คิดเป็นบุญเป็นกุศล
วันที่ 31 มกราคม 2544 เวลา 14:00 น. ความยาว 74.55 นาที
สถานที่ : วัดป่าไตรวิเวก อ.เมือง จ.สุรินทร์
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(Real)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :
 

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดไตรวิเวก จ.สุรินทร์

เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔ (บ่าย)

คิดเป็นบุญเป็นกุศล

          วันนี้เป็นวันอุดมมหามงคลแก่พี่น้องชาวจังหวัดสุรินทร์และพี่น้องแถวใกล้เคียง ที่ได้มาบำเพ็ญกุศลในครั้งนี้ โดยศาสตราจารย์ดอกเตอร์สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ท่านเสด็จมาเป็นประธานเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ซึ่งนาน ๆ จะได้พบได้เห็นกราบไหว้บูชาท่านพอเป็นขวัญตาขวัญใจแก่พี่น้องชาวไทยและชาวพุทธเรา วันนี้นับว่าเป็นโอกาสอันดีงามอย่างยิ่ง เราได้พบเห็นทั้งพระเจ้าพระสงฆ์ ได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ ทั้งสมเด็จท่านที่เสด็จมาเวลานี้นับว่าเป็นมงคลอย่างยิ่ง นี่ละคำว่ามงคลคือเจตนาที่เป็นกุศลมีความเคารพเลื่อมใส มนุษย์เราแม้แต่สัตว์ก็ยังมีผู้ใหญ่มีผู้น้อย ยิ่งมนุษย์ด้วยแล้วยิ่งถือผู้ใหญ่เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นที่สักการะบูชาเป็นที่เคารพนับถืออย่างมาก ยิ่งกว่าสัตว์ประเภทใด ๆ

นี่ก็ประเทศไทยของเรานี้มีทั้งพระพุทธศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ รวมแล้วเป็นศาสนาเอกในโลก เราก็ได้กราบไหว้บูชาระลึกเป็นขวัญตาขวัญใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตลอดวงศ์กษัตริย์ทุก ๆ พระองค์ก็เป็นเหมือนมหาพรหม ร่มโพธิ์ร่มไทรอันใหญ่หลวงแห่งประเทศไทยของเรา ซึ่งเป็นของคู่เคียงกันมาเป็นเวลานาน มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ๑ มีพระมหากษัตริย์ประทานความร่มเย็นให้แก่ไพร่ฟ้าประชาชีทั้งหลายตลอดมา ๑ นี่เรียกว่าพี่น้องชาวไทยเราได้ที่พึ่งอันเอกอุ จึงขอให้ได้มีความเคารพนับถือปฏิบัติบูชาทั้งฝ่ายศาสนธรรม ทั้งฝ่ายองค์กษัตริย์ท่านให้มีความเคารพเป็นคู่เคียงกัน จะเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องชาวไทยเราตลอดไป

บ้านเมืองเราเมื่อยังมีที่เคารพเลื่อมใสอยู่แล้ว ย่อมมีความแน่นหนามั่นคงและมีความอบอุ่นตลอดไป ถ้าขาดที่พึ่ง เช่น สรณะ ได้แก่ศาสนาก็ไม่มี พระมหากษัตริย์ก็ไม่มี ถ้าเป็นลูกก็เป็นลูกกำพร้า มีกี่คนก็ไม่มีความหมายในลูกนั้น ๆ ทะเลาะเบาะแว้งงอแงกัดฉีกกัน เพราะไม่มีเขตมีฝั่งมีฝามีที่เคารพบูชา หาความเคารพยำเกรงกันไม่ได้ แล้วก็เกิดแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายต่อชาติบ้านเมืองของเรา นี่มีตั้งแต่ความร่มเย็นเป็นสุขอันยิ่งใหญ่ นับแต่พระพุทธศาสนาลงมาถึงวงศ์กษัตริย์ของเรา ล้วนแล้วตั้งแต่น้ำอันเย็นฉ่ำที่สำหรับชะล้างจิตใจของเรา ที่แข็งกระด้างกระเดื่องไปด้วยบาปด้วยกรรม ให้มีความอ่อนโยนนิ่มนวลเคารพนบน้อมกราบไหว้ท่านผู้เลิศเลอ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และองค์พระมหากษัตริย์ตลอดวงศ์สกุลกษัตริย์เรื่อยมา อย่างนี้เรียกว่าพวกเราทั้งหลายมีที่อบอุ่น ถ้าต้นไม้ก็เป็นต้นไม้ที่มีใบหนาให้ความร่มเย็นแก่เราทั้งหลาย เวลาเดือดร้อนวิ่งเข้าร่มไม้ก็ชุ่มเย็นเป็นสุข นี่เวลาคิดถึงที่พึ่งที่เกาะ มุ่งคิดไปทางศาสนาก็คือธรรม คิดมาทางบ้านเมืองก็คือวงศ์กษัตริย์ ล้วนแล้วตั้งแต่ให้ความร่มเย็นแก่พี่น้องทั้งหลายเราเป็นลำดับมาอย่างนั้น

จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ระลึกธรรมทั้งสองประเภท คือวงศ์กษัตริย์ ๑ พระพุทธศาสนา ๑ ให้เข้าครองภายในจิตใจ จะเป็นเหมือนว่าเรามีพ่อมีแม่ ไปที่ไหนอบอุ่น ผิดกับลูกกำพร้าเป็นไหน ๆ ลูกกำพร้าไม่มีพ่อมีแม่ หาความเคารพยำเกรงหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ สุดท้ายก็เอาความทะเลาะเบาะแว้งมาเป็นเพื่อนเป็นฝูง มันเลยกลายเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันทั่วโลกดินแดน เพราะไม่มีที่ยับยั้งชั่งตวงไม่มีที่เกาะที่ยึดไม่มีที่ต้านทานเอาไว้ นี่เรามีทั้งเกาะเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของเรา หมุนไปทางศาสนาก็เป็นธรรมอันเลิศเลอ หมุนไปทางพระมหากษัตริย์ท่านก็ทรงเลิศเลอด้วยคุณธรรมมาแล้วไม่มีใครเสมือนแล้วแหละสำหรับเมืองไทยเรา ในการที่ทรงสนพระทัยต่อพุทธศาสนา พระองค์ทรงมอบทุกสิ่งทุกอย่างกับพระพุทธศาสนาเป็นต้นมา จึงเรียกว่าเป็นน้ำอันเย็นฉ่ำแก่พี่น้องชาวไทยเรา ขอให้ยึดหลักทั้งสองประเภทที่เลิศเลอนี้ไว้เป็นขวัญตาขวัญใจของเรา

การจะทำความชั่วช้าลามกขอให้ระลึกถึงพ่อถึงแม่ คือ พระพุทธเจ้าและวงศ์กษัตริย์เสียก่อนว่า ท่านสอนให้ทำตั้งแต่คุณงามความดี สอนให้ละชั่ว ให้ทำความดีเราอย่าฝืน เมื่อเราไม่ฝืนทำตามที่ท่านแนะนำสั่งสอนไว้แล้ว เราก็จะมีความสงบร่มเย็น เช่นพี่น้องทั้งหลายมาบำเพ็ญการกุศลในวันนี้ ก็มีตั้งแต่เรื่องเป็นคุณงามความดีเป็นสิริมงคลแก่ความคิดการกระทำการแสดงออกของพี่น้องชาวไทยชาวพุทธเราเป็นลำดับมา นี่ก็ได้พร้อมเพรียงกันมาบำเพ็ญกุศลเป็นที่ระลึกต่อท่านผู้ดี คือหลวงปู่สาม ท่านบำเพ็ญองค์ของท่านเป็นพระที่ร่มเย็นเป็นสุข เท่าที่หลวงตาเคยทราบนิสัยและเคยสนิทสนมกับท่านตลอดมา รู้สึกว่าท่านจะพูดน้อยมาก แต่กิริยาแห่งการกระทำของท่านนั้นไปแบบสุขุมลึก ๆ ตลอดมาเลย ท่านไม่ค่อยแสดงออก นี่เวลาท่านมรณภาพแล้วก็ปิดไม่อยู่ บรรดาประชาชนทิศใดแดนใดก็มาเคารพกราบไหว้บูชาในคุณธรรมของท่าน ที่เคยปฏิบัติดีมาแล้วตั้งแต่เวลายังมีชีวิตอยู่ ถึงท่านล่วงไปแล้วความดีก็ทำให้ท่านเป็นสุข

ชื่อว่าความดีคือบุญกุศลที่ได้สร้างขึ้นแล้วภายในกายวาจาใจ ย่อมทำผู้บำเพ็ญนี้ให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ตายแล้วหายห่วงเพราะอำนาจแห่งบุญกุศลเป็นเครื่องพยุงจูงใจให้ไปสู่สถานที่ดีคติที่เหมาะสมตลอดไป ไม่ได้เหมือนความชั่วช้าลามกที่ฉุดลากสัตว์ทั้งหลายให้ทำตลอดมา ความชั่วช้านี้ออกจากกิเลส ในศัพท์แห่งธรรมท่านบอกว่ากิเลส ๆ คำว่ากิเลส คือ ความเศร้าหมองมืดตื้อหุ้มห่ออยู่ภายในจิตใจ ไม่ให้มองเห็นตามสิ่งที่มีที่เป็นจริงทั้งหลาย มันมักจะมองไปให้เป็นสิ่งปลอมแปลงแฝงไปในทางที่ปลอม ๆ ไปเสียทั้งนั้น นี่คือความชั่ว ความชั่วนี้เป็นยาเคลือบน้ำตาล ซึมซาบภายใจจิตใจทั้งหลายให้มีความติดพันกับมันไม่มีวันอิ่มพอ แม้จะเป็นความทุกข์มากน้อยก็ไม่เห็นโทษแห่งความชั่วคือกิเลสตัวเหล่านี้เลย

คำว่ากิเลสคือความเศร้าหมองมืดตื้อมันปิดอยู่ที่หัวใจของสัตว์ ไม่ได้ไปปิดที่พระอาทิตย์พระจันทร์ท้องฟ้ามหาสมุทรที่ไหน สิ่งเหล่านี้จะกว้างแสนกว้าง กิเลสตัวมืดมิดปิดตานี้จะไม่ไปปิด แต่จะมาปิดหัวใจของสัตวโลกให้เห็นผิดไปจากหลักความจริง เห็นดีว่าชั่ว เห็นชั่วว่าดี นี่คือเรื่องกิเลส อย่างน้อยมันฝ้า ๆ ฟาง ๆ มากกว่านั้นมันทำให้เรามืดบอด ถึงกับว่าไม่เชื่อบุญไม่เชื่อบาป ทั้ง ๆ ที่บุญและบาปนี้มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แต่กาลไหน ๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยบุญ ละบาปแล้วตรัสรู้ด้วยบุญ บาปไม่มีทุกข์ก็ไม่มีจะไปละกันยังไง นี้บาปเต็มหัวใจจึงต้องละบาป ด้วยการสร้างความดี ซึ่งเป็นเหมือนกับการซักฟอกสิ่งสกปรกรกรุงรัง ให้สะอาดสะอ้านขึ้นมาพอมองดูได้ และสว่างไสวถึงกับเห็นประจักษ์ตาประจักษ์ใจ

นี่เรื่องของกิเลสมันปิดไว้หมด ท่านจึงว่ากิเลสคือความมืดตื้อ มันมืดอยู่ที่จิตใจไม่ได้มืดอยู่ที่ดินฟ้าอากาศ เช่น เดี๋ยวนี้สว่าง พอตกกลางคืนพระอาทิตย์ลับลงไปเท่านั้นก็เป็นความมืดขึ้นมา ความมืดและความสว่างเหล่านี้ไม่สร้างความทุกข์ความสุขให้แก่สัตวโลกแต่ประการใด ยิ่งกว่าความมืดบอดของจิต ความมืดบอดของจิตนี้มันปิดหูปิดตาให้ทำความชั่วช้าลามกได้ ทั้งที่แจ้งและที่ลับ ทั้งกลางคืนและกลางวันมันทำได้ทั้งนั้นเพราะมันปิดตาไว้แล้วค่อยทำ คนตาดีเห็นอยู่ สิ่งที่เป็นภัยทราบว่าเป็นภัย สิ่งที่เป็นคุณทราบว่าเป็นคุณ ย่อมหลบหลีกปลีกตัวต่อภัยทั้งหลายเหล่านั้นได้ แต่ความมืดภายในจิตใจนี้ ถึงจะพระอาทิตย์ร้อยดวงก็ไม่มีความหมาย มันทำให้มืดให้บอดตลอดมา

ดังที่ท่านแสดงไว้ว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี เปรตผีประเภทต่าง ๆ ทั่วแดนโลกธาตุมี พรหมโลกมี นิพพานมี นี้คือท่านผู้หูแจ้งตาสว่าง ได้แก่พระพุทธเจ้าของเราทุก ๆ พระองค์ตรัสรู้ด้วยโลกวิทู รู้แจ้งโลกนอกตลอดทั่วถึง รู้แจ้งโลกในเป็นต้นเหตุ คือรู้แจ้งโลกในที่เคยมืดบอดด้วยกิเลส กำจัดปัดเป่ามันออกด้วยน้ำที่สะอาดคือธรรม กลายเป็นพระทัยใสสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา กิเลสสิ้นไปจากใจแล้วเรียกว่าโลกวิทู รู้แจ้งประจักษ์ใจว่า ใจนี้สิ้นมลทินความมัวหมองหรือกองทุกข์ไปหมดเรียบร้อยแล้ว เรียกว่ารู้แจ้งภายในพระทัยไม่มีกิเลสความมืดดำเหมือนแต่ก่อน กลายเป็นใจที่สว่างกระจ่างแจ้งอาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าอยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ว่าจะเวล่ำเวลาใดก็ตามใจที่สว่างกระจ่างแจ้ง เปิดเผยตัวเองจากกิเลสที่ถูกสังหารลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว เป็นใจที่สว่างจ้าครอบแดนโลกธาตุ

นี่คือใจของพระพุทธเจ้า สว่างจ้าครอบแดนโลกธาตุ รองลงมาก็ใจของพระอรหันต์ สว่างกระจ่างแจ้งเช่นเดียวกัน ลดลงมาเป็นลำดับเท่านั้น นี่เรียกว่า รู้แจ้งภายใน โลกวิทู รู้แจ้งภายนอก บาปที่โลกทั้งหลายไม่เคยเห็นไม่เคยสนใจ ว่ามีหรือไม่มี บุญที่โลกก็เคยได้ยินแต่สนใจบ้างไม่สนใจบ้าง เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างหรือไม่เชื่อเลยก็มี เหล่านี้พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ท่านรู้อย่างแจ่มแจ้งจากจิตใจของท่านก่อนอื่น เพราะบาปเกิดขึ้นจากใจ กิเลสพาให้สร้างบาป ท่านแก้ไขดัดแปลงชะล้างกิเลสตัวมัวหมองนั้นเข้าไปให้เห็นบุญเห็นบาปเห็นคุณเห็นโทษ เมื่อประจักษ์เต็มเหนี่ยวแล้ว คำว่าบาปเกิดขึ้นที่ใจ ท่านเห็นประจักษ์ภายในใจโดยไม่ต้องไปถามใคร บุญเกิดขึ้นที่ใจไม่ต้องไปถามใคร นรกจะมีกี่หลุมกี่ขุมก็ตามประกาศจ้าขึ้นภายในจิตใจไม่ต้องไปถามใครเลย นี่คือรู้แจ้งภายนอก

ภายในได้แก่รู้แจ้งภายในจิต ไม่มีกิเลสปิดบังลี้ลับแม้แต่น้อยเลย เรียกว่ารู้แจ้งภายในใจบริสุทธิ์ล้วน ๆ รู้แจ้งภายนอก รู้แจ้งว่าบาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง เห็นประจักษ์ในพระทัย โดยไม่ต้องไปหาผู้หนึ่งผู้ใดมาเป็นหลักฐานพยานข้อยืนยันรับรองว่านี้มีจริง ๆ มีพยานอย่างนี้ ไม่มี ทรงประจักษ์ด้วย สนฺทิฏฺฐิโก ทรงรู้เองเห็นเอง ประจักษ์ด้วยจักษุญาณของพระองค์เอง จึงไม่ต้องไปถามใคร แล้วนำสิ่งที่รู้ตามหลักความเป็นจริงไม่คลาดเคลื่อนนี้มาสั่งสอนสัตวโลก

ทั้งบาป พระองค์ทรงรู้ทรงเห็นและทราบความเป็นภัยของบาปนี้มามากต่อมากนานแสนนานแล้ว โดยถือพระองค์เป็นผู้ยืนยันรับเคราะห์รับกรรมของบาป ซึ่งเคยสร้างมาโดยพระองค์เองมากี่กัปกี่กัลป์ เคยพาตกนรกหมกไหม้มากี่ครั้งกี่หน ครั้นพ้นจากนรกขึ้นมาแล้วกิเลสมันก็ปิดบังเสียประหนึ่งว่าไม่เคยตกนรก ไม่ให้รู้ไม่ให้เห็นแล้วก็ไม่เข็ดไม่หลาบ มันก็ผลักดันความหยาบความทะเยอทะยานในการสร้างบาปสร้างกรรมเข้าสู่ใจอีก ใจก็มีความบึกบึนทะเยอทะยานกล้าหาญต่อการทำชั่วแล้วก็ไปสร้างความชั่ว บาปก็เกิดขึ้นอีก เผาผลาญอย่างนี้ตลอดมา

นี่พระพุทธเจ้าท่านทรงเล็งญาณทราบด้วยพระทัยของท่านมาประจักษ์แล้ว แต่ก่อนท่านก็เป็นเหมือนพวกเรา ๆ ท่าน ๆ เหมือนสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกดินแดนนี้แล มืดดำกำตาอย่างนี้ ตกนรกหมกไหม้ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดเคยเหมือนกันกับโลกทั่ว ๆ ไปไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใครเลย ไปสวรรค์ชั้นพรหมก็เคยไป เป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์นรกอเวจีเหมือนกันกับเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่มีใครแตกต่างกัน เมื่อยังไม่สามารถที่จะผ่านพ้นสิ่งเหล่านี้มาได้ด้วยประจักษ์พระทัยเหมือนเวลาที่ตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรงเล็งญาณทราบสิ่งเหล่านี้ทั่วถึงหมด

เพราะฉะนั้นบรรดาสัตวโลกท่านจึงไม่ให้ประมาทกันในธรรมทั้งหลาย สัตวโลกนี้เกิดมาในสกุลใดในบุคคลและสัตว์ตัวใดก็ตาม อาศัยสถานที่เกิดคือพ่อแม่เป็นกำเนิดเท่านั้น แต่สมบัติเดิมที่เป็นแกนนั้นคือกรรม กรรมดีกรรมชั่วฝังอยู่ภายในจิตใจของสัตว์ทุก ๆ รายไปเลย ไปเกิดในสถานที่ใดกรรมเป็นผู้พาไปเกิด อาศัยท้องพ่อท้องแม่ให้เกิดเป็นกำเนิดขึ้นมา เป็นปูเป็นปลาเป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆ ล้วนแล้วตั้งแต่อำนาจแห่งกรรมผลักไสให้ไปเกิดทั้งนั้น ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน

ใครจะเกิดอยู่ในสถานที่ใด ๆ ก็ตามในน้ำบนบก บนท้องฟ้าอากาศ พวกสัตว์ประเภทต่าง ๆ ตลอดถึงมนุษย์เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เกิดด้วยอำนาจแห่งกรรมทั้งนั้น ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน เพราะกรรมเป็นธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่มากสุดแดนโลกธาตุ ไม่มีสิ่งใดจะมีอำนาจเหนือกรรมดีกรรมชั่วนี้ไปได้เลย กรรมดีให้ผลดี ใครจะมาขัดมาแย้งผลดีให้เป็นผลชั่วไม่ได้ กรรมชั่วต้องเป็นผลชั่ว ได้รับความทุกข์ความทรมานมากน้อยตามอำนาจแห่งกรรมดีแห่งกรรมชั่วของตนนั้น ๆ ตลอดไปเช่นเดียวกัน ท่านจึงสอนไม่ให้ประมาทกัน

แล้วในบาลีก็แสดงไว้อย่างชัดเจนว่า นตฺถิ กมฺม สมํ พลํ ไม่มีอานุภาพหรืออิทธิพลใดในสามแดนโลกธาตุนี้จะเหนืออิทธิพลแห่งกรรมดีกรรมชั่วไปได้ ใครจะทำด้วยอำนาจบาตรหลวงเย่อหยิ่งจองหองขนาดไหน แล้วทำความชั่วช้าลามกไม่สะทกสะท้านกับบาปกับกรรมกับนรกอเวจีอันใดก็ตาม แต่ไม่เหนือคำว่ากรรมนี้ไปได้ เมื่อลมหายใจขาดสะบั้นลงไปเท่านั้น กรรมอันนี้แลเป็นผู้บังคับขับไสถ้าทำชั่วก็ต้องลงชั่วอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำดีก็ต้องไปดีร้อยเปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน ท่านจึงว่ากรรมดีกรรมชั่วมีอิทธิพลเหนือสัตวโลกตลอดไปหมด ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน เรามาเกิดนี้เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรม มีพ่อมีแม่สถานที่อยู่วงศ์สกุลของเราในสถานที่ใด นั่นเป็นสถานที่แห่งกรรมพาให้ไปเกิด ๆ ถ้าเกิดมาแล้วเราอย่าเป็นผู้ประมาท

จะเกิดในชาติชั้นวรรณะใด เช่น มนุษย์เราก็คือมนุษย์ด้วยกัน เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรมเหมือนกันหมด มีทางที่จะปรับปรุงแก้ไขตนให้ดีเท่านั้นเป็นความชอบธรรม จะไปดูถูกเหยียดหยามเขาคนนั้นคนนี้ ว่าเขามีชาติชั้นวรรณะต่ำต้อยน้อยหน้าทุกข์จนหนโลกอย่างนี้ไม่ถูก อันนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาภายหลัง อาจเป็นเพราะอำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารที่คนนั้นเคยทำดีแล้ว ได้เสวยสมบัติอันดีงามขึ้นมาพอกพูนจนสมบูรณ์พูนผลขึ้นได้อย่างนี้ก็ได้ อาจเป็นเรื่องของกิเลสมันแฝงตัวเป็นฤทธิ์เป็นเดชขึ้นมา ให้สร้างความชั่วช้าลามกด้วยอำนาจบาตรหลวงลืมเนื้อลืมตัว ลืมยศถาบรรดาศักดิ์ หลงอำนาจตัวเองสร้างความชั่วช้าลามกขึ้นมามาก ๆ ได้กอบได้โกยได้เงินมากน้อยเท่าไรถือเป็นอำนาจของตนเองว่าชอบธรรม ๆ มันชอบตามอำนาจของกิเลส

แล้วเกิดความมั่งมีศรีสุขขึ้นมา เงินอยู่ในกระเป๋าฝากไว้ธนาคารไม่พอ กลัวเขารู้เขาเห็นเอาไปใส่อุโมงค์ไว้ใต้ดินก็ได้ นี่มันมีขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งกรรมพอกพูนหัวมันก็ได้คนประเภทนี้ ตายแล้วสิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นไฟเผาคนคนนั้นที่กำลังเห่อตัวเอง ที่กำลังลืมเนื้อลืมตัวอยู่นั้นแล ให้จมลงในนรกยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลายที่เขาไม่มั่งมีศรีสุข แต่เขาไม่ทำความชั่วเป็นไหน ๆ นี่ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้พากันระมัดระวัง

ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีคำว่าผิดเพี้ยนเปลี่ยนแปลงไปไหนเลย แต่กิเลสนั้นไม่ว่าวงศ์สกุลปู่ย่าตายายหลานเหลนของกิเลสโคตรแซ่ของกิเลส มันคือโคตรแซ่วงศ์สกุลที่ต้มตุ๋นหลอกลวงสัตวโลก หาความจริงมาแสดงไม่มี มีตั้งแต่ความหลอกลวงต้มตุ๋นล้วน ๆ ตลอดมา เพราะฉะนั้นสัตวโลกที่หลงไปตามมัน จึงมักได้รับความเดือดร้อนตลอดมาและไม่เข็ดไม่หลาบ เพราะมันมีเคลือบน้ำตาลแทรกไว้ให้เราเพลิดเราเพลิน มีหวานบ้างเล็กน้อย ส่วนเป็นพิษเป็นภัยก็เหมือนกับเหยื่อล่อปลาในปลายเบ็ดนั้นแหละ เหยื่อล่อนั้นเขาลอยแต่ปลายเบ็ดปลาไม่เห็น ปลาตัวโง่งับเข้าไปเลือดทะลักออกมา นี้คนเราถ้าโง่ไม่ได้พินิจพิจารณาตามเหตุตามผลตามอรรถธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว อยากทำอะไรก็ทำตามความอยาก หารู้ไม่ว่าความอยากอันนั้นคือเหยื่อเสียบปลายเบ็ดมันหลอกให้อยากทำ ครั้นทำลงแล้วกองทุกข์เราเป็นผู้รับเคราะห์เสียเอง ๆ สัตวโลกทั้งหลายที่เชื่อกิเลสจึงมักมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายทั่วโลกดินแดน

พี่น้องทั้งหลายให้ดูว่าโลกอันนี้มีความทุกข์เพียงเราเท่านี้เหรอ ให้ดูไปคนที่สองก็มีเหมือนกัน คนที่สามมีเหมือนกัน ดูในวงพ่อวงแม่ พ่อแม่ก็มีความทุกข์ ลูกเต้าหลานเหลนเกิดขึ้นมากี่คนมีความทุกข์ด้วยกัน เพราะความสกปรกหมกไหม้มันมีอยู่ภายในจิตใจแล้วก็เกิดความทุกข์ เพราะอำนาจแห่งการหลงตามกิเลสมันมีด้วยกัน จึงมีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา ออกไปสังคมต่าง ๆ ส่วนมากมีตั้งแต่สังคมที่ดีดที่ดิ้นไปตามอำนาจของความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาซึ่งไม่มีเมืองพอเลย

สิ่งเหล่านี้ไม่พอ ใครหามาได้เท่าไรยิ่งเป็นเหมือนกับเสริมเชื้อไฟเข้าสู่ไฟ ได้มากเท่าไรยิ่งหิวมากเท่านั้น วันนี้ได้เท่านี้อยากได้มากกว่านี้อีก ๆ คือเสริมไฟให้แสดงเปลวแห่งความหิวความกระหายความทุกข์มากขึ้นโดยลำดับ เมื่อไม่สมใจก็โกรธแค้นฆ่าฟันรันแทงซึ่งกันและกัน นี่ก็คือไฟแต่ละกอง ๆ ได้แก่กิเลสตัวมันเคลือบน้ำตาลเอาไว้ไม่ให้เราเห็นพิษของมัน มีแต่ความเพลิดเพลินความอยากความทะเยอทะยาน อันเป็นยาเคลือบน้ำตาลลากเข็นเราไป

จากนั้นก็ราคะตัณหา ไอ้ราคะตัณหานี้ตัวรุนแรงมากที่สุด ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ถ้าศาสนาไม่สอนจะไม่มีใครสอนได้เลย เพราะอำนาจกามกิเลสราคะตัณหานี้มันมีอำนาจมาก มันครอบทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีใครกล้าแตะมันได้เลย นอกจากธรรมเท่านั้นที่ท่านมองดูเห็นโทษของมันเต็มพระทัย เช่น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ด้วยสายตาของธรรมที่ท่านมองดูแล้ว ท่านจึงพูดตามหลักความจริง ราคะตัณหานี้มันก็เป็นยาเคลือบน้ำตาลเช่นเดียวกับชนิดอื่น ๆ ท่านจึงมีธรรมเข้าไปบังคับเอาไว้ไม่ให้มันผาดโผนโจนทะยาน ให้มีธรรมเป็นขอบเป็นฝั่งเป็นฝา ถ้าไฟก็ให้มีเตาเอาไว้ให้หุงต้มแกงอยู่ภายในเตา ใช้แสงสว่างจากไฟได้ด้วยความระมัดระวัง อย่าลืมเนื้อลืมตัว ไฟก็เป็นประโยชน์

ทีนี้ราคะตัณหาเมื่อเราละมันไม่ได้ ให้มันอยู่ในขอบเขตด้วยศีลที่พระพุทธเจ้าประทานให้แล้ว เรียกว่าดาบที่คมกล้าที่สุด ได้แก่ กาเมสุ มิจฉาจารหรือ นนฺทิราคสหคตา ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี เสยฺยถีทํ กามตณฺหา ภวตณฺหา วิภวตณฺหา สิ่งเหล่านี้ให้อยู่ในความควบคุมของเรา

เช่น เรามีผัวมีเมียแล้ว พึงทราบว่าเรามีขอบมีเขตมีฝั่งมีฝาแล้ว อย่าปีนขอบปีนฝั่งปีนฝาเป็นน้ำล้นฝั่ง จะโกยเอาฟืนเอาไฟมาเผาครอบครัวผัวเมียของตน จนกระทั่งลูกเต้าหลานเหลนวงศ์สกุลเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด เพราะราคะความได้ไม่พอนี้แหละมันย้อนเข้ามาเผา คนที่เห่อเหิมด้วยราคะตัณหากินเท่าไรไม่พอ กินเท่าไรไม่อิ่ม นี่ละท่านจึงมี กาเมสุ มิจฉาจาร เป็นดาบอันคมกล้าตัดให้มันขาดสะบั้นไปเลยอย่าให้มีเงื่อนต่อ เรื่องหญิงเรื่องชายนอกจากผัวจากเมียเราแล้ว นอกนั้นเป็นภัยทั้งนั้น ศีลธรรมประกาศป้าง ๆ ให้เรารู้อยู่นี้ ถ้าใครฝืนลงไปเอามาดูซิน่ะ แต่ก่อนเราอยู่กับเมียของเรา เราผาสุกเย็นใจด้วยความจงรักภักดีความซื่อสัตย์สุจริตพึ่งเป็นพึ่งตาย ได้อะไรมาความเป็นอยู่ทั่วถึงกันหมด เพราะเป็นประหนึ่งว่าอวัยวะเดียวกัน ใครไปหารายได้นอกบ้านในบ้านทั้งผัวทั้งเมียไป ได้มาแล้วเป็นสมบัติที่มีคุณค่าเฉลี่ยเผื่อแผ่ถึงอวัยวะในครอบครัวของตนอย่างอบอุ่นและเย็นใจ

นี่เพราะเหตุไร เพราะความมักน้อย ได้แก่ มีผัวเดียวเมียเดียวเท่านี้ยอดแล้วสำหรับผู้ครองบ้านครองเรือนที่ละมันไม่ได้ ถ้านอกจากนี้แล้วเป็นไฟทั้งกอง ไม่ว่าฝ่ายหญิงฝ่ายชายไปเสาะไปแสวงหาเป็นล้นฝั่งเข้ามา ก็คือไฟเผาบ้านเผาครอบครัวเหย้าเรือนนั่นแล ผัวเมียใครจะรักยิ่งกว่าผัวเมียรักกัน ความฝากเป็นฝากตายนี้เป็นบ่อแห่งความสุข พี่น้องทั้งหลายอย่าหาเงินหาทองข้าวของสมบัติต่าง ๆ ยศถาบรรดาศักดิ์ว่ามีคุณค่ายิ่งกว่าผัวเดียวเมียเดียวเอามาแข่งขันกัน พวกที่มีเงินมาก ๆ นั้นแหละคือพวกที่ลืมตัวมาก ๆ ถ้าไม่มีศีลธรรม ได้มาเท่าไรเงินนั้นกลายเป็นไฟมาเผาตัวเอง เผาบ้านเผาเรือนไปหมด ถ้าผู้มีศีลมีธรรมจะมีมากมีน้อยจะเป็นประโยชน์ทั่วถึงไปหมด เพราะฉลาดทำ นี่เป็นอย่างนี้ละ

อัปปิจฉตา มีผัวเดียวเมียเดียวเป็นสมบัติอันล้นค่า เอามหาเศรษฐีที่มีร้อยเมียมาแข่ง แข่งไม่ได้เลย พวกนี้จมลงทะเลหลวง ๆ ใครมีผัวมากเมียมาก พวกลงทะเลหลวงทั้งนั้นหาความสุขไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เงินอยู่ใต้ดินก็มี ไว้ในอุโมงค์ก็มี ฝากเมืองนอกก็มี ในเวลาที่เห่อในเวลาที่ตื่นอำนาจตัวเอง กวาดต้อนได้หมด ๆ ประหนึ่งว่าชาวโลกเขาเป็นหมาเราเป็นคนคนเดียวเป็นเจ้าอำนาจ ครั้นแล้วก็สิ่งเหล่านี้แลมาเผาเจ้าอำนาจให้จมอยู่ในนรกอเวจี แม้มีชีวิตอยู่ก็หาความสุขไม่ได้ เงินอยู่ใต้ดินก็อยู่ใต้ดิน แต่ความทุกข์มันอยู่ที่หัวใจมันก็เผาอยู่ที่หัวใจตลอดเวลา พอขาดลงไปแล้วก็เผาใหญ่เลย นี่เราอย่ายินดีอย่าฝ่าฝืนคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาองค์เอก ทรงเล็งญาณทราบตลอดทั่วถึงแล้วว่า อันใดเป็นภัยอะไรเป็นคุณ ให้เราปฏิบัติตามนั้น

เฉพาะอย่างยิ่งดังที่พูดตะกี้นี้แหละ ที่ว่าราคะตัณหา ให้พากันปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความซื่อสัตย์สุจริต พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ ท่านทั้งหลายไปไหนไปเถอะ ไม่ว่าฝ่ายสามีไม่ว่าฝ่ายภรรยา ไปนอกบ้านในบ้านไม่มีความระแคะระคายสงสัยซึ่งกันและกันพอที่จะก่อฟืนก่อไฟเผากัน ได้สมบัติเงินทองมากน้อยมาเฉลี่ยเผื่อแผ่ เรียกว่าเป็นอวัยวะเดียวกัน มีความชุ่มเย็นเป็นสุขด้วยกันหมด นี่ละความมีศีลธรรม จนด้วยศีลด้วยธรรมมีความสุข มั่งมีด้วยความปราศจากศีลธรรมนั้นเป็นฟืนเป็นไฟ อย่ากล้าหาญชาญชัย อย่าแข่งพระพุทธเจ้า อย่าแข่งธรรมพระพุทธเจ้า ให้ปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี นี่คือศีลธรรมอันสำคัญมาก

เวลานี้ศาสนานี้มองไปที่ไหนรู้สึกว่าอิดหนาระอาใจเหมือนกัน หลวงตาพูดอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน เพราะได้พิจารณาอย่างนั้นมาแล้ว พิจารณาเจ้าของเองก็ได้พิจารณาตั้งแต่วันเริ่มแรกบวช ปฏิบัติจิตใจปฏิพัทธ์ยินดีอยู่กับศีลกับธรรม ระมัดระวังรักษาตัวจนเป็นที่ภูมิใจตลอดมา ถึงขนาดที่ว่าฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจไม่มีอะไรมาปิดบังจิตใจ และไม่มีอะไรมาก่อทุกข์ต่อจิตใจตั้งแต่วันกิเลสตัวก่อทุกข์ให้จิตใจ ขาดสะบั้นลงจากใจแล้ว ใจไม่มีความทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายปรากฏเลย นี่ได้เห็นชัดเจนอย่างนี้แล้ว ภัยของใจโดยแท้นั้นคืออะไร คือกิเลส ก็ได้นำมาพูดได้นำมาสอนพี่น้องชาวไทยทั้งหลายเราให้ทราบทั่วถึง ความโลภ คนไม่ตายโลภได้ด้วยกันนั่นแหละ ที่ท่านว่าความโลภคือมันเลยฝั่งแห่งความพอดี ๆ ท่านเรียกว่าโลภ

ถ้าอยากได้ธรรมดานี้แม้แต่สัตว์มันก็อยาก คนเราไม่ใช่คนตายก็อยาก อยากอย่างนี้อยากอยู่ในกรอบแห่งศีลแห่งธรรมไม่เป็นความชั่วช้าลามกอันใดเลย ท่านจึงไม่เรียกว่าความโลภ แต่ความโลภได้ไม่พอ ได้แง่ไหนท่าไหนเอาทั้งนั้น พอลัก-ลัก พอฉกฉก พอปล้น-ปล้น พอรีดพอไถรีดเอาไถเอา อย่างนี้ท่านเรียกว่าความโลภนี้เป็นภัย เป็นมหาภัยตลอด นี่ละกลับมาเป็นฟืนเป็นไฟเผาเรา สิ่งเหล่านี้มันเป็นภัยต่อทุกคนต่อทุกสัตวโลก มองไปที่ไหนมีแต่ความเดือดร้อน ดีดดิ้นไปด้วยความโลภ ได้ไม่พออยู่ไม่พอกินไม่พอ อะไรมีแต่ความไม่พอ เรื่องของกิเลสหาเมืองพอไม่ได้เลย

ถ้าเรื่องของธรรมแล้วพอเป็นระยะ ๆ ไป เช่น ผู้บำเพ็ญสมาธิเมื่อจิตเข้าสู่ความสงบเป็นขั้น ๆ จนถึงความสงบเต็มตัวแล้วเหมือนกับน้ำเต็มแก้ว จะทำให้มากกว่านั้นไม่ได้ เรียกว่าสมาธิเต็มภูมิ นี่พอแล้ว น้ำเต็มแก้ว แก้วแห่งสมาธินี้พอแล้ว แก้วแห่งปัญญากระจายออกไป พิจารณาถึงเรื่องโลกสงสาร ความเป็นความตาย ความติดความพันอะไรมันเพราะอะไร พิจารณาแยกธาตุแบ่งสันปันส่วนดูดินน้ำลมไฟด้วยปัญญา ความเกิดความตายความสลายเหล่านี้เกิดมาจากอะไร เกิดมาจากกิเลส

ชาติปิทุกฺขา ชราปิทุกฺขา มรณมฺปิทุกฺขํ กองทุกข์เหล่านี้มีมาด้วยอำนาจของกิเลสทั้งนั้น ๆ เมื่อพิจารณาเข้าไป แก้เข้าไป ถอนเข้าไป กิเลสมีอยู่ที่ไหนเหมือนเชื้อไฟ ปัญญาเหมือนไฟ สติเหมือนไฟปัญญาเหมือนไฟ ความเพียรเป็นเครื่องหนุนไฟ เผาไหม้ตลอด ๆ ไปเลย จนกระทั่งเชื้อไฟคือกิเลสไม่มีสิ่งใดเหลือภายในจิตใจดับพึบลงหมด ความทุกข์ก็ไม่มี แล้วไฟคือธรรมที่เผาไหม้ก็ดับลงไป ไม่ทราบจะไปเผาอะไร นี่คือบรมสุขของท่านผู้สิ้นจากกิเลสแล้ว หาความทุกข์ไม่มีเลยภายในใจของท่าน จะมีอยู่บ้างเป็นธรรมดาเหมือนโลกทั่ว ๆ ไปคือธาตุขันธ์ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านมีธาตุมีขันธ์ดินน้ำลมไฟ มีอวัยวะเหมือนกันกับพวกเรา ย่อมมีความหิวความโหยความอยากหลับอยากนอน การเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นทุกข์ธรรมดา แต่ทุกข์อยู่ในวงขันธ์ ไม่ได้ทุกข์เข้าไปถึงจิตใจท่านซึ่งเป็นฝั่งหนึ่งแล้ว คือฝั่งวิมุตติ

ในธาตุขันธ์นี้เป็นฝั่งสมมุติ มันดีดมันดิ้นมันเป็นกองทุกข์ก็เป็นอยู่ในวงสมมุติคือธาตุขันธ์นี้เท่านั้น ไม่สามารถที่จะก้าวเข้าไปสู่แดนแห่งวิมุตติคือจิตที่หลุดพ้นแล้ว เป็นธรรมธาตุแล้วได้เลย นี่ต่างกันอย่างนี้ สำหรับธาตุขันธ์นั้นเป็นทุกข์เหมือนกัน ต่างกันแต่ว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ทุกข์เหล่านี้ไม่ซึมซาบจิตใจท่าน เป็นอยู่ในวงขันธ์ดีดอยู่อยู่ในวงขันธ์ เมื่อหมดสภาพแล้วมันก็แตกสลายไป ท่านก็ปล่อยความรับผิดชอบเสีย เป็นอนุปาทิเสสนิพพานล้วน ๆ ไม่มีสมมุติเข้าไปเจือปนเลย นี่คือแดนแห่งบรมสุข เกิดมาจากพระพุทธศาสนาของเราที่ทรงชี้แจงแสดงบอกพี่น้องชาวพุทธเรา

คือชาวไทยเกือบจะว่าทั่วประเทศไทยเป็นชาวพุทธ ขอให้นำธรรมนี้ไปเป็นเครื่องบังคับดับกิเลสบ้าง อย่าปล่อยให้มันเลยเถิดเลยแดน แล้วมันจะสร้างแต่ความทุกข์ความทรมานให้แก่เราทั่วหน้ากัน ไปที่ไหนจะมีความสุขออกมาคุยกันบ้างพอเป็นที่ชื่นอกชื่นใจมักจะไม่ค่อยเห็นมีนะ พอมองเห็นกัน กระซิบกระซาบก็กระซิบกระซาบระบายเรื่องทุกข์ซึ่งต่างคนต่างมีนั้นแล มาระบายต่อกัน จากระบายแล้วก็ไปใหญ่เลยจนลืมเวล่ำเวลา

นั่งกี่ชั่วโมงเพลินคุยระบายทุกข์ว่าเป็นความสุข ๆ นั่งนาน ๆ มันสุขที่ไหน เอวมันจะหักมันก็ไม่สนใจ ขอได้คุยระบายทุกข์ออกไป นี่เพราะความทุกข์มากมันอัดอั้นตันใจของหัวใจแต่ละคน ๆ แล้วใครมีความสุขในโลกอันนี้ไม่มี เอาธรรมจับเข้าไปซิ ธรรมจับเห็นหมด ไม่เห็นหมดพระพุทธเจ้าสอนโลกได้ยังไง ถ้าพระพุทธเจ้าเหมือนเราธรรมดาก็ไม่เห็นมีวิเศษวิโสอะไร ตาพระพุทธเจ้ากับตาเรา ตาในนั่นซิสำคัญตาใจ

ตานอกเป็นตาเนื้อก็เหมือนเรานี่ละ เขาเห็นท่านก็เห็น เขาได้ยินท่านก็ได้ยิน แต่ตาในนี้ไม่ใช้อายตนะภายนอก คือตาหูจมูกลิ้นกายนี้ไม่นำมาใช้ ใช้เฉพาะใจที่บริสุทธิ์เต็มไปด้วยพระญาณหยั่งทราบทะลุไปหมด มองที่ตรงไหนทะลุไปหมด พูดให้ฟังชัด ๆ ว่าท้องแผ่นดินของเรานี้เรียกว่าโลกอันนี้ มันหนาแน่นไปด้วยหินผาป่าไม้ พวกดินพวกน้ำเต็มอยู่ในนี้หมดแร่ธาตุต่าง ๆ รวมแล้วเรียกว่าโลก ก้อนโลกนี่ใหญ่หนาขนาดไหน นี่คือวัตถุไม่ใช่นามธรรม มองเห็นด้วยตาเนื้อ สิ่งเหล่านี้ไม่รับทราบเรื่องบาปเรื่องบุญ ไม่รับทราบนรกสวรรค์พรหมโลกนิพพาน ไม่รับทราบเรื่องเปรตเรื่องผี เขาเป็นธรรมชาติของเขาอย่างนั้นมาดั้งเดิม ไม่มีบุญมีบาปกับเขาเลย เขาไม่มีอะไรกับใคร เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นนามธรรมไม่ได้เป็นวัตถุเหมือนก้อนโลกอันนี้

ท่านมองดูโลกท่านไม่ได้มองดูแผ่นดินทั้งแผ่น โลกทั้งโลกนี้นะ ท่านมองดูสิ่งที่เป็นนามธรรมด้วยกัน นามธรรมคืออะไร จิตของท่านเป็นนามธรรม สว่างกระจ่างแจ้งไปหมดเลย ในจิตดวงนี้ไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับ สว่างจ้าไปหมด แล้วอันใดที่สมควรกับจิตซึ่งเป็นนามธรรมและสว่างกระจ่างแจ้งไปหมดนี้คืออะไร นี่ก็คือบาป บุญ นี่สัมผัสกันทันที สัมผัสบาปสัมผัสบุญ เปรตผีประเภทต่าง ๆ บรรดาสัตว์ที่มีวิญญาณ ๆ ตลอดถึงนรกอเวจีที่สัตว์ไปกองเต็มอยู่ในนรกอเวจี ตลอดสวรรค์ชั้นพรหม จิตใจดวงนี้จะทะลุถึงกันหมด เห็นกันรู้กัน สัมผัสสัมพันธ์กันได้อย่างชัดเจน นี่คือวิสัยของใจซึ่งเป็นนามธรรม กับสภาวธรรมทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นนามธรรมด้วยกัน เข้ากันได้อย่างสนิท ท่านไม่ได้มาเอาดินน้ำลมไฟนี้มาเป็นครูเป็นอาจารย์มาสอนโลกนะ เพราะสิ่งเหล่านี้เขาไม่เป็นบาปเป็นบุญ ไม่ตกนรกไปสวรรค์เหมือนจิตวิญญาณของสัตว์

เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณของสัตว์กับจิตวิญญาณของท่านผู้รู้ที่ฉลาดแหลมคมปราศจากกิเลสตัณหาแล้วจึงเข้ากันได้สนิท ๆ ควรจะสงเคราะห์กันด้วยวิธีใด ท่านสงเคราะห์อยู่ภายในจิตใจ สัมผัสสัมพันธ์อยู่ภายในนั้น บาปมีบุญมีนรกมี-มีอยู่ที่ใจของสัตว์นะ ไม่ได้มีอยู่ที่หินผาป่าไม้ มีอยู่ที่ใจของสัตว์ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่มองดูหินผาป่าไม้เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไร ท่านจะมองดูจิตวิญญาณของสัตวโลกซึ่งเป็นของคู่ควรกันกับจิตของท่านที่เป็นนามธรรม สิ่งเหล่านั้นก็เป็นนามธรรมเข้าถึงกันได้อย่างรวดเร็วไม่มีปัญหาอันใดเลย ประสานถึงกันเลย

นั่นแหละท่านเล็งญาณดูสัตวโลก ท่านเล็งญาณดูจิตวิญญาณของสัตวโลกที่เต็มทั่วโลกดินแดนนี้ต่างหาก ท่านไม่ได้มองดูดินฟ้าอากาศหินผาป่าไม้ภูเขาลูกนั้นลูกนี้อะไร อันนี้เขาไม่มีความหมายอะไร เราจะบอกเขาว่ามีก็ได้ไม่มีก็ได้เขาไม่มีความหมายในตัวของเขาเอง แม้เราไปให้ความหมายเขา เขาก็ไม่รับความหมายจากเรา สิ่งที่รับความหมายกันได้อย่างร้อยเปอร์เซ็นต์ คือวิบากผลดีผลชั่วแห่งกรรมของสัตว์ ที่ทำขึ้นไปแล้วจากใจของแต่ละคน ๆ นี่ต่างหากนะ

ใจเป็นนามธรรม ใจดีใจชั่วใจหม่นหมองใจสว่างกระจ่างแจ้ง ใจมีนิสัยมีอุปนิสัยหรือไม่มี หรือใจโหดร้ายทารุณ ใจเป็นเหมือนซุงทั้งท่อนแล้วยังไม่แล้ว เหมือนท่อนไฟทั้งกองอยู่ในซุงนั้นด้วยก็มี นี่ละใจประเภทนี้ละจึงประสานกันได้ทันทีรู้ได้ทันที เมื่อท่านรู้ได้เห็นได้อยู่อย่างนั้นแล้ว จะปฏิเสธยังไงว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี ๆ ก็ผู้เห็น-เห็นอยู่ ไปถามคนตาบอดมันได้เรื่องได้ราวอะไร มีกี่หมื่นกี่แสนคนว่า วัตถุสิ่งนี้มีไหม คนตาดีเห็นอยู่นั้น เขาบอกไม่มีเขาไม่เห็น คนตาบอดมีเท่าไรก็ปฏิเสธเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่มี เพราะเขาไม่เห็น แล้วเราจะยอมรับคนตาบอดนั้นหรือว่าไม่มีตามที่เขาว่าไม่เห็น ใครจะยอมรับได้ ผู้ที่ตาดีเห็นอยู่รู้อยู่ มีกี่คนก็รับเป็นพยานหรือเป็นเครื่องยืนยันกันได้ แล้วเราจะไปเชื่อคนตาบอดยังไง

นี่ละพระพุทธเจ้าจึงไม่เชื่อคนตาบอด สัตวโลกตาบอดพระพุทธเจ้าเชื่อได้ยังไง นอกจากเป็นครูเป็นอาจารย์สอนสัตวโลกด้วยความเมตตาสงสาร เอา เดินเถอะว่างั้นเลย คนตาบอดขอให้จับไม้เท้าของคนตาดี คนตาดีจูงไปทางไหนอย่าปล่อยไม้เท้า ให้จับไม้เท้าไปแล้วจะปลอดภัย อย่าอวดดิบอวดดีต่อไม้เท้าต่อคนตาดี ถือว่าตัวตาบอดดีกว่าคนตาดีแล้วจะจม ตกเหวตกบ่อคือคนตาบอดผู้อวดดีนั้นแล ได้รับความทุกข์ความทรมานคือคนที่อวดดีทั้ง ๆ ที่เลว ๆ นั้นแล นี่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านสว่างกระจ่างแจ้งขนาดไหน ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นคนตาดี ซึ่งควรที่จะยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ ถ้าเป็นไม้เท้าก็คือสายธรรมที่ท่านสอนให้เราฟัง นี่ละให้ยึดสายธรรมนี้ละเรียกว่าไม้เท้า ท่านสอนยังไงให้ยึดอันนี้แล้วเดินไปตามท่าน เราจะแคล้วคลาดปลอดภัยไปเป็นลำดับลำดา ต่อไปก็ช่วยตัวเองได้ ทีนี้ช่วยตัวเองได้แล้ว เราก็ก้าวเดินได้สะดวก ๆ นี่คนตาดี

คนตาบอดต้องอาศัยคนตาดี จับไม้เท้าของคนตาดีไป คนโง่ต้องอาศัยคนฉลาดที่เป็นธรรม ไม่ใช่ฉลาดคดโกงรีดไถ เห็นเขาโง่เท่าไรยิ่งบีบยิ่งบี้เอาทุกแง่ทุกมุม อันนั้นมันเปรตผีกินไม่พอ อย่านำมาเป็นครู หมายถึงคนฉลาดที่เป็นธรรม เราโง่ให้เชื่อให้ดำเนินตามผู้ฉลาด จอมปราชญ์คือพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน นั้นแลเป็นผู้ที่ฝากเป็นฝากตายได้อย่างแท้จริง ดังธรรมที่ท่านสอนไว้แล้วนี้ว่า สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ บอกว่าบุญว่าบาปนรกสวรรค์ นี้คือแปลนแห่งมรรคผลนิพพาน แปลนแห่งสัตวโลก นรกอเวจีท่านบอกไว้หมดอยู่ในแปลนคือศาสนานี้ทั้งนั้น

ถ้าเราได้ปฏิบัติตามนี้แปลนที่ยกออกมาปฏิบัติแล้วเราจะเห็น พระพุทธเจ้าพูดเป็นโมฆะที่ไหน ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ แล้วทรงสอนโลกมาตั้งกัปตั้งกัลป์ แล้วเหตุใดเราจะเก่งแต่เราคนเดียวว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี แล้วก็ไปตายจมแต่เราคนเดียว นี่มันเป็นยังไงให้พิจารณาตัวเอง เวลานี้พวกเรากำลังโง่ โง่ต่อกลมายาของกิเลส กิเลสนี้แหลมคมมากที่สุดนะ ให้พากันพยายามตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ

ศาสนาจะไม่ปรากฏในเมืองไทยเราแล้วนะเวลานี้ ไปที่ไหนเห็นแต่กิริยาท่าทางพิธีการต่าง ๆ การจะประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีนี่รู้สึกว่ามีน้อยแทบจะไม่มี แต่ที่จะรื่นเริงบันเทิงไปกับกิเลสตัณหานี้ โอ๋ย ไม่มีวันพอ เบิกกว้างออกเรื่อย ๆ ยิ่งดีดยิ่งดิ้นยิ่งเป็นความทุกข์ความทรมาน ไม่มีเกาะใดดอนใดที่จะไปซุกหัวนอนได้ด้วยความสงบสุขเพราะการวิ่งตามกิเลสเลยนะ ถ้าวิ่งตามธรรมมี ถึงจะทุกข์ขนาดไหนทุกข์เพื่อจะเป็นความสุข เราทุกข์ด้วยการบำเพ็ญคุณงามความดี เอา ทุกข์ไป ๆ เพื่อเป็นความสุขแก่เรา   เมื่อบำเพ็ญได้แล้วเป็นความสุข   แต่ทุกข์ด้วยอำนาจวิ่งตามกิเลส  ทุกข์เท่าไรยิ่งเป็นมหันตทุกข์ไม่มีคำว่าจะมีความสุขเลย จะเพิ่มความทุกข์ขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่วันนี้ก็ได้แสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายได้ยินได้ฟัง ขอให้ทำตามพระพุทธเจ้านะอย่าปล่อยไว้เฉย ๆ

ศาสนาเวลานี้จะมีตั้งแต่ในคัมภีร์ใบลาน ในตัวคนจะไม่มีแล้วนะ เรียนก็เรียนในคัมภีร์ใบลาน เอามาจับยัดใส่ตู้ใส่หีบ คัมภีร์นั้นปิฎกนี้เต็มไปหมด ออกเพ่นพ่านไม่ได้นะ ล็อกกุญแจไว้ด้วย ปล่อยให้กิเลสมันเหยียบหัวคน ลากหัวใจคนออกไปทำความชั่วช้าลามกเต็มบ้านเต็มเมือง จนหาที่ว่างไม่ได้ที่กิเลสไม่หลอกลวงต้มตุ๋นสัตวโลก นี่กิเลสออกทำงาน กิเลสไม่ต้องมีคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ เป็นคัมภีร์ในหลักธรรมชาติ ลากสัตว์ทั้งหลายให้หลงตามไปได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าสัตว์ไม่ว่าบุคคล เทวบุตรเทวดายังหลงกลของมันได้นี่นะ เก่งไหมกิเลส นี่ละศาสนาจะไม่มีนะเวลานี้

ขอให้พี่น้องทั้งหลายถ้าอยากมีสาระภายในจิตใจของเรา มีที่พึ่งที่เกาะที่ยึดแล้ว อย่าลืมศีลลืมทาน ลืมจิตเมตตาภาวนา การไหว้พระสวดมนต์เป็นที่เกาะที่ยึดของจิตเช่น พุทโธ ๆ อย่างน้อยเวลาจะหลับจะนอน ถึงเวลาจะนอนให้กราบพระเสีย แล้วสวด อรหํฯ  สฺวากฺขาโตฯ สุปฏิปนฺโนฯ ได้ตามกำลังของเรานั่นแหละ แล้วทำความสงบใจ นึกพุทโธหรือธัมโมหรือสังโฆ บริกรรมภายในใจ มีสติติดแนบอยู่กับใจ บังคับไม่ให้มันคิดไปเรื่องอะไร ตั้งแต่ตื่นนอนมาจนกระทั่งบัดนี้มันคิดไม่หยุดไม่หย่อนได้ประโยชน์ เอามาทบทวนบวกลบคูณหารกันแล้วมันไม่เกิดประโยชน์ เวลานี้จะเอาความคิดนี้เข้าสู่ศีลสู่ธรรมด้วยพุทโธ ธัมโม สังโฆ โดยความเป็นผู้มีสติตั้งมั่นอยู่ในนี้ แล้ววันหนึ่งอย่างน้อยขอให้ได้สัก ๑๐ นาทีเถอะ

ให้เราคิดเทียบอีกทีว่า ตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมานี้กี่ชั่วโมง จนกระทั่งถึงหลับนี้อย่างน้อย ๑๒-๑๓-๑๔ ชั่วโมง นี่คิดตั้งแต่เรื่องกิเลสเอาไปถลุงทั้งหมด ความคิดของเราคิดเพื่อความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความหวังนั้นหวังนี้ความยุ่งเหยิงวุ่นวายตลอดเวลา มีแต่ความคิดที่กิเลสถลุงสัตวโลก ทีนี้เราย้อนความคิดนี้มาให้เป็นความคิดของด้านอรรถด้านธรรม คิดเป็นพุทโธนี้เรียกว่าความคิดเป็นมรรค ความคิดเป็นบุญเป็นกุศล ความคิดไปตามกิเลสเป็นความคิดที่ผูกมัดเผาลนตนเอง ทีนี้จิตจะกลับความคิดนั้นเข้ามาสู่พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้จิตมีความสงบเย็นบังคับไว้นะ ได้ ๑๐ นาทีก็ยังดี บังคับ ไม่บังคับไม่ได้ตายเปล่า ๆ นะ เราอย่าคอยหวังคนอื่นมาบังคับ เราต้องบังคับเรา เมื่อได้โอวาทคำสอนพระพุทธเจ้าแล้ว เอามาบังคับตนเพื่อความเป็นคนดีมีความสงบสุข วันหนึ่งอย่างน้อยให้ได้สัก ๑๐ นาที

เวลาภาวนานั้นไม่ให้จิตส่งไปที่ไหน เราคิดมาแล้วตั้งแต่เช้ายันค่ำไม่เห็นเกิดประโยชน์ คราวนี้จะคิดกับพุทโธให้มีสติอยู่กับพุทโธ วันหนึ่งพี่น้องทั้งหลายจะปรากฏเป็นความแปลกประหลาดขึ้นภายในใจของเราทั้งหลายเอง ด้วยอำนาจแห่งการบริกรรมพุทโธ ด้วยความคิดเป็นอรรถเป็นธรรม ผลจะนำความสงบเย็นใจขึ้นมา มากกว่านั้นจะปรากฏเป็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาที่ใจของเรา แล้วก็จะฝังความเชื่อความเลื่อมใสลงเป็นหลักอันแน่นหนามั่นคง ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้แล้วที่นี่ ทีนี้เริ่มได้ทุนทางความดีแล้วเราจะมีทางก้าวเดินไป ถึงยากลำบากเราฝืนได้ที่นี่เพราะเรามีต้นทุน ๆ นี่เรียกว่าเราเป็นลูกชาวพุทธ ให้มีพุทโธในใจ ทานเราเคยเป็นพื้นฐานอยู่แล้วทั่วประเทศไทย จึงไม่มีทางติเตียนพี่น้องทั้งหลาย

ศีลนี้รู้สึกจะบกพร่องมากอยู่ เฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้มากก็ขอให้ได้ศีลข้อที่สามเป็นสำคัญ เพราะศีลข้อที่สามนี้เป็นศีลปราบหมากัดกัน คือผัวกับเมียมันกัดกัน ผัวก็จะไปหาอีหนูซิ เมียเจ้าของนั่งอยู่ข้างหลังนี้มันไม่มองนะ ถ้าเห็นอีหนูแล้วตาใสเหมือนตาแมว ไอ้ผู้หญิงก็เหมือนกันไอ้ผัวก็นอนอยู่ข้าง ๆ นี้ ผัวนี้ไม่มีความหมายไปดูไอ้หนูนั่นซี นี่ละไฟมันมาเผากันสุดท้ายก็เป็นวิชาหมากัดกัน ให้พากันจำเอานะ นี่ละเรื่องของกิเลสมันจะสร้างแต่เรื่องวิชาหมากัดกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันทั้งวันทั้งคืนแล้วก็หย่าจากกันไป ครั้นจากกันไปแล้วเป็นยังไงไอ้นั่นน่ะ แกทำไมถึงร้างมันเสียล่ะ ไม่ร้างมันยังไงมันเหมือนหมาว่าอีกแหละ แล้วทีนี้มาถามผัวอีก แล้วเป็นยังไงยายคนนั้นน่ะถึงได้หย่าร้างไป โอ๊ย มันเก่งกว่าหมาอยู่กับมันได้ยังไง เราไม่ใช่หมา นั่นเห็นไหม

ครั้นกลับมาสอนเรื่องอรรถเรื่องธรรมมันจะไปอีกแง่หนึ่งนะ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องอรรถเรื่องธรรมว่าให้มีความปรารถนาน้อย คำว่าปรารถนาน้อยนั้น จะมีกี่หญิงกี่ชายทั่วโลกดินแดนก็ตาม ไม่ได้สำคัญยิ่งว่าผัวของเราเมียของเรา เรามีผัวเดียวเมียเดียวเท่านี้ชื่อว่าถูกต้องตามอรรถตามธรรม มีความปรารถนาน้อยนี้แล้วเป็นสุข นี่พระพุทธเจ้าก็สอนอย่างนี้ ทีนี้กิเลสไอ้ตัวนั่นน่ะมันมาแอบอีกนะที่นี่ มาแอบไปซิแล้วมันก็ไปหามาอีกจนกลายเป็นนิทานขึ้นมา เขาเขียนไว้ในการ์ตูนเราไปเห็นเองในการ์ตูน

เขาทำศาลพระภูมิตั้งไว้ใต้ต้นไม้ มีสายระโยงระยางลงมาที่กระถางธูป แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งไปนั่งจุดธูปยกมือไหว้อยู่นั้น แล้วปู่ใหญ่ซึ่งอยู่ศาลพระภูมินั้นก็ถามลงมา เป็นไงเว้ย ไอ้หลาน ทำอะไรอยู่นี่น่ะ จุดหาอะไร โหย เป็นทุกข์มากปู่ เป็นทุกข์เพราะอะไรปู่ใหญ่ถามลงมา ก็เพราะปฏิบัติตามปู่นั้นแหละ แล้วปู่สอนว่าไง ปฏิบัติตามปู่มันถึงได้รับความทุกข์ ก็ปู่สอนว่าให้มีความปรารถนาน้อย แล้วเราไปทำยังไงมันถึงได้มีความทุกข์ ไปมีเมียน้อย นั่นฟังซิน่ะ ทางปู่ก็หมดท่าก็มีแต่ เฮ้อ เท่านั้น ถ้าเป็นหลวงตาบัวนี้จะงัดมาทั้งศาลพระภูมิโยนใส่หัวมันเลย โคตรพ่อโคตรแม่มึงสอนหรืออย่างนั้น มึงไปทำอะไร นี้มันทุกข์น้อยไปเราจะว่าถ้าเป็นหลวงตาบัวนะ แต่นี้มันไม่มาถูกอย่างหลวงตาบัว จบเพียงเท่านี้นะ นี่ความปรารถนาน้อยประเภทนี้มันเอาไฟเผาเราเข้าใจไหม ความปรารถนาน้อยของพระพุทธเจ้ามีความร่มเย็นเป็นสุข

เอาละวันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลาและธาตุขันธ์ และเป็นเกียรติอย่างยิ่งแก่พี่น้องชาวจังหวัดสุรินทร์เรา ที่สมเด็จพระลูกเจ้าท่านเสด็จมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรเป็นประธานให้ความอบอุ่นแก่พี่น้องชาวไทยเรา นับว่าเป็นขวัญตาขวัญใจอย่างยิ่ง นาน ๆ ท่านจะได้เสด็จมาทีหนึ่ง ๆ เพราะพระภาระของท่านมากต่อมาก นับว่าเป็นวาสนาของพี่น้องชาวไทยเรา ที่ได้พบได้เห็นได้กราบไหว้บูชาบำเพ็ญกุศลร่วมพระบารมีท่านวันนี้ จึงเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่แก่พี่น้องชาวไทยเรา การแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุขันธ์และเวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก