เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๐
ปล่อยตามใจไม่ได้นะ
ตามธรรมดาฝนจะดีนะ ข้างหน้านี้ฝนจะดี คือถือเอาหนาวเป็นเกณฑ์ ถ้าหนาวสม่ำเสมอฝนก็ดีสม่ำเสมอ ถ้าหนาวอย่างที่เคยเป็นมา ๓ ปีฝนก็ไม่เป็นท่า เราเคยสังเกตดู อยู่ในป่าบางคืนนอนไม่หลับเลย หนาวนอนไม่หลับตลอดรุ่งเลยก็มี หน้าหนาว จะเป็นเพราะอะไร ปกติเราไม่ได้เอาผ้าห่มไป เราไม่ใช้ผ้าห่ม มีผ้าจีวร สังฆาฏิ พับใส่กันแล้วก็ห่มเท่านั้น หนาวขนาดไหนให้เท่านั้นแหละ จนพ่อแม่ครูจารย์สงสาร ท่านเอาผ้าห่มของท่านที่ท่านห่มอยู่ทุกวัน ถ้าเอาใหม่ก็กลัวเราไม่เอา ต้องเอาผ้าของท่านเองที่ท่านห่มอยู่ทุกวันไปบังสุกุลให้เรา ท่านคงสงสารท่า
นั่นละดัดเจ้าของ ท่านเอาผ้าห่มท่าน ท่านไปบังสุกุลเอง กุฏิเรามันสูงแค่นี้ เดินไปนี้ก็เห็นที่นอนของเรา ดูเหมือนสูงประมาณเมตรหนึ่งเท่านั้น เราไปเห็นผ้าอยู่กลางที่นอนเลย ผ้าห่มท่านนำมาบังสุกุล ท่านทำสวยงามมากเป็นคติอีกด้วย เอ๊ะ ใครเอาผ้ามาบังสุกุลนะ ขึ้นไปดู ท่านขึ้นไปเอง กุฏิเราสูงแค่นี้ละมั้งดูเหมือนจะหนึ่งเมตร ท่านก็ขึ้นไปบังสุกุล ผ้าห่มพ่อแม่ครูจารย์ ท่านวางเรียบร้อยมาก มีเทียน มีดอกไม้ วางทับผ้านั้น ผ้าห่มท่านเอง ถ้าเอาผืนใหม่ก็มีอยู่ เราไม่ได้ห่มสักที ท่านเลยเอาผ้าห่มของท่านเองไปบังสุกุล เราก็ต้องได้ห่มให้ ท่านสงสาร ท่านเอาผ้าห่มของท่านเองท่านห่มทุกวัน เอาไปบังสุกุลให้เรา ถ้าเป็นผ้าห่มทั่วๆ ไปใหม่ๆ ก็มีอยู่เยอะ แต่เราไม่เอา เราดัดเรา ความหมายว่างั้น ท่านคงสงสารเลยเอาผ้าห่มไปให้
เพราะเราไม่เคยใช้ผ้าห่ม ดัดอยู่อย่างนั้น เห็นไหมฝึกหัดตนเองเป็นอย่างนั้นละ ไปอยู่ที่ไหนก็ตาม อยู่หนองผือก็ไม่ใช้ผ้าห่ม ดัด องค์ไหนจะใช้ไม่ใช้เราไม่สนใจ แต่เราดัดเราตลอดเวลาอยู่ในวัด ผู้ที่สังเกตก็รู้ ผู้ไม่สังเกตก็ไม่รู้ แต่สำหรับบาตรเรานั้นจะรู้ได้ เวลามาแล้วมีอะไรเราจัดปุ๊บปั๊บๆ แล้วไปแอบไว้ข้างฝา แล้วมาจัดอาหารถวายท่าน ทุกอย่างที่เกี่ยวกับท่านจะต้องมีเราเป็นหลักอยู่นั้น คอยดูแลสอดส่อง บาตรเราเอาไว้ติดฝา เอาฝาบาตรปิดไว้แล้วเอาผ้าอาบน้ำปิดอีกทีหนึ่ง ท่านก็ดู เห็นไหมล่ะ
ทั้งวัดไม่มีใครทำนะ เราไม่สนใจกับใคร เราสนใจแต่กับเราคนเดียว ดัดเราคนเดียว เวลาท่านมาใส่บาตร ขอใส่บาตรหน่อย ศรัทธามาสายๆ มือท่านถึงบาตรเราเลยนะ ปุ๊บปั๊บเลย ของก็เป็นของที่เราจัดใส่บาตรถวายท่าน ท่านก็เอาของดีๆ แหละมาใส่บาตรเรา ถ้าอย่างนั้นเราก็ฉัน คนอื่นไม่ได้เป็นอันขาด พระเณรนี้กลัวอยู่นะ กลัวเรานี้กลัวมากรองท่านลงมา แต่ท่านอยู่กุฏิซิ เราอยู่ทุกแห่งสอดส่อง พระเณรเห็นเรานี้เหมือนหนูเห็นแมวนั่นแหละ แต่กลัวด้วยความเคารพนะไม่ได้กลัวแบบอื่น เพราะเราจริงจังทุกอย่างทำอะไร พระเณรเห็นเราเหมือนกับหนูเห็นแมวนั่นแหละ กลัว เราเอาจริงจังทุกอย่างแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยอ่อนแอ อย่างท่านถามพระเณรสงสัยอะไร มีอะไรต่ออะไร พระเณรมาพูดอะไรกับท่าน แล้วลงท้ายท่านก็ว่า ท่านมหาว่ายังไง แน่ะ ถ้ากราบเรียนว่า ท่านว่าอย่างนั้นๆ ท่านหยุดเลยนะท่านไม่ค้าน แปลกอยู่อันหนึ่ง ตอนสรุปท่านจะถาม แล้วท่านมหาว่ายังไง อยู่อย่างนั้นละ
เรื่องมหาไม่มีละในนั้น เครื่องหมายว่าเป็นมหาจะไม่ทราบเลย กิริยาของมหาที่เรียนมาจะไม่ทราบทั้งนั้น เราไม่มีเหล่านี้ติดตัว มีแต่ธรรม มุ่งต่อธรรม เรียนก็เรียนมาแล้ว มันจะดีก็ดีอยู่แล้ว ดีจากการศึกษาจากครูบาอาจารย์ รับฟังจากท่านมาปฏิบัติ พระเณรนี้กลัวเรา ไปอยู่ไหนมันเหมือนเสือตัวหนึ่งแหละเรา เอาจริงเอาจังนี่นะ มาเหลาะแหละๆ ให้เห็นนี้ไม่ได้แหละเรา อยู่ในวัดเรานี้หนักมากอยู่นะ ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เราเป็นคนสอดส่องคอยดูแลพระเณรตลอดเวลา เป็นอย่างนั้นละ
เวลาของอะไรได้มาเราไม่เอา จนกระทั่งท่านเอาไปบังสุกุลให้ที่กุฏิ เราก็เอา ท่านเอาไปบังสุกุลให้อย่างว่า อะไรๆ เวลาแจกของนี้ เสร็จธุระแล้วเราก็ลาท่านไปเที่ยว ท่านถามพระเณรว่า สิ่งของที่เขาเอามาถวายมากๆ ท่านมหาเอาอะไรไหม ท่านไม่เอาๆ อยู่อย่างนั้นเรื่อย เราไม่เอาเราถือผ้าสามผืน จีวร สบง ผ้าสังฆาฏิ กับผ้าอาบน้ำเท่านั้นเอง มีเท่านั้นติดตัว สุดท้ายท่านถามอะไรมีแต่ว่าท่านไม่เอาอะไรๆ ทีนี้ผ้าทั้งหมดขนมาเอาไปกองไว้กุฏิท่าน ของเหล่านี้จะเอาไว้ให้ท่านมหาให้ท่านเลือกเอา ต้องการผืนไหนแล้วค่อยแจกกัน
ท่านให้ขนไปกุฏิท่าน ท่านเคยมีอะไรเมื่อไร แต่เวลาท่านจะทำก็ทำอย่างนั้น ของที่เขาเอามาถวายเอาไว้ในห้องเราทั้งหมด รอท่านมหามาเสียก่อน พอมาแล้วก็ขนออกมาเลย เอ้า จะเอาผืนไหนเลือกเอา ก็เราไม่เอา พอเราไม่เอาท่านก็โละเลยที่นี่ เวลาท่านจะทำท่านทำอย่างนั้นละทำกับเรา ผ้าห่มก็ไปบังสุกุลให้ อาหารก็เหมือนกันท่านมาใส่บาตรเอง เราทำของเราคนเดียวอย่างนั้นแหละ อยู่กับหมู่เพื่อนมากๆ ไม่สนใจใคร สนใจแต่เราคนเดียว เข้มงวดกวดขันตลอด อาหารเอาเฉพาะบิณฑบาตได้มา ได้มาแล้วมีอะไรก็ใส่เสียนิดหน่อยพอ ตลอดเลย ท่านก็มาใส่บาตรให้เรา ปุบปับเลยบทเวลาท่านจะเอา มือถึงบาตรแล้ว จับบาตรปุ๊บใส่บาตรปุ๊บๆ ขอใส่บาตรหน่อย ศรัทธามาสายๆ
แต่ท่านไม่ทำบ่อยนัก นานๆ ท่านทำทีหนึ่ง เห็นไหมตาท่านดูหมด พระเณรในวัดดูรู้หมดเลย เราทำลึกๆ ลับๆ ของเราท่านก็ยังรู้ อยู่ในวัดเราก็ฉันเฉพาะของได้มา บิณฑบาตได้มาอะไรเราก็จัดเอาเสียเท่านั้นเอง ส่วนของที่จะตามมาส่งเราไม่ไปยุ่ง ไม่เอาเป็นปรกติ เพราะฉะนั้นท่านถึงไปใส่บาตรให้เรา ท่านแหลมคมมากเชียว ด้วยเหตุนี้พระที่จะกลัวเราก็กลัวอย่างนี้เอง คือจริงจังทุกอย่างไม่ได้เหลาะแหละนะ เราจึงหนักมากอยู่หนองผือ คอยสอดส่องดูพระดูเณร พระเณรเห็นเราเหมือนเห็นเสือแหละ กลัว เอาจริงเอาจังนี่ เราปฏิบัติเราก็ปฏิบัติอย่างนั้น ไม่ใช่ตัวปฏิบัติอย่างหนึ่งแล้วมาสอนหมู่เพื่อนอย่างหนึ่ง เราปฏิบัติเป็นพื้นฐานมาตลอดของเรา
เข้มงวดกวดขันการอยู่การกินทุกอย่าง เราจะเข้มงวดกวดขันตัวของเราตลอดเวลา ท่านรู้หมดนะ เป็นอย่างนั้นละพ่อแม่ครูจารย์ เวลาผ้าได้มาไปกองเต็มอยู่ในห้อง พอเรามานี้ขนออกมา เราไม่เอาอะไร สุดท้ายก็โละๆ ออกหมดเลย อย่างนั้นท่านก็ทำนะ ทำเพื่อเรา ดูผ้าห่มไม่มี ท่านก็เอาผ้าห่มท่านไปบังสุกุลให้ ก็เราไม่ใช้ผ้าห่ม เราดัดเรา นอนไม่หลับทั้งคืนไม่หลับก็ไม่หลับ ไม่งั้นจะว่าดัดสันดานตนยังไง บางคืนทั้งคืนนอนไม่หลับเลยตลอดรุ่ง เพราะมันหนาวมากหลับไม่ได้ แต่เวลาเข้าภาวนานี้จิตมันเข้าข้างใน มันก็ไม่หนาวแหละ หายเงียบ พอออกมานอนจะให้หลับมันยังไม่หลับ หนาว ลุกขึ้นมา ตลอดรุ่งไม่หลับเลย
การฝึกฝึกอย่างนั้น เราเอาจริงจังทุกอย่างไม่ได้เหลาะแหละ แต่ก็เดชะไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ใดท่านเมตตามากอยู่นะกับเรา ไปอยู่กับครูบาอาจารย์องค์ใดไม่ใช่ทางปฏิบัติ แม้ทางปริยัติก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ทั้งหลายรู้สึกท่านจะเมตตามากอยู่ อย่างสมเด็จมหาวีรวงศ์ท่านเมตตามาก จะตามเอาเรามา ได้ ๑๖ พรรษาแล้วจะเอาเรากลับคืนไปวัดพระศรีมหาธาตุกับท่าน เคยอยู่กับท่านมา ก็ได้เจ้าคุณศรีวรคุณช่วย ท่านเอาจริงเอาจังจะเอาเรากลับไปกรุงเทพ ไปอยู่กรุงเทพอีก ๑๖ พรรษาแล้วนั่น พรรษานั้นเป็นพรรษา ๑๖ จิตกำลังหมุนติ้วๆ ตอนนั้นอยู่กับใครไม่ได้แหละ ที่มาก็มาวันถวายเพลิงท่านอาจารย์มั่น ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ๆ มาหมดนั่นแหละ
สมเด็จมหาวีรวงศ์ท่านจะเอากลับไป คือท่านมาในงานนี้ จะเอาเรากลับไป พอดีท่านเจ้าคุณศรีวรคุณที่เป็นน้องชายเจ้าคุณอุบาลีท่านเป็นเพื่อนกันอยู่ด้วยกัน ท่านคงฟังแหละ มีแต่จะเอากลับไปท่าเดียวๆ เอ๊ จะทำไง จิตเราก็ยิ่งหมุนตลอดเวลาด้วยเวลานั้น จะทำยังไงน้า พอดีท่านเจ้าคุณศรีวรคุณ โอ๊ย ก็จะเอาเขาไปไหน ถ้าเป็นฆราวาสญาติโยมนี้ก็เรียกว่ามีครอบครัวเหย้าเรือน เป็นพ่อตาแม่ยายแล้ว ยังจะเอาไปเป็นลูกเขยใหม่อยู่ยังไง ท่านว่างั้น อายุพรรษาก็แก่แล้ว ท่านถาม ท่านมหาพรรษาได้เท่าไร ๑๖ พรรษา นู่นน่ะเป็นอุปัชฌาย์ก็ได้แล้ว ยังจะไปเป็นลูกเขยใหม่ได้ยังไง เราก็รอดตัวไปได้ ไม่งั้นท่านจะเอากลับไป คือความเมตตานั่นละไม่ใช่อะไร
เราไปอยู่ที่ไหนครูบาอาจารย์เมตตาทั้งนั้น พูดตรงๆ ก็คือว่าเราไม่ใช่คนขี้เกียจขี้คร้าน คล่องแคล่วทุกอย่าง ทำอะไรๆ กับครูบาอาจารย์ไม่ว่าฝ่ายปฏิบัติ ไม่ว่าฝ่ายปริยัติ ไปอยู่ที่ไหนครูบาอาจารย์เมตตาอยู่เสมอ เป็นอย่างนั้นละ มาอยู่หนองผือก็หนักจะตาย คอยดูแลพระเณร ให้พ่อแม่ครูจารย์อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร อย่าให้แสลงหูแสลงตาท่าน พระเณรเราคอยสอดส่องดูแลตลอดเวลา หนักมากนะ ไม่งั้นก็จะระเกะระกะ ท่านจะเห็นได้เวลาเราจากไป ดูพระเณรระเกะระกะละท่า เพราะฉะนั้นเวลาเราจะลาไปเที่ยวทีไร รู้สึกท่านไม่สะดวก เราก็รู้นะ ท่านไม่อยากให้ไป แต่ท่านก็เห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเราคือจิตตภาวนา ท่านก็นิ่งไป กราบลาท่านแล้วนิ่ง เราจะพูดอะไรต่อไปอีกไม่ได้ ถ้าท่านไม่มีเงื่อนต่อเราก็ต่อไม่ได้
จนกระทั่งนานแล้วแทบจะว่าหมดหวังละ เออ ที่ท่านมหาจะไปเที่ยวก็ไปได้แหละ นั่นละเราจะไปได้ตอนนั้น ความเคารพ ท่านเห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเรา ถ้าอยู่ในวัดพระเณรราบรื่นดีงาม ไม่แสลงหูแสลงตาท่าน เพราะเราอยู่ควบคุมตลอด เวลาเราไปคงจะเป็นอย่างหนึ่งให้เราเห็นนั่นแหละ ท่านจึงไม่อยากให้ไป แต่เห็นประโยชน์ส่วนใหญ่ของเราท่านก็ให้ไป
พ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านจริงจังทุกอย่าง เฉลียวฉลาดแหลมคม จอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน ตาแหลมคม ทุกอย่างแหลมคมหมด ใครไม่รู้ท่านรู้ ใครไม่เห็นท่านเห็น คิดดูซิอย่างที่ท่านเอาผ้าห่มไปบังสุกุลให้เรา เราไม่ใช้ผ้าห่มท่านก็รู้ ท่านเอาไปให้ ก็ห่มเสียเวลาท่านเอาไปนั้น ออกไปแล้วไม่เอาไปด้วย ก็เราดัดเราอย่างนี้ ท่านก็สงสารอีกแบบหนึ่ง เราก็สงสารเราอีกแบบหนึ่ง ดัดกิเลสตัวแสบๆ นั่นละ การฝึกอบรมเป็นอย่างนั้นละ
พ่อแม่ครูจารย์รู้สึกว่าท่านจะได้รั้งเอาไว้ คือมันจริงมันจังมันผาดโผนทุกอย่าง ความพากความเพียรตลอดหน้าที่การงานนี้เบาใจได้เลยเราอยู่ที่นั่น ดูพระดูเณร เวลาเราจะไปไหนดูอาการท่านไม่อยากให้ไป คือเวลาเราไปแล้วดูพระเณรจะระเกะระกะ ท่าจะเป็นอย่างนั้น เวลาเราอยู่เรียบตลอด ไม่เรียบยังไงคอยสอดส่องคอยตีอยู่เรื่อยพระเณรจึงได้กลัว แต่กลัวด้วยความเคารพนะ ไม่ได้ด้วยความเกลียดความชังอะไร กลัวด้วยความเคารพ เพราะจริงจังทุกอย่าง เวลาเราจากไปพระเณรอาจจะเพ่นพ่านๆ ให้ท่านเห็นนั่นละ ท่านจึงไม่อยากให้เราไป
การปฏิบัติฝึกหัดตน ที่พูดเหล่านี้พูดเพื่อให้ฟังทุกคน เอาไปฝึกหัดดัดแปลงตน จะดีได้ก็เพราะฝึกหัดดัดแปลง พระพุทธเจ้าสลบถึงสามหน ฝึกหัดหรือไม่ฝึกหัด พระพุทธเจ้าสลบสามหนจึงได้เป็นพระพุทธเจ้า สาวกทั้งหลายก็ทำความพากความเพียรจนฝ่าเท้าแตก ความพากเพียรท่านเก่งขนาดไหนท่านได้มาเป็นสรณะของพวกเรา ควรจะนำไปพินิจพิจารณาให้ดี ทำอะไรเหลาะๆ แหละๆ อยู่ไปกินไปวันหนึ่งๆ เหมือนซุงทั้งท่อนๆ ใช้ไม่ได้นะ ต้องจริงต้องจังต้องเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดทุกอย่างดัดเจ้าของ นั่นละดัดตลอดเวลา ทำอืดๆ อาดๆ ดูไม่ได้นะ
เวลายังหนุ่มน้อยอยู่นี้เราไปดูกฏิพระ ในวัดนี่ ขนาดนั้นนะ กลางคืนเที่ยวดูพระ ถ้าองค์ไหนเห็นนอนหลับตอนนี้แล้ว กลางคืนดึกไปดูอีก จวนสว่างไปดูอีก เอาขนาดนั้นนะ ดูซ้ำซากแน่นอนแล้วเป็นที่แน่ใจว่าเป็นอย่างนี้นิสัย ใช้ไม่ได้แล้วขับเลยไล่เลย ไม่มีข้อคัดค้านเพราะดูได้สักขีพยานมา ได้ทั้งของกงของกลางได้มาหมด ไล่เลย ไล่เรื่อยละพระเณรในวัดนี้แต่ก่อนนะ ทุกวันนี้ไม่เอาไหนแล้ว ปล่อยตามเรื่องตามราว แต่ถึงอย่างนั้นกลางคืนยังด้อมไปอยู่นะนั่น ทุกวันนี้ไปอยู่นะกลางคืน ไปเงียบๆ ไปแทบทุกคืน ไปสอดส่องหลังนั้นไปที่นั่นที่นี่ บางทีก็ไปโดนเอากับพระท่านเดินจงกรมอยู่มืดๆ เราก็ไปมืดๆ ไปโดนกันอยู่ทางจงกรมก็มี อย่างนั้นละ
นี่ละการสั่งสอนพระเณร เมื่อเรารับผิดชอบแล้วเป็นภาระของเราแล้วเราต้องสั่งต้องสอนต้องดัดต้องแปลง ไม่ดัดแปลงไม่ได้นะ บางองค์ถ้าเป็นเลอะๆ เทอะๆ ที่ว่านอนไม่รู้จักตื่นนั้นไม่นานละนั่น ถูกขับไล่ออกจากวัดละ ไล่เลย เพราะเราไปดูแล้วนั่น เจ้าของไม่รู้นะว่าทางนี้ไปดู ถ้าหลับแต่วันกลางคืนดึกไปดูอีก ดึกยังไปดูอีก จนกระทั่งสว่าง ดูแน่ใจแล้วไม่ผิดเพี้ยน แสดงว่ามาเป็นหมูขึ้นเขียง ไม่ควรจะอยู่ในวัดนี้ซึ่งเป็นวัดศึกษาอบรมดัดแปลงตัวเอง ไม่สมควรไล่หนีเลย เราเคยไล่พระไม่น้อยนะ เพราะฉะนั้นพระเณรจึงต้องระวัง เดี๋ยวนี้มันเฒ่าแก่ไม่เอาไหนแล้วแหละ ตั้งแต่ดูเจ้าของก็ไม่ได้เรื่อง
ฝึกเจ้าของต้องเอาจริงเอาจัง ไม่งั้นมันไม่ดี การที่ได้มาแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนนี้เรียกว่ารอดเป็นรอดตายเรา เราทำเรานะ ฝึกฝนอบรมเรา ครูบาอาจารย์เป็นผู้แนะแนวทางให้ เราเอาอุบายวิธีการนั้นมาฝึกเจ้าของๆ ตอนฝึกเจ้าของนี่ละมันหนักมากอยู่ วันนี้ก็พูดถึงเรื่องการฝึกฝนอบรมเจ้าของ ให้ฝึกใจ ปล่อยตามใจไม่ได้นะ เป็นหมูขึ้นเขียงไปหมดปล่อยตามใจ สิ่งที่มันบังคับให้แบบหมูขึ้นเขียงก็คือกิเลสนั่นละ มันหนามันไม่อยากประกอบความพากความเพียร กินแล้วนอนกอนแล้วนินไป อยู่ไปวันหนึ่งๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ธรรมต้องฝึกเอาให้ดีดให้ดิ้นด้วยสติปัญญาตลอดเวลามันถึงทันกิเลส ไม่เช่นนั้นไม่ทัน มีเท่านั้นละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz |