เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
เพราะได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์
เมื่อเช้าลง ๑๒ เมื่อวาน ๑๑ ครึ่ง ปรอทกุฏิเรา พอหนาวๆ นี้เราก็คิดถึงเรื่องเราอยู่ในป่า พวกหมูป่ามาหากิน เราภาวนาอยู่ในร้านเล็กๆ หมูป่ามาหากิน เที่ยวฟูดฝัดๆ เป็นฝูงนะ มาเป็นฝูง ๕ ตัว ๖ ตัว เชื่องนะเชื่องคน ไม่ค่อยกลัวนะพวกหมูป่า เราอยู่ในป่า เขามาเที่ยว เป็นยังไงไม่ทราบผ้าเหลืองน่ะ เราเดินจงกรมเขาก็มาเที่ยวตอนกลางวันไม่กลัวเรา มาหากิน หนาวๆ เขาก็เที่ยวหากินฟูดฝัดๆ ข้างร้านเรา ก็คนๆ เดียวอยู่ บริเวณเตียนโล่ง วัดรอบแล้วจะได้ ๑๐ เมตรเหรอ ที่เตียนโล่งรอบๆ หมูมันมาหากินฟังเสียงฟูดฝัดๆ ไม่ค่อยกลัวคน คงไม่กลัวพระ สำหรับคนกลัวมาก แต่พระคือผ้าเหลือง
พวกสัตว์นี้ถึงเขาเป็นสัตว์เขาก็เคยบวชเป็นพระมา เพราะฉะนั้นผ้าเหลืองไปอยู่ที่ไหนจึงรู้สึกว่าสัตว์เชื่องกับผ้าเหลือง เขาเป็นสัตว์เขาจะเคย ภูมิมนุษย์เขาเคยบวชเป็นพระ เพราะคำว่าพุทธศาสนานี้พระพุทธเจ้าเรียงลำดับมา ศาสนาพุทธนี้เรียงลำดับมาโดยลำดับ พวกสัตว์ทั้งหลายเขาก็เคยบวชเป็นพระมาแต่ก่อน เห็นผ้าเหลืองเขาจึงชินชา ตายใจ ผ้าเหลืองไปอยู่ที่ไหนนี้สัตว์เชื่องคุ้นคนได้ง่าย คุ้นพระผ้าเหลือง มาหากินตาม เราอยู่ในป่า เฉพาะหมูนี่สำคัญ เก้งไม่ค่อยเชื่องนักแต่อยู่รอบๆ หากไม่เชื่องเหมือนหมู หมูนี่เชื่องจนกระทั่งเห็นตัวเขา เราเดินจงกรมอย่างนี้เขาเที่ยวหากินกลางวัน เห็นตัวเขาอยู่ เขาไม่ค่อยกลัวเรา
เก้งมีห่างกันหน่อย หากอาศัยคน กลัวคน แต่หมูไม่ค่อยกลัว หมูนี่เชื่องง่าย เชื่องกับผ้าเหลืองกับพระ เก้งมีห่างกันหน่อยหนึ่งหากอาศัย หากไม่มาอยู่ใกล้เหมือนหมู หมูนี่อยู่ใกล้ ผ้าเหลืองนี่มันชินต่อหัวใจสัตว์ เพราะแม้เขาจะเป็นสัตว์เขาก็เคยบวช เขาเคยกับผ้าเหลืองมานาน เพราะมันเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ อย่างเป็นมนุษย์นี้ไปเป็นเปรตเป็นผีก็ได้ถ้าทำชั่ว ตกนรกอเวจีได้ ไปสวรรค์ชั้นพรหมได้ นิพพานได้ใจดวงนี้ละ ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนอบรม ถ้าฝึกฝนให้ดีๆ ก็สง่างามขึ้นที่ใจ
เราอย่าเข้าใจว่าอะไรจะสง่างามยิ่งกว่าใจ โลกมองตั้งแต่วัตถุภายนอก ไม่ดูใจที่เศร้าหมองมืดตื้อเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในใจ เป็นเศรษฐี กุฎุมพี สูงต่ำขนาดไหนก็ตาม แต่ใจห่างเหินจากธรรมแล้วมันร้อนอยู่ด้วยกันนั่นแหละ ถ้าใจมีธรรมแล้วอยู่ที่ไหนก็สบาย ธรรมอยู่ที่ไหนสบายทั้งนั้น เข้าสู่หัวใจคนสบาย สงบร่มเย็น ให้อภัยกันได้ง่ายๆ นิดเดียว ธรรมจึงเป็นสิ่งที่โลกตายใจมาตลอด
ใจเราก็เหมือนกันเวลามันดีดมันดิ้นนี้เหมือนกับสัตว์ไม่รู้จักเจ้าของ เวลามันดีดดิ้นมากๆ ฝึกทรมานเข้ามากๆ ค่อยเชื่องเข้าๆ สงบเย็น มาอาศัยใจนั่นละเย็นอยู่ที่ใจ อะไรเย็นก็สู้ใจเย็นไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนลงที่ใจ พุทธศาสนาสอนลงที่ใจ เพราะใจเป็นหลักใหญ่มาก ไฟบรรลัยกัลป์ ไฟนรกก็เผาหัวใจ ทั้งเป็นก็เผาทั้งตายก็เผา เมืองคนก็เผาเมืองผีก็เผา ถ้าธรรมเข้าสู่ภายในใจไม่เผา เย็นไปหมด ท่านจึงมีชั้นต่างๆ ไว้มาตั้งกัปตั้งกัลป์ กี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้ ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย
นรก สวรรค์ พรหมโลก มีมาดั้งเดิม จิตใจเข้าสู่ที่นั่นที่นี่ ขึ้นอยู่กับการอบรมไม่อบรม ถ้าไม่มีธรรมเลยก็ลงแต่ทางต่ำเรื่อยๆ ถ้ามีธรรมก็ดีดขึ้นสูงขึ้น เจ้าของสงบร่มเย็น พวกชาวพุทธเราไม่ได้มองดูใจนะ มองดูแต่โน้นแต่นี้ อันนั้นดีอันนี้ดี อันนั้นเจริญอันนี้เจริญ เจ้าของเป็นไฟไม่ดู ธรรมท่านให้ดูที่นี่ ถ้าที่นี่สงบเย็นแล้วที่ไหนเย็นหมดนั่นแหละ อยู่ในต้นไม้ ภูเขา ในถ้ำ เงื้อมผา สบายหมด อย่างพระกรรมฐานท่านอยู่ในป่าท่านมีทุกข์ที่ไหนในป่า ท่านสงบร่มเย็นด้วยอรรถด้วยธรรม พวกเราที่มั่วสุมกันอยู่ในตลาดคนนี้ ก็คือมั่วสุมอยู่กับตลาดแห่งกองทุกข์นั้นเอง
ท่านที่อบรมจิตใจท่านอยู่กับอรรถกับธรรม เย็นสะดวกสบาย แต่กิเลสมันตีเอาไว้ไม่ให้เข้าสู่ธรรม ถ้าจะให้ภาวนาบ้าง ๕ นาทีมันจะตายแหละ เหมือนจูงหมาใส่ฝน ร้องแหง็กๆ จูงเข้าห้องพระก็ร้องแหง็กๆ จะเข้ากราบพระสองสามนาทีก็ไม่ได้ ร้องแหง็กๆ กิเลสมันมีกำลังมากมันฉุดลากออก ทางกิเลสคือทางฟืนทางไฟ ทางอรรถธรรมนี่เป็นน้ำร่มเย็นภายในใจ
ดูหัวใจมันจึงรู้ กระจายไปหมด ดูที่อื่นไม่รู้ เราจะดูกว้างขวางขนาดไหนไปกี่ทวีปมา จะว่าคนนั้นได้เห็นโลกกว้างขวาง ก็ไม่กว้างขวางเหมือนผู้ดูใจตัวเอง ผู้ดูใจตัวเองนี้กว้างขวางมาก เพราะใจเป็นนักรู้นักเห็นสิ่งต่างๆ แม้เปรตแม้ผี สัตว์นรกอเวจีนี้ใจเห็นหมดเมื่อถึงขั้นที่จะเห็นแล้ว สวรรค์ชั้นพรหมเห็นหมด ทะลุปรุโปร่งไปหมด ใจถ้าได้รับการอบรมแล้ว ดังที่พ่อแม่ครูจารย์ท่านพูด ท่านอยู่ในป่าในเขาลึกๆ เวลาท่านเล่าต้องเล่าเฉพาะนะ ท่านไม่เคยพูดให้ใครฟังง่ายๆ เรื่องอย่างนี้ ต้องเป็นเหมือนพ่อแม่กับลูกในครัวเรือนเดียวกันพูดให้กันฟัง เราจะได้ฟังอย่างละเอียดลออ
ท่านว่าอยู่ในป่าในเขาท่านไม่ได้ว่าง ท่านว่างั้น ต้อนรับพวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม พวกเปรตพวกผี มาทุกแบบทุกฉบับมาขอส่วนบุญส่วนกุศล คำว่าบุญกุศลหรือธรรมนี้จึงไม่มีสัตว์ตัวใดรังเกียจ เข้ามาทั้งนั้นๆ เวลาท่านอยู่ในป่า ท่านบอกว่า อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ตอนเที่ยงคืนไปแล้วแก้ปัญหาและเทศนาว่าการสอนเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม พุทธกิจ ๕ ของพระพุทธเจ้า เวลาท่านพูดให้ฟังพ่อแม่ครูจารย์มั่น พอเงียบไปอย่างนี้ ท่านว่าเที่ยงคืนนั้นท่านพูดเป็นส่วนกลาง เวลาอยู่ในป่าในเขาหรือที่ลึกๆ ลับๆ ประมาณสัก ๔ ทุ่มมาแล้วพวกเทพ นั่น เพราะมันเงียบสงัดไม่มีใครมารบกวน พวกเทพทั้งหลายหลั่งไหลมาฟังเทศน์ท่าน นั่นเห็นไหมท่านผู้มีหูดีตาดี
ผู้ตาบอดมันอวดดี มันเที่ยวลบล้างไปหมด เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เปรตผีไม่มี นี่คือพวกคนตาบอด ผู้ตาดีท่านไม่ปฏิเสธท่านไม่ลบล้าง ท่านยอมรับหมดเลย พวกเปรตพวกผีก็ยอมรับ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมยอมรับหมด รับตามความเป็นจริงที่รู้ที่เห็นภายในจิตใจชัดเจนมาก การรู้ภายในใจไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน รู้ภายในใจรู้ชัดเจนมากทีเดียว นี่ละท่านเห็นอย่างนั้น อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านเล่าให้ฟัง ประมาณสักสี่ทุ่มแล้วพวกเทพทั้งหลายมา พวกรุกขเทพ พวกรุกขเทวดามี พวกอากาสเทวดามีตลอดเทวดาชั้นสูง เทวดาสวรรค์ชั้นพรหมมามาฟังเทศน์ท่าน
นั่นละเห็นไหมใจเวลาสว่างออกแล้วต้อนรับได้หมด เทบุตรเทวดาอินทร์พรหมเปรตผีรู้หมด ใจดวงนี้ละ พวกเปรตพวกผีเขาก็มีใจ พวกเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมก็มีใจ ใจต่อใจเข้าถึงกันๆ เมื่อปรับใจให้ถูกต้องดีแล้วรับกันได้หมด มันต่างกันนะ เพราะฉะนั้นท่านถึงให้อบรมทางด้านจิตใจ จิตใจนี้เป็นนักรู้ รู้อย่างกว้างขวางลึกซึ้งมากไม่มีอะไรเกินใจ ในโลกนี้มีหัวใจเท่านั้นที่กว้างขวางลึกซึ้งมาก ถ้าได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดีจะรู้กว้างขวางมากมาย ไม่มีอรรถมีธรรมรู้ไม่ได้
แต่ความรู้ภายในจิตใจของท่านผู้มีอรรถมีธรรมท่านรู้จักประมาณ ไปสถานที่หูหนวกตาบอดท่านบอดไปเสีย สถานที่ตาดีท่านก็แย็บออกๆ สถานที่ตาดีจริงๆ ด้วยกันแล้วเปิดโล่งเลย เป็นอย่างนั้นละ ท่านไม่ได้สุ่มสี่สุ่มห้า อะไรพวกเราที่ว่าไม่เห็นแล้วว่าไม่มีๆ ลบล้าง ลบล้างด้วยความตาบอดมันผิดกันนะ คนที่ตาดีไม่ลบล้าง ยอมรับๆ ตามสิ่งที่มีที่เป็นทั้งหลายยอมรับทั้งนั้น พูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเหล่านี้ พวกหูหนวกตาบอดนี้หัวเราะเยาะเย้ยกัน จอมปราชญ์ทั้งหลายท่านสลดสังเวชนะกับพวกคนตาบอดแล้วอวดดี
พวกตาบอดมักอวดดีเสมอ ตาดีแล้วมักไม่อวด ไปไหนที่ควรหลีกหลีก ควรเว้นเว้นไป พวกตาบอดนี้ชนไปเลยชนดะไปเลย แล้วอวดดีด้วยคนตาบอด พวกเรามันใจบอด ธรรมพระพุทธเจ้าเปิดเผยอยู่ ตลาดแห่งความรู้ความเห็น มรรคผลนิพพาน นรกอเวจีเปิดออกไปจากใจ ใจออกจากพุทธศาสนาที่ธรรมพระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว ปฏิบัติตามนั้นก็รู้เห็นตามนั้น ผู้ไม่รู้ไม่เห็นเอาตาบอดหูหนวกไปลบล้างซิ โลกถึงไม่เว้นจากความทุกข์ ไปที่ไหนมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน ท่านผู้รู้ผู้ฉลาดท่านไม่ได้ทุกข์นะ โลกทั้งหลายทุกข์ทางด้านจิตใจท่านไม่ทุกข์ ต่างกันอย่างนั้น
พูดให้มันชัดเจนนี่จวนจะตายแล้ว ตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจไม่เคยมีทุกข์ในหัวใจเลย พูดให้มันชัดเจน ที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้มาสอนเล่นๆ เหรอ ปฏิบัติแทบเป็นแทบตายจนกระทั่งจะสลบไสลก็มี เราก็เคยพูดให้ฟัง ไม่มีอะไรที่จะฝึกหัดยากยิ่งกว่าดัดสันดานกิเลส กิเลสตัวทรมานจิตใจ เอาธรรมเข้าตีกันๆๆ เวลากิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วแล้วจ้าละที่นี่ อะไรเข้ามาเป็นทุกข์ไม่มี มีแต่เรื่องกิเลส จอมสมมุติอยู่กับกิเลส เมื่อกิเลสขาดไปแล้วสมมุติขาดหมดไม่มีอะไรภายในใจ ไม่มีอะไรกวนใจ
แสนสุขก็คือท่านผู้รู้ผู้ฉลาด ดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน ท่านไม่มีทุกข์ในใจ ตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วท่านไม่มีทุกข์ มีก็มีแต่ธาตุขันธ์เป็นธรรมดา เจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อนนี่เป็นสมมุติประเภทที่ยอมรับกันทั่วโลก แต่ใจที่ขาดจากกิเลสทั้งหลายแล้วท่านไม่มีทุกข์ ตั้งแต่กิเลสขาดลงไปเท่านั้นบรมสุขขึ้นแทนทันทีเลย ดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน นิพพานๆ คือเที่ยงอยู่ที่หัวใจนั่นละ กิเลสนั่นละพาให้โยกเยกคลอนแคลนเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา แปรสภาพตลอดเวลาคือกิเลสคือสมมุติ กิเลสเป็นจอมสมมุติ พอกิเลสขาดลงไปแล้วไม่มีอะไรเข้าไปติดใจ ใจเที่ยงละที่นี่
เห็นอยู่กับใจผู้ฝึกฝนทรมาน ผู้ไม่ฝึกฝนทรมานก็มีแต่หัวเราะเยาะเย้ยกัน เขาจะไปวัดไปวา โอ้ นี่เขาไปวัดไปวานะ เอาละพวกนี้เขาไปสวรรค์นิพพานไม่มีใครมาแย่งปลาในบึงในบ่อพวกเราแหละ นั่นเห็นไหมล่ะมันประมาท พอตายแล้วมันไปหาปลาในบึงในบ่อที่ไหน นอกจากจะไปหาฟืนหาไฟในจอมนรก จอมนรกเอาไหมล่ะ ทุกข์มากไหม พวกที่พูดอย่างนี้พวกเหมานรกอเวจีเข้าสู่ใจ เขาไปวัดไปวาเขาไปสวรรค์นิพพานละที่นี่ พวกเราสะดวกสบายไม่มีใครมาแย่งปูแย่งปลาในบึงในบ่อ เวลาตายแล้วมันไปบึงไหนบ่อไหน เห็นแต่บึงบ่อนรกอเวจีนั่นละพวกนี้น่ะ มันโม้ไปเฉยๆ
กิเลสชอบโม้ ธรรมท่านไม่ชอบโม้นะ ท่านรู้เห็นตามเป็นจริง ควรพูดหนักเบามากน้อยท่านจะพูด ไม่ควรพูดเหมือนหูหนวกตาบอดไม่พูด เห็นอยู่ก็อย่างพระพุทธเสด็จไปไหนนี้เห็นไปหมด เวลาสาวกทั้งหลายรู้เห็นดังพระพุทธเจ้านี้ ไปเห็นเปรตเห็นผีเห็นอันใดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสิ่งไม่พึงปรารถนาแล้ว มาทูลเล่าถวายพระพุทธเจ้า เอ๊ย เราดูเราเห็นมาตั้งแต่เราตรัสรู้แล้วนู่นท่านว่า นั่นเห็นไหม แต่ท่านไม่พูด เวลาพูดท่านก็บอกว่าท่านเห็นตั้งแต่นู้นแล้ว เห็นนานเท่าไรตั้งแต่วันตรัสรู้แล้ว ไอ้พวกเราพึ่งมาเห็นนี้ โผล่ขึ้นมาไปทูลถวายพระพุทธเจ้าว่าพวกเปรตพวกผีเป็นอย่างนั้นๆ เช่นอย่างพระลักขณะเป็นต้น นี่เก่งทางดูพวกเปรตพวกผี พระลักขณะเก่งมาก โอ๊ย เราเห็นแล้วแต่ครั้งนู้นครั้งนี้
ยกตัวอย่างเช่น ภาวนาไปเห็นกาตัวหนึ่งจับอยู่บนต้นไม้ เขาหาบของไปจะไปถวายพระ ของนี้ยังไม่ถึงพระก็ตาม มันเป็นของสงฆ์ของพระไปแล้ว กาตัวนั้นจับอยู่นู้นลงมาโฉบเอาอาหารเขาไปกิน เขาจะเอาไปวัด มาโฉบอาหารเขาไปกิน ตายแล้วมันไปตกนรก ที่นี่ขุมนรกทางโน้นปากนรกทางนี้ กาตัวนั้นตกนรก ปากนรกตกอยู่นู้นหางกาตัวนี้อยู่ทางนี้ ไปถึงฝั่งนู้นฝั่งนี้ละ ปากมันไปเกาะอยู่ฝั่งนรกทางนู้น หางเกาะอยู่ฝั่งนรกทางนี้ พระลักขณะท่านไปเห็น โอ้โห อัศจรรย์ กาตัวนี้ทำไมตกนรกแล้วเป็นอย่างนี้ ผิดปรกติมากกับสัตว์นรกทั้งหลาย เลยไปทูลพระพุทธเจ้า โอ๊ย เราเห็นมาแต่นานแล้วละท่านว่างั้น กาตัวนี้มันไปขโมยโฉบกินอาหารของเขาที่เขาจะเอาไปถวายพระ ยังไม่ถึงพระเลย เป็นของพระของสงฆ์แล้วนะนั่น จึงเป็นบาปเป็นกรรม ตายแล้วมันถึงตกนรก จึงมาแสดงอย่างนี้
พระลักขณะท่านเห็นกาที่ตกนรกลงไป ปากเกาะอยู่ฝั่งนรกทางนู้น หางอยู่ทางนี้ นรกกว้างขนาดไหนกาตัวนี้ถึงหมดเลย ความร้อนเผาอยู่ตลอดเวลา นี่เราเห็นแล้วท่านว่า สาเหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะมันไปโฉบเอาสิ่งของ พระพุทธเจ้ารื้อมาตั้งแต่ต้นเหตุมาโน่นเลย พระลักขณะเห็นแต่เปรตกาที่ว่านั้น พระพุทธเจ้าเห็นทั้งต้นเหตุ เหตุที่กาตัวนี้จะมาตกนรกนี้ เพราะไปโฉบกินของเขาที่เขาจะเอาไปถวายพระ นั่นละของเป็นของพระแล้วนะ เพราะฉะนั้นมันถึงเป็นบาปหนา อย่างนี้แหละท่านเห็นท่านเห็นอย่างนั้น
พระลักขณะมาเล่าทูลถวายพระพุทธเจ้า โอ๊ย เราเห็นมานานแล้ว บอกมาตั้งแต่ต้นเหตุว่ากาตัวนี้มันตกนรกนี้เพราะเหตุไร เพราะมันไปโฉบกินของสงฆ์ เขาจะเอาไปถวายพระ มันเป็นของสงฆ์แล้วนะนั่น กาตัวนั้นไปโฉบกิน กินของสงฆ์เป็นบาปกรรมมากความหมายว่างั้น มีในหนังสือ เราก็ได้อ่านแล้ว แต่มันนานเอามาพูดพอประมาณเท่านั้นละ บาปบุญใครลบได้เมื่อไร ถ้าลบได้บาปบุญไม่มีในโลกธาตุอันนี้ แต่ลบไม่ได้มันถึงมีอยู่ ไม่มีใครลบได้เพราะเป็นหลักธรรมชาติ ไปลบได้ยังไง พิสดารมากนะ เรื่องบาปเรื่องกรรมนี้พิสดารมากเหนือสิ่งใดๆ ใครจะลบล้างขนาดไหนก็มีแต่ลมปากๆ ธรรมชาติลบล้างไม่ได้นะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ ต่อไปนี้จะให้พร
พอพูดอย่างนี้แล้วทำให้เราระลึกถึงตอนที่เราไปเที่ยวทางอำเภอศรีสงคราม ไปเที่ยวกรรมฐาน เขานิมนต์ไปฉันที่บ้านเขาเราก็สงเคราะห์ เลยไปฉันที่บ้านเขา ธรรมดาไปเที่ยวกรรมฐานไม่ไปฉันบ้านใดนะ เราไม่ไป ไม่รับนิมนต์ที่ไหนเลย เขานิมนต์ไปฉัน แต่บ้านนี้ไป พอไปฉันที่บ้านเขาแล้วเขาก็นิมนต์ให้เทศน์ เราก็เทศน์ให้ฟัง ก็เทศน์ตามหลักธรรมนั้นแหละ มีผู้ชายคนหนึ่ง แต่ก่อนจำชื่อได้ทั้งผัวทั้งเมีย เป็นเศรษฐีแต่ตระหนี่ถี่เหนี่ยว ผัวนั่นตระหนี่ถี่เหนี่ยวมากที่สุด เมียเป็นธรรมดาบ้านเมืองเรา ไปซื้อของนี้ เอาเงินไปซื้อของซื้อไม่ลง กลับมามือเปล่า เศรษฐี เราเห็นตัวมัน มันออกบวชแล้วแหละ นี่ละเห็นประจักษ์
ต้นเหตุคือเงินน่ะมีมาก แต่ตระหนี่ถี่เหนียวมาก ลูกก็ไม่มี มีผัวมีเมียเท่านั้นละไม่มีลูก แต่เงินมีมาก แต่ตระหนี่มาก ทีนี้วันนั้นเขานิมนต์ไปฉันที่บ้านเขา พอไปฉันแล้วเขาก็นิมนต์ให้เทศน์เราก็เทศน์ พอเทศน์กลับมาแล้ว ผู้ชายคนนี้ละฟังเทศน์กลับมาแล้ว วันนั้นนั่งซึมยืนซึมผิดสังเกต หมู่เพื่อนเลยไปถาม เป็นยังไงทุกวันก็เห็นเป็นธรรมดา วันนี้ทำไมถึงมาเคร่งขรึมตลอดเวลาเป็นลักษณะโศกเศร้าเหงาหงอย ทำไมเป็นอย่างงั้น แกก็เลยเล่าความจริงให้ฟัง โอ๊ย ไม่ใช่อะไร เสียใจเจ้าของ แกว่างั้น นี่ละคนมีนิสัยเห็นไหมล่ะ เสียใจให้เจ้าของ ที่เคยเป็นมาดังที่ท่านเทศน์หมดแล้ววันนี้ คราวนี้จะแก้ตัวใหม่ แกว่างั้น เรามืดมนอนธการมานานแสนนาน เพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงกับสมบัติเงินทองว่าเจ้าของมีมากเท่าไรยังไม่พอ ยังจะขายอีกมาอีกๆ
ท่านเทศน์เมื่อเช้านี้ท่านเทศน์ไปธรรมดา ไปฉันจังหันแล้วไปเทศน์ถึงเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียวเป็นอย่างนั้นๆ เรามันตัวอย่างนั้นแล้ว คือตัวตระหนี่ถี่เหนียว เลยทำให้เสียอกเสียใจ ทีนี้แก้ไขใหม่เลย เงินทองข้าวของบริจาคทาน เอาแต่ทานๆ ตั้งแต่นั้นมา จากนั้นออกบวชทั้งผัวทั้งเมียเลย แน่ะคนมีนิสัย เราก็เห็นเวลาแกบวชแล้ว มาพบกันอยู่ที่อำเภอศรีสงครามนั่นละ ผมบวชแล้วครับ เอ้อ จำได้ เศรษฐีคนนั้นเหรอ เศรษฐีปัดหมดแล้วแกบอกตรงๆ เลย ปัดหมดความเป็นเศรษฐีด้วยความตระหนี่ถี่เหนียวนั้น ลูกก็ไม่มีปัดหมด ผัวก็ออกบวชเมียออกบวช สละหมดเลย เพราะได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์วันนั้นๆ แกเล่าให้ฟัง
นี่ละเป็นเหตุที่นั่งโศกเศร้าเหงาหงอยจนผิดสังเกต ใครเขามาถาม ทำไมทุกวันก็รื่นเริงบันเทิงธรรมดาของบุคคลทั่วๆ ไป วันนี้ทำไมถึงโศกเศร้าเหงาหงอย โอ๊ย เสียใจมาก ที่เป็นมาเป็นดังที่ท่านเทศน์ทั้งนั้น ถ้าหากว่าไม่แก้ไขนี้เราจะจมลงในนรก ไม่งั้นจะมาเป็นเปรตเฝ้าสมบัติเงินทองเหรอ มันสลดสังเวช วันนี้เสียใจมาก แล้วแก้จริงๆ นะ สมบัติเงินทองออกทานหมด ออกบวชเลย เป็นอย่างนั้นนะคนที่มีนิสัย คนไม่มีนิสัยมันไม่ฟังละ ท่านเทศนาว่าการหรือมีคนไปฟังเทศน์ฟังธรรม เอ้อ วันนี้เขาไปฟังเทศน์กันแล้วเขาจะไปสวรรค์กันหมดไม่มีใครมาแย่งปูแย่งปลาในบึงในบ่อแล้ว พวกเราสนุกแย่งปลากัน พวกนี้เป็นอย่างนี้ แกเป็นอย่างนั้น เข้าใจไหมล่ะ พากันจำเอานะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz |