เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าสุทธาวาส อ.เมือง จ.สกลนคร
เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔(บ่าย)
ช่วยกันรักษามรดกคือพุทธศาสนาไว้
วันนี้เป็นวันระลึกที่เลิศเลอของพี่น้องชาวพุทธเราในเมืองไทย มีพี่น้องชาวจังหวัดสกลนครเป็นต้น เป็นที่ไหลรวมแห่งศรัทธาทั้งหลายมาสู่จังหวัดสกลนคร โดยระลึกถึงบุญคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นพื้นฐาน ลำดับรองลงมาเฉพาะในงานนี้ก็คือระลึกถึงบุญถึงคุณของท่านหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นพระอันเลิศเลอ ถ้าสมัยพุทธกาลท่านก็เรียกว่าท่านทั้งสองพระองค์นี้คือ พระอรหันต์ร้อยเปอร์เซ็นต์นั้นแล ท่านได้อุตส่าห์บุกเบิกเพิกถอนสิ่งที่เป็นข้าศึกต่ออรรถต่อธรรม ต่อธุดงค์ข้อวัตรปฏิบัติจารีตประเพณี ที่พระพุทธเจ้าทรงพาดำเนินมา ซึ่งถูกปกคลุมหุ้มห่อด้วยความมืดมิดปิดกำบังของกิเลสทั้งหลาย ให้ค่อยเบิกกว้างออกไป ๆ ท่านเป็นผู้ทรงข้อวัตรปฏิบัติ ซึ่งข้อวัตรปฏิบัตินี้มีมาดั้งเดิม ท่านจดจารึกในคัมภีร์ใบลานมาตลอดว่าพระธุดงคกรรมฐาน
ธุดงค์ ๆ ก็แปลว่า เครื่องกำจัดกิเลสนั้นเอง กรรมฐาน แปลว่า ฐานที่ตั้งแห่งงานอันชอบธรรมอย่างยิ่งทางพระพุทธศาสนา เมื่อรวมแล้วเรียกว่าพระธรรมกรรมฐาน หลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่นทั้งสององค์นี้ เป็นผู้อุตส่าห์พยายามบุกเบิกเพิกถอนขวากหนามที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุดงควัตร เพราะแต่ก่อนในสมัยนั้นไม่มีใครสนใจกับธุดงค์ข้อวัตร พระกรรมฐานประหนึ่งว่าแทบไม่มีในเมืองไทย
แต่ครั้นแล้วก็มีท่านทั้งสองพระองค์คือหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์นี้แล ได้นำคัมภีร์ที่ทรงแสดงไว้แล้วในพระไตรปิฎกต่าง ๆ ออกมาประพฤติปฏิบัติให้เปิดเผยจนเป็นที่ร่ำลือ และทางชั่วก็กีดขวางเข้ามา บางครั้งถูกขับไล่ไสส่ง หาว่าเป็นพระจรจัด พระขัดขวางต่อบ้านต่อเมือง ถูกขับไล่ไสส่งจากฝ่ายปกครองตามสถานที่นั้น ๆ เรื่อยมา ท่านก็ไม่หวั่นไหวในการประพฤติปฏิบัติ ดำเนินตามข้อวัตรปฏิบัติที่มีแล้วในคัมภีร์เรื่อยมา ค่อยบุกเบิกเพิกถอนไปเรื่อย ๆ การบำเพ็ญธรรมของท่านก็ปรากฏขึ้นภายในจิตใจเป็นลำดับลำดา เป็นกำลังใจที่ท่านจะอุตส่าห์พยายามเพิกถอนกิเลสตัณหาภายในจิตใจ แล้วก็เป็นไปพร้อม ๆ กันกับการแนะนำสั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเรื่อยมา กรรมฐานจึงค่อยเบิกกว้างออกไป ๆ
จนกระทั่งถึงมาสมัยปัจจุบันนี้รู้สึกว่าไปที่ไหนพระกรรมฐานเรา ซึ่งเป็นทางดำเนินมาดั้งเดิมก็ได้เปิดกว้างกระจายออกไปทุกแห่งทุกหนทั่วประเทศไทยของเรา ทั้งนี้ก็ขึ้นไปจากทั้งสองพระองค์นี้แลเป็นผู้บุกเบิกในเบื้องต้น ท่านจึงได้รับความลำบากลำบนมากทีเดียวตามที่ท่านเล่าให้ฟัง เราน้ำตาร่วง ๆ เวลาท่านเล่าถึงความทุกข์ความทรมาน ทั้งถูกขับไล่ไสส่งจากที่ต่าง ๆ ฝ่ายปกครอง มักจะเป็นอยู่เสมอ เวลาท่านเล่าท่านไม่ได้เล่าด้วยความโกรธแค้นอะไร เวลาเรื่องไปสัมผัสท่านก็เล่าให้ฟังธรรมดา ๆ ท่านไม่มีลักษณะท่าทางว่าจะโกรธเคืองหรือเคียดแค้นให้ผู้หนึ่งผู้ใดที่มาขับไล่ท่าน แต่ท่านพูดถึงเรื่องความทุกข์ความทรมานของท่าน ที่สมบุกสมบันมาตลอดต่างหาก
สำหรับเราผู้ฟังท่านพูดแล้วเกิดความสลดสังเวชสงสารท่านเป็นกำลัง น้ำตาร่วงโดยไม่ให้ท่านทราบแหละ กลืนน้ำลายเข้าภายใน รู้สึกว่าเราก็มีกิเลสเหมือนกัน ท่านไม่เคียดแค้นเราก็เคียดแค้นอยู่ภายในใจถึงผู้ที่มาขับไล่ไสส่ง โดยหาเหตุผลหลักเกณฑ์อะไรไม่ได้เลยนั้น ท่านเล่ามาทีไรนี้อดสลดสังเวชน้ำตาร่วงไม่ได้ เพราะความทุกข์ความสมบุกสมบันของท่านเรื่อยมา ความรู้ความเห็นที่เป็นขึ้นภายในจิตของท่าน ท่านก็เล่าไปพร้อม ๆ กัน ไปอยู่ที่นั่นเกิดความรู้ความเห็นอย่างนั้น ไปที่นั่นเกิดความรู้ความเห็นอย่างนั้น นับตั้งแต่ธรรมภายในใจพวกสมาธิพวกปัญญา จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น แล้วแตกกระจายออกรอบด้านของจิตนั้น เกี่ยวกับเรื่องเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม ตลอดนรกอเวจีกระจายไปหมด ท่านรู้ตลอดทั่วถึงเต็มกำลังของท่านนั้นแล
เวลาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังจึงเป็นที่ปลื้มอกปลื้มใจ เป็นสด ๆ ร้อน ๆ ไม่ลืมมาจนกระทั่งถึงวันนี้ จึงได้นำเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังจากท่านซึ่งเล่าตลอดมาตามเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเข้าไปสัมผัสแล้วท่านก็นำออกมาเล่าให้ฟัง ๆ จึงได้นำเรื่องความจริงจังและความรู้จริงเห็นจริงของท่านมาเล่าให้พี่น้องชาวไทยเราทราบ ให้พึงทราบกันว่าสิ่งที่ท่านกล่าวถึงนั้น เป็นวิสัยของใจที่เกิดขึ้นจากการจิตตภาวนา
การจิตตภาวนาคืออบรมจิตใจให้ผ่องใส ให้มีความสงบร่มเย็น แล้วก็แผ่กระจายความรู้ความฉลาดความสว่างไสวกว้างขวางออกไป ๆ สิ่งใดที่เป็นวิสัยของจิตนั้น จิตจะรับทราบทั่วถึงไปหมด สัมผัสสัมพันธ์เหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อมีอยู่ที่ใด เชื้อหยาบ เชื้อกลาง เชื้อละเอียด มีอยู่ในสถานที่ใด ไฟคือธรรมคือความรู้ สติธรรม ปัญญาธรรม จะหยั่งทราบไปตามลำดับลำดา ซึ่งเท่ากับว่าไฟนี้ไหม้เชื้อคือความจริงทั้งหลายที่มีอยู่ทั่วไปนั้นเป็นลำดับลำดา ความรู้นี้จะรู้ไปตามหลักความจริงที่มีอยู่ เช่น บาปมีอยู่ บุญมีอยู่ นรกมีอยู่ สวรรค์มีอยู่ พรหมโลกมีอยู่ เปรตผีประเภทต่าง ๆ ซึ่งเสวยกรรมอยู่ตามอำนาจแห่งกรรมดีชั่วหนักเบามากน้อยของตนมีอยู่
ความรู้นี้จะเป็นเหมือนไฟได้เชื้อ สิ่งเหล่านั้นคือเชื้อไฟได้แก่ความจริงทั้งหลาย ความรู้นี้จะตามรู้ตามเห็นสัมผัสสัมพันธ์กันไปหมดเหมือนไฟได้เชื้อ เรียกว่าลุกลามไปตามความมีความเป็น หยาบละเอียดต่าง ๆ ตลอดทั่วถึงไปหมด นี้คือความรู้ที่เกิดขึ้นจากจิตตภาวนา ไม่ใช่ความรู้ที่เกิดขึ้นจากทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายของเรา ดังที่เราทั้งหลายรู้ ๆ เห็น ๆ กันนี้ซึ่งก็ปฏิเสธกันไม่ได้ตลอดมา ทีนี้ความรู้ซึ่งเป็นวิสัยของจิตอันเกิดขึ้นจากการจิตตภาวนาของท่านผู้ภาวนาด้วยกัน รู้ด้วยกัน เห็นด้วยกัน ท่านก็ยอมรับความจริงเช่นเดียวกันหมด เหมือนกันกับเรายอมรับความจริงจากการรู้การเห็นการได้ยินได้ฟังในสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเป็นวิสัยของธาตุของขันธ์จะรู้จะเห็นจะสัมผัสสัมพันธ์เช่นเดียวกัน นี่คือวิสัยของจิต
วิสัยของจิตนี้ต้องเป็นขึ้นจากนักภาวนาเป็นผู้อบรมจิตใจ จิตใจจะค่อยเบิกกว้างออกไป สิ่งที่เป็นมลทินมืดดำปิดบังจิตใจนั้นได้แก่กิเลส ธรรมะได้แก่น้ำที่สะอาด ชำระสะสางลงไปด้วยจิตตภาวนาไม่ขาดวรรคขาดตอน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะค่อยจืดจางหายไป ๆ ความสว่างของจิตจะแสดงความสวยงาม ความแปลกประหลาดความอัศจรรย์ ความสว่างกระจ่างแจ้งลึกตื้นหยาบละเอียดไปโดยลำดับลำดา นี่คือผลแห่งการภาวนาของผู้บำเพ็ญทางด้านจิตใจ หลวงปู่มั่นท่านก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เวลาท่านเล่านี่ โอ๋ย อัศจรรย์จริง ๆ ไอ้เรื่องน้ำตาไม่ต้องบอก เมื่อเข้าถึงจิตจริง ๆ กระเทือนใจแล้ว น้ำตาจะออกทันที ๆ ไม่ว่าของท่านของเรา
น้ำตานี้เป็นน้ำตาที่มีคุณค่ามีราคามหาศาล เป็นกำลังใจแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง ผู้ได้รับความสัมผัสสัมพันธ์กับธรรมที่ท่านแสดงถึงกับน้ำตาร่วงนี้ เรียกว่าน้ำตาที่เป็นมหามงคลอย่างยิ่ง ไม่ได้เหมือนน้ำตาที่กิเลสสร้างขึ้นมาด้วยความโศกเศร้าเหงาหงอย เพราะความพลัดพรากจากกัน ความทะเลาะเบาะแว้ง ความชิงดีชิงเด่นกัดกันเหมือนหมา น้ำตาประเภทนี้น้ำตานรกอเวจี ซึ่งโลกทั้งหลายเต็มไปด้วยน้ำตายิ่งกว่าน้ำมหาสมุทรทะเล มีอยู่กับทุกคน นี่คือน้ำตาที่กิเลสสร้างขึ้นมาให้สัตวโลกผู้มีน้ำตาร่วงนั้นเกิดความทุกข์ความทรมานผลักดันน้ำตาออกมา เป็นความทุกข์ เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเอง นี่คือน้ำตาที่เกิดจากกิเลสสร้างขึ้นมาเป็นอย่างนี้
น้ำตาที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญภาวนา ธรรมสร้างขึ้นมา เป็นน้ำตาที่เกิดความสลดสังเวช จิตใจมีความเบาหวิว ๆ ปีติยินดีอิ่มเอิบภายในจิตใจ แล้วก็เป็นกำลังใจที่จะประกอบความพากความเพียร อย่างน้อยก็ให้รู้ให้เห็นอย่างท่านนั้น หลักฐานอันใหญ่โตก็คือความหลุดพ้นจากทุกข์เป็นธรรมชาติที่ฝังภายในจิตใจ ส่วนปลีกย่อยก็ได้รู้ได้เห็นสิ่งที่ท่านอธิบายให้ฟัง เพราะท่านแสดงทั้งรากฐานอันใหญ่โต ตั้งแต่พื้นเพของจิตที่บำเพ็ญจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ ให้ฟัง นี้เรียกว่ารากฐานอันใหญ่โต ส่วนกิ่งก้านสาขาดอกใบที่ติดพันกันไปกับรากฐานอันใหญ่โตแยกกันไม่ออกนี้ก็คือบาปบุญ ไปจากใจนี้ทั้งนั้น
นรก สวรรค์ ใจจะเป็นผู้รู้ผู้เห็น ไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกล ใจเป็นนามธรรม สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นนามธรรมด้วยกัน เป็นคู่ควรที่จะสัมผัสสัมพันธ์ ที่จะรู้จะเห็นขึ้นโดยลำดับลำดา เช่นเดียวกับเราไปสัมผัสสัมพันธ์ ตามองเห็นรูปรู้ได้ทันทีว่าเป็นรูปอะไร รูปสัตว์ รูปบุคคล รูปหญิงรูปชาย รูปต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ ตาจะสัมผัสสัมพันธ์ หูจะได้ยินตามเรื่องของเสียงที่มาในแง่ต่าง ๆ จมูก ลิ้น กาย จะสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านั้นไปโดยลำดับฉันใด เรื่องความรู้ภายในจิตใจนี้ก็จะสัมผัสสัมพันธ์กับนามธรรมทั้งหลาย ซึ่งเป็นคู่ควรของกันและกัน นับตั้งแต่ใจที่มีรากฐานอันสำคัญ จนกระทั่งถึงใจที่บริสุทธิ์ แล้วกระจายออกไปถึงบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ตลอดสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเปรตเป็นผี เสวยกรรมชั่วของตนอยู่ในที่ต่าง ๆ ทั่วดินแดน ใจนี้จะสัมผัสสัมพันธ์ รู้ไปหมด ทั่วถึงไปหมด นี่คือวิสัยของใจ ไม่ต้องมาอาศัย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของตัวเราเองนี้เลยแหละ อาศัยใจ
ใจนี้มีอายตนะรอบตัว อายตนะ แปลว่าเครื่องสืบต่อ จะมีอะไรมาสัมผัสสัมพันธ์ ใจซึ่งสมบูรณ์ด้วยอายตนะที่ประกอบด้วยธรรมค้ำจุนไว้อยู่แล้ว จะรู้ไปตลอดทั่วถึงเช่นเดียวกันนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เราจะสัมผัสสัมพันธ์เห็นอยู่นี้มีอยู่ฉันใด เครื่องรับเหล่านี้ก็รับทราบกันไปตลอดเวลาฉันนั้นเหมือนกัน ทีนี้เรื่องนามธรรมซึ่งเป็นวิสัยของใจนี้ มีมากมีน้อย มีกว้างมีแคบ ลึกตื้นหยาบละเอียด มีอยู่ฉันใด ใจซึ่งเป็นธรรมชาติที่จะรับทราบสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็กระจายไปทราบสิ่งเหล่านั้นทั่วถึงกันเช่นเดียวกันนั้นแล นี่จึงว่าวิสัยของใจที่จะรู้จะเห็นนี้สมบูรณ์ในทางใจ โดยไม่ต้องมาอาศัยหยิบยืมตา หู จมูก ลิ้น กาย ไปใช้แทนใจเลย เฉพาะใจเท่านั้นสามารถรู้ทั่วถึงไปหมด เพราะเป็นอายตนะในหลักธรรมชาติซึ่งเป็นของตัวเองอยู่ภายในจิต
ด้วยเหตุนี้เองเรื่องนามธรรมคือส่วนละเอียด จึงเป็นวิสัยของจิตที่จะรู้จะเห็น ใครจะลบล้างไม่ได้ว่าไม่มี เช่น บาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มีอย่างนี้ ลบล้างเท่าไรก็เป็นความจอมปลอมของการลบล้างของผู้ลบล้างนั้นโดยลำดับ ไม่มีของจริงมาติดตัวแม้แต่น้อยเลย เพราะลบล้างสิ่งที่จริงให้ปลอมไป ปลอมไปไม่ได้ ของจริงต้องจริงตลอดไป ของปลอมจะให้จริงไม่ได้ ต้องปลอมตลอดไปฉันใด กิเลสเครื่องลบล้างความจริงก็ต้องปลอมตลอดไป แต่ก็ลบตลอดไปอย่างนั้นเสมอมา
นี่ผลแห่งการภาวนาที่ได้เล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ เป็นวิถีของจิตล้วน ๆ ซึ่งเป็นนามธรรม ที่จะสามารถรู้เห็นสิ่งที่เป็นนามธรรมด้วยกัน ไม่มีสิ่งใดจะเป็นใหญ่ยิ่งกว่าจิตซึ่งเป็นนามธรรม และความจริงทั้งหลายเป็นนามธรรมที่จะสัมผัสสัมพันธ์กันตลอดมาและตลอดไปอย่างนี้ เหมือนกับเรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ เราจะใช้ไปตลอดตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย ใช้ไปตลอดอย่างนี้ จนกระทั่งชำรุดทรุดโทรมไปแล้วก็เป็นอันหมดปัญหา แต่ใจนี้ไม่มีคำว่าชำรุดทรุดโทรม ใจไม่มีวัย ใจไม่มีความเฒ่าแก่ชราคร่ำคร่า ใจเป็นใจ ยิ่งบริสุทธิ์ด้วยแล้วก็เป็นธรรมธาตุ ท่านว่านิพพานธาตุ หรือธรรมธาตุ เหล่านี้เป็นไวพจน์ใช้แทนกันได้ตลอดมา
นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าที่แสดงมาตั้งแต่ต้น เฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา ประกาศก้องด้วยความสัตย์ความจริงทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรบกพร่องเลย ว่าบาปว่าบุญว่านรกสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีมาดั้งเดิมตั้งแต่พระพุทธเจ้าของเรายังไม่ได้ตรัสรู้ขึ้นมา พระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้ก็มาเห็นสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่นี้ตลอดมา แล้วพระพุทธเจ้าองค์อนาคตตรัสรู้ขึ้นมาก็จะมารู้เห็นสิ่งเหล่านี้ที่มีอยู่ดั้งเดิมเช่นเดียวกัน จึงไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดที่จะลบล้างสิ่งเหล่านี้ว่าไม่ให้มีได้เลย นอกจากกิเลสซึ่งเป็นตัวจอมปลอมนั้นลบล้างตลอดมา
จะได้ไม่ได้ มีไม่มี มันจะลบล้างไม่ให้มี นี่เป็นเรื่องของกิเลส มันไม่ละความพยายาม แล้วก็มีอยู่ในหัวใจของสัตวโลกนั้นแล จึงต้องได้ถูกต้มถูกตุ๋นบ่อย ๆ สำหรับมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธของเรา มักจะถูกต้มถูกตุ๋นจากกิเลส ไม่ยอมเชื่อฟังอรรถธรรมของพระพุทธเจ้า จึงไปเจอตั้งแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวาย ซึ่งเป็นผลแห่งความหลอกลวงของกิเลสอยู่นั้นแล ส่วนที่จะบึกบึนปฏิบัติตัวเองไปตามแถวแนวของธรรม ถึงจะทุกข์ยากลำบากบ้างก็ตาม แต่ผลที่จะให้เป็นสุข ๆ นั้นไม่ค่อยมีใครบำเพ็ญ จึงไม่มีใครค่อยเจอความสุข ไปที่ไหนเจอกันมีแต่ทักทายกันด้วยความทุกข์ความเดือดร้อน ระบายกันทุกหย่อมหญ้า มีแต่ผลที่กิเลสสร้างให้เป็นความทุกข์ถึงกับมาระบายต่อกันนั้นแล
สำหรับความสุขแล้วตรงกันข้ามอีก บรรดาท่านผู้ปฏิบัติธรรม เช่น พระกรรมฐานท่านอยู่ในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผา อดอยากขาดแคลนทุกข์ยากลำบากขนาดไหน ท่านไม่ได้สนใจในความทุกข์ยากกับปัจจัยเครื่องอาศัยเหล่านั้นเลย ท่านฟัดกับกิเลสตลอดเวลา เพราะกิเลสนี้ทำความทุกข์ความทรมานให้อย่างสด ๆ ร้อน ๆ แม้เรากินอะไรอิ่มท้องแล้วแต่กิเลสมันหิว เราก็ต้องเป็นทุกข์ สมบัติเงินทองข้าวของมีเต็มตู้เต็มหีบจนจะเอาภูเขามาแข่งกัน เพราะมันมากต่อมาก มีขนาดนั้นก็ไม่พ้นที่จะได้รับความทุกข์ เพราะกิเลสอยู่ที่หัวใจ ได้เท่าไรไม่พอ ๆ ขนแต่ความหิวโหยขึ้นมาตลอด ยิ่งได้มากเท่าไรก็เหมือนกับไสเชื้อไฟเข้าสู่ไฟ ไฟยิ่งแสดงเปลวหนักเข้า ๆ ได้มากเท่าไรยิ่งเดือดร้อนวุ่นวาย อยากได้มากกว่านี้ ๆ
ความทุกข์ความเดือดร้อนเกิดขึ้นมาจากความหิวโหย เรื่องกิเลสจะทำให้โลกนี้มีความอิ่มพอสะดวกสบายนอนตาหลับนี้เราอย่าหวัง ไม่มีทางที่จะหวังเจอได้เลย มีเท่าไรยิ่งสร้างความหิวโหยมากขึ้น ๆ ตลอดยศถาบรรดาศักดิ์ ทุกอย่างขึ้นชื่อว่ากิเลสต้องการแล้ว ต้องสร้างความหิวโหยขึ้นมาในสิ่งนั้น ๆ จนได้ทุกอย่าง ๆ นั่นแล เพราะฉะนั้นมันจึงมีความทุกข์ความเดือดร้อนทั่วหน้ากันไปหมด เพราะเดินตามแถวแนวของกิเลสซึ่งสร้างฟืนสร้างไฟด้วยความหิวโหยให้แก่สัตวโลก ให้เกิดความทุกข์ทรมานเรื่อยมา
ส่วนธรรมเวลาท่านมาคุยมาสนทนากัน มาจากป่าจากเขา เขานั้นเขานี้ เวลามาชุมนุมกัน เช่นอย่างมาวัดป่าสุทธาวาสวันนี้ มาในงานระลึกถึงบุญถึงคุณของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านมีโอกาสท่านสนทนาธรรมะกันทางภาคปฏิบัติ นี้จะเป็นความรื่นเริงบันเทิงต่อกันทั่วหน้าไป ไม่ได้มีความทุกข์ความเดือดร้อนให้เกิดความดิ้นรนกระวนกระวายอยากระบายต่อกันในความทุกข์ทั้งหลายอย่างนี้ท่านไม่มี ท่านมีตั้งแต่เรื่องว่าไปพักอยู่ที่นั่น ภาวนาได้รู้อย่างนั้นเห็นอย่างนั้น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของธรรมส่งเสริมจิตใจล้วน ๆ ท่านคุยกันมากน้อยท่านจึงไม่มีเรื่องโลกเรื่องฟืนเรื่องไฟเข้าไปเจือปนในการพูดสนทนากันเลย มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมล้วน ๆ
เพราะหัวใจท่านเป็นธรรม ท่านสั่งสมแต่ธรรม ธรรมจึงนำมาซึ่งความสุข อยู่คนเดียวก็เป็นสุข อิริยาบถทั้งสี่ ยืนก็เป็นสุข เดินเป็นสุข นั่งเป็นสุข นอนก็เป็นสุข อดก็เป็นสุข อิ่มก็เป็นสุข ที่หลับที่นอนหมอนมุ้งที่ไหน ท่านเป็นสุขด้วยธรรมของท่าน ท่านไม่ได้เป็นสุขด้วยที่นอนหมอนมุ้งอันสวยอร่ามงามตา อย่างพวกเราทั้งหลายที่กิเลสหลอกนี้เลย กิเลสนี่มันหลอกมาก หรูหราฟู่ฟ่าเท่าไรพากันดีดกันดิ้นกันไปหมดนะ เห็นเขามีเราไม่มีก็อยากมี อยากมีก็ต้องขวนขวาย หาเงินสดไม่ได้หาเงินผ่อน หาเงินผ่อนไม่ได้ติดหนี้เขาก็เอา ขอให้มีอย่างเขาก็แล้วกัน ครั้นมีมาแล้วก็เอาไฟมาเผาเราพร้อม เป็นลูกหนี้เขา ติดหนี้ติดสินพะรุงพะรัง หาเงินหาทองมาใช้เขาไม่พอ นี่คือความทุกข์ความทรมาน การกินอยู่ปูวายของคนผู้สั่งสมกิเลสไม่มีเมืองพอนี้ จึงเป็นความทุกข์มากที่สุดโดยลำดับและไม่มีคำว่าอิ่มพออีกด้วย
ส่วนความทุกข์ของท่านที่ประกอบความพากเพียร จะเดินจงกรมกี่ชั่วโมงก็ตาม นั่งภาวนากี่ชั่วโมงก็ตาม จะอดจะอิ่มกี่วันถึงฉันจังหันก็ตาม เวลามาฉัน-ฉันอด ๆ อยาก ๆ ขาด ๆ แคลน ๆ ก็ตาม แต่หัวใจท่านเต็มตื้นด้วยอรรถด้วยธรรม ไม่มีความหิวโหยกระวนกระวายอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ท่านจึงเป็นสุขทั้งการอยู่การกินการหลับการนอนการไปการมา อิริยาบถทั้งสี่ท่านเป็นสุขด้วยการบำรุงธรรมเข้าสู่ใจ ธรรมเข้าสู่ใจใจย่อมได้รับความสุขอย่างนั้น ไม่ได้อาศัยอะไรภายนอกมากเลย เพียงพออยู่พอกินพอเป็นพอไปวันหนึ่ง ๆ ให้ได้บำเพ็ญธรรมด้วยความสะดวกสบายเป็นที่พอใจแล้ว
นี่สำหรับนักบวชผู้บวชเข้ามาบำเพ็ญชำระซักฟอกสิ่งที่เป็นภัย คือกิเลสทั้งหลายที่เต็มอยู่ในหัวใจนี้ให้ค่อยจืดจางว่างเปล่าออกไป ความสง่างามของใจก็เกิดขึ้น ความสุขก็เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันเป็นลำดับลำดา ท่านอยู่ที่ไหนท่านจึงมีความสุข
เราไปมองเห็นตั้งแต่ตลาดร้านค้า ตึกรามบ้านช่อง หลาย ๆ ชั้น หลาย ๆ ห้อง หลาย ๆ ตึก ตึกใหญ่ ๆ นี่ตึกนี่เขามีความสุข ๆ เขามีหน้ามีตา เขามียศถาบรรดาศักดิ์ เขามีสมบัติเงินทองมากเขาครองความสุข ครองความสุขอะไร หลักความจริงคือมีแต่ความทุกข์บีบบี้สีไฟอยู่ตลอดเวลา ในบุคคลประเภทเหล่านี้ที่ไม่มีธรรมในใจ สำหรับผู้มีธรรมในใจจะมีมากมีน้อยก็ตาม มีแบ่งรับแบ่งสู้กัน ตึกรามบ้านช่องจะใหญ่โตก็ตาม นั่นเป็นเรื่องของร่างกายที่เข้าไปอาศัยเป็นอยู่หลับนอนพอถึงวันตายเท่านั้น เมื่อถึงวันตายแล้วสิ่งเหล่านั้นกับร่างกายก็เป็นโมฆะไปตาม ๆ กันขาดสะบั้นจากกัน เขาแยกไว้อย่างนี้ สำหรับอาศัยเวลามีชีวิตอยู่
ส่วนจิตใจก็ได้สร้างคุณงามความดี การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา ซึ่งเป็นการขวนขวายสมบัติภายในเข้าสู่ใจ เขาก็อุตส่าห์พยายามขวนขวายไปเป็นคู่เคียงกันกับงานภายนอกเพื่อกายอันนั้น งานภายในคือธรรมเพื่อใจดวงนี้ เขาก็แบ่งสัดแบ่งส่วนให้พอเหมาะพอดีต่อกัน ผู้นี้ไปที่ไหนก็มีความสุข เป็นมหาเศรษฐีก็ไม่ตื่นความเป็นมหาเศรษฐีของตน ถึงจะจนบ้างก็รู้เสียว่าเป็นโลกอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง ได้มาก็เพื่อจะเสียไปนั้นแล เอ้า แยกส่วนแบ่งส่วนไว้เสีย
มีมากมีน้อยสำหรับคนมีธรรมกับคนไม่มีธรรมนี้ ได้รับความสุขความทุกข์ต่างกันมาก คนที่ไม่มีธรรมภายในใจนี้เพ้อฝันไปตลอดเวลาจนกระทั่งถึงวันตาย อยู่ในท่ามกลางแห่งกองสมบัติมันก็ไปเสวยกองทุกข์อยู่ในนรกอเวจีได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ผู้มีธรรมในใจแล้ว ส่วนนี้แบ่งไว้เป็นสมบัติของโลกนี้เสีย ไม่เคยมีผู้ใดตายแล้วขนทรัพย์สมบัติเข้าไปครองอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า โดยที่ไม่ได้แปรสภาพสมบัติเหล่านี้ไปทำบุญให้ทานให้เกิดทิพย์สมบัติขึ้นมาภายในใจ มีแต่กองทุกข์ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ถ้าผู้มีธรรมภายในใจแล้ว สมบัติเงินทองข้าวของแปรสภาพให้มาเป็นส่วนกุศลผลทานไป ได้มากน้อยเฉลี่ยออกไป วัตถุเหล่านี้เป็นวัตถุที่ยื่นออกไป แต่บุญกุศลย้อนกลับเข้ามาสู่ใจของผู้เป็นเจ้าของ ผู้นี้ได้สมบัติภายใน ตายแล้วก็เสวยสมบัติภายในนี้ไป ส่วนสมบัติอันหยาบ ๆ ภายนอกเงินทองข้าวของเป็นต้น ทิ้งไว้ตามสภาพของมัน นี่คือผู้มีความสุข แบ่งสันปันส่วนให้พอเหมาะพอดี
เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าให้ตื่นภพตื่นชาติของเราเอง ซึ่งเคยเกิดเคยตายมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วว่าจะเป็นของใหม่เอี่ยมพอให้ตื่นเต้นไปตาม มันของเก่านั้นแหละ มันพลิกมันแพลงเปลี่ยนแปลงมาต่าง ๆ หลอกเราให้หลงไปจนได้นั่นแหละ ให้เชื่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเรียนจบ ไม่มีกิเลสตัวใดตกค้างภายในพระทัยเลย สว่างจ้าตลอดเวลา เอาธรรมที่สว่างจ้านั้นมามองโลก แล้วสั่งสอนโลกด้วยความสว่างไสวของธรรม จึงไม่มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปไหนเลย มีแต่ความสุขความสงบเย็นใจถ้าโลกปฏิบัติตามนั้นแล้ว ความสุขมีหวังได้ตลอดไป ให้เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า
ศาสนธรรมคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานไม่ได้บกบางไปไหนเลย เช่นเดียวกับตลาดแห่งกิเลสซึ่งเต็มอยู่ทั่วโลกดินแดน เอาไฟเผาโลกอยู่เวลานี้ก็คือกิเลสนั้นแล เผาอยู่ทั่วทุกดินแดน เราอย่าไปเข้าใจว่าโลกไหนทวีปใดมีความสุขความเจริญต่างจากกัน นั้นคือโลกของกิเลสเผาสัตว์เผาโลกผู้ลุ่มหลงตามมันต่างหาก ถ้าธรรมมีแล้วอยู่ที่ไหนสบาย ไม่ตื่นโลกไหน เพราะกิเลสไม่ได้อยู่กับโลกนั้นโลกนี้ ธรรมก็ไม่ได้อยู่กับโลกนั้นโลกนี้ กิเลสอยู่กับหัวใจสัตว์ กำจัดมันออกไปด้วยธรรมแล้วธรรมจะเกิดขึ้นที่ใจ อยู่ที่ไหนสบายหมด ถ้าไม่กำจัดกิเลสนี้ออกไปมีแต่สั่งสมกิเลสให้มากมูนเท่าไรแล้ว เรื่องความทุกข์ความทรมานนี้ ไม่มีเขตมีแดนไม่มีฝั่งมีฝา ไม่มีที่ยุติเลย จะถูกเผาตลอดไป จึงต้องอาศัยธรรม
ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานก็คือศาสนธรรมนี้แล ใครบำเพ็ญคุณงามความดีเมื่อไรได้เมื่อนั้น ๆ กับเราวิ่งตามกิเลสมากน้อยเพียงไรเราก็ได้รับความทุกข์ ซึ่งเป็นผลของกิเลสมากน้อยเพียงนั้น ๆ เรื่อยไป มีความเสมอภาคกันอย่างนี้ ระหว่างธรรมกับกิเลสไม่มีอะไรที่จะให้ผลยิ่งหย่อนต่างกัน ขึ้นอยู่กับผู้ทำเท่านั้นเอง ผู้ทำผู้บำเพ็ญ ถ้าผู้ทำให้เกิดกิเลส กิเลสก็เกิดวันยังค่ำ ไฟเผาหัวใจเราตลอดไป ถ้าผู้บำเพ็ญคุณงามความดี ธรรมก็ชโลมจิตใจให้มีความสงบร่มเย็นไปเรื่อย ๆ จนเป็นความสงบร่มเย็นตลอดไป ถึงขั้นอันสูงสุดวิมุตติพระนิพพานด้วยการสร้างความดีนี้ด้วยกันทั้งนั้น
ผลแห่งการสร้างดีสร้างชั่วจึงมีเสมอกัน ขึ้นอยู่กับผู้ทำ เราหนักไปในทางไหน หนักไปในทางกิเลส หนักไปในทางบาปทางกรรม ผลบาปผลกรรมก็เป็นของเราเสมอไป แล้วผู้ที่ทำคุณงามความดี สร้างสมอบรมคุณงามความดีให้มากเท่าไร ผลดีก็เกิดขึ้นเสมอกัน ไม่มีอะไรยิ่งหย่อนต่างกันระหว่างกิเลสกับธรรม ให้เรารู้ตัวของเราเสียแต่บัดนี้ อย่าไปถูกกลหลอกของกิเลสว่า ศาสนาล่วงไปเท่านั้นเท่านี้ ธรรมะจะหมดมรรคหมดผล มรรคผลนิพพานไม่มี ใครบำเพ็ญไปเท่าไร ๆ ก็ไม่เกิด บาปไม่มี บุญไม่มี เพราะเวลานี้สิ้นเขตสิ้นสมัยของบาปของบุญจะมีแล้ว ใครทำอะไรก็ไม่ได้ทั้งนั้น ๆ นี่คือกิเลสหลอกสัตวโลก
มันหาได้บอกไม่ว่า กิเลสนั้นฝังอยู่ในหัวใจของสัตวโลกมากี่กัปกี่กัลป์ เราอย่าพูดว่าวันนี้เมื่อวานนี้เลย มันฝังอยู่ในหัวใจของสัตวโลกมากี่กัปกี่กัลป์ แล้วนานสักเท่าไรคำว่ากี่กัปกี่กัลป์ แล้วเมื่อไรจะสิ้นสุดการให้ผลแก่สัตวโลก ไม่ต้องได้รับความทุกข์ความทรมานเพราะกิเลสสร้างขึ้นมาต่อไปอีก ไม่เคยมี เราสร้างเมื่อไรเป็นกิเลสตลอดไป ๆ อย่างนี้แล จึงไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัยเรื่องของกิเลส ขอให้ทำลงไปตามมันจะเป็นไฟเผาเราตลอดไป เราสร้างอรรถสร้างธรรมก็ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย ใครสร้างที่ไหนเป็นธรรมขึ้นมา ๆ เช่นเดียวกับการสร้างกิเลสนั้นแล จึงมีผลเสมอกัน
เราเป็นลูกชาวพุทธขอให้ใช้ความพินิจพิจารณา อย่าตายทิ้งเปล่า ๆ จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ร่างกายนี้ก็เป็นส่วนผสมของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีใจเข้าไปครองอยู่ในนั้นเป็นเจ้าของ จึงเรียกว่าสัตว์ว่าบุคคล ครั้นเวลาตายแล้วร่างกายนี้พังลงไป เขาไม่ไปตกนรกไม่ไปขึ้นสวรรค์นะร่างกายนี้ไม่ไป เขาก็ไปเป็นดินเป็นน้ำเป็นลมเป็นไฟตามเดิมเขา ส่วนใจนี้ซึ่งเป็นของไม่ตายนี่แหละตัวสำคัญสร้างบาปสร้างบุญ บาปบุญไม่ได้สูญหายไปไหน จะติดแนบอยู่ภายในจิตใจของผู้สร้างนั้นแล จึงต้องให้เลือกเฟ้นด้วยดี ให้หาแต่คุณงามความดีเข้าสู่ใจ ตายแล้วเราจะมีที่ยึดที่เกาะ มีที่สมหวังเป็นเครื่องสนองตอบแทนเรา ถ้าสร้างบาปแล้วไม่มีอะไรสมหวัง มีแต่ผิดหวังตลอด ในชาตินี้ก็ผิดหวัง ชาติหน้าก็ผิดหวัง ผิดหวังตลอดไป ถ้าหลงกลกิเลสไม่ลืมหูลืมตาแล้วจะจมเรื่อยไป ให้พากันอุตส่าห์พยายามสร้างคุณงามความดี
พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วก็ตาม เรื่องมรรคผลนิพพานทรงแสดงไว้แล้วตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ไหน ๆ ก็มีแล้วมรรคผลนิพพาน มีอยู่อย่างนั้น เมื่อตรัสรู้ขึ้นมาก็เอามรรคผลนิพพานซึ่งเป็นของมีอยู่แล้ว แต่สัตว์ไปสร้างขึ้นมาเป็นผลของตัวเอง แล้วก็เสวยกันไปตามรายบุคคลตามรายของสัตว์ไปเท่านั้นเอง มีอยู่ดั้งเดิมไม่ได้สูญหายไปไหน อย่าพากันลืมเนื้อลืมตัวจนเกินเหตุเกินผล ตายลงไปแล้วจะไม่มีที่จอดที่แวะไม่มีที่อาศัย ถ้าบุญไม่มีจะบ่นหาสวรรค์นิพพานที่ไหนก็ไม่ได้ไม่เจอ ถ้าบุญมีแล้วไม่ต้องไปบ่นหา ขอให้สร้างเถอะภายในใจ จะอบอุ่นขึ้นมา ชุ่มเย็นขึ้นมา
คนมีบุญย่อมมีใจชุ่มเย็น ตายแล้วเกาะปั๊บทันที บุญกับใจ บาปกับใจ อยู่ด้วยกัน อันไหนที่มีกำลังมากอันนั้นจะฉุดลากไปก่อนแล้ว อันไหนมีกำลังน้อยก็ไปตามหลังเขา เราต้องสร้างความดีของเราให้มากอย่าให้เสียเวล่ำเวลา วันหนึ่ง ๆ ขอให้มีพุทโธ ๆ ติดใจเถอะ พุทโธคำเดียวเท่านี้กระเทือนทั่วพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เลย เป็นของเล็กน้อยเมื่อไร ธัมโมก็คือธรรมธาตุที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้แล้วเป็นธรรมธาตุขึ้นมา ประหนึ่งว่าท้องฟ้ามหาสมุทร คำว่ากว้างขวาง-กว้างขวางขนาดไหน ครอบท้องฟ้ามหาสมุทรมีแต่ธรรมธาตุทั้งนั้น เป็นของเล็กน้อยเมื่อไร สังโฆก็รวมเข้าไปในธรรมธาตุอันเดียวกันแล้วยิ่งกว้างขวางหาประมาณไม่ได้เลย
ขอให้ระลึกเถิด จะเป็นพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ จะเป็นมหามงคลแก่เราผู้ระลึกอยู่เสมอไป นี่คือที่พึ่งเป็นพึ่งตายของเรา ให้พากันอบรมเสมอ อย่างน้อยเวลาจะหลับจะนอนอย่าพากันนอนเฉย ๆ แผ่สองสลึงแผ่บาทแผ่ไปเฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์ ให้หลับด้วยพุทโธ เวลานั่งภาวนาก็ให้มีพุทโธ หรือคำบริกรรมใดก็ตาม พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ให้มีติดใจจนกระทั่งหลับ นั้นแลชื่อว่าเป็นผู้สร้างธรรมจนกระทั่งหลับ ๆ ทุกวัน แล้ววันนี้ก็ได้วันหน้าก็ได้ ต่อไปก็เป็นนิสัยปัจจัยไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้ ต้องอุตส่าห์พยายามทำทุกวัน ต่อไปก็พอใจทำ ๆ ไม่ได้ทำอยู่ไม่ได้
เมื่อธรรมมีกำลังแก่กล้าแล้วต้องชักจูงเจ้าของให้ทำความดีเสมอไป ๆ ต่อไปก็ราบรื่นดีงาม นี่คือที่พึ่งอันเป็นที่พึงใจของพี่น้องชาวพุทธเรา ขอให้พากันบำเพ็ญ ทางฝ่ายพระก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตามหน้าที่ของพระ พระในครั้งพุทธกาลท่านบวชมาเพื่อชำระสะสางกิเลสจริง ๆ ในตำรับตำราบอกไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม เมื่อออกมาบวชในพุทธศาสนาแล้ว สละถิ่นฐานบ้านเรือนยศถาบรรดาศักดิ์โดยสิ้นเชิงออกประพฤติปฏิบัติ
รุกฺขมูลเสนาสนํ ถือป่าถือเขาลำเนาไพรตามถ้ำเงื้อมผาเป็นที่บำเพ็ญสมณธรรมตลอดไป แล้วสำเร็จผลขึ้นมาก็เป็นพระโสดาบ้าง สกิทาคาบ้าง อนาคาบ้าง อรหันต์บ้างเป็นสรณะของพวกเราโดยสมบูรณ์ตลอดมา นี่คือพระในครั้งพุทธกาล บวชมาเพื่อชำระสะสางกิเลส กิเลสก็ค่อยหลุดลอยไป ๆ ได้ธรรมทั้งแท่งขึ้นภายในหัวใจ นี่พระของพระพุทธเจ้าเป็นพระประเภทนั้น ครั้นนานมา ๆ มันก็กลายเข้ามาทั้งพระเขาพระเรา เป็นพระคลุกเคล้าด้วยส้วมด้วยถานด้วยกิเลสตัณหาไปหมด
บวชเข้ามาแทนที่จะชำระสะสางกิเลส กลับมากอบโกยกิเลสตัณหาเข้าสู่ภายในใจ หนาแน่นยิ่งกว่าประชาชนญาติโยมเสียอีก มีจำนวนมากพระเรา ไม่ว่าพระเขาพระเรา พระสมัยนี้คนสมัยนี้ หัวใจสมัยนี้ กิเลสที่หนาแน่นอยู่ในสมัยนี้เต็มหัวใจของพระเรา จะสร้างความชั่วช้าลามกอย่างไม่กระดากอายได้ยิ่งกว่าประชาชนเสียอีก มีเยอะ ให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายนำไประลึกในสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ว่าให้ผู้หนึ่งผู้ใด ว่าให้กิเลสที่มันแหลมคมมากที่จะเข้าแทรกสิงจิตใจของพระให้เป็นโจรเป็นมาร ปล้นชาติปล้นศาสนาไปได้โดยไม่ต้องสงสัย
ถ้าเราไม่มีธรรมภายในใจ ลืมเนื้อลืมตัวลืมหน้าที่ของพระเสียอย่างเดียว กิเลสจะเข้าควบคุมกุมอำนาจไว้หมด ไปที่ไหนมีตั้งแต่กิเลสตัณหาเต็มตัว ๆ กลายเป็นพระคลังกิเลสไปหมด คลังแห่งธรรมแทนที่จะได้เทิดทูนตามพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แทบจะไม่มี จะมีแต่พระกิเลส คลังกิเลส ทำลายชาติ ทำลายศาสนาไปในตัว โดยเอาผ้าเหลืองครอบหัวโล้นไว้แล้วก็ว่า ตัวนี้มีอำนาจวาสนาเป็นพระเป็นเณร ใครไม่อยากแตะ เพราะว่าเขาก็กลัวบาป ๆ เจ้าของเองไม่กลัวบาป ยิ่งสนุกทำบาปอย่างหน้าด้าน มีมากต่อมากนะพระเรา ให้พระลูกพระหลานนำไปเป็นข้อคิดพินิจพิจารณา อย่าให้เป็นพระหน้าด้านอย่างนั้น
ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ศีลธรรมเป็นยังไง พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้ว ศีลเรารักษาดีแล้วไม่ด่างพร้อย ไม่ได้ล่วงเกินศีลด้วยความไม่ละอายบาป มีหิริโอตตัปปะสะดุ้งกลัวต่อบาปตลอดเวลา รักษาศีลเป็นศีลที่บริสุทธิ์ เพียงเท่านี้เราก็อบอุ่นภายในหัวใจของเรา ยิ่งสร้างสมาธิคือความสงบเย็นใจให้เกิดขึ้นภายในจิตใจมากน้อยเป็นลำดับลำดา ไปที่ไหนสง่างามด้วยจิตที่เป็นสมาธิสงบร่มเย็น สว่างกระจ่างแจ้งอยู่ภายในทรวงอกนี้แหละ ไม่ได้อยู่ที่ไหน
ใจที่มีความสงบร่มเย็น สว่างกระจ่างแจ้ง จะสว่างอยู่ท่ามกลางอกของผู้ปฏิบัติโดยไม่ต้องไปถามใคร แล้วยิ่งได้รับการส่งเสริมมากน้อยเพียงไร ธรรมนี้จะสว่างออก ๆ สว่างออกจนกระทั่งถึงเอาให้สุดยอดเลยนะ เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจหมดแล้ว ใจนี้จะสว่างจ้าครอบโลกธาตุไปเลย เป็นยังไงหัวใจดวงนี้เลิศเลอไหม ที่มันเลวหาความเลิศเลอหาความเป็นสาระไม่ได้ ก็เพราะกิเลสตัวไร้สาระเข้าไปปกคลุมหุ้มห่อให้เป็นส้วมเป็นถานไปหมดทั้งดวงใจนั้นแล มันจึงไม่มีคุณค่าราคาอะไรเลย พอสลัดปัดนี้ออกด้วยความพากเพียรของเราแล้ว สิ่งที่เลวร้ายทั้งหลายจะกระจายออกไป สิ่งที่มีสารประโยชน์ภายในจิตใจจะค่อยแสดงตัวขึ้นมา ๆ ถึงขั้นเต็มที่แล้วสว่างจ้าไม่ต้องไปถามใคร
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ต้องถามใคร สว่างจ้าครอบแดนโลกธาตุ พระอรหันต์ตรัสรู้ธรรมท่านไม่ต้องไปถามใคร เพราะเป็นธรรมชาติที่รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน เพราะของอันเดียวกัน ท่านจึงไม่ถามกัน นี่คือความเลิศเลอของจิตที่พ้นจากแดนสมมุติได้แก่กิเลสตัวส้วมตัวถานนั้นแล เป็นตัวสมมุติที่สำคัญมาก มันปิดบังหุ้มห่อจิตที่เป็นสาระอันสำคัญให้ขาดสะบั้นลงไปหาคุณค่าหาราคาไม่ได้ คนทั้งคนเหมาแต่นรกอเวจีด้วยการสร้างบาปสร้างกรรม ตายแล้วจมลงในนรกก็คือใจดวงนี้ที่กิเลสตัวชั่วช้าลามก มันครอบงำให้สร้างแต่ความชั่วช้าลามกจนลืมเนื้อลืมตัว จมลงไปในนรกสายไปเสียแล้ว แก้ไม่ตก ต้องเสวยกรรมอยู่ในนั้น พอโผล่ขึ้นมานี้กิเลสปิดอีก เหมือนหนึ่งว่านรกไม่มี แล้วก็สร้างความหน้าด้านเข้าอีก หาญทำต่อบาปต่อกรรมทั้งหลาย สร้างอีกลงอีกอยู่อย่างนั้นตลอดมา
นี่คนไม่มีธรรม ไม่มีหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมอันใดเลย ถ้าคนมีธรรมในใจแล้วสะดุ้ง ๆ ไม่ว่าที่ลับที่แจ้งไม่กล้าทำ เพราะการทำเจ้าของเองเป็นผู้รู้เองเห็นเองในตัวเองผู้ทำ ไม่มีคำว่าแจ้งว่าลับที่ไหน อยู่กับตัวเองผู้ทำ ท่านก็ไม่ทำ สร้างแต่ความดิบความดี อย่างพระท่านภาวนาที่พูดว่า ผู้ครองความสุขก็คือพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบต่อศีลต่อธรรมอย่างยิ่ง จะอดอยากขาดแคลนอะไรก็ตาม นั้นเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยภายนอก แต่ภายในคือใจกับธรรมกลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้วอยู่ไหนสบายหมด ตั้งแต่ศีล ตั้งแต่สมาธิ สง่างามภายในใจ จากนั้นก็ปัญญาสว่างกระจ่างแจ้ง ถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้นแล้วพอตัว อยู่ไหนสบาย ๆ ไปหมด
นี้อำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม ผลเป็นที่พึงพอใจอย่างนี้ ได้ทุกกาลทุกเวลาของผู้บำเพ็ญ ไม่เลือกกาลเวลา ท่านจึงเรียกว่า อกาลิโก ธรรมไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามากีดขวางได้เลย เราทำเมื่อไรได้เมื่อนั้น สร้างกรรมเมื่อไรได้ เช่นเดียวกับการสร้างบาปตามกิเลส สร้างเมื่อไรเป็นกิเลส สร้างเมื่อไรเป็นบาปเป็นกรรมตลอดไปเสมอกัน เราจึงเลือกเฟ้นสร้างแต่คุณงามความดีเข้าสู่จิตใจของเรา เราจะมีความสุขความสงบเย็นใจ
พี่น้องทั้งหลายมีอำนาจมีวาสนา เกิดขึ้นมาในท่ามกลางแห่งพระพุทธศาสนา พ่อแม่ปู่ย่าตายายพากราบพาไหว้บูชา ได้ทำบุญให้ทาน เข้าวัดเข้าวาฟังธรรมจำศีล เจริญเมตตาภาวนา นี้เป็นสิ่งที่เลิศเลอสำหรับกายมนุษย์ใจมนุษย์เรา เราได้ครองธรรมเหล่านี้จากพุทธศาสนา นับว่าเป็นผู้มีวาสนาบุญญาภิสมภาร ขอให้รักษามรดกที่พ่อแม่ปู่ย่าตายายมอบให้นี้ ให้สมคุณค่าราคาที่พ่อแม่ของเรามีความเมตตาสงสารถ่ายทอดให้พวกเรา นำไปประพฤติปฏิบัตินะ เราจะเป็นคนดีถ่ายทอดกันไป
เช่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนิพพานแล้ว พระสงฆ์สาวกก็ครองอรรถครองธรรมเป็นพระอรหันต์ เอ้า องค์นี้ล่วงไป องค์นั้นก็บรรลุอรหันต์ขึ้นมา ครองมรดกอันล้นค่า ๆ ต่อกันมาเรื่อย ๆ เหมือนพวกเราทั้งหลายที่เป็นพุทธบริษัทครองอรรถครองธรรม เป็นลูกพระพุทธเจ้า ละอายต่อบาปต่อกรรม มีความกระหยิ่มยิ้มย่องต่อศีลต่อธรรม บำเพ็ญตนให้เป็นคนดีเรื่อยไป เราก็จะครองความดีสืบทอดปู่ย่าตายายของเราไป เช่นเดียวกันกับบรรดาพระอรหันต์ ท่านสืบทอดมรดกอันล้นค่ามาสู่ใจของท่าน เป็นพระอรหันต์ถ่ายทอดกันมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งทุกวันนี้
เมื่อยังมีผู้ปฏิบัติอยู่ พระอรหันต์ไม่สูญจากโลก มีอยู่เช่นเดียวกับกิเลสไม่สูญจากโลก เพราะมีคนส่งเสริมกิเลสอยู่ตลอดเวลา กิเลสก็ต้องพอกพูนตัวขึ้นไป มีกำลังมากขึ้นไป อันนี้เราสั่งสมธรรม ส่งเสริมธรรมขึ้นในใจ ธรรมก็มีความเจริญรุ่งเรืองถึงขั้นอรหัตภูมิได้โดยไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้จึงขอให้พี่น้องชาวไทยเราได้สนใจประพฤติปฏิบัติ อย่าไปคิดว่าศาสนาล่วงไปเท่านั้นเท่านี้จะหมดเขตหมดสมัย ศาสนาไม่มีผลไม่มีคุณค่า นั้นคือกิเลสหลอกสัตวโลก ซึ่งเคยหลอกได้ผลมานานมันก็จะหลอกพวกเราต่อไปอีก ให้ปัดออก
ให้เชื่อพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลส ความมัวหมองไม่มีในหัวใจพระพุทธเจ้า แต่ความมืดตื้อมีอยู่กับกิเลสที่ครอบหัวใจใดให้ลืมบาปลืมกรรมไปหมด มีแต่ความอยากความทะเยอทะยานดีดดิ้น ตายแล้วจมเลย ๆ นี้คือกิเลสหลอกโลก ธรรมไม่เคยหลอกโลกนะ ท่านสอนอย่างไรแล้วให้ปฏิบัติไปอย่างนั้น เราก็จะได้ประสบพบเห็นความสุขความเจริญ
วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์เวล่ำเวลา พี่น้องทั้งหลายได้มาบำเพ็ญนี้ หลวงตาจึงขออนุโมทนากับบรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกัน นับตั้งแต่กรุงเทพมาหาพี่น้องชาวสกลนครและแถวใกล้เคียง มาบำเพ็ญกุศลระลึกถึงบุญถึงคุณของท่าน ส่วนกุศลเราขนเข้าสู่หัวใจของเรา ท่านไม่ได้มาแบ่งสันปันส่วนอะไรจากเราแหละ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ ท่านไม่ได้มาแบ่งสันปันส่วนอะไรกับเรา เราเป็นผู้บำเพ็ญระลึกถึงท่าน บุญสะท้อนย้อนกลับมาเป็นสมบัติของพวกเรา เราครองบุญครองกุศลนี้โดยอาศัยท่านเป็นที่บำเพ็ญ เราก็จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองโดยลำดับ การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุขันธ์และกาลเวลา จึงขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com |