เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
โปรดโยมแม่
ไปบ้านแก้ง อ.นาแก ได้ทองตั้ง ๔๐ บาท ๓ สตางค์ ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ดอลลาร์ ๑๐ ดอลล์ เงินไทยได้ ๑,๓๔๔,๓๖๑ บาทเมื่อวาน ไปบ้านแก้งเมื่อวันก็สักแต่ว่าไป ไม่ได้เที่ยวแถวนั้น แถวนั้นเป็นทำเลเราเที่ยวกรรมฐาน ขึ้นถ้ำพระเวส ถ้ำตาฮด มีอยู่สองถ้ำแถวนั้น เราไปพักอยู่ที่นั้น แต่ไปเมื่อวานจำไม่ได้จนกระทั่งบ้านแก้ง มันมีวัดมีวา สถานที่เปลี่ยนแปลงไปหมด เลยไม่รู้ว่าบ้านแก้งอยู่ตรงไหน เขาบอกว่านี่ละบ้านแก้ง มันเปลี่ยนขนาดนั้นละ จำไม่ได้ แต่ก่อนเป็นดงเป็นป่าทั้งหมดเลย ไปพักภาวนาอยู่ที่นั่น ไปอยู่บ่อยพักบ่อยแถวนั้น บ้านแก้งพักบ่อยที่สุดเลย เพราะเป็นทำเลดี แล้วก็ถ้ำตาฮด จากนั้นก็ถ้ำพระเวส ถ้ำพระเวสไกล
จากบ้านแก้งไปดูเหมือนจะถึง ๔ กิโล เวลาบิณฑบาตลำบากอยู่นะ พระต้องลงมาจากถ้ำมากลางทางครึ่งทาง เขามารอใส่บาตรที่นั่น เสร็จแล้วพระก็ขึ้นเขา เขาก็กลับบ้าน ไกลอยู่ ทางไม่ต่ำกว่า ๔ กิโล แต่เราไม่เคยขึ้นไปถ้ำ หากได้ไปเที่ยวดูหมดสภาพความเป็นอยู่ของถ้ำ ทำเลเขาใส่บาตรครึ่งทาง ส่วนทางถ้ำตาฮดนี้ไม่ลำบากนัก เราไปพักแต่ถ้ำนี้ละ ถ้ำโน้นไม่ไป พักภาวนาที่นั่นสบายๆ แต่ไปคราวนี้แม้แต่บ้านแก้งก็ยังไม่รู้ว่าบ้านแก้งอยู่ที่ไหนคืออะไร มันเปลี่ยนหมดเลย โล่งไปหมด ป่าที่รกๆ สะดวกสบายแก่การพักผ่อนภาวนานี้หมดเลยไม่มีเหลือ มีแต่เชื่อเขาว่าเฉยๆ นี่บ้านแก้ง เท่านั้นละ ไม่รู้ว่าบ้านแก้งคืออะไร มันเปลี่ยนขนาดนั้นละ
แล้วถ้ำตาฮดอยู่ไหนล่ะ นี้...เขาชี้ไป มันก็เป็นถนนหนทางเต็มไปหมด จากถ้ำตาฮดแล้วขึ้นถ้ำพระเวส ถ้ำพระเวสเราไม่เคยไป ไปพักค้างไม่ไป ไปพักแต่ถ้ำตาฮด อยู่นี้สบายดี........เรียกว่าเปลี่ยนแปลงหมดเลย ไปดูสภาพที่เคยไปนั้นจำไม่ได้เลย เปลี่ยนหมดเลย ที่ว่าจากถ้ำตาฮดขึ้นไปหาถ้ำพระเวสนี้ แต่ก่อนเป็นดงจริงๆ ดงป่าดงสัตว์ดงเสือดงเนื้อเต็มไปหมด เดี๋ยวนี้คงเป็นสวนไปหมดแล้ว เราวาดภาพเอาแน่ใจว่าไม่ผิด เป็นไร่พวกมันสำปะหลงปะหลังอะไรต่ออะไรหมด แทนต้นไม้ธรรมชาติแต่ก่อน เปลี่ยนแปลงหมดละ
คิดดูวัดป่าบ้านตาดถึงภูเขาที่มองเห็นโน่น เป็นดงทั้งหมดเลย เวลานี้ตรงนั้นกลายเป็นอำเภอแล้ว เขาเรียกอำเภอหนองแสง ป่ากลายเป็นอำเภอแล้ว จากนั้นมาถึงที่นี่มาสร้างวัดทีแรก พวกชะนีมาร้องอยู่บนต้นไม้ในวัด ต้นยางต้นอะไร พวกชะนีร้องลั่นเรามาสร้างวัดใหม่ๆ คือมันดงจากนี้ต่อกันเลย เป็นดงล้วนๆ ต่อจากนั้นก็ถูกถากถูกถางหมดจนไม่มีเหลือเวลานี้ มีแต่สิ่งปลูกใหม่ทั้งนั้น โฮ้ เปลี่ยนจริงๆ มาอยู่นี้ก็ถึง ๕๐ ปีแล้ว ๒๔๙๘ จำพรรษาที่จันท์ ๙๙ ย้อนกลับมาที่นี้ ๒๕๐๐ จนกระทั่งป่านนี้แหละ ๕๐ กว่าปี ที่ว่าดงทั้งหลายหมดไม่มีเหลือ
คิดดูซิเรามาสร้างวัดทีแรก พวกค่างพวกชะนีเต็ม เราอยู่ข้างล่างเขาร้องอยู่ข้างบน...พวกชะนี พวกสัตว์พวกเนื้อพวกเสือพวกหมูพวกกวางพวกอะไรมา จากนั้นก็ค่อยหดเข้าไป ป่าหดเข้าไป สัตว์ก็หายไปๆ สุดท้ายเข้าใจว่าสัตว์นี้ตายหมดแหละไม่มีเหลือ มันเปลี่ยนแปลง มาสร้างวัดนี้ตั้งแต่ปี ๒๔๙๙ มัน ๕๑-๕๒ ปีแล้วมั้งที่สร้างวัดนี่น่ะ เหตุที่จะสร้างวัดนี้ก็เพราะจะเอาโยมแม่บวช ไม่ใช่อะไรนะ มันโดนอยู่ห้วยทรายโน่น เราอยู่ห้วยทราย เรื่องราวโยมแม่กับเราไปโดนกันอยู่โน่น ตกลงก็เลยลั่นคำออกมาว่า ทีนี้ไปไหนไม่รอดแหละ เกี่ยวกับโยมแม่อยู่อุดรนั่น ออกจากนี้จะไปเอาโยมแม่บวชเสียก่อน แต่ว่าคล่องตัวนะ
เขียนจดหมายบอกมาให้เตรียมตัวไว้ พอมาจะบวชให้เลยเราว่า มาทางนี้ก็เตรียมพร้อม บวชให้เลย นั่นละเหตุที่จะได้อยู่วัดนี้ ก็มีแต่โยมแม่ แล้วแม่ชีแก้วกับแม่ชีน้อม แม่ชีน้อมเสียเผาที่หน้าศาลา เป็นคู่กันมา เราบอกชัดเจนว่าเราจะเอาโยมแม่บวช แล้วพวกนั้นก็วิ่งตาม กลัวว่าบวชโยมแม่แล้วก็ดีหรือไม่ได้บวชก็ดี เราคงไม่มีหวังได้กราบท่านอีกต่อไปแหละ จะต้องติดตาม แม่ชีแก้วจึงติดตามมากับแม่ชีน้อมมาอยู่ด้วยกัน มาก็เลยบวชจริงๆ โยมแม่ก็อยู่นี่ตลอด จนกระทั่งเสียไปปีพ.ศ.๒๔๒๕ นี่ก็บอกโยมแม่เลย ป่าช้าโยมแม่อยู่ที่หน้าศาลา อย่าเป็นห่วงกับอะไร กระดูกหนังอะไรอย่าเป็นห่วงมัน ให้ห่วงธรรมในใจ ภาวนาให้ดีก็แล้วกัน เรื่องศพเรื่องเมรุเราจะเป็นเจ้าของเอง คือเราจะเป็นเจ้าภาพ ก็เผาศพหน้าศาลาเผาโยมแม่ บอกโยมแม่เลย ป่าช้าโยมแม่อยู่หน้าศาลา อาตมาจะเป็นเจ้าของศพ อย่าห่วงเราว่างั้น พอโยมแม่เสียก็เผาที่ตรงนั้นละ
โยมแม่ใจสำคัญอยู่นะ สมที่เรามาบวชให้และอบรมสั่งสอน สมเจตนา ไปกระเทือนอยู่ห้วยทรายของง่ายเมื่อไร เราอยู่ห้วยทราย โยมแม่อยู่นี่ยังไปกระเทือนอยู่ห้วยทราย ก็เลยบอก ปีนี้จะต้องกลับไปหาโยมแม่ เป็นเรื่องใหญ่อยู่ พอออกพรรษาแล้วก็มาบวชโยมแม่ ภาวนาดีนะโยมแม่ ถามถึงเรื่องจิตใจและธาตุขันธ์ โอ๋ย พูดได้อย่างอาจหาญ จวนวันเข้ามา กุฏิหลังนี้ละหลังจันดีพักอยู่ เราก็ไปยืนอยู่หน้ากุฏิ ข้างในมีโยมแม่กับลูกๆ เต็มอยู่นั้น ไปก็ไปถาม วันสุดท้าย ดูโยมแม่อ่อนลงทุกทีๆ มองดูสภาพนี้จะไม่นานนะเราว่างั้น มองดูแล้วจะไม่นานนะนี่ แล้วทางจิตใจเป็นยังไง มาศึกษาอบรมจิตใจอยู่นี้เป็นเวลาหลายปีแล้วเป็นยังไง โอ๊ย จิตใจแม่ดีอยู่บอกเลยนะ จิตใจสว่างไสวตลอด แม่ไม่วิตกวิจารณ์อะไรเรื่องการเป็นการตาย จิตใจแม่สง่างาม พูดได้อย่างอาจหาญนะ เวลาไปก็ไปอย่างเงียบเหมือนกัน
พอตื่นเช้าขึ้นมาก็บอกลูกเลย เอ้อ แม่เห็นจะไปวันนี้แหละ พอ ๘ โมง ๔๕ นาทีเช้าวันนั้นโยมแม่ก็เสีย ก็ดีไม่เสียทีที่เรามาบวชโยมแม่ อบรมสั่งสอนโยมแม่ แม่ลงลูกก็เห็นตั้งแต่โยมแม่ลงเรา ลงโดยหลักธรรมชาตินะ ลงเอง การเทศนาว่าการนี่ยกให้เลยว่างั้น แม่ฟังเทศน์นี้มาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นองค์ใดเทศน์อย่างนี้บอกงั้นเลย อาจารย์เทศน์นี่จิตแม่ลงทุกครั้งเลย ลงจริงๆ โยมแม่ลงเรา เวลาพูดไปสัมผัสสัมพันธ์ ส่วนมากไปในครัว เอาท่านปัญญาวัฑโฒถือเทปไปอัดเวลาเราเทศน์ในครัว ให้ท่านปัญญาไปด้วยไปอัดเทป เวลาเทศน์ก็มีหลายวรรคหลายตอนแล้วแต่จะไปสัมผัสอะไรๆ เทศน์ถึงขั้นสุดขีดของจิตของธรรม สุดขีดของธาตุของขันธ์ พอไปถึงสุดขีดของอรรถของธรรมแล้วก็สุดขีดของธาตุของขันธ์ โยมแม่ร้องว้ากเลยนั่งฟังอยู่ เป็นเองนะ ร้องขึ้นเลย
โหย แม่ไม่อยากฟังตอนตาย เราพูดอย่างมีหลักมีเกณฑ์ พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญจิตบำเพ็ญธรรม วิถีจิตวิถีธรรมเรื่อยๆ หมุนๆ จากนั้นก็สุดขีดของจิตแล้วหมุนเข้ามาหาธาตุขันธ์ สุดขีดของธาตุขันธ์ตาย โยมแม่ร้องว้ากเลย ลงจริงๆ ลงเรา แล้วก็บอกตรงๆ เลย แม่ไม่เคยฟังเทศน์ใครเหมือนอาจารย์ เทศน์อาจารย์ลงจริงๆ โยมแม่ได้กำลังจิตมากก็คือตอนคุณเพามาพักอยู่นี่สามเดือน เราเข้าไปเทศน์สามเดือนนะ ทุกคืนๆ พอ ๖ โมงเย็นแล้วก็ไปกับท่านปัญญา เอาเทปไปอัด เทศน์ทุกคืนๆ ดูเหมือนจะได้ถึง ๙๐ กัณฑ์ละมั้ง นั่นละที่ได้มาเป็นหนังสือ ศาสนาอยู่ที่ไหน และ ธรรมะชุดเตรียมพร้อม หนังสือสองเล่มจากที่เราไปเทศน์ทุกวันให้เพาพงาฟัง อัดเทปเอาไว้แล้วมาถอดเป็นหนังสือสองเล่ม
จิตใจโยมแม่ดีอยู่ เราก็เบาใจ ไปถามเอาเลยละ เป็นยังไงจิตใจเวลานี้ อบรมมาก็มากแล้วนานแล้ว หลายปีแล้ว แล้วเป็นยังไงจิตใจ นี่จวนแล้วนะบอกตรงๆ โยมแม่ไม่นานนะมองดูก็รู้ โอ๋ย ใจแม่ดีอยู่ ขึ้นอย่างอาจหาญนะ แม่ไม่เป็นห่วงเป็นใยกับธาตุกับขันธ์ จิตใจแม่สง่างามตลอด เราก็เข้าใจ อีกสองวันมั้งก็ล่วง เรียกว่าโปรดแม่ได้ บวชมาอย่างไรก็ขอให้ได้โปรดพ่อโปรดแม่เสียก่อน เราพูดจริงๆ โปรดได้ว่างั้นเถอะน่ะ โปรดได้เพราะโยมแม่ลง ลงจริงๆ ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมยกขึ้นเลยว่า ไม่ได้ยินเสียงใครเทศน์เหมือนอาจารย์เลย แม่ฟังเทศน์มานานแสนนาน ฟังเทศน์อาจารย์ไม่ทราบเป็นยังไง เอาแต่ของจริงมาเทศน์ ว่างั้นละ เอาแต่ของจริงมาเทศน์ ใส่ปั๊บๆ ตีลงๆ จิตหมอบๆ สงบแน่วๆ ทุกกัณฑ์ว่างั้น ไม่มีพลาด พออาจารย์เริ่มเทศน์ปั๊บจิตจะเริ่มหมอบๆ แล้วลงแน่วเลย ตอนไปเทศน์ให้เพาพงาฟัง ได้กำลังตอนนั้น
พอเพาพงากลับแล้วก็นิมนต์อีก ถ้าอาจารย์มีเวลาว่างก็ขอนิมนต์มาเทศน์โปรดแม่บ้าง แม่จิตใจดีจิตใจตั้งหลักได้เพราะเทศน์อาจารย์เท่านั้น บอกตรงๆ เลย ตั้งแต่มาเทศน์ตอนคุณเพามานี้จิตใจตั้งหลักได้แน่นหนามั่นคง เมื่อคุณเพากลับไปแล้วเวลาว่างก็ขอนิมนต์มาเทศน์ให้แม่ฟังบ้าง เราก็ไม่ได้เข้าไปเพราะไม่ว่าง นับว่าดีโยมแม่ เป็นที่แน่ใจ สมที่เรามุ่งหน้ามา จากห้วยทรายบึ่งมานี่เลย มาก็จับบวชเลย บวชแล้วก็พาไปจันท์ ออกจากจันท์ก็กลับมาสร้างวัดที่นี่ โยมแม่ก็มาเสียที่นี่แหละ เพราะได้ผลดีตามความคาดหมายของเราที่คิดไว้เรียบร้อยจากห้วยทราย เพราะไปเกี่ยวอยู่ด้วยนะ โยมแม่อยู่นี่ไปโดนเราอยู่ห้วยทราย
จึงได้บอกตรงๆ เลย ไปไหนไม่ได้ละเรื่องโยมแม่มาเกี่ยวข้องแล้ว ออกพรรษานี้แล้วจะต้องได้กลับไปอุดร ไปบวชโยมแม่ก่อน เขียนจดหมายมาบอก ว่ากลับมานี้จะมาบวชโยมแม่ ให้เตรียมพร้อมไว้ พอเรามาปั๊บก็เตรียมแล้ว บวชเลย บวชก็อยู่กับเราเรื่อยมา ดีนะ โยมแม่จิตใจดี นั่นละเห็นไหมใจ ฟังซิเรื่องความเป็นความตายแม่ไม่ห่วงว่างั้นนะ แม่ไม่ห่วงไม่สงสัย จิตใจแม่สง่างามอยู่ตลอดเวลา นั่นเห็นไหมล่ะ เคยเรียนหนังสือที่ไหน อ่านหนังสือสักตัวเดียวก็ไม่ได้ แต่ทำไมกล้าพูดได้ ว่าจิตใจแม่นี่สว่างไสว อาจหาญชาญชัยอยู่ตลอดเวลา ไม่สะทกสะท้านกับเรื่องความเป็นความตาย นั่นฟังซิน่ะ คนไม่ได้เรียนหนังสือทำไมพูดออกมาได้อย่างฉะฉาน
เวลาจะไปก็เป็นอย่างว่า พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ เอ้อ แม่จะไม่พ้นวันนี้นะ อ่อนมากแล้ว ตื่นเช้า พอ ๘ โมง ๔๕ นาทีเท่านั้นก็หมดลม เราก็เอามาเผาที่นี่ เราได้บอกโยมแม่ไว้เรียบร้อยแล้วให้หายห่วง เรื่องศพเรื่องเมรุโยมแม่อย่ามาเป็นห่วงนะบอกงั้นเลย ป่าช้าโยมแม่อยู่ที่หน้าศาลา อาตมาจะเป็นเจ้าของเป็นเจ้าภาพเอง บอกตรงๆ เลยไม่ต้องมาห่วงเรื่องศพเรื่องเมรุ ให้ห่วงแต่จิตใจเจ้าของ เรื่องศพเรื่องเมรุอาตมาจะเป็นเจ้าภาพเอง ก็เป็นอย่างนั้น พอเผาก็มาที่หน้าศาลา โยมแม่ก็ไปสะดวกสบาย ไปอย่างสงบเลย บอกลูกทุกระยะๆ นั่นละเห็นไหมใจเมื่อได้รับการอบรมแล้วเป็นอย่างนั้น บอกตั้งแต่ตื่นนอนปั๊บ นี่แม่จะไม่พ้นวันนี้นะ พอ ๘ โมง ๔๕ ก็สิ้นลม เวลาถามถึงจิตใจอาจหาญ เราก็นับว่าสมหวังอยู่..บวชแล้วไปกลับมาก็ได้มาสอนโยมแม่ให้มีศีลมีธรรม ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ธรรมเป็นหลักใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน
ใจเวลามันดื้อมันดื้อจริงๆ นะ ไม่ใช่เล่น เอาตัวเรานี้ออกยัน ได้ผ่านมาหมด เรื่องความผาดโผนโจนทะยานแห่งความดื้อด้านของจิตนี้เต็มหัวใจเรา ฟาดจนร้องไห้อยู่บนภูเขา น้ำตาพังอยู่บนภูเขาสู้มันไม่ได้ เราลืมเมื่อไร คือสู้กิเลสไม่ได้ น้ำตาพังอยู่บนภูเขา แต่ก็น้ำตาพังนั้นละที่มันเป็นกำลังใจอย่างมากนะ มันเป็นอยู่ในจิต น้ำตาพัง ตั้งสติพับล้มผล็อยๆ ตั้งไม่มีอยู่ พยายามตั้งปั๊บล้มทันทีๆ เลย กระแสของกิเลสมันเร็วขนาดนั้น ตั้งให้อยู่ไม่อยู่ ตั้งเพื่อล้มๆ สุดท้ายอะไรสู้มันไม่ได้ก็น้ำตาร่วง แล้วก็ออกอุทานละที่นี่ โถ มึงทำกูขนาดนี้เชียวเหรอ มันแค้นในหัวใจ นี่ละเคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจเราเป็นธรรม ถ้าเคียดแค้นให้สัตว์หรือบุคคลผู้ใดก็ตามเป็นบาปเป็นกรรมทั้งนั้น เคียดแค้นให้แก่กิเลสที่เป็นภัยต่อตัวเองนี้เป็นธรรม เราจับเอาเรื่องของเรามาพูด ถึงน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา โถ ออกอุทานในใจนะ ด้วยความเคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจของเจ้าของ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ ถึงขนาดนั้นนะ เป็นในใจ แต่ไม่ได้ออกปากพูด
น้ำตาร่วงๆ สู้มันไม่ได้ ตั้งสติไม่อยู่ โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละ นั่นละบทที่ตัดสินกัน เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย อันนี้ละผูกโกรธผูกแค้นกับกิเลส นี่เป็นธรรมนะ ถ้าผูกโกรธกับบุคคลหรือสัตว์ตัวใดเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันตลอดไป แต่ผูกโกรธผูกแค้นกับกิเลสที่มีภายในใจของเรานี้ขาดสะบั้น เวรกรรมไม่มีเหลือเลย นั่นเห็นไหมตัดกรรมตัดเวรได้เลย เคียดแค้น มุมานะ โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ไปหาท่านศึกษาอบรมเต็มที่แล้วขึ้น ล้มทั้งหงายๆ ลงมา เห็นไหมสู้มันไม่ได้
หลายครั้งหลายหนมันสู้ไม่ถอย สุดท้ายมันก็ล้มให้เห็น เหอ มึงก็ล้มเป็นเหมือนกูเหรอ มีแต่กูล้ม ทีนี้มึงล้ม แล้วทีนี้ก็ซัดใหญ่เลย นั่นละมันได้กำลังใจ มุมานะ เคียดแค้นให้กิเลสมุมานะ เอาอย่างหนัก ฟาดที่นี่กิเลสหงายๆ ต่อไปกิเลสมีแต่หงายตลอดๆ ฟาดจนกระทั่งถึงบางทีก็เคยพูดให้ลูกศิษย์ฟังบ้างว่า เราเคยพูดแล้วนี่นะ เวลากิเลสมันหมอบค้นหาที่ไหนก็ไม่เห็น นี่ละกำลังของสติปัญญามันแก่กล้า กิเลสหมอบหมด เอาจนกระทั่งถึงว่า เหอ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ พูดเฉยๆ นะไม่ได้สำคัญว่าสำเร็จ เวลานั้นค้นหากิเลสที่ไหนก็ไม่มี โล่งหมดเลย เหอ มันไปไหนหมดกิเลส เวลามันเอากูเอาเหลือเกิน ทีนี้มันไปไหนหมด ค้นที่ไหนก็ไม่เจอ เหอ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าเฉยๆ นะ
สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาก็ซัดกันเลยขาดสะบั้น สุดท้ายขาดสะบั้นไปหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือ จำได้กระทั่งเวล่ำเวลา เพราะเป็นเรื่องใหญ่โตมากจะไปหลงลืมได้ยังไง ที่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร บทเวลาจะลงกันได้ก็ลงที่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ ใส่นี้เหมือนว่าฟ้าดินถล่มเลยนะ ไม่ใช่เล่นกิเลสมันเกาะจิต ก่อนมันจะพรากจากจิตพังลง เรียกว่าม้วนเสื่อลง แหม เหมือนฟ้าดินถล่ม ร่างกายนี้ไหวทีเดียว ดีดผึงเลยนะร่างกาย นั่นละตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ปรากฏกิเลสตัวใดมาแสดงให้เห็น หมด มันตัดสินใจปัจจุบันนั้นแล้วหายสงสัยแล้ว สนฺทิฏฺฐิโก ครั้งสุดท้ายคือครั้งนั้นละ จากนั้นมาก็ไม่มีอะไรมาแสดง
นี่ละผลของการปฏิบัติธรรมเมื่อถึงขั้นสุดขีด สนฺทิฏฺฐิโก ครั้งสุดท้ายก็ประกาศขึ้นมาเลย หายสงสัยไม่มีเหลือ ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋ง นั่นละเวลาฟ้าดินถล่ม ระหว่างกิเลสกับใจขาดสะบั้นจากกันนี่เหมือนฟ้าดินถล่ม กายนี้ไหวผึงเลยเชียว ตั้งแต่นั้นมาไม่ได้ถามละว่าอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ ทีแรกก็ว่า เหอ มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ พูดเฉยๆ เราไม่ได้สำคัญ ค้นหามันยังไม่เจอแต่รู้อยู่ว่ามันยังมี แน่ะ มันก็รู้อยู่ว่ามันมี แต่เวลาค้นหาไม่เจอ เหอ ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ ว่าเฉยๆ บทเวลาฟาดกันเข้าเต็มเหนี่ยวขาดสะบั้นลงไปแล้ว อรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่เลยไม่ถามจนกระทั่งทุกวันนี้
นั่นเห็นไหม สนฺทิฏฺฐิโก ไปถามพระพุทธเจ้าทำไม มีอยู่กับทุกคน สาวกทั้งหลายไม่ได้ทูลถามพระพุทธเจ้า แม้องค์เดียวไม่มี พอผางขึ้นมาแล้ว สนฺทิฏฺฐิโก ครั้งสุดท้ายกิเลสขาดสะบั้นๆ ไปหมด อันนี้ก็ธรรมะอันเดียวกัน กิเลสประเภทเดียวกัน ขาดก็ขาดที่หัวใจอันเดียวกัน สนฺทิฏฺฐิโก อันเดียวกันทำไมจะไม่รู้กัน นี่ละธรรมะสดๆ ร้อนๆ ธรรมะพระพุทธเจ้า ใครปฏิบัติก็ต้องรู้ต้องเห็น เหมือนกันกับเพชรพลอยที่อยู่ได้ดิน เราเหยียบย่ำไปมาด้วยหูหนวกตาบอด เพชรพลอยทั้งหลายอยู่ใต้ดินเหยียบย่ำไปมาไม่ได้นำมาทำประโยชน์ เพราะความโง่นั่นละมันเหยียบธรรม ทีนี้เวลาประพฤติปฏิบัติเข้าไปก็เหมือนกับว่าคุ้ยเขี่ยขุดค้นหาเพชรหาพลอยในพื้นดิน เดี๋ยวก็ค้นก็เจอขึ้นมาๆ เดี๋ยวก็ค้นขึ้นมาได้ นั่น พากันจำเอา เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ ก็พอสมควรแล้ว เทศน์ก็เด็ดอยู่นะวันนี้
(มีงานหลวงปู่ผางวันที่ ๒๔ มีนา ค่ะ) อ๋อ งานหลวงพ่อผาง แล้วเป็นงานอะไรท่านล่ะก็เสียไปนานแล้ว.(เวลาบ่ายโมงหลวงตาเป็นองค์ประธาน บรรจุพระบรมสารีริกธาตุในวันคล้ายวันมรณภาพหลวงปู่ผาง จิตตคุตโต หลวงตาแสดงพระธรรมเทศนาและรับผ้าป่าเวลาบ่ายโมงเจ้าค่ะ) เราฉันเสร็จแล้วก็ไป เราเคยไปแล้วงานหลวงพ่อผาง เวลาหลวงพ่อผางไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น บ้านนามน เราอยู่ที่นั่น แต่เราแก่พรรษากว่าท่าน ท่านลาครอบครัวมาบวช เราจึงแก่พรรษากว่าท่าน เวลาท่านเทศน์ให้หลวงพ่อผางฟังนี้ โฮ้ น่าฟังนะ นั่นละท่านได้คติจากกัณฑ์เทศน์ของพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านใส่เปรี้ยงๆ เราก็ไปอยู่นั่นว่าไง
ธรรมะนี้เด็ดมากทีเดียว นั่นเห็นไหมท่านรู้นิสัย หลวงพ่อผางก็ซัดเอาธรรมะนั้นมาฟาดเจ้าของกิเลสขาดสะบั้นลงไปเลย หลวงพ่อผางเป็นเพชรน้ำหนึ่งนะ จากธรรมะนั่นละ ก็ไม่อยู่หลายวัน ไปอยู่กับท่านได้สองวันหรือไง เวลาพ่อแม่ครูจารย์เทศน์นี้ โห ฟ้าดินถล่มนะธรรมะประเภทนี้ ท่านไม่ได้เทศน์ให้ใครฟังง่ายๆ ฟาดหลวงปู่ผางแบบนั้น หลวงปู่ผางก็ได้ธรรมะนั้นละมาฟาดตัวเองกิเลสขาดสะบั้นลงไป เป็นอย่างนั้น ก็มีเท่านั้นละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz |