไม่ได้ พอมาถึงบ้านนี้ เออ คนแก่คนนั้น เขาก็จำกันได้ทั้งบ้าน เพราะในบ้านนี้มีคนหัวล้านคนเดียว คนนั้นชื่อแกเราจำไม่ได้ สนิทสนมกับเราตอนเรามาพักอยู่นี่ แกหัวล้านๆ นั่นน่ะ เขาก็รู้ทันที เอ้อ หัวล้านๆ นั่นน่ะ ชื่อว่ากองหรืออะไร  (ชื่อตากองครับ) เอ้อ นั่นแหละ ตายแล้วว่างั้น ว่าเฒ่าตายแล้ว ใครรู้กันทั้งบ้าน เพราะมีคนหัวล้านคนเดียว ไม่มีใครสู้แกได้แถวนี้

คนหัวล้านนี่เก่ง ในเขตอำเภอนาแกนี้มีคนเดียว เอาไปที่ไหนตกเวทีหมดเลย คือสู้แกไม่ได้ แกหัวล้านจนข้างหลังก็ไม่มีผม ล้านหมดเลย เราจำชื่อแกไม่ได้ แต่สนิทสนมกัน เพราะแกเป็นคนดูแลพระกรรมฐานทางนี้ พอถามชื่อแกที่คนหัวล้านนั่นน่ะ เขาจำได้ทั้งบ้านเลย หัวล้านชื่อว่าไง ชื่อกองว่างั้นนะ ( กอง แก่นงามครับ นามสกุล แก่นงาม) แกตายแล้วนะ (ตายแล้วครับ) เราอยู่ที่บ้านตาด แกยังเอารางจืดรางจีดอะไร (รางจืดแถวนี้มีเยอะอยู่ครับ ยังพอได้อยู่ทางนี้) ทางนี้มีอยู่ ทางโน้นก็มี ไม่เอาละ ไม่เอา

พูดถึงเรื่องแกเอารางจืดไปให้เราที่วัดป่าบ้านตาด ตาหัวล้านนั่นน่ะ สนิทกันแต่จำชื่อไม่ได้ มันนานแล้วจำชื่อไม่ได้ นี่แกเสียแล้วนะ (ครับ) เรามาเที่ยวแถวนี้รู้หมด มาเที่ยวแถวนี้ในป่า พวกถ้ำตาฮด ถ้ำพระเวส แถวนี้ไปหมด เที่ยวกรรมฐาน มาคราวนี้จำไม่ได้เลย มันเปลี่ยนแปลงหมด จำไม่ได้ ที่ไหนๆ ก็เปลี่ยนแปลงหมด เป็นบ้านเป็นเรือน เป็นไร่ เป็นนาไปหมด อย่างในป่าเขาลึกๆ นี่ แต่ก่อนไม่มีบ้านคนเลย มีแต่ป่ารกชัฏๆ  เดี๋ยวนี้เป็นบ้านเป็นสวนไปหมด เปลี่ยนแปลงหมดเลย จำไม่ได้

ออกจากนี้เราก็กลับไปเลยไม่แวะที่ไหน  (ขึ้นไปเที่ยวที่ถ้ำ) โอ๊ย ไม่ไปละ ถ้ำไม่ไป ไกล ไปก็จะแห่กันไปไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เอ้า จริงๆ นะ พอเราเคลื่อนนี้ มันแห่ไปหมดศาลานี่ จะว่ายังไง อย่าว่าแต่คนมาตามเรา พวกนี้ก็จะแห่ตามอยู่ เลยไม่ได้เรื่อง (ต้องเอาแตนมาวางไว้เหมือนหลวงตาว่า) แตนวางไว้ที่นี่ เขาก็รอบทางนี้ เขาก็ไปทางนู้นอีกอยู่นั่นละ ไปไหนไม่ได้ทุกวันนี้ เคลื่อนไปไหนแตกฮือๆ ตามเลย ไม่สะดวกที่จะไปมาที่ไหน จึงว่ามันขัดกันกับนิสัยของเรา

คือนิสัยของเราไปคนเดียวตลอด ไม่เคยเกี่ยวกับใคร แล้วพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็ส่งเสริมเสียด้วย เราไปเที่ยวธุดงคกรรมฐาน เราจะไม่เอาใครไปด้วยเลย ไปองค์เดียวๆ ที่มาเหล่านี้มาองค์เดียวทั้งนั้นแหละ มาองค์เดียว เที่ยวองค์เดียว ไปเรื่อยๆ เลย นั่นละนิสัยเดิมเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่ออกกรรมฐานแล้วก็ไปองค์เดียวๆ ตลอดเลย ไปที่ไหนก็ตามไปองค์เดียวๆ ทีนี้ต่อมานี้มันเป็นกรรมฐานอะไรก็ไม่ทราบ ไปไหนนี้แน่นไปเลยแหละเดี๋ยวนี้ พอเคลื่อนอย่างไปถ้ำพระเวสนี่ จะยกไปหมดอำเภอนั่นละ มันเป็นเดี๋ยวนี้น่ะ ไม่เหมือนแต่ก่อน

แต่ก่อนจะไปไหนปั๊บๆๆ นี่เป็นนิสัยเดิม นิสัยเดิมเป็นอย่างนั้น ไปเที่ยวกรรมฐานเราไปแต่องค์เดียว ไม่เคยเอาใครไปด้วย แล้วพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็เสริมด้วย แล้วองค์อื่นก็เห็นอยู่ประจักษ์นะล่ะ เวลามีใครไปลาท่าน บางที ๒ องค์บ้าง ๓ องค์บ้างไปลาท่านจะไปเที่ยว พอไปลาท่านไปเที่ยว หือ จะไปไหน ตั้งแต่อยู่ในวัดมันก็ตกนรกอยู่ตลอดเวลาให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา แล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะ แสดงว่าท่านไม่ให้ไป ท่านไม่แน่ใจ มันอยู่ในวัดนี้ มันก็ตกนรกให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา แล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะ พอว่าอย่างนั้นใครจะกล้าไป ไม่ไป

แต่สำหรับเราไม่เคยมี พอว่าไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันที เอ้าท่านมหาไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่าน แน่ะ เป็นอย่างนั้นละเรา นิสัยเราจึงไปองค์เดียวตลอด แล้วท่านก็เห็นความจริงจังของเราด้วย กลับมานี้มีแต่หนังห่อกระดูก นี่ละท่านเห็นอันนี้ พอออกจากท่านไปแล้ว ป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ อยากกินก็กิน ไม่อยากกินกี่วันไม่สนใจ ภาวนากลับมานี้เป็นหนังห่อกระดูกมา บางทีเหลืองหมดทั้งตัวก็มี มันจะเป็นดีซ่านหรือไง คือเหลืองหมดตัวเลย พอมากราบท่าน ท่านร้องโก้กเลย เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ ท่านว่า เราก็นิ่ง เพราะอันหนึ่งนก อันหนึ่งเหยี่ยว ท่านจะออกแง่ไหนอีก

พอไปกราบท่าน ท่านคงจะตกตะลึง เพราะมันเหลืองหมดตัวเลย ลงมาจากภูเขา มันคงจะดีซ่านท่า พอมากราบท่าน หนังห่อกระดูกลงมา แล้วเหลืองหมดตัวด้วย พอกราบลง เฮ้ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ เราก็นิ่งคอยฟังท่านจะออกแง่ไหนอีก สักเดี๋ยวสรุปลงว่า อย่างนี้จึงเรียกว่านักรบนั่นเห็นไหมล่ะ ถ้าไม่ว่าอย่างนั้น กลัวเราจะอ่อนเปียก เรียกว่านักรบแล้วปลุกใจขึ้นเลย เป็นอย่างนั้นแหละ พ่อแม่ครูจารย์มั่น

เพราะฉะนั้นเราไปที่ไหน การไปองค์เดียวนี่ท่านพอใจทุกที กับองค์อื่นไม่ได้ ไป ๒ องค์ก็ดี ๓ องค์ก็ดี ถ้าท่านไม่เห็นด้วยแล้ว เหอ ตั้งแต่อยู่ในวัดมันก็ตกนรกให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาแล้ว ออกจากวัดนี้แล้วมันจะไปตกหลุมไหนล่ะ นั่น แสดงว่าท่านไม่ให้ไป สำหรับเราไม่เคย ว่าไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นทันทีว่า ท่านมหาไปองค์เดียว ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ นั่น ท่านเห็นความตั้งใจของเรา ประการสำคัญก็คือ เราก็เรียนมาแล้วนี่ จนเป็นมหาว่างั้นเถอะ ท่านพอใจในการไปเที่ยวคนเดียวของเรา เราจึงไปแต่คนเดียว เที่ยวกรรมฐานคนเดียวทั้งนั้นเลยเชียว

ไม่ไปกับใครคือมันไม่เด็ด ไปกับหมู่กับเพื่อนมันเป็นน้ำไหลบ่า ไป ๒ องค์ก็ไหลบ่าทางนี้ ๓ องค์ไหลบ่าทางนี้ ความรับผิดชอบกันว่าไง หากเป็นอยู่ในหลักธรรมชาตินั่นแหละ คนเราไปด้วยกันไม่รับผิดชอบกัน มันจะมีอะไร ก็ต้องรับผิดชอบกัน ทีนี้เวลาไปกับเพื่อนฝูงมันก็เป็นน้ำไหลบ่า รับผิดชอบกันอยู่ลึกๆ นั่นแหละ สมมุติว่าเราจะอดอาหารไม่ฉัน ถ้าเราอด องค์อื่นก็จะอดตามแล้ว เอ๊ะ บางทีท่านไม่อยากอด แต่เห็นเราอดนี้ เกรงใจกันท่านก็ต้องอดตาม อย่างนี้ละมันไม่สะดวก ถ้าเราไปคนเดียวเราไม่สนใจ ป่าช้าอยู่กับเราเท่านั้นพอ จะอดก็อด จะกินกี่วันไม่กินกี่วันแล้วแต่ สบายไปเลย เป็นความสะดวก เราจึงไปแต่คนเดียวๆ

แล้วท่านก็เสริมตลอดนะ พ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่เคยคัดค้าน เช่นอย่างไปองค์เดียว เอ้อ ขึ้นเลย ท่านมหาไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่าน ถ้าองค์อื่นไป มี ๒ องค์บางที ๓ องค์ ลาท่านจะไป หือ ตั้งแต่อยู่ในวัดนี้มันก็ตกนรกให้เห็นอยู่นี่น่ะ ต่อหน้าต่อตานี่ แล้วมันจะไปตกหลุมไหนอีกล่ะ ออกจากวัดนี้แล้ว แล้วใครจะกล้าไปเมื่อท่านพูดอย่างนั้น สำหรับเราท่านไม่เคยว่า มีแต่ เอา ไปเลย ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านไปองค์เดียว เพราะมาทีไรท่านก็ดู ดูสภาพของเราก็รู้ อยู่ในวัดท่านก็รู้ เป็นยังไงกิริยาท่าทาง ความตั้งอกตั้งใจเอาจริงเอาจังหรือเหลาะแหละโยกเยกคลอนแคลนอะไร ท่านก็ดูหมดแล้วนี่ อยู่กับท่านก็ดี เวลาออกไปท่านก็รู้นิสัยแล้วว่าจริงจังก็ปล่อยเลย

ใครจะไปฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าพ่อแม่ครูจารย์มั่น นักปราชญ์ จอมปราชญ์สมัยปัจจุบันคือพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี่เรียกว่าจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน  ดูแพล็บๆ รู้หมดเลย ทันทีๆ ท่านฉลาดแหลมคมทั้งภายนอกภายใน ท่านดูคนท่านไม่ดูยาก ถ้าท่านพูดอะไร มันไม่ผิด เพราะท่านดูทั้งภายในภายนอก ดูหมดแล้ว ก็ดีอย่างหนึ่งนะ ไปอยู่กับท่าน ก็ไม่เคยได้ถูกต้องติ เพราะเราตั้งท่าตลอดเวลา หมดภูมิเลยว่างั้นเถอะ ความรู้ความฉลาดขนาดไหน เรียกว่าเต็มภูมิเรา ถวายตัวต่อท่านเลย ท่านจะสับจะเขกอะไรก็แล้วแต่ คือมอบท่านหมด แต่ท่านก็ไม่เห็นว่าอะไร เพราะเราทำกับท่านด้วยความตั้งอกตั้งใจเทิดทูน เคารพเลื่อมใสสุดยอดการปฏิบัติต่อท่านจึงสุดยอดเหมือนกัน

เพราะฉะนั้นเวลาเราเห็นพระเณรมาเก้งๆ ก้างๆ อยู่ในวัดเรา สมมุติว่าดูนี่ ก็หลับตาดูเอา เวลาจะฟังก็ต้องปิดหูฟังเอา ถ้าเปิดหูฟังมันจะโดนตั้งแต่สิ่งที่ไม่เป็นท่า ตาดูมันก็จะขวางตา คือดูมันขวางตาละ มันเก้งๆ ก้างๆ ให้เห็นอยู่นั้นนะ คนฉลาดดูคนโง่ ดูง่ายนิดเดียว แต่คนโง่ดูคนฉลาดดูจนวันตายก็ไม่รู้ เข้าใจไหม นี่หลวงปู่มั่นเป็นจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคม ดูสัตว์โลกดูคนทั้งหลายดูง่ายนิดเดียว แพล็บดูรู้แล้วนั่น คนโง่ดูท่านจะไปดูออกได้ยังไง แต่ท่านดูคนโง่ ดูง่าย เป็นอย่างนั้นนะ

มาก็มาถึงวาระเรา ที่เราเคยปฏิบัติต่อครูบาอาจารย์มา กับดูพระเณรในวัด แล้วประกอบกับว่าเราไม่ค่อยเกี่ยวกับใครนิสัยเรา ไม่ค่อยให้ใครมายุ่งในกุฏิ อยู่ในวัดเราเราอยู่คนเดียวนี่เป็นปรกติ เราสบายในความอยู่คนเดียวของเรา ไม่ว่าเวลาไหน เราอยู่คนเดียวเราสบาย พระเณรก็เลยตายใจ นอนใจ เลยลืมข้อวัตรปฏิบัติไป ทีนี้ก็เลยเก้งๆ ก้างๆ ซิพระเณร เพราะเราไม่สนใจกับใคร เวลาเราอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์เตรียมพร้อมตลอดเลยนะ ไม่อย่างนั้นไม่ได้ จอมปราชญ์ว่างั้นเถอะ เราต้องเตรียมตัวของเรา ถึงจะโง่ขนาดไหนก็ฟิตตัวให้มันฉลาด มันไม่ฉลาดก็ฟิตให้มันฉลาดอยู่อย่างนั้น จนตายจากกันไป ท่านจากไปแล้ว ยังเหลือแต่เราจอมโง่ อย่างนั้นละจอมปราชญ์ท่าน

เวลามาอยู่ในวัดเรา ประกอบกับว่าเราไม่สนใจกับพระ เราต้องการอยู่คนเดียวเรา ทีนี้พระเณรก็เลยนอนใจ มองไปที่ไหนเก้งๆ ก้างๆ ให้เห็น หลับตาดูเอา หลับตาดู ปิดหูฟังเอา เฉย อย่างนั้นอยู่ได้ คือถ้าเป็นอย่างนั้น อยู่คนเดียวเสียดีกว่าอย่าให้เห็นๆ อย่าให้ได้ยิน แต่นี้มันก็เต็มวัดจะให้ว่าไง มันก็จำเป็นต้องหลับตาดู ปิดหูฟังเอาอย่างนั้นแหละ มันต่างกันนะ

พ่อแม่ครูจารย์มั่น โห จอมปราชญ์ เข้าไปเกี่ยวข้องกับท่านนี่ เช่นอย่างอยู่หนองผือ เราต้องคอยกำกับตลอดเวลา จะเข้าหาท่านเข้าออกๆ นี่ มันก็ไปเก้งๆ ก้างๆ ให้ท่านเห็นน่ะซิ ขวางหูขวางตาท่าน เราเป็นผู้ที่คอยดูแลอยู่นั้น เราก็คอยแนะพระแนะเณร ที่จะเข้าเกี่ยวข้องกับท่าน เราคอยแนะอยู่เสมอ ไม่งั้นก็ไปขวางตาท่านจนได้ นั่นละจอมปราชญ์กับคนโง่กับจอมโง่อยู่ด้วยกัน มันผิดกันมากนะ ท่านเป็นจอมปราชญ์ พวกเราเป็นจอมโง่ มันขวางท่านตลอดเวลา นอกจากท่านไม่ดู เราก็ฟิตของเราเต็มกำลังความสามารถเหมือนกัน

จะเห็นได้เวลาเราจะลาท่านไปเที่ยว ดูอาการท่านไม่อยากให้ไป เราก็รู้นะ การไปไม่ใช่ว่าจะลาไปเฉยๆ นะ ต้องมีอุบายวิธีการต่างๆ เลียบๆ เคียงๆ จนกว่าจะเห็นสมควรแก่การกราบเรียนเรื่องการไปการอยู่ เราถึงจะกราบเรียนท่านได้ เมื่อถามเรื่องราวอะไรไม่มีแล้ว ถ้าหากว่าไม่มีธุระอะไรในวัด ก็อยากจะกราบลาครูบาอาจารย์ไปเที่ยวภาวนาสักระยะหนึ่ง แน่ะ ไม่ได้ว่าไปเลยนะ ไปประกอบความพากเพียรสักระยะหนึ่ง ท่านก็มองเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเราคือการภาวนา ยิ่งกว่าประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องดูพระเณรในวัด คือดูพระเณรในวัด ท่านเบาใจ ถ้าเราอยู่ที่นั่น คอยสอดคอยส่องดูแลพระเณร ใครเก้งๆ ก้างๆ ไม่ได้ เอาจริงนะเรา ทุกอย่างเอาจริงมากทีเดียว

เพราะฉะนั้นพระเณรจึงกลัวมาก อยู่หนองผือนี้กลัวท่านเป็นอันดับหนึ่ง กลัวเราเป็นองค์ที่สอง  ครั้นสุดท้ายก็มากลัวเราเป็นองค์ที่หนึ่ง เพราะเรากับพระเณรในวัดมันเอากันเรื่อยนี่ ท่านอยู่บนกุฏินานๆ จะเจอทีนึงใช่ไหม เรากับพระกับเณรมันเอากับเรื่อยโดนกันเรื่อย ทีนี้พระเณรก็ต้องกลัวละซิ ใช่ไหม สุดท้ายมากลัวเราเป็นอันดับหนึ่ง แต่กลัวด้วยความเคารพนะ ไม่ได้กลัวด้วยความเกลียดความชังอะไร กลัวด้วยความเคารพ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง เราทำด้วยความเป็นธรรมล้วนๆ  

สิ่งของมาแจกนี้เราไม่เอา ไม่เอาอะไรทั้งนั้น เขาถวายผ้าป่าบังสุกุลมา กองพะเนินเทินทึกเราไม่แตะ เราไม่เอา เพราะเรามีผ้า ๓ ผืน สบง จีวร สังฆาฏิ กับผ้าอาบน้ำเท่านั้นพอ นอกนั้นไม่เอา เราทำอย่างนั้นของเรา เขาแจกอะไร เราจึงไม่เอา บางทีท่านขนของ ครั้นเวลาเราไปแล้วท่านหากถามทีหลัง เวลาเขาเอาของมาบังสุกุลมากๆ สั่งให้ท่านมหาจัดแจกพระเณรนี้ท่านเอาอะไรบ้างไหม ท่านสอบถามพระเณรตอนที่เราไม่อยู่ เวลาเราไปเที่ยว บอกว่าท่านไม่เอาอะไร ท่านนิ่งนะ ทีไรก็เป็นอย่างนั้นหลายครั้งหลายหน

ท่านมหาท่านก็เป็นพระ ไอ้เรามันเป็นหมาหรือเป็นอะไร จึงไม่ดูท่านให้ละเอียดลออ ขึ้นแล้วนะนั่น คราวหลังได้ผ้ามานี้ เอาไปกองไว้ในห้องท่าน เป็นอย่างนั้นนะพ่อแม่ครูจารย์ปฏิบัติต่อเรา คือของที่เขาเอามาบังสุกุลมากน้อย ของนี้ไม่ให้แจกไปไหนเลย เอ้า เอาเข้าห้องท่าน เต็มห้องเลย พวกผ้าพวกผ่อนพวกอะไรเขามาบังสุกุลถวาย เพราะเห็นว่าเราไม่เอาๆ ถามทีไรว่า ท่านมหาเอาอะไรไหมล่ะ ไม่เอา ท่านก็เก็บความรู้สึกนี้ไว้แล้ว ต่อไปท่านก็แสดงออก ของที่ได้มามากน้อย เอ้า ขนเข้ากุฏิ กุฏิท่านแน่นหมด ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีอะไรนะ จนแน่นหมด ให้ท่านมหามาเลือกเสียก่อน ท่านมหาไปเที่ยวเวลานี้ กลับมานี้ยกออกมาให้ท่านมหาคัดเลือกก่อน ท่านมหาต้องการอะไรแล้วค่อยเอา จากนั้นค่อยโละ ท่านว่า โละออก

มาเราก็ไม่เอาอะไร ก็เราไม่เอานี่ เราเอาเท่านี้ละ พอเสร็จแล้วท่านก็โละเลยๆ ท่านทำอย่างนั้นละกับเรา เอามาเต็มห้องเลย ของเขามาบังสุกุลเท่าไรๆ ท่านสั่งให้เราจัดแจกพระเณร เราแจก แต่เราไม่เอาอะไร ไม่เอาอะไรเรื่อย ท่านถามแล้วถามเล่า จนจับได้ ทีนี้ท่านขนของเหล่านี้ที่เขามาบังสุกุลไปไว้ในห้องท่านเต็มห้องเลย พอเราไป เอ้า จะเอาผืนไหน ว่าอย่างนั้นละ  ให้พระเณรขนออกมากองพะเนินเทินทึก ในกลางกุฏิท่านบนข้างบน โอ๊ย กระผมไม่เอาอะไรละ พอเสร็จแล้วท่านก็โละ ไม่เอาไว้เลย โละๆ

ท่านหาความจริงว่า เราไม่เอาอะไรเพราะเกรงใจหมู่เพื่อน หรือเราไม่เอาเพราะเป็นนิสัยของเรา ท่านก็จับให้ทราบตรงนี้ ทีนี้เราเป็นนิสัยของเรา เราไม่เอาอะไร  เอาอะไรให้ไม่เอาทั้งนั้นผ้า ๓ ผืนพอ อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์เป็นอย่างนั้นละ เพราะฉะนั้นเวลาเราจะไปเที่ยวที่ไหน ลักษณะท่านไม่อยากให้ไปนะ แต่ท่านเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเรา คือการภาวนาเป็นเรื่องใหญ่ พอกราบเรียนท่านเกี่ยวกับเรื่องไปเที่ยวบ้างนี้ ท่านนิ่งนะ เงียบเลย ทีนี้เราจะพูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้ จนกว่าท่านจะเปิดเงื่อนออกมา ได้โอกาสแล้วก็ จะนานเท่าไรก็แล้วแต่ท่าน เอ้อ ที่ว่าท่านมหาอยากไปเที่ยวนั่น ไปได้ละ ท่านเปิดแล้วนะนั่น

ถ้าท่านไม่เปิดเราเพียงกราบเรียนว่าจะไปเที่ยวก็ต้องปิดเลย ไม่ต่อ ทีนี้ท่านเปิดให้แล้วจะนานวันเท่าไรก็ตาม เอ้อ ที่ท่านมหาว่าอยากลาไปเที่ยวนั้น ทีนี้ไปได้ละท่านว่า พอมีเงื่อนแล้วที่นี่ แล้วก็ต่อเงื่อนกันไป ท่านก็ถามจะไปทางไหนๆ เราก็กราบเรียนท่าน ทีนี้ไปได้ นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ลาแล้วไป ลาไป โอ๊ย เราทำไม่ได้ กับจอมปราชญ์ทำได้อย่างไร ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบตลอดเวลา นี่ละจอมปราชญ์สมัยปัจจุบันคือพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี้ เวลาไปอยู่กับท่าน เราจะใช้แบบหัวชนๆ ได้ยังไง ต้องได้ใช้หัวคิดปัญญาซิ ไม่หัวคิดปัญญาไม่ได้ เรายกให้เลยจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน

ก็มีเท่านั้นละ ไม่พูดอะไรมาก ทีนี้ก็จะลาพี่น้องทั้งหลาย หลังจากจังหันนี้แล้วก็กลับวัดเลย ไม่แวะที่ไหนอีก วันนี้ไม่แวะ เหนื่อย เหนื่อยมาก เมื่อวานนี้มา มาก็เทศน์แล้ว จนกระทั่งป่านนี้เหนื่อยตลอด คิดดูว่าจะไปดูถ้ำพระเวสเลยไม่ได้ไป เมื่อเช้านี้ก็คิดว่าจะไปตอนเช้าก่อนจังหัน ก็เลยไม่มีเวลาไป เลยไม่ไป

พูดท้ายเทศน์

(เมื่อวานนี้ฟังธรรมพระหลวงตาเสร็จแล้วก็ไปกราบที่พระธาตุพนมเจ้าค่ะ) โห เมื่อวานนี้เหรอ โธ่ มันเก่งกว่าอาจารย์อีกของเล่นเมื่อไร ไปธาตุพนม นี่ยังนอนเอกเขนกอยู่ มันจะตาย พอเทศน์จบแล้วลงไปแผ่สองสลึง นี่ฟาดไปถึงธาตุพนมนะ โธ่ เก่งมาก (เคยอ่านหนังสือประวัติของหลวงปู่ชอบเจ้าค่ะ) แล้วอ่านว่าไง (หลวงปู่ชอบ ตอนท่านในสมัยอดีต ท่านเป็นชาวลาวเจ้าค่ะ แล้วท่านก็เอาผ้ามาตั้งจิตที่พระธาตุนครพนมเจ้าค่ะ) เอาอะไรมาตั้ง (ผ้าผืนนึงเจ้าค่ะ แล้วก็มาขอให้ชาติต่อมาได้บวชเจ้าค่ะ แล้วก็ให้ได้สำเร็จ)  อ๋อ ให้ท่านบวช แล้วท่านก็เลยบวช (ชาติต่อมาได้บวช แต่เพื่อนอีกคนหนึ่งไม่ได้ตั้งจิตก็เลยมาเกิดเป็นนายพราน) เกิดเป็นนายพราน ท่านอาจารย์ชอบท่านสำคัญอยู่นะ เอาละเท่านั้นล่ะ พูดมากเดี๋ยวจะไม่ได้กลับ เราพูดเรายังห่วงบ้านเราอยู่

         อาจารย์ชอบนี้รู้สึกจะถูกกันกับเสือนะ นิสัยท่านกับเสือถูกกัน ท่านอาจารย์ชอบเอากันบ่อยกับเสือ เจอเสือเจอบ่อย แต่เสือก็ไม่เห็นมีอะไรกับท่าน บางทีท่านเดินจงกรมอยู่ มันก็ร้องโว้กๆ ขึ้นไปบนถ้ำ ท่านก็เดินจงกรมอยู่ตอนเช้าท่านว่า มันร้องขึ้นไปๆ มันจะขึ้นมาอะไรที่นี่เสือตัวนี้คอยดู มันก็ร้องขึ้นไปๆ ร้องขึ้นไปถึงทางจงกรมเลยนะ ตอนเช้าแท้ๆ ท่านก็เดินจงกรมอยู่ ท่านไม่เห็นหนีไปไหน พอขึ้นไปเห็นท่าน มันก็มานั่งดูท่าน มึงมาอะไรล่ะ นี่กูเดินจงกรม มึงเดินจงกรมไม่เป็น มึงขึ้นมาหาอะไร กูถึงเวลาบิณฑบาตแล้วนะ มึงจะไปก็ไป มันก็นั่งดูอยู่ พอไล่มันไม่ไป ท่านจับจีวรเวิกนี่ ไป โก้กทีเดียว ไปเลย

กลัวว่ามันจะทำไม่ซื่อท่านว่างั้นนะ ออกจากนี้เราลงไปบิณฑบาตเดี๋ยวมันจะมาดักอยู่ข้างทาง ตาต้องได้ดูตามสองข้างทาง ไปหายเงียบ มันลงไปแล้วมันไปเลยนะ อาจารย์ชอบกับเสือนี้ถูกกันมาก บ่อยเสือขึ้นไปหาท่าน เป็นลักษณะนั้นละ

         อย่างหลวงปู่ขาวนี่เป็นช้าง ส่วนท่านอาจารย์ชอบนี่เป็นเสือ นิสัยถูกกัน เจอบ่อยกับเสือ ท่านอาจารย์ชอบ ไม่มีอะไรกันนะ เจอก็ไม่มีอะไรกัน แต่มักจะเจอบ่อยๆ กับเสือท่านอาจารย์ชอบ ท่านอาจารย์ขาวนี่พวกช้าง เดินจงกรมอยู่ ช้างป่ามันมา ตัวใหญ่ช้างโทนตัวเดียว กึ้กๆ มายืนเฉยๆ ข้างทางจงกรม ท่านก็เดินจงกรมเฉย มันก็มาดู แน่ะ อย่างนั้นนะ เป็นชั่วโมง ดูเหมือนภูเขาทั้งลูก อยู่นั่นเป็นภูเขาดูท่าน ท่านก็เดินจงกรมอยู่ มันก็ยืนดู เสร็จแล้วมันก็กลับของมันไป ไม่มีอะไร นี่หมายถึงช้างป่านะ อย่างนั้นละ

ธรรมดามันจะได้หรือ มันต้องมีนิสัยเกี่ยวกันมา แล้วท่านเจอบ่อยกับช้าง ท่านอาจารย์ขาว ส่วนท่านอาจารย์ชอบกับเสือ เจอบ่อยกับเสือ หลายแบบกับเสือ เจอหลายแบบแต่ไม่มีอะไรกัน มีแต่เสือเป็นฝ่ายโก้กแล้วเปิด ถ้าหลวงตาบัวเจอนี้ โหย พี่น้องทั้งหลายจะดูไม่ได้นะ คือถ้าหลวงตาบัวไปเจอเสือ พวกท่านทั้งหลายนั่งศาลานี่ จะดูไม่ได้เลย เป็นยังไงถึงดูไม่ได้ ก็พอเจอเสือแล้วก็ขี้แตก ขี้ทะลัก ศาลาแตกเลย แต่ไม่เคยเจอ กับเสือเราไม่ค่อยมีอะไรอย่างนั้น เรียบๆ ไปอยู่ที่ไหนก็เรียบๆ ไม่ค่อยมีทั้งๆ ที่เข้าป่าเข้าเขาเหมือนกัน นิสัยไม่เกี่ยวมันก็ไม่มา อย่างท่านอาจารย์ชอบนี้เสือมีบ่อย

อย่างท่านไปอยู่ประเทศพม่าท่านเล่าให้ฟัง มันเหมือนสัตว์บ้านท่านว่า นี่ถ้ำอยู่บน ท่านก็อยู่ถ้ำนี้ ตรงทางขึ้นมาถ้ำ ขึ้นมาจนถึงถ้ำแล้ว มันมีหินก้อนหนึ่ง เสือตัวนี้มันคงเคยขึ้นมานอน ตอน ๕ โมงเย็นอยู่ๆ มันก็ขึ้นมา ๕ โมงเย็น ท่านนั่งอยู่ท่านมองเห็นมันขึ้นมา พอมันขึ้นมา มันก็มองเห็นท่าน มันก็โดดขึ้นนั่นเลย โดดขึ้นไปตรงที่มันคงเคยนอนที่นั่นละท่า แล้วก็มาเลียแข้งเลียขาเฉยไม่สนใจกับเรา เราก็อยู่ถ้ำนั่นแหละ ให้กลัวไม่กลัวแต่ขนลุกเหมือนกันนะท่านว่า มันก็เลียแข้งเลียขาอยู่นั้นตลอด นึกว่าเสร็จแล้วมันจะไป ไม่ไป

วันนั้นท่านก็เดินจงกรมไม่ไปถึงที่นู่นละ ท่านก็เดินจงกรมนิดหน่อย ฉากทางนี้ ไม่กล้าเข้าไปหามัน มันนอนอยู่บนหิน เลียแข้งเลียขาเหมือนหมาเรานี่ละ มันอยู่นั่น นึกว่าเสร็จแล้วมันจะหนีไปเที่ยว ไม่ไป วันนั้นเลยไม่ค่อยได้เดินจงกรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็เลยนอน  พอตื่นเช้าขึ้นมาจุดไฟขึ้น มันยังนอนอยู่นั่นเสือตัวนี้ นอนตลอดรุ่งเลย นอนอยู่หัวจงกรมบนหิน นอนอยู่ข้างบน จนกระทั่งถึงตอนเช้า อ้าว นี่ได้เวลาจะบิณฑาตแล้ว ทางจะออกไปตรงที่มันนอนนี้ ทางลงไปนี้ ตัดสินใจละ ถ้ามันจะทำเรามันก็ทำแล้ว คืนนี้นอนเฝ้ากันอยู่ทั้งคืนไม่เห็นทำอะไร ถ้ามันจะทำก็ช่าง

เดินบิณฑบาตออกจากนั้นแหละ นี่จะไปบิณฑบาตนะท่านว่า พูดกับเสือ พระท่านหิวข้าวท่านจะบิณฑบาต ถ้าไม่อยากไปนอนอยู่นี่ หรืออยากไปจะไปเที่ยวที่ไหนก็ได้ ท่านก็เดินออกไปนี่ เขานอนเอาขาพาดนี่นะ เสือโคร่งนะเขานอนดูท่านอยู่ ท่านก็เดินผ่านไป เขาดูไป แต่ท่านไม่บอกให้ใครทราบนะ กลัวเขาจะมาทำลายมัน พอฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว สายๆ ขึ้นมาไม่เห็นเลย มันหนีไปแล้ว มันไม่มีอะไร อย่างนั้นละ นี่กับท่านอาจารย์ชอบนิสัยถูกกันกับเสือ

เอาละที่นี่นะ เราจะให้พร สายแล้วเก้าโมงกว่าแล้ว เสร็จแล้วนะที่นี่ จะให้ศีลให้พร พี่น้องทั้งหลายแล้วก็กลับละ ถ้าอยู่นี้นาน ถูกพี่น้องทางบ้านแก้งขับไล่ มันเสียเกียรติ ไปเสียตอนนี้ดีกว่า รักษาเกียรติไปดีกว่าเสียเกียรติ เข้าใจไหม

 

รับชมและรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th

และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน  FM 103.25 MHz

และเครือข่ายทั่วประเทศ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก