ที่หนึ่งในโลกก็คือใจ
วันที่ 8 มีนาคม 2550 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

ที่หนึ่งในโลกก็คือใจ

         วันที่ ๑๐ นี้ก็จะไปนาแก แล้วก็เข้าบ้านแก้ง เหล่านี้เราเคยไปอยู่แล้วบ้านแก้ง ทางขึ้นถ้ำพระเวส เราเคยไปอยู่แถวนั้น วันที่ ๘ วันนี้ วันที่ ๑๐ ก็ไปนาแกดูว่าค้างคืนหนึ่ง โอ้ บ้านนี้ศรัทธาเก่งนะ เขาเรียกบ้านแก้ง ศรัทธาเก่งมาก คอยรับกรรมฐานขึ้นลงถ้ำพระเวส จากนั้นไปถึงถ้ำพระเวสทาง ๔ กิโล เวลาพระไปพักอยู่ที่ถ้ำพระเวส เขาไปส่งอาหารกลางทาง มีร้านอยู่นั้น มาจากถ้ำพระเวสถึงกลางทาง ทางนี้ไปถวายอาหารที่นั่น พอพระรับเสร็จแล้วก็ขึ้นถ้ำ ทางนี้ก็ลง บ้านแก้งเป็นบ้านรับรองพระ มาจากไหนๆ พวกนี้รับรอง

แถวนี้เราไปเที่ยวมากทีเดียว ถ้ำพระเวสนี่ก็ห่างไกล มาถึงบ้านแก้งนี้ตั้ง ๔ กิโล พระมารับบาตรที่ครึ่งทาง ไปลำบากนะเพราะไม่ใช่ถนนเรียบๆ บุกป่าเข้าไป เราเคยไปหมดแล้วเหล่านี้ พักบ่อยด้วยแถวนั้น มันเป็นป่าเป็นเขา บ้านแก้งเราก็เคยไปพักอยู่แล้ว บ้านแก้งที่เขาจะนิมนต์ไป เขาคงไม่ทราบเราแหละ เพราะคนรุ่นนั้นน่าจะตายหมดแล้ว รุ่นหลังๆ มานี้คงไม่ทราบเราละ มัน ๕๐-๖๐ ปีแล้วมั้งไม่ได้ไปแถวนั้น ตั้งแต่หลวงปู่มั่นมรณภาพแล้วก็มีไปบ้างเล็กน้อย จากนั้นหายเลยเรา ไม่ได้ไป

ทุกวันนี้เราก็เห็นตั้งแต่พื้นที่ที่เขาปลูกสิ่งก่อสร้างต่างๆ พวกเผือกพวกมันพวกอะไรเต็มไปหมด แต่ก่อนเป็นดงนะ จากบ้านแก้งเข้าถ้ำพระเวสเป็นดงเป็นป่าทั้งนั้น เดี๋ยวนี้จะเป็นป่าพวกเผือกพวกมันพวกอะไรแทนหมดนั่นแหละ คิดดูอย่างดงศรีชมภู  เขาว่าดงศรีชมภูๆ แต่ก่อน ถ้าใครไม่เคยเห็นดงศรีชมภูแต่ก่อน ไปทุกวันนี้มันเป็นไร่เป็นสวนศรีชมภูไปหมด เข้าใจไหม พวกไร่พวกสวนเรียกว่าสุดสายตาเลย ที่เป็นดงขนาดไหนนั่นละเป็นสวนเป็นไร่ไปขนาดนั้น

คือแต่ก่อนเราไปแล้วนี่ ตั้งแต่เราเที่ยวกรรมฐาน ไปทั้งวันก็ไม่เจอหมู่บ้านแหละ ไม่ใช่เล่นนะ ไปทั้งวันไม่เจอหมู่บ้าน มีแต่ดงแต่ป่าทั้งนั้น เพราะไม่มีบ้านแต่ก่อน เราเคยไปแล้ว ทุกวันนี้มันเป็นไร่เป็นสวนเขาหมด แต่ก่อนเราไปเป็นดงรกชัฏ เราเคยเที่ยวไปตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๗-๘๘ ใช่ เราเที่ยวอยู่แถวนั้น สองปีเข้าอยู่ทางแถวนั้น ทะลุออกทางบ้านแพง มีแต่ดง เดี๋ยวนี้คำว่าดงไม่มี เป็นไร่เป็นสวนหมดเลย ร้อยเปอร์เซ็นต์ทับกันเลย ร้อยเปอร์เซ็นต์ดงแต่ก่อน ร้อยเปอร์เซ็นต์ไร่สวนทุกวันนี้ทับหมดเลยไม่มีเหลือ

โธ่ สำคัญนะมนุษย์ ไปอยู่ที่ไหนแหลกเลยๆ คือแต่ก่อนไข้ป่าๆ ไข้มาลาเรียมันไม่มียา คนก็ไม่มาก คนหลั่งไหลเข้าไปที่ว่าดงนี้นะ เป็นไข้ป่าไข้มาลาเรีย พวกตายก็ตาย พวกไม่ตายก็เผ่นกลับบ้าน คือมันสู้ไข้ไม่ไหว ทีนี้ทุกวันนี้ยาก็ทันๆ ทุกอย่างเลย มาลาเรียหายหน้าไปเลย คนแน่นดงนั้นนะ เป็นไร่เป็นสวนหมด ก็คือเราเคยเห็นแล้วตั้งแต่เป็นป่าดงรกชัฏ กับทุกวันนี้เป็นยังไง คือทุกวันนี้เป็นไร่เป็นสวนทั้งหมดเลย แต่ก่อนเป็นป่าเป็นดงทั้งนั้น ไปเป็นวันก็ไม่เจอบ้านคน คือไม่มีคน เนื่องจากคนมีน้อยด้วย แล้วไข้ป่าไข้มาลาเรียชุกชุมผสมด้วย เวลานี้ไม่มีละ เรื่องไข้มาลาเรียหมดเลย ไม่มี ที่ว่าป่าทั้งหมดนั้น ทุกวันนี้ไปดูจะไม่เชื่อว่าเป็นดงแต่ก่อน ก็เป็นแต่ไร่แต่สวนทั้งหมดแล้วทุกวันนี้ แต่ก่อนเป็นดงทั้งหมดเลย

เราได้เห็นทั้งสองอย่างมันก็ชัดเจน ตอนเป็นดง โถ ไปทั้งวันไม่เจอคน พวกสัตว์พวกเสือพวกเนื้อมีทุกประเภทอยู่นั้น เดี๋ยวนี้หมด ไม่มีเหลือ มนุษย์ไปที่ไหน หูสั้นๆ นี่คือยักษ์ แล้วเสกตัวเองขึ้นว่ามนุษย์มีศักดิ์ศรีสูงกว่าเพื่อน แต่พวกสัตว์เขาสาปแช่งเอาเสียจนแหลก คือยักษ์หูสั้นเขาว่า มนุษย์เรานี่คือยักษ์หูสั้น กินไม่เลือก วันที่ ๑๐ ไปนาแก ไปบ้านแก้ง ดูว่าค้างคืนหนึ่ง บ้านแก้งไม่ได้ไปนาน คงไม่ต่ำกว่า ๓๐ ปีละมังเรา แถวนั้นคือทำเลเที่ยวแต่ก่อน เพราะมันเป็นเขาอยู่นี้ บ้านคนอยู่ตามนี้อยู่ในเขาในป่า

วันนี้เป็นวันราชการ วันที่ ๘ ที่ ๙ เราไปตามโรงพยาบาล เมื่อวานไปโรงพยาบาลชัยภูมิ หนองบัวระเหว ไกลนะ สามชั่วโมงพอดี จากนี้ไปปั๊บถึงโรงพยาบาลพอดีสามชั่วโมง ไกลอยู่นะ มันเลยชัยภูมิไปอีก นั่นละความเมตตาดูเอาซิ สงสาร ซอกแซกซิกแซ็กไปได้หมดเลย ไม่ได้คำนึงถึงว่าหมดว่ายังอะไร เป็นอย่างนั้นตลอดในหัวใจ ทีนี้เทียบกับคนตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ แก่รีดแก่ไถ แหม เข้ากันไม่ได้เลยนะ เราพูดจริงๆ มันเข้ากันไม่ได้ คนตระหนี่ถี่เหนียว คนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่เอา จากนั้นก็เห็นแก่กอบแก่โกย แก่รีดแก่ไถ ยิ่งไปใหญ่เลย ดูไม่ได้นะ

มนุษย์คือยักษ์คือผีในร่างแห่งมนุษย์นั้นแหละ ถ้ามนุษย์จริงๆ ก็มีศีลมีธรรมเจือปนกันไป มนุษย์เทวดาเขาไปอีก สูงขึ้นอีกทางศีลธรรม สูงขึ้นที่ใจ มันเป็นอยู่ที่ใจนะ ใจอันนี้ละสำคัญ ใจเป็นเครื่องดึงดูด ใจเป็นเครื่องผลัก ดึงดูด ถ้าทำความดีความดีดึงดูดเข้ามา ทำความชั่วความชั่วผลักความดีออกไป มีแต่ความชั่วเต็มหัวใจ เป็นอย่างนั้นนะ เรื่องใจไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ที่หนึ่งในโลกก็คือใจของสัตว์แต่ละดวงๆ เป็นใหญ่มากทีเดียว ทุกข์ก็ทุกข์มาก สุขมากนี้ไม่ค่อยมี ยกให้พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ อันนี้เต็มสมบูรณ์

พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ตั้งแต่วันกิเลสตัวเสนียดจัญไร ตัวเป็นพิษเป็นภัย ขาดสะบั้นจากหัวใจทุกข์ไม่มีเลยในหัวใจของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ ไม่มีเลย หมดโดยสิ้นเชิง มีแต่บรมสุขเต็มหัวใจ ถ้าว่าทุกข์ก็มีแต่ทุกข์เกี่ยวข้องกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ไปธรรมดา ใจท่านไม่หวั่นแล้ว หมด เรียกว่าเป็นอฐานะ ใจเป็นฝั่งแห่งวิมุตติ ที่หลุดพ้นแล้วเป็นฝั่งหนึ่งต่างหาก นี้เป็นฝั่งวัฏวน นู่นฝั่งหนึ่ง พวกนี้พวกวัฏวนพวกยุ่งพวกยากพวกฟืนพวกไฟเผาอยู่ในฝั่งนี้นะ ฝั่งนั้นฝั่งบรมสุข หัวใจพระอรหันต์ไม่มีทุกข์ หมด จะเป็นทุกข์ขนาดไหนก็เป็นแต่เพียงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ธรรมชาตินั้นเป็นอฐานะโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเหลือ ที่จะไปแทรกได้ไม่มี เป็นอฐานะ เรียกว่าคนละฝั่งแล้ว

นั่นละจิตพระพุทธเจ้าจิตพระอรหันต์ท่านเป็นอันเดียวกัน ถ้าลงจิตสิ้นกิเลสผางเท่านั้นไปนั่งอยู่ในท่ามกลางพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายทันทีเลย.เป็นอันเดียวกันแล้ว เหมือนฝนตกลงมาจากบนฟ้าลงมาใส่พื้นน้ำตกลงปั๊บๆ ลงน้ำมหาสมุทรทะเลก็เป็นน้ำมหาสมุทรทะเลทันทีๆ ไม่เรียกว่าฝนเม็ดนี้ตกมาจากที่นั่นที่นี่ เข้าเป็นน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงไปด้วยกันทันที อันนี้จิตพอเข้าถึงวิมุตติปั๊บนี่ก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานทันทีเลย

จำให้ดีนะ เราพูดเราไม่ได้มาพูดงูๆ ปลาๆ นะ ไม่ได้ลูบคลำมาพูด ปฏิบัติแทบตาย เหตุจะได้ธรรมประเภทนี้มาพูดนะ เราถอดออกจากหัวใจมาพูด เราไม่ได้พูดเล่นๆ เราทำเราก็ไม่ทำเล่น ถึงเวลาจะเป็นจะตายเอาตาย นั่นซัดกันๆ ที่หนักที่สุดเป็นเวลา ๙ ปีเต็มแหละเรา ตั้งแต่พรรษา ๗ พอออกจากภาคปริยัติการศึกษาเสร็จพรรษา ๗ เข้า พรรษา ๑๖ พูดให้มันชัดเจน ลงเวทีวันที่เคยพูดให้ฟัง วันที่ ๑๕ พฤษภาคม  ๒๔๙๓ นั้นเป็นวันระหว่างสมมุติกับวิมุตติขาดสะบั้นจากกัน จากนั้นมาแล้วก็เป็นบรมสุขล้วนๆ นิพพานเที่ยงหรือไม่เที่ยงไม่ต้องถามถึงไหน ดูหัวใจก็รู้ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่ถามกัน อันเดียวกันแล้วรู้หมดเลย

อำนาจแห่งการปฏิบัติตะเกียกตะกาย ความทุกข์ความลำบากลำบนจนกระทั่งนั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาสู้กิเลสไม่ได้ ก็เคยมาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จึงได้เอามาเทียบ เราคิดตั้งแต่ว่าโกรธแค้นให้ผู้ใดๆ โลกทั้งหลายเป็นอย่างนั้น ความโกรธความแค้นมันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองก่อนจะไปเผาไหม้คนอื่น มันเป็นอยู่ในหัวใจ ทุกข์ที่สุดอยู่ในหัวใจ แต่เวลาตัวเสนียดจัญไรคือกิเลสที่เป็นไฟเผาหัวใจขาดสะบั้นลงไปแล้ว ก็เป็นอมตธรรมขึ้นมาทันที ทุกข์ไม่มีเลย หมดโดยสิ้นเชิง

เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ก็ครองกันไปอย่างนั้นละ กิริยาอาการอะไรก็ใช้เหมือนสมมุติเขาใช้กัน สมมุติเขายอมรับกันอย่างไรสังคมยอมรับอย่างไรกิริยาของท่านก็ใช้อย่างนั้น ประเภทของท่านใช้ไป แต่ธรรมชาติอันนั้นมันเข้ากันไม่ได้ ธรรมชาติวิมุตติหลุดพ้นเข้ากันไม่ได้ เป็นอฐานะตลอดไปเลย ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง ก็คือใจดวงนั้นเที่ยงแล้ว กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยู่ในสมมุติ พอพ้นสมมุติไปแล้วกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มี หมด ท่านว่านิพพานเที่ยง เที่ยงที่หัวใจ

เราก็เทศน์สุดขีดแล้ว เราไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะได้เทศน์สอนโลกมากขนาดนี้ ตั้งแต่ ๒๔๙๓ มาจนป่านนี้ ตอนนั้นเทศน์สอนพระในภูเขานะ ในป่า ๒๔๙๓ ระยะนั้นอยู่ในป่า มีแต่พระเข้าไปถึง อยู่ในป่าในเขาๆ พระที่มุ่งมั่นต่อแดนนิพพานเข้าถึงๆ เข้าไปลึกขนาดไหนตามเข้าไปทัน ว่าอะไรเฉยนะ ขอให้ได้มาอยู่ด้วยพอ จมูกมันเก่งกว่าหมา ขึ้นขนาดนั้นนะ หมามันตามดมนั้นดมนี้ๆ มันกลับเมื่อไม่เห็น นี้ตามจนถึงตัว จมูกนี้เก่งกว่าหมา เฉยไม่สนใจ ขอให้ได้อยู่เท่านั้นพอ เป็นอย่างนั้นละ

จากนั้นก็ค่อยเคลื่อนออกมาๆ จนกระทั่งมาเอาโยมแม่บวช ทีนี้ก็พะรุงพะรัง อย่างทุกวันนี้พะรุงพะรังมากทีเดียว หนัก หนักนะถ้าพูดแบบโลกๆ แล้วเราหนัก หนักมาก แต่อันหนึ่งมันไม่หนัก ธรรมชาตินั้นเป็นวิมุตติ ธรรมชาติเหล่านี้เป็นสมมุติมันก็ยุ่ง เข้ามาเกี่ยวข้องกับขันธ์ที่เป็นสมมุติด้วยกัน เข้าถึงแค่นี้แหละ ไม่ได้เข้าถึงภายในจิต พอลมหายใจขาดปั๊บสลัดปุ๊บหมดเลย ทุกข์ทั้งปวงไม่มี เป็นธรรมธาตุ ท่านเรียกว่าธรรมธาตุ จิตดวงนั้นเป็นธรรมธาตุ เป็นวิมุตติ เป็นนิพพาน เป็นธรรมธาตุล้วนๆ แล้วจิตพระอรหันต์

นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าสอนให้ถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ในโลกนี้มีศาสนาเดียว พูดให้ชัดเจน ศาสนาเหล่านั้นเราไม่ดูถูกเหยียดหยาม พูดตามหลักความจริง เป็นศาสนาของกิเลส เป็นคลังกิเลส ใครเป็นเจ้าของศาสนาก็คือคลังกิเลสออกสอนโลก ต้องเอากิเลสออกนำหน้าเสมอ กิเลสนำหน้ามันจะไปไหน มันก็ไปทางผิดทางพลาดทางล่มทางจม จะให้ไปทางดีไม่มี ถ้าเรื่องศาสนาเฉพาะพุทธศาสนาปฏิบัติตามหลักธรรมนี้แล้วมีแต่ดึงขึ้นๆ ตลอดเลย ไม่มีคำว่าดึงลง

จึงว่าในโลกนี้มีศาสนาเดียวคือพุทธศาสนาเท่านั้น ใครจะว่าอย่างไรเอาคอเราไปตัด คอขาด แต่ความแน่ใจในธรรมประเภทนี้เราไม่เคยถอน คอขาดขาดไปเลย อันนี้ไม่ถอน เพราะมันเต็มอยู่ในหัวใจนี้แล้วถอนอะไร แน่ใจ ไม่ต้องไปดูพระพุทธเจ้าองค์ไหนๆ พระสาวกองค์ไหนเป็นอย่างไรไม่ต้องดู เหมือนแม่น้ำตกลงในมหาสมุทรลงเป็นมหาสมุทรด้วยกันหมด จะไปถามตรงไหนฝนเม็ดนี้ตกมาจากไหนๆ ไม่ต้องถาม ดูมหาสมุทรทีเดียวเป็นอันเดียวกันแล้ว จิตที่หลุดพ้นแล้วเข้าผางถึงมหาวิมุตติมหานิพพานเป็นอันเดียวกันแล้ว ท่านจะถามหาพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกที่ไหนอีก ก็มันเป็นอันเดียวกันแล้วนั่น ถามกันหาอะไร จำให้ดีนะคำพูดนี้ ใครเอามาพูดคำพูดเช่นนี้ ไม่มีใครพูดแหละ มันเป็นขึ้นในใจมันพูดได้ จะพูดไม่ได้อย่างไร ก็มันเป็นอันเดียวกันแล้ว เอาละเท่านั้นพอ จะให้ศีลให้พร จะไปธุระอีก

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก