เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
จิตเรารู้สึกว่าไปช้า
แหม่มคนนี้เขามาจากไหน (มาจากประเทศเบลเยี่ยมค่ะ เขาภาวนามา ๔ ปี) แล้วเป็นอย่างไรภาวนา ๔ ปี เขาภาวนาด้วยบทธรรมอะไร ด้วยวิธีใด (เขาบอกเขามาตามสมาธิภาวนาของเขาเจ้าค่ะ) ถ้ามีสติตั้งอยู่กับอะไรในร่างกายของเรานี่ถูกทั้งนั้น ให้มีสติตั้งอยู่กับร่างกาย จะเป็นอะไรก็ตาม ร่างกายเป็นสัจธรรมพาเดินเพื่อพระนิพพานด้วยกัน เช่นอย่างกำหนดลมหายใจก็ร่างกาย กำหนดอาการใดก็ร่างกาย เป็นทางก้าวเดินเพื่อนิพพานเหมือนกันหมด
พระพุทธเจ้าทรงกำหนดอานาปานสติ ท่านถือเอาสัญญาที่เคยประทับนั่งอยู่ต้นหว้าใหญ่ที่พระราชบิดาพาไปแรกนาขวัญ ท่านประทับนั่งภาวนาด้วยอานาปานสติ จิตสงบแปลกประหลาดอัศจรรย์ ว่าอย่างนั้น แต่เวลาออกไปบำเพ็ญโดยลำพังพระองค์เองกลับระลึกไม่ได้ ก็ทำทุกแบบทุกฉบับจนสลบไสล ไม่ถูกทาง จึงมาระลึกได้พร้อมกับเสวยพระกระยาหาร ได้อดพระกระยาหารมา ๔๙ วัน แล้วเสวยพระกระยาหารใต้ร่มโพธิ์ใหญ่ ทำให้ระลึกได้อานาปานสติ จะเอาอันนั้นละมาตั้งลงที่นี่ เป็นกับตายก็มอบที่นั่น ที่นี่เป็นที่ตรัสรู้หนึ่ง เป็นที่ตายหนึ่ง ถ้าไม่ตรัสรู้ก็ตายไปเลย พอดีถูก กำหนดอานาปานสติได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นที่นั่น ใต้ร่มโพธิ์
ธรรมของพระพุทธเจ้านี้ถูกต้องในสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกดินแดน ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยกีดขวางใคร ขอให้นำมาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าของเราผู้ค้นพบธรรมอันเลิศเลอก็กำหนดอานาปานสติ จากนั้นก็แล้วแต่ท่านผู้ใดจะกำหนดอะไรตามอัธยาศัยที่ชอบ อย่างพระที่บวชท่านบอก เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ จะเอาอะไรๆ ก็ได้ ทีแรกจะเป็นบทบริกรรมก็ได้ เกสาๆ หรือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อย่างนี้ก็ได้
ทีนี้พอจิตสงบเย็นเป็นวิปัสสนาแล้ว เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็เป็นทางเดินของวิปัสสนาของปัญญาไป เวลาแรกๆ กำหนดเป็นคำบริกรรมเพื่อสงบจิต ให้จิตเกาะอยู่กับคำบริกรรม เช่นเกสาๆ หรือโลมา นขา ทันตา ตโจ บทใดก็ตามให้จิตอาศัยอยู่นั้น จากนั้นจิตมีความสงบผ่องใสแล้วกระจายออกเป็นวิปัสสนา เกสาก็ตีกระจายไปหมด โลมา นขา ทันตา ตโจ ตีกระจายทั่วโลก เป็นวิปัสสนาไปแล้ว
พุทธศาสนาสำคัญอยู่ที่การภาวนา อย่าเห็นแก่ตำรับตำราอย่างเดียว เราไม่ประมาท ตำรับตำราก็ชี้เข้ามาหาตัวเราเอง เราอ่านแต่ตำราไม่ได้อ่านตัวเองก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ตำราท่านชี้เข้ามาหาตัวเรา ผู้ต้องการมรรคผลนิพพานคือตัวเราเอง ท่านชี้เข้ามาแต่เราไม่ทำ เรียนจำไปเฉยๆ สุดท้ายเป็นกิเลสไปเลย เป็นเครื่องมือของกิเลส เรียนได้มากเท่าไรยิ่งเย่อหยิ่งจองหอง กิเลสเป็นอย่างนั้น เรียนธรรมเพื่อแก้กิเลสเรียนเท่าไรยิ่งกระจ่างออกๆ ปล่อยออกๆ เรียนธรรมเพื่อกิเลสเรียนเท่าไรยิ่งทิฐิมานะสูง มันเป็นกิเลสอยู่ในนั้น
เราไปได้เบื้องต้นก็วัดโยธานิมิตร เป็นเครื่องหมายทีแรกละที่ไม่เคยเลยภาวนา มาก็ลงอัศจรรย์ที่นั่นแห่งหนึ่ง จากนั้นก็เอาใหญ่แต่มันไม่ได้ เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีเป็นได้ ๓ หน เพราะไม่มีเวลาพอ พอได้เวลาสละมานี้ก็เป็นเวลาที่จะหมดสิ้นไปแล้วการหลับนอน พอออกละที่นี่นะ แต่จิตนี้มุ่งไว้แล้ว ได้หลักเกณฑ์แล้ว เป็นอจลศรัทธา เชื่อไม่หวั่นไหวในผลที่เราปรากฏตั้งแต่อยู่วัดโยธานิมิตร จิตสว่างจ้าขึ้นมาเลย ไม่เคยคาดเคยคิดที่เรากำหนดพุทโธๆ จากนั้นมาเป็นที่ไหนอีก เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีเป็น ๓ หน ออกจากนั้นมาแล้วทีนี้เอาใหญ่เลย พอจับติดไว้แล้วไม่เคยปล่อย จากนั้นมาขยำใหญ่เลยก็ได้ ได้เรื่อยๆ
ธรรมดาจิตมันเป็นอยู่อย่างนี้ มันแส่หาอารมณ์ ส่วนมากมีแต่อารมณ์เป็นพิษเป็นภัยต่อจิตใจ ใจจึงได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน ถ้าเอาธรรมมาเป็นอารมณ์แล้วใจจะสงบลง มีธรรมเท่านั้นเป็นน้ำดับไฟ พอเราภาวนาจิตค่อยสงบลงๆ พอสงบลงมากแล้วก็สว่างไสวขึ้นมา จิตมันไขว่มันคว้ามันไม่มีที่ยึดที่เกาะท่านจึงสอนให้..ทางพุทธศาสนาสอนอย่างแม่นยำเลยว่าคำบริกรรม จะเป็นคำใดก็ตาม พุทโธ ธัมโม สังโฆ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ หรืออาการใด ๓๒ แม้ที่สุดว่าตายๆ เท่านั้นก็เป็นคำบริกรรมได้ จิตสงบได้
จิตเรานี้รู้สึกว่ามันไปช้าๆ นะ หากไปอย่างกว้างขวางไปอย่างละเอียดลออ นี่ละจิตไปช้า มันได้พิจารณาทุกสัดทุกส่วนเทียบเคียงเหตุผลเรื่อยไป ตั้งแต่เริ่มต้นจิตไม่สงบ เอาสติจับปุ๊บเข้าไปเลย คือเราเอาเอาจริงๆ นะว่าไม่ให้เผลอ ไม่เผลอจริงๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่ยอมให้เผลอ เพราะฉะนั้นจึงทราบได้ชัดว่ากิเลสมันจะหนาแน่นเท่าภูเขาก็เถอะ สติตีลงไปนี้หมอบราบ ขึ้นไม่ได้ กิเลสมันออกจากสังขารความปรุง ความปรุงออกจากอวิชชา อวิชชาดันให้มันคิดมันปรุง ทีนี้สติจับเอาไว้ๆ หรือเอาคำบริกรรมมาบังคับเอาไว้ สติติดแนบ กิเลสก็เกิดไม่ได้ ก็ค่อยสงบๆ
เพราะฉะนั้นการทำความเพียรจึงหนีสติไปไม่ได้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ให้ดี สติเป็นพื้นฐานแห่งความเพียร ไม่ว่าจะภาวนาในธรรมบทใด สติจับติดๆ แล้วจะตั้งฐานแห่งความสงบได้ ถ้าสติเผลอๆ แพล็บๆ เผลอไม่ได้เรื่องนะ ตั้งรากตั้งฐานไม่ได้ เดี๋ยวตายทิ้งเปล่าๆ สติจับให้ติด เมื่อสติไม่เผลอกิเลสเกิดไม่ได้ ต่อไปจิตก็สงบขึ้นได้ ให้พากันตั้งใจภาวนา
เราภาวนาทดสอบมาทุกอย่าง กว่าจะมาได้หลักก็ได้เพราะสติ แน่ะอย่างนั้นนะ เจริญแล้วเสื่อมๆ ปีกับห้าเดือน พอไปถึงที่แล้วพังลงเลยนะ อะไรห้ามไม่อยู่ๆ สุดท้ายจะเป็นเพราะเราไม่มีคำบริกรรม ไม่มีสติติดแนบกันไป มันจะเผลอเพราะเหตุนี้ แล้วก็เสื่อมได้เพราะเหตุนี้เอง ทีนี้ไม่ให้เผลอ สติจับติดเลย แต่นิสัยเราชอบพุทโธ พุทโธกับสตินี้ติดกันตลอดๆๆ ทีนี้จิตมันจะคิดทางกิเลสมันก็คิดไม่ได้ เพราะความคิดจิตทำงานอันเดียวพอหมุนมาทางธรรมแล้วก็เป็นงานของธรรม ถ้าเผลอจากธรรมปั๊บเป็นงานของกิเลส ทีนี้บังคับเข้าสู่ธรรมอย่างเดียว จิตก็สงบได้ สติเป็นสำคัญนักภาวนา
อย่ามาฟังลอยๆ นะ พูดมาด้วยเหตุด้วยผล ได้ทำมาแล้ว ถ้าใครสติดีจะตั้งได้ มันจะเหาะเหินเดินฟ้าไปไหนก็ตามเถอะ กิเลสพาจิตเหาะเหินเดินฟ้าลงตามดินบินบนลงนรกอเวจีไปไหนก็ไปเถอะ ถ้าลงสติได้จับติดแล้วฉุดขึ้นมาจนได้นั่นแหละ เอาสติให้ดี ภาวนาต้องสติเป็นสำคัญ ถ้าสติตั้งดีแล้วจิตจะค่อยสงบๆ จากความสงบแล้วก็สว่างไสวขึ้นมา ถ้าสติขาดไม่ดี ดังที่พระพุทธเจ้าท่านสอนพระโมฆราช สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต ให้มีสติทุกเมื่อ ฟังแต่ว่าทุกเมื่อ พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่า แล้วพ้นจากทุกข์ไปได้เลย ถ้าไม่มีสติแล้วไม่เป็นท่า ให้พากันตั้งสติ การภาวนาสำคัญอยู่ที่สติ สตินี้เป็นสำคัญมากทีเดียว
วันนี้ไม่พูดอะไรมากละ วันไหนพูดทุกวันๆ เหนื่อย เอาแค่นี้ละวันนี้ ให้พรแล้วเราจะไปธุระของเรา
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz |