น้ำพุทธมนต์ (ท่านพ่อลี... เล่าปากเบี้ยวกราบขอขมา)
วันที่ 25 มกราคม 2550 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๐

น้ำพุทธมนต์

         ระยะนี้ลง ๑๗ มาได้หลายเช้าแล้ว เมื่อเช้านี้ก็ลง ๑๗ ยังหนาว ที่กุฏิเรามีปรอทเราดูเมื่อเช้าลง ๑๗ แล้วลง ๑๗ มาได้สองสามเช้าแล้วติดๆ กันมาพอๆ กันทุกเช้า แต่ที่นี่มันมีแปลก ทำไมว่าหนาวๆ แต่ไม่เห็นน้ำค้างตกลงจากใบไม้ลงดิน คือเวลามันหนาวจริงๆ อยู่ในป่าในเขานี้ พอตี ๔ ตี ๕ นี้เหมือนห่าฝนนะ มันเกาะใบไม้แล้วตกลงมาพื้นดิน ฟังเสียงซ่าๆ แต่นี้ไม่เห็นมีน้ำค้าง เงียบๆ ที่อยู่ในป่าในเขาน้ำค้างเหมือนห่าฝน พอตี ๕ สว่าง ฟังเสียงซ่าๆ พอ ๓ ทุ่มเริ่มแล้วนะ ๓ ทุ่มเริ่มได้ยินเสียงน้ำค้างมันเกาะใบไม้แล้วค่อยตกห่างๆ ๓ ทุ่ม ๔ ทุ่มเริ่มแล้ว ตกห่างๆ ปุบปับๆ พอดึกเข้ามาเท่าไรยิ่งถี่ยิบ ตี ๔ ตี ๕ นี้เหมือนห่าฝนนะ คือน้ำค้างมาเกาะบนใบไม้แล้วก็ตกๆ ลง เดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีน้ำค้างที่เกาะตกอย่างที่ว่าให้รู้นี่นะ

(หลวงตาอ่านจดหมายที่มีผู้นำน้ำสิงห์ขวดเล็กมาถวายจำนวน ๕๐ โหล รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๖๓,๐๐๐ บาท เพื่อทำน้ำพุทธมนต์ในวันประทายข้าวเปลือก) มันเป็นบ้าหรือพวกนี้น่ะ มันเอาเชือกมามัดคอหลวงตาแล้วให้ทำน้ำพุทธมนต์ เราจะเสกน้ำที่ห้วยนั่น ให้พากันลงโดดเลยนะ จะเริ่มเสกแต่วันนี้ไปละ กลางคืนดึกๆ ลงไปเลยนะ มันเป็นบ้าพวกนี้น่ะ เสกเป่าในนั้นเลยให้มันโดดลงน้ำ ดึกๆ ลง น้ำมนต์นี้ขลังดีตอนดึก เอาตอนดึกๆ ละน้ำมนต์เราขลังดี

น้ำพุทธมนต์ท่านทำคนภายนอกไม่รู้นะ ภายในท่านรู้กัน อย่างท่านพ่อลี พลังจิตของท่านแรง ดูท่านทำก็รู้ พลังจิตนุ่มนวล พลังจิตซ่าออกอย่างนุ่มนวลมี อย่างแรงมี พลังจิตต่างกันนะ อย่างท่านพ่อลีนี้เวลาทำน้ำพุทธมนต์ท่านใส่ปั๊วะๆ นั่นพลังจิตของท่านพร้อมนะ พุ่งๆ เลย ใครไม่รู้เรื่องนะ เราไปนั่งดูอยู่ แต่ส่วนมากท่านมักจะมองมาหาเราเสมอ ท่านคงจะเห็นว่าต้องระวังตัวนี้ละ คงว่างั้น อย่างอยู่วัดคลองกุ้ง จันทบุรี อันนี้ก็ขบขันดี ตอนนั้นเราไปจำพรรษาที่สถานีทดลอง พี่สาวอาจารย์เจี๊ยะนี่ละเขาถวายที่ให้เป็นวัด เขาอยากจะถวายที่ให้พระกรรมฐาน ตอนนั้นเราพักอยู่ที่ยางระหง เอาโยมแม่มาพักอยู่ที่นั่น ไปจากที่นี่ก็ไปจันท์ ไปพักอยู่ยางระหง อาจารย์ตามไปนิมนต์เรามาดู เขาอยากถวายที่ ๒๖ ไร่ เบื้องต้น ๒๖ ไร่ ครั้นต่อมาเขาซื้อถวายต่อไป นั่นละจึงมาที่นั่น

วันเสาร์ วันอาทิตย์ พวกตลาดเขาไปฟังเทศน์เราที่สถานีทดลอง ท่านพ่อลีท่านอยู่ที่วัดคลองกุ้ง แต่ถูกสมเด็จมหาวีรวงศ์ วัดบรมนิวาส นิมนต์ให้ไปหาบ่อยๆ ท่านจึงไปๆ มาๆ พอดีท่านกลับจากกรุงเทพไปที่วัดคลองกุ้ง เขาก็มาโม้ให้ท่านฟัง เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ท่านพ่อ ว่างั้นนะ นี่ได้พระดีมาแล้วนะ พระดีที่ไหน เทศน์นี้เป็นน้ำไหลไปเลย ได้พระดีมาแล้ว ท่านพักอยู่สถานีทดลอง ชื่อท่านว่า อาจารย์มหาบัว

บทเวลาท่านตอบ เขาไม่ทราบว่าเรากับท่านคุ้นกันมาแต่เมื่อไร เขาไม่รู้เขาก็ไปโม้ให้ท่านฟัง ท่านฟังแล้วก็ว่า มันต้องอย่างนั้นซิ ก็คุ้นกันมาสักเท่าไรแล้ว จึงมาบอกว่าได้นักเทศน์มาเทศน์ที่สถานีทดลอง แหมเทศน์นี่น้ำไหลไปเลยว่างั้นนะ เวลาท่านตอบ มันต้องอย่างนั้นซิ ก็เรากับท่านค้นกันมาสักเท่าไร พวกนั้นเขาไม่รู้เขาไปโม้ให้ท่านฟัง เวลาท่านตอบ มันต้องอย่างนั้นซิ ขบขันดี ท่านจะชำเลืองดูแต่เราละ ท่านคงคิดว่าตัวสำคัญตัวนี้ละ ก็เอากันเรื่อยกับท่านอาจารย์ลี ของเล่นเมื่อไร คนอื่นๆ เขากลัวท่านทั้งนั้น เหมือนกับเสือโคร่งตัวหนึ่ง เรากับท่านสนิทกันมาสักเท่าไรเขาไม่รู้ เพราะฉะนั้นท่านถึงได้ตอบว่า ต้องอย่างนั้นซิ เท่านั้นพอ

ท่านทำน้ำมนต์นี่ปั๊วะเลยๆ กระแสจิตของท่านแรง กระแสจิตนุ่มนวลมี กระแสจิตแรงมี อย่างท่านพ่อลีนี้กระแสจิตของท่านแรง เวลาท่านทำน้ำมนต์ใส่ปั๊วะๆ กระแสจิตไปพร้อมนะนั่น ปั๊วะๆ นั่นกระแสจิตไปแล้ว กระแสจิตแรงท่านทำอย่างนั้น เราไปวัดอโศการามส่วนมากท่านไม่อยากให้เราไปไหน ท่านพักอยู่วัดอโศการาม ท่านตั้งวัดที่นั่น ถ้าเราไปที่นั่นท่านไม่อยากให้ไปไหนง่ายๆ เป็นอะไรก็ไม่ทราบกับเราสนิทกันอย่างลึกลับ คนภายนอกไม่รู้แหละ สนิทกันอย่างลึกลับ

ยิ่งเวลามีงานท่านไม่ให้ไปไหนนะ พอมองเห็นหน้า มหาบัวไปไหนไม่ได้นะงานยังไม่เสร็จ แน่ะ ผ่านไปเท่านั้นขู่แล้ว เราก็เฉย เป็นอย่างนั้นละท่านกับเรา สนิทกันอย่างลึกๆ กระแสจิตของท่านแรง ยกคนขึ้นได้ทั้งคนเลย อ้าว ขึ้นได้จริงๆ ท่านกำหนดจิตยกขึ้นขึ้นเลย นั่นละกระแสจิตแรง ยกคนทั้งคน เอ้า ขึ้น ขึ้นเลย พอท่านปล่อยก็ลง เป็นอย่างนั้นละ

พอพูดอย่างนี้ก็ระลึกถึงโยมทองแดงที่สถานีทดลอง นี่ก็เป็นลูกศิษย์ โยมทองแดง โยมหริ่ง อยู่จังหวัดตราด คนนั้นเป็นคู่กัน เป็นลูกศิษย์เราทั้งสองแหละ โยมทองแดงแกปากเปราะ พูดเร็ว เอะอะพูด คนนั้นไม่ค่อยพูด เฉย นิ่ง แกขึ้นไปเรากำลังเย็บผ้าอยู่ ขึ้นไปสองคน เรากำลังเย็บผ้ากับพระอยู่กุฏิเราที่เฉลียง กำลังเย็บผ้า พอดีเย็บผ้าผิดเลยแก้ สองคนนี้ขึ้นไป เรากำลังแก้ที่เย็บผิดอยู่ มาอะไรนี่ นิ่ง ทั้งสองคนแหละโยมทองแดงกับโยมหริ่ง กำลังทำงานอยู่นี่มาอะไร สักเดี๋ยวเขาก็ลงไป พอไปเขาก็ไปนอนอยู่บ้านโยมทองแดง

โยมหริ่งแกไม่ค่อยพูดอะไร นิ่งๆ  แต่โยมทองแดงนี้ปากเปราะ เราเดินบิณฑบาตมานี้ร้องว้ายๆ ขึ้นเลย เป็นอย่างนั้นนะปากเปราะ พอเราบิณฑบาตเข้ามา แกมาถึงก่อนแล้ว ศาลาก็เอาอะไรมาปูไว้เพราะสร้างวัดไม่ได้ทำหรูหรา พอมาแกก็ร้องว้ายๆ โอ๊ย นู่นน่ะดูซิท่านพ่อรัศมีจ้ามาเลย รัศมีสะหมาอะไรเป็นบ้าเหรอ ตีปากเอานะเราว่า อย่างนั้นละนิสัยแก ว่ารัศมีออกจ้าไปหมดเลย แกนั่งอยู่นี้แกมองเห็นเรา ร้องก้ากๆ ขึ้นเลย วากๆ นู่นน่ะรัศมีจ้าไปหมด บ้าหรือ รัศมีสะหมาอะไร ทีนี้เวลาแกมาหาเราสองคน โยมหริ่งแกไม่ค่อยพูดอะไร แกนิ่งเฉยๆ ไม่ค่อยพูด แต่กลัวเรามากนะ คนหนึ่งดูภายใน

พอลงไปแล้วไปนอน อยู่ๆ คนหนึ่งก็หัวเราะขึ้นกิ๊กๆ โยมหริ่งแกไม่ค่อยพูดอะไรแกหัวเราะกิ๊กๆ หัวเราะอะไรป้า ว่างั้น คนนั้นแกกว่าอายุประมาณ ๗๐ คนนี้ดูเหมือนประมาณ ๖๐ หัวเราะอะไรป้า หัวเราะเรื่องท่านพ่อ ว่างั้นนะ ท่านกำลังเย็บผ้าอยู่ เราขึ้นไป ท่านขู่เราว่าขึ้นมาหาอะไรกำลังเย็บผ้าอยู่ ไล่ลง ไล่ลงแล้วท่านก็เย็บผ้าเฉย เรากำหนดจิตดูเมื่อไรเห็นท่านจ้ออยู่ๆ ไม่ไหวละถ้านานกว่านี้ท่านจะเขกเอานะ รีบลง ว่างั้น จึงได้ขบขันหัวเราะ แกว่างั้น มองไปทีไรจิตท่านจ้อเราอยู่ตลอดเวลา ถ้านานกว่านั้นเดี๋ยวท่านจะเขกเอา ท่านจะไล่ลง ขึ้นไปท่านก็ไล่แล้ว แกไม่ค่อยพูดอะไรแหละ อันนี้แกรู้ใจคนอื่น ใจใครๆ รู้ เพราะฉะนั้นแกจึงกลัวเรามาก เวลานั่งอยู่นี้ท่านเย็บผ้าอยู่ก็จริง เวลาจ่อจิตเข้าไปทีไรท่านจ้อเราอยู่ตลอด ถึงสองสามหน ไม่ไหวแล้วรีบลงเดี๋ยวท่านจะเขกเอา คนนี้เก่ง รู้จิตของคนอื่นได้ดี คงเสียไปทั้งสองนานแล้วละท่า โยมทองแดงแก่กว่าเราจะประมาณสัก ๑๐ ปีละมั้ง

ก็มีสองคนนี้ละภาวนาดีอยู่ กับผู้ชายอีกคนหนึ่ง แกอยู่บางสะเก้าผู้ชายคนนั้น ถ้าทราบว่าเรามานี้แกเตรียมของมาพร้อมเลย สั่งลูกอะไร สูอย่ายุ่งกูนะ ถ้าท่านอาจารย์อยู่นั้นเมื่อไรกูอยู่นั้นตลอด ท่านอาจารย์กลับเมื่อไรกูถึงจะมาว่างั้นละ อันนี้ก็เก่งเหมือนกัน รู้จิตคนอื่น พอดีกันละกับคนขี้ดื้อ ท่านสิงห์ทองไปคุยเรื่องจิตเรื่องอะไรภาวนายังไงๆ แกรู้จริงๆ นะจิตใครเป็นยังไงแกรู้จริงๆ โยม สักเดี๋ยวท่านสิงห์ทองก็ปากเปราะ แล้วจิตของอาตมาเป็นยังไง จิตท่านผ่องใสแต่ยังไม่พ้นเหมือนท่านอาจารย์ แน่ะแกพูดอย่างนั้นเลย จิตของท่านผ่องใสแต่ยังไม่พ้นเหมือนท่านอาจารย์ บอกตรงๆ อย่างนี้ละ ทางนั้นก็แฮ่ะๆ ท่านสิงห์ทอง แกพูดอย่างตรงไปตรงมา ว่าจิตท่านผ่องใสอยู่แต่ยังไม่พ้นเหมือนท่านอาจารย์ เราก็ฟังอยู่เฉยๆ แหละ

แกภาวนาเก่งนะคนนี้ รู้ใจคนอื่นเป็นยังไงรู้ ถ้าเราไปที่นั่นแกมาอยู่ที่นั่นเลยละ แกภาวนาดี ใจเด็ด ไม่ค่อยพูด พูดนี้ตรงเป๋งเลย เพราะแกดูทางจิตใจพูดนี่ นี่ก็คงเสียไปหมดแล้วแหละ ก็เราไม่ไปอีกเลย ตั้งแต่จำพรรษานั้น ออกจากนั้นมาแล้วก็ไม่ได้ไปอีก แล้วไปทำอะไรเลอะเทอะไปหมด เราเลยไม่ไปอีก ไปสร้างอะไรขึ้นนั้นเต็มไปหมด ที่จันท์ก็มีอยู่สองคนผู้หญิงภาวนาเก่ง นี่ละเรื่องโยมทองแดง กระแสจิตของแกแรงเหมือนกัน พอขึ้นไปแกไปโม้ ท่านอะไรชื่อเจือเจออะไรนั่นละขึ้นไป

บ้านแกเล็กๆ อยู่หนองเสม็ด แกเคยนิมนต์เราไปบ้านแกหนหนึ่ง เราไปนั่นถึงได้รู้บ้านของแก พอไป เอ้า โยมทองแดงภาวนาว่างั้นนะ จะพาภาวนา ครั้นไปแล้วพูดไม่มีการชมเชยเรามีแต่การตำหนิอาจารย์มหาบัว ยกตนขึ้นความหมายว่างั้น ทางนี้ก็มันเป็นยังไงนัก มึงมาดูถูกอาจารย์ของกูน่ะ กูจะลองทดลองดูพระองค์นี้จะเก่งขนาดไหน แกว่าแกกำลังจีบหมาก แกจะมาวัดตอนเช้า มาวัดสถานีทดลองละ กลางคืนแกกำลังจีบหมาก พอดีท่านเจือไปที่นั่น เอ้า โยมทองแดงนั่งภาวนา

เพราะแกเคยพูดทีไรพูดแต่ตำหนิเรายกตนข่มท่าน มันเป็นยังไงพระองค์นี้มันเก่งนักมันมาดูถูกอาจารย์กูนี่น่ะ กูเคารพสุดหัวใจกู มันทำไมได้ความรู้มาจากไหน เลยครูเลยอาจารย์มาจากไหนมาดูถูกอาจารย์กูนี่ กูจะทดลองพระองค์นี้ดูเป็นยังไง แกก็ทดลองจริงๆ แกจีบหมากอยู่ แกก็กำหนดใจนี้เป็นไฟเผาเลย เผาท่านองค์นั้นนั่งอยู่ ดีดผึงเลย เฮ้ย ทำไมโยมทองแดงมาทำอย่างนี้ล่ะ ทำอะไร ฉันจีบหมากอยู่ ทำไมเอาไฟมาเผาเรา ดีดผึงเลยทีเดียว คือแกกำหนดไฟเผา นั่นละกระแสจิตของแกเก่งนะ โอ๊ย เผาอะไรก็กำลังจีบหมากอยู่ จีบหมากอะไรเอาไฟมาเผาคนนี่น่ะ ดีดผึงเลย

พระองค์นี้ขี้โม้เก่ง ไปก็ไม่พ้นละที่ว่าไปดูถูกเรา ยกตนข่มท่านนั่นละ ทีนี้โยมทองแดงแกเป็นลูกศิษย์แกก็โมโห จะทดลองพระองค์นี้มันเก่งขนาดไหน พอกำหนดไฟเผานี้ดีดผึงเลย ขบขันดี นั่นเห็นไหมล่ะ อาจารย์ของใครใครก็รักใช่ไหมล่ะ เราเป็นอาจารย์ของแกแกก็รักซิ ทีนี้ทางนั้นไปพูดดูถูกนี้แกก็ทดลอง มันจะเก่งขนาดไหนพระองค์นี้ ดีดผึงเลยไฟเผาเอา แกมาเล่าให้ฟังวันหลัง ไม่เห็นเก่งแกว่างั้นนะ กำหนดไฟเผาเห็นแต่ดีดผึง มาดูถูกอาจารย์ของเราได้ มันเป็นยังไงพระองค์นี้มาจากไหน มาดูถูกอาจารย์ของเราที่เราเทิดทูนสุดหัวใจ กูจะทดลองพระองค์นี้ดูเสียหน่อย พอกำหนดไฟเผานี้ดีดผึง ไม่เห็นเก่งแกว่างั้นนะ เวลาแกสรุป ไม่เห็นเก่ง ไฟเผาเห็นแต่โดดผึง แกมาเล่าให้ฟังขบขัน

มีสองคน โยมทองแดงคนหนึ่ง โยมหริ่งอยู่ที่ตราด ภาวนาดีทั้งสอง ทางจันท์ผู้หญิงมีสองคน ผู้ชายก็มีโยมหนึ่งที่บางสะเก้านั่น อันนั้นก็รู้จิตคนอื่นเหมือนกัน เคารพมากสำหรับเรานี้แกเคารพมากที่สุดโยมผู้ชาย ส่วนผู้หญิงก็เป็นเรื่องของเขา โยมคนนี้แกไม่ค่อยพูดละ อย่างที่ท่านสิงห์ทองดื้อปากละซิ แกพูดลักษณะที่ว่ารู้จิตของใครต่อใคร แต่ไม่บอกว่าแกรู้ หากอุบายวิธีการพูดมันไปแถวนั้นนี่นะ ท่านสิงห์ทองก็เลยถาม แล้วจิตอาตมาเป็นยังไง ดูให้ทีเป็นยังไงจิต จิตท่านผ่องใสแต่ยังไม่พ้นเหมือนจิตท่านอาจารย์ว่างั้น ทางนั้นแฮ่ะๆ บอกว่าจิตท่านนั้นผ่องใสอยู่แต่ยังไม่พ้นเหมือนจิตท่านอาจารย์ซึ่งพ้นไปแล้ว แน่ะ แกพูดเฉยนะ แกพูดแบบเฉยเลย

เรานั้นเฉยอยู่แล้ว เราไม่สนใจกับใครละ เขาจะพูดอะไรก็เฉย นั่นละจิตเวลามันรู้มันรู้อย่างงั้นละรู้จิต แล้วไม่หาใครเป็นพยาน กำหนดปั๊บรู้ปั๊บ เป็นพยานในตัวสมบูรณ์แล้ว นั่นละท่านเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ญาณหยั่งทราบ เป็นอย่างนั้น รู้เอง ท่านอาจารย์ลีกับเรานี้ โอ๊ย สนิทกันมากนะ สนิทกันจริงๆ มีงานอะไรท่านไม่ให้เราไปไหนง่ายๆ ละ ท่านให้เราช่วยงานของท่าน ไม่ให้ไปไหนให้อยู่นั้น มีอะไรๆ ท่านคอยใช้เราให้ทำงานอะไรๆ ก็ดี

(ที่หลวงตาบอกว่าพลังจิต คุณแม่ชีที่สร้างวัดอยู่จังหวัดสุรินทร์นะฮ่ะ แล้วลูกเขาอยู่ที่บางบอนที่นิมนต์หลวงตาไปถวายทอง ๑๒ กิโลครึ่ง เขาก็บอกกับลูกเขา เพราะทุกครั้งทำงานอะไรก็จะสำเร็จ แม่ชีก็จะช่วยลูก ทีนี้แม่ชีก็เลยบอกกับลูกว่า ลูกๆ เห็นแม่มีบุญบารมีมาก ก็เลยบอกลูกอีกทีหนึ่งว่า ลูกเห็นแม่ขนาดนี้ แต่ของหลวงตานี้มหาศาลเลย เขาก็เลยให้ลูกเขาทำ ๑๒ กิโลครึ่ง เขาโทรมาหาหนู แล้วเขาก็สั่งทองหนู ๑๒ กิโลครึ่ง ที่นิมนต์หลวงตาไปบางบอน พอดีเป็นเพื่อนกับพี่สาว)

เอ้อ พอพูดอย่างนี้ระลึกได้ เมื่อเช้าวานนี้ ไหนว่าเล่าให้ฟังซิผู้กำกับ ผู้ชายคนที่มาพูดปากบิดๆ เบี้ยวๆ น่ะ มาพูดอยู่นี้เป็นยังไง เราไม่ค่อยฟังอะไรนักละ (เขามาจากกรุงเทพ ชื่อ นายพรอนันต์ ทังเกษมวัฒนา อยู่ที่ ๙๙/๘ สุขุมวิท ๕๔ กรุงเทพ ครับ เขาบอกว่าเมื่อประมาณ ๗ ปีที่แล้ว เขาคิดไม่สมควรกับหลวงตา เรื่องหลวงตาเกลียดนายชวน หลีกภัย ไปรักทักษิณ ชินวัตร ๗ ปีที่แล้วนู่น แล้วเขาก็ว่าหลวงตาตามเสียงเล่าลืออ้างว่าหลวงตาสำเร็จแล้ว ถ้าหลวงตามีรักมีชังอย่างนี้เขาไม่เชื่อไม่ศรัทธา เขาผ่านวัดป่าบ้านตาดก็ไม่เข้ามากราบ เณรเขายังกราบแต่หลวงตาเขาไม่กราบ

มาปีนี้ละครับ เขาไปรักษาตัวที่ศิริราช พอหายออกมาเขาก็บริจาคเงินทั้งหมด ๘ ล้านบาทให้ศิริราช ต่อมาอีกประมาณสามเดือน อยู่ๆ ก็ปากเบี้ยวอย่างที่เห็นนั่นละครับ เขาก็บอก เอ๊ เขาก็ทำบุญมา ๒๐ ล้าน ๔๐ ล้าน นี่เขาไม่เคยทำบาปอะไร ยกเว้นประมาทพลาดพลั้งหลวงตาเรื่องเดียว) พลาดพลั้งยังไงว่ามา (ก็พลาดพลั้งอย่างที่ว่าเมื่อกี้ หลวงตาเกลียดนายชวนรักทักษิณ แต่ตอนนี้ไม่เอาทั้งคู่ละครับ ไม่เกลียดไม่รักเฉยๆ ตามเวรตามกรรมเขาไป พอเป็นอย่างนี้เขาก็บอกเขามีเรื่องเดียวนี่แหละที่ประมาทพลาดพลั้งหลวงตา เขาก็มานั่งพิจารณา แล้วเขาเลยไปกราบท่านอาจารย์ทุย วัดดงศรีชมพูครับ อาจารย์ทุยบอกรีบๆ ไปเสีย รีบไปขอขมาหลวงตาเสีย เขาก็มา

พอมากราบ ก็มาเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แล้วกราบขอขมา หลวงตาก็ไม่มีอะไรกับเขาอยู่แล้ว เขาคิดไม่ดีหลวงตาก็บอกให้เขาคิดในทางดีเสีย) ปากเขาเบี้ยว มันปากเปราะมันก็เบี้ยว ระวังให้ดีพวกที่ปากเปราะๆ ระวังให้ดี เราจะจับปากมันบิดให้หมดทุกคน มันเก่งนักปากพวกนี้ ว่าเขาปากเบี้ยวเพราะมาว่าให้เรา เขาว่าให้ฟัง เขาปากเบี้ยวมาเหรอ (ครับ) เวลาเขาไปเขาปากบิดไปเหรอ (เขาจะให้หลวงตาจับให้ตรง ผมก็เลยบอกว่าเอาไว้ก่อนเถอะ กลับบ้านไปก่อน ไว้เที่ยวหลังเดี๋ยวจะไปใหญ่) ปากมันบิดอยู่ แก้ใหม่ก็ให้บิดคืนเสียเราก็ว่างั้น มันบิดไปทางอื่น ทีนี้บิดคืนเสีย ความเห็นผิดเจ้าของ ทีนี้เห็นถูกเสีย ก็เรียกว่าบิดคืน เข้าใจไหม เป็นอย่างนั้นละ (เขามาเล่าก็ออกวิทยุนะครับ ออกวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน ก็ฮือฮากันพอสมควร)

ก็ได้ยินทั่วประเทศ เราพูดเราไม่สนใจกับอันนี้นะ เราพูดธรรมดาเรา แต่อันนี้มันออกทั่วประเทศ เมื่อวานนี้ก็ปากบิดก็พูดออกไปหมดเลย ก็เท่านั้นละ (พอดีอาจารย์นิดบอกให้เขาทำบุญกับหลวงตาโดยซื้อเครื่องมือแพทย์ก็ได้ แล้วเขาบอกวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ เขาจะมาถวายหลวงตา ๑ ล้านบาทครับ) แล้วหลวงตาตอบเขาว่าไง (ทีแรกว่าจะมีดอก ตอนหลังหลวงตาบอกไม่เอาทั้งดอกทั้งต้น แล้วแต่เขา หลวงตาไม่มีการบังคับ) มันมีข้อตลก ธรรมดาพูดแล้วมักจะมีแง่ตลกอยู่ในนั้น ไม่ได้คิดดอกเบี้ยเหรอ (ทีแรกก็ว่าถ้าถวายวันที่ ๒ กุมภา ก็จะคิดดอกเบี้ย แล้วเขาก็ถวายดอกเบี้ยแสนหนึ่งครับ) แน่ะเห็นไหมมีจนได้ข้อตลก ต่อไปเราก็เลยลบหมดเราไม่เอา ก็พูดเล่นเฉยๆ

(หลวงตาครับ กลับไปนี้เขาคงไม่เบี้ยวต่อไปแล้วนะครับ) ถ้าเขาไม่พูดอีกมันก็จะหายไปละ ถ้าเขาพูดแบบเก่ามันจะเบี้ยวหนักเข้าอีก ดีไม่ดีปากพูดไม่ได้จะว่าไง เรื่องบุญเรื่องบาปใครประมาทไม่ได้นะ เป็นพื้นฐานกับโลกมานมนานกี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้บาปบุญ กิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกันมา เป็นอย่างนั้นมาตลอด ใครจะไปประมาทไม่ได้ เรื่องบุญเรื่องบาปมีดั้งเดิม แต่ปากคะนองนั่นละมันจะมาบิดปากเอา เข้าใจไหม เสร็จแล้วนะ ให้พร

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก