เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๕๐
เราไม่ได้อวด
จากวัดเรานี้ไปห้วยทราย ๓ ชั่วโมงพอดี ไกลนะ ทางก็ดี พอไปนี่แวะกุมภวา ตัดศรีธาตุออกวังสามหมอ พุ่งออกสี่แยกสมเด็จ เลยสี่แยกสมเด็จไป ๘๐ กิโลพอดีแล้วแวะเข้าวัด ไกล เราไปอยู่ห้วยทรายถึง ๔ ปี ห้วยทรายสงัดดี อยู่ตีนเขา บ้านห้วยทรายอยู่ทางด้านตะวันออก ภูเขาอยู่ทางด้านตะวันตก วัดอยู่ทางทิศเหนือของภูเขา จำพรรษาปีแรกเราขึ้นไปจำพรรษาบนเขากับเณรภูบาล เดี๋ยวนี้เป็นมหาแล้ว พอถึงเวลาที่จะประชุมก็ลงจากภูเขาไปประชุมที่วัดตีนเขา ทางผ่านแต่ก่อนไม่มี ลงจากภูเขาก็เข้าวัดตีนเขา ไปอยู่นั้น ๔ ปี ๒๔๙๓ จำ(พรรษา)หนองผือ ๒๔๙๔-๒๔๙๗ จำห้วยทราย จากนั้นก็มาเอาโยมแม่บวชแล้วไปจันท์ ออกจากจันท์ก็มาสร้างวัดที่นี่ ๒๔๙๙ จำพรรษาที่นี่ ได้ ๕๐ ปีแล้วสร้างวัด
ต้นไม้นี่ใหญ่โตแล้ว แต่ก่อนไม่มี ถูกเขาทำลายทำสวน ป่าราบไปหมด ๕๐ ปีได้ขนาดนี้ต้นไม้ เรียกว่าเป็นคนละโลกไปเลย มาอยู่ที่นี่ทีแรกเป็นป่าเบญจมาศป่าอะไร พอมาสร้างวัดต้นไม้ก็ขึ้นขนาดนี้ ๕๐ ปี ดงต่อกันนะ นานี่ไม่มี เป็นดงต่อไปเป็นดงใหญ่ พวกหมู กวาง เก้ง หมี เสือ สร้างวัดทีแรกมันผ่านเข้ามาในวัด มันเดินผ่านทางที่เข้าบ้านเสือโคร่งใหญ่ ก็ป่าเขานี่มันผ่านไปผ่านมา หายหมดนะเสือเหล่านี้ แรกๆ พวกหมี พวกเสือโคร่ง ผ่านไปผ่านมา
ท่านแสวงดูว่าไปตายที่วัดเขาน้อยละมั้ง กลัวหมี ทีแรกมันออกมากุฏิเรา กุฏิเราเป็นกระต๊อบ พอมาเจอกุฏิเราเข้าตีสาม มันจะข้ามไปดง ข้ามไปข้ามมาหมีใหญ่ แล้วมันเลาะไปเจอกุฏิท่านแสวง โอ๊ย ตัวใหญ่ตัวดำๆ เดือนหงายๆ มันออกมาหาเราแต่ยังไม่ทันเห็นเรา เสียงมันดังโครมครามๆ มาเจอกุฏิเราแล้วก็เลาะไปเจอเอากุฏิพระแสวง กุฏิมีแต่กระต๊อบนะ พระแสวงยืนตัวสั่นอยู่ในกระต๊อบ มันออกมาเจอกระต๊อบมันก็หลบอีกมันไม่ผ่าน หลบไปทางนู้นหมีใหญ่ มีสองสามตัวรอยมันผ่านไปผ่านมา เดี๋ยวนี้หมดเสือไม่มี พวกสัตว์เนื้อหมด เขาตั้งอำเภอแถวนั้นแหละดงใหญ่
วัดนี้สร้าง ๒๔๙๙ จำพรรษาที่นี่ เดี๋ยวนี้ ๒๕๕๐ ดูจะ ๕๒ ปีแล้วสร้างวัด สงัด แถวนี้ไม่มีต้นไม้ เป็นพุ่มหมดเลย ใหญ่ขนาดนี้ต้นไม้ มันเป็นดงเก่าเขามาทำไร่ทำสวน เตียนโล่งไปหมด พอเรามาสร้างวัดที่นี่มันขึ้นใหม่นะนี่ ต้นใหญ่ๆ ขึ้นใหม่หมดเลย ประมาณ ๕๐ ปี พระก็ดูเหมือน ๑๒ องค์ ปีแรกมาอยู่นี่ ๑๒ องค์ เรารับจำกัด ๑๘ องค์ แต่ก่อนพระเณรมีจำนวนมาก ครูบาอาจารย์มี ไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ พอองค์นั้นล่วงไปองค์นี้ล่วงไปก็ไหลเข้ามาหาเรา จาก ๑๘ รับ ๒๐ จาก ๒๐ เตลิดเลยเป็น ๕๐ กว่าตลอดมา
ครูบาอาจารย์แต่ก่อนอย่างหลวงปู่ขาว พระเณรก็ไปเต็มอยู่นั่น หลวงปู่ฝั้น เต็มอยู่นั่น หลวงปู่อ่อน เหล่านี้เต็มทั้งนั้นละ พอองค์นั้นล่วงไปองค์นี้ล่วงไปไหลเข้ามาๆ พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกถึงหลวงปู่ขาว ท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์ท่านฉลาด ไปในงานอำเภอหนองบัวลำภู ท่านสั่งเลยว่าให้เราไปงานนี้ แล้วหลวงปู่ขาวก็ไปในงานนี้ คือท่านจะให้เราสององค์พบกัน พอไปท่านก็มาบอกเลยว่าวันนี้ไม่ต้องลงไปงาน ให้อยู่สบายๆ ท่านสั่งไว้หมด กระต๊อบหลวงปู่ขาวอยู่นั้น เป็นร้านอยู่นั้น ร้านเราอยู่ที่นี่ติดกัน
พอถึงเวลาแล้วเขาก็ลงไปงาน เราไม่ไป ท่านอนุญาตให้เป็นพิเศษเลย มหาบัวกับท่านขาวไม่ต้องไปจะได้พูดได้คุยธรรมะกัน เพราะท่านทราบอยู่แล้วว่าสององค์นี้เตรียมพร้อมที่จะคุยธรรมะกัน ไปก็เอาจริงๆ เพราะเป็นโอกาสอันดีที่สุดว่างั้นเถอะ พอสองทุ่มไปในงานเราก็เข้าไปหาท่านอาจารย์ขาวคุยธรรมะกับท่าน ไล่แต่ ก.ไก่ ก.กา ตลอดเลยการภาวนาของเรา จนกระทั่งสุดขีด เราเล่าคนเดียวตั้ง ๓ ชั่วโมง ลำดับลำดาของจิตเล่าถวายท่านหมด เอ้า ถ้าติดหรือข้องตรงไหนที่เล่าถวายครูบาอาจารย์ให้ว่ามาเลย สุดขีดเท่านี้ความสามารถของผม ถ้าว่าติดก็ติดอย่างตายใจเลย ไม่หาอะไรอีกแล้ว สุดขีดเพียงเท่านี้ หมดที่จะหา พูดอย่างเต็มเหนี่ยวเลยเรา
เราเล่าตั้งแต่ ก.ไก่ ก.กา เรื่อยๆ ไปจนกระทั่งถึงที่สุดความสามารถของเรามอบถวายท่าน ท่านก็เล่าให้ฟังไม่นาน ท่านตอบรับเรา มีอยู่สองจุดเท่านั้นท่านว่า ท่านมหาก็ผ่านไปหมดแล้วโดยชอบธรรม ผมก็เป็นอย่างนั้นแหละ พอดีแม่ชีมันไปนั่งอยู่ข้างนอกซิ แม่ชียุวดี จันทบุรี เราไม่รู้นึกว่ามีสองคนกับท่าน มีฝากั้นอยู่ แล้วก็มีตั่งที่นั่งอยู่ข้างล่างข้างนอก มันก็นั่งอยู่ที่ตั่งนั่นละ เราอยู่ในฝามันอยู่นอกฝา คุยอะไรมันก็รู้หมด พอเล่าเสร็จเรียบร้อยแล้วเบนคำพูดไปทางอื่น มันใครนี่น่ะ ดิฉัน ชื่อว่ายังไง ยุวดี มาตั้งแต่เมื่อไร มาแต่สองทุ่ม โอย หมดตับเลย
แล้วก็ไปโม้ข้างนอก อู๊ย ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์เปิดเผยธรรมะต่อกัน ท่านอาจารย์มหาบัวขึ้นก่อนสองสามชั่วโมง จากนั้นท่านอาจารย์ขาวก็ขึ้นจนกระทั่งจบ เบนคำพูดไปทางอื่นทางไหนแล้ว เห็นว่าเต็มอิ่มแล้วก็เลยกระแอม ท่านอาจารย์มหาบัวคงจะโมโหใหญ่ ใครๆ ยุวดี มาจากไหน มาในงานนี้แหละ มาแต่เมื่อไรมาที่นี่ มาแต่สองทุ่ม หมดตับเราก็ว่างี้ มันฟังหมดเลย คือไขต่อกันเต็มที่เลย ลงใจสุดขีดร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกัน ไปในงานนี้ละ ขบขันดี เขาแอบนั่งฟังอยู่ข้างนอก เราก็ว่าเราถนัดใจซัดกันสองต่อสอง ที่ไหนได้เขาไปกินอิ่มอยู่ข้างนอก
พูดถึงเรื่องหลวงปู่ขาว ท่านเป็นอยู่ที่โรงขอด ท่านเล่าให้ฟัง ที่อำเภอแม่แตงหรืออะไรเชียงใหม่ ท่านบอกว่าไปเป็นอยู่ที่โรงขอด เราก็บอกตรงๆ เลยเราเป็นอยู่ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ ไม่มีอะไรค้านกัน รื่นเริงบันเทิงกัน เพราะธรรมะทางภาคปฏิบัติผิดที่ไหนจะรู้กันทันทีๆ เลย เราก็เล่าถวายท่านสุดขีดของเราเลย เราเป็นฝ่ายเล่าถวายท่านก่อน เสร็จอะไรก็มอบถวายท่านเลย จะขัดข้องอะไรก็ให้ครูบาอาจารย์ ไม่ต้องเกรงใจ ให้บอกมาเลย เวลานี้สุดแล้ว ถ้าว่ากำลังก็สุดจนกระทั่งไม่แสวงหาอะไรอีกแล้ว ถ้าหากว่าหลงก็หลงเต็มที่เราก็ว่างั้น
ท่านก็ตอบรับด้วยความเป็นมงคล เออ ตายใจแหละท่านว่า ท่านก็เล่าของท่านย่อๆ นิดหน่อย เพราะอะไรๆ ท่านมหาก็เล่าไปหมดแล้ว ท่านเลยเล่าย่อๆ ให้ฟังนิดหน่อย ท่านไปเป็นที่โรงขอดท่านว่า โรงขอดนี้อยู่ที่อำเภอแม่แตง เวลามันจะเป็นท่านออกไปอาบน้ำไปเห็นข้าวเขาเป็นรวงแก่แล้ว ท่านก็เอาข้าวมาพิจารณา ปัญญาขั้นนี้เป็นปัญญาหมุนตัวเองนะ คือเจออะไรมันจะเป็นสติปัญญาขึ้นมาเพื่อแก้ตัวเองๆ ท่านเอาข้าวมาพิจารณา เกิดเป็นข้าวแล้วก็หมุนไปหมุนมา เป็นข้าวแล้วเอาไปหว่านเป็นกล้าๆ ก็เป็นต้นข้าวแล้วเป็นข้าวแก่ ท่านก็หมุนไป วัฏวนของจิตก็เป็นอย่างนี้ๆ ท่านพิจารณา เลยบรรลุธรรมในเวลานั้น ในคืนวันนั้น ท่านเล่าให้ฟังว่าโรงขอด เราก็เล่าถวายท่านว่าที่วัดดอยธรรมเจดีย์
เวลาท่านจะจากที่นั่นไป มันแปลกนะท่านมหา ผมจึงระลึกได้ทันทีเลย อย่างต้นโพธิ์เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เพราะฉะนั้นท่านถึงยกต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงกันกับพุทธศาสนา ท่านเห็นบุญเห็นคุณของต้นไม้นั้น เราก็เหมือนกันเห็นบุญเห็นคุณของกุฏิกระต๊อบหลังเล็กๆ เวลาจำเป็นที่จะจากไป ไปแล้วยังหันหน้ากลับมาดูอีก เป็นความอาลัยอาวรณ์ท่านว่า เพราะกุฏินี้เป็นสถานให้บุญให้คุณแก่เรา มันก็เข้ากันได้เลยกับต้นโพธิ์เป็นคู่เคียงของพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม อย่างที่ท่านอาจารย์ขาวบอกว่า กระต๊อบที่โรงขอดเป็นที่ตรัสรู้ธรรมเหมือนกัน
เราก็วัดดอยธรรมเจดีย์ ธรรมดาแต่ก่อนพอไปถึงปั๊บจะขึ้นกุฏิกระต๊อบหลังนั้นเลย เดี๋ยวนี้ขึ้นไม่ได้แล้ว กระเทือนใจตลอดไม่มีถอนนะวัดดอยธรรมเจดีย์ ของเราเป็นเวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดีเลย โห ฟ้าดินถล่มไม่ใช่เล่นนะ คือระหว่างจิตกับกิเลสพรากจากกัน ระหว่างจิตกับกายกระเทือนมากนะ ตัวนี้กระเด็นเลยเทียว พุ่งเลย นั่นละที่ว่าเป็นเหมือนฟ้าดินถล่ม ฟ้าดินเขาก็อยู่ธรรมดาเขานั่นแหละ แต่มันเป็นระหว่างกายกับจิต ระหว่างกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน แล้วจิตกับกายมันกระเทือนกัน กระเทือนไปหมดเลย โถ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย วัฏจักรวัฏจิตขาดจากกันนี้รุนแรงมากสำหรับเรา
องค์เหล่านั้นก็เป็นเรียบๆ อย่างท่านสิงห์ทอง องค์นี้เรียบ ท่านมาเล่าให้ฟัง เล่าจนกระทั่งถึงที่สุดของท่าน ที่สุดของท่านกับเราไม่มีอะไรค้านกัน เวลาปฏิบัติมันค่อยละเอียดเข้าไปๆ หมดไปๆ เลยหายเงียบเลยท่านว่า เลยไม่ทราบว่าสิ้นเมื่อไร แต่ผลที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้เรียกว่ามันหายสงสัยทุกอย่างแล้ว เราพิจารณาตามที่ท่านเล่าให้ฟังไม่ผิดเลย แต่การดำเนินเป็นไประยะๆ ของท่าน ท่านบอกว่าเรียบๆ อันนี้ถ้าจะเทียบตามตำราก็ว่า สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต กิริยาความไหวของขันธ์ของจิตนี้จะต่างกัน ท่านจึงบอกไว้ถึง ๔ อย่าง อย่างท่านสิงห์ทองเรียบไปเลย จนเจ้าของก็ไม่รู้ว่ามันสิ้นเมื่อไร เรียบไปเลย เวลามาเล่าผลเราก็ยอมรับว่าผลนั้นเหมือนกันหาที่ค้านไม่ได้ เอาละกิริยานั้นก็ช่างมันเถอะ
ในพระอรหันต์ ๔ ท่านก็แสดงไว้แล้ว สุกขวิปัสสโก นี่จำพวกหนึ่ง เตวิชโช ได้วิชชา ๓ พวกหนึ่ง ฉฬภิญโญ ได้อภิญญาณ ๖ เป็นเครื่องประดับ นี้อันหนึ่ง แล้ว จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต นี่เป็นอรหันต์ ๔ จำพวก อยู่ในจำพวกไหนก็แล้วแต่ เป็นจำพวกที่สิ้นกิเลสด้วยกันนั่นแหละ เราก็ไม่ได้ค้านท่าน ทีนี้เวลาท่านล่วงไปอัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ ประกาศแล้วนั่น ถ้าลงอัฐิกลายเป็นพระธาตุแล้วหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง เปิดเผยแล้วในความเป็นอรหันต์ เปิดเผยเต็มที่
สำหรับเรามันรู้สึกจะมีแปลกๆ ต่างๆ อยู่อะไรก็ดี เวลาเป็นนี้ก็เหมือนว่าฟ้าดินถล่มเลย เป็นอย่างนั้นนะ มันกระเทือนหมด แต่ฟ้าดินเขาก็อยู่ธรรมดา มันเป็นระหว่างจิตกับกาย มันไหวๆ อย่างแรง ระหว่างกิเลสกับจิตขาดสะบั้นจากกัน ระหว่างกายกับจิตทำงานต่อกันมันกระเทือนมากสำหรับเราเอง ตั้งแต่นั้นมาก็หมดปัญหาดังที่ว่า สนฺทิฏฺฐิโก ครั้งสุดท้ายไม่มีอะไรอีกเลยตั้งแต่นั้นมา เวลาเป็นขึ้นทีแรกก็หายสงสัยแล้วตัดสินขาดสะบั้นไปแล้ว ต่อมานี้มันจะมีอะไรมาแทรกอีกไม่มีเลย หมดโดยสิ้นเชิง
นี่ละการปฏิบัติธรรม ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติอยู่มรรคผลนิพพานจะอยู่ที่ไหน ถ้าไม่อยู่กับโอวาทคำสอนของพระพุทธเจ้า อยู่กับพุทธศาสนา พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเข้ามาทำลายได้เลย ขอให้ปฏิบัติเถอะ ที่มันไม่ปฏิบัติมันเที่ยวหาให้คะแนนตัดคะแนนของผู้ปฏิบัติด้วยความหน้าด้านหน้ามืดของมันซิ มันน่าทุเรศนะเดี๋ยวนี้ อย่างที่เขาเล่าให้ฟัง มันระบุชื่อออกมาด้วย มันบอกว่ามันจะมาฟ้องเราว่าอวดอุตริมนุสสธรรม อวดตนว่าได้เป็นพระอรหันต์
เราก็ไม่ได้อวดใครเราก็พูดธรรมดากับลูกศิษย์ลูกหา ผู้มีเจตนาหวังอรรถหวังธรรม ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายสอนโลก ท่านก็สอนอย่างนั้น อันนี้ก็สอนแบบเดียวกัน ใครอาจจะมาฟ้องเราว่าเป็นสังฆา ปาราชิก ทางนี้ก็รับกันเลยว่าให้ยกมาทั้งโคตร ถ้ามีโคตรให้ยกโคตรมาเลยมาฟ้องหลวงตาบัวว่าเป็นปาราชิก เพราะอวดอุตริมนุสสธรรม เราก็มีโคตรเหมือนกันเราก็บอก มันตลกไปด้วย ก็มันไม่มีอะไรกับโลก ถึงจะว่าอะไรก็ว่าเฉยๆ เมื่อมันสิ้นสมมุติแล้วจะเอาอะไรมามี คำว่าฟ้องสังฆา ปาราชิก มันก็ไม่มี เพราะอันนี้เป็นสมมุติ อันนั้นมันผ่านไปหมดแล้ว แต่นำมาเป็นสมมุติรับกัน ว่าให้ยกโคตรมามาฟ้องเรา ยกมาเฉยๆ ไม่มีอะไร ก็เป็นอย่างนั้น
ลงมันได้ถนัดกับจิตใจเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ขั้นสุดท้าย คือรู้ผลงานของตัวเองโดยสมบูรณ์แบบแล้วก็หมด พระพุทธเจ้าอรหันต์ท่านไม่ถามใคร พอตรัสรู้ขึ้นมาก็เป็นศาสดาขึ้นทันที สาวกตรัสรู้ขึ้นมาก็เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าทันทีๆ เหมือนกัน ธรรมะคงเส้นคงวาหนาแน่นไม่มีอะไรเคลื่อนคลาดเลย กิเลสก็เป็นกิเลสประเภทเก่า ธรรมะก็เป็นธรรมะประเภทเก่า ที่เคยแก้กิเลสให้ขาดสะบั้นมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลจนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย นอกจากกิเลสมันหน้าด้านของมัน เพราะกิเลสเป็นตัวหน้าด้านมาแต่ไหนแต่ไร มันบอกว่าเวลานี้ศาสนาหมดเขตหมดสมัย ไม่มีบุญมีบาป ไปทำบุญทำบาปไม่ได้บุญได้บาปอะไร บาปนรกไม่มี สวรรค์ไม่มี อะไรไม่มี นี่พวกตาบอดที่สุดหนวกที่สุดหมดราค่ำราคา ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอดๆ ตายแล้วจมเลย
จมที่ว่าไม่มีนั่นละ ลงไปตรงนั้นจะไปไหน ก็คนตาบอดมันจะไปที่ปลอดภัยอะไร มันก็ต้องไปหาอันตรายซิ ตกหลุมตกบ่อชนไม้ชนเสาไปละซิ นั่นคนตาบอด จิตประเภทจิตบอดก็เป็นอย่างนั้น จิตของท่านผู้รู้แจ้งเห็นจริงท่านจะไปติดอะไร ไม่มีอะไร สมมุติสามแดนโลกธาตุผ่านได้หมดแล้ว แล้วจะมาโดนกับสมมุติตัวใดเป็นภัยล่ะ ไม่มี
สดๆ ร้อนๆ พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน อยู่กับคำสอนพระพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติตามนั้น สวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สวดอยู่ทุกวัน ตรัสออกมาย่อๆ ก็ว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ไม่มีที่จะขัดจะแย้งหรือไม่มีที่จะเพิ่มเติมหรือส่งเสริมตรงไหนอีก เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ขอให้ปฏิบัติตามนี้เถิด มรรคผลนิพพานจะเป็นของผู้ปฏิบัติเสียเอง ไม่มีใครจะแบ่งสันปันส่วนหรือตัดหรือคัดค้านต้านทานได้เลย ให้ปฏิบัติตามนั้น มีตลอดไปถ้ามีผู้ปฏิบัติตาม ถ้าไม่มีจะกอดชายจีวรของพระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
นี่เราก็จวนเข้ามาแล้ว ไปไหนมาไหนก็ลำบากลำบนแล้วเดี๋ยวนี้ ห่วงโลกก็ห่วงด้วยความเมตตา ไม่ได้อยู่ละวันหนึ่งไปๆ เพราะความเมตตา สำหรับเราเราหมดห่วงแล้ว เราไม่มีอะไร อย่างพาโลกดำเนินอยู่นี้เราก็ไม่หวังเอาอะไรทั้งนั้น เราไม่เอาจริงๆ ด้วย มีเท่าไรๆ เราโละหมดเพื่อโลกสงสาร อย่างทำบุญให้ทานเพื่อโลกทั้งนั้น เราไม่เอา เราพอ ไม่มีอะไรพออย่างเลิศเลอยิ่งกว่าหัวใจกับธรรมเข้าเป็นอันเดียวกันแล้วพอ พออย่างเลิศเลอ สิ่งเหล่านั้นมันเลิศเลอที่ไหน ถึงจะเอาเข้ามาเสริมมันก็ไม่เลิศเลอ แล้วจะเข้ากันได้ยังไง เพราะฉะนั้นนินทาสรรเสริญซึ่งเป็นของไม่เลิศเลอจะเข้ากับจิตดวงที่บริสุทธิ์เลิศเลอแล้วได้ยังไง เข้าไม่ได้ นั่น มันรู้อยู่ในหัวใจ
ศาสนาจะไม่มีเหลือเพราะไม่มีผู้ปฏิบัติ เหยียบไปย่ำมาอยู่งั้นละ ธรรมธาตุถูกกิเลสตัณหาเหยียบแหลก มรรคผลนิพพานไม่มีๆ ที่มีก็มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมความดิ้นความดีดทะเยอทะยานนั่นละ ที่เหยียบธรรมอยู่ทุกวันนี้ หาความสุขไม่ได้นะพวกนี้พวกหาความสุขไม่ได้ ท่านที่ถูกกิเลสเหยียบท่านไม่มีอะไร ก็มีแต่พวกกิเลสมาเหยียบแล้วก็เหยียบหัวมันเอง ไม่ใช่เหยียบพระพุทธเจ้า เหยียบหัวมันเอง จะไปเหยียบท่านได้ยังไง ท่านพ้นแล้วนี่ พากันตั้งใจปฏิบัตินะนักปฏิบัติเรา อย่ามาเร่ๆ ร่อนๆ หัวใจฝึกให้ดีดีได้ ทำให้เลวเลวได้ ใจเป็นของฝึกได้มาจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นศาสดาได้เพราะการฝึกฝนอบรม สาวกได้เป็นเพราะการอบรมศึกษา ไม่อบรมตายทิ้งเปล่าๆ มีแต่ลมหายใจฝอดๆ แตกลงไปนี้ก็เป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ใจก็ไปเสวยกรรมตัวเอง ซึ่งส่วนมากมักจะทำแต่ความชั่วจมลงๆ เท่านั้น หาความดีไม่มีติดตัวนะ เอาละวันนี้พูดเท่านี้ละพอ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz |