สร้างพุทธะผู้รู้ขึ้นภายในใจ
วันที่ 29 มกราคม 2544 เวลา 8:00 น. ความยาว 50.24 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :
 

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

สร้างพุทธะผู้รู้ขึ้นภายในใจ

          (วันนี้จะขออนุญาตกลับบ้านไปเลือกตั้งซ่อมค่ะ) เลือกตั้งซ่อม(เจ้าค่ะ) ให้ไปหาซ่อมไอ้พวกถานขี้นะ แล้วมันจะมาโปะหัวเราเอง เข้าใจหรือเปล่าล่ะ ไปหาหย่อนลงที่ถานขี้ แล้วมันก็โกยเอานั้นมาโปะหัวเรา เหล่านี้เราสอนอย่างละเอียดลออมาแล้วนะตอนที่จะคัดเลือกปีใหม่ สอนอย่างละเอียดลออให้รู้ชัดเจน ถ้ายังไปพลาดอยู่แล้วก็เรียกว่า ชะตาของชาติไทยเราว่างั้นเถอะ อันนี้ก็รู้สึกว่าดี ได้ผลดีผิดคาดผิดหมายว่างั้นเถอะ ลงในจุดที่สอนไว้เรียบร้อย ๆ แล้ว ทีนี้ก็ค่อยฟังเสียงก็แล้วกัน

เรามั่นใจไม่ใช่มั่นใจธรรมดานะ มั่นใจถึงประกาศออกมาเลยว่า ถ้าปฏิบัติตามหลักศาสนาของเรา ฟังเสียงธรรม ฟังเสียงศาสนา ฟังเสียงผู้นำทางศาสนา แล้วชาติไทยของเรานี้ยังไงขึ้นได้ไม่สงสัย ชี้นิ้วเลย ขอให้ฟังเสียงศาสนาก็แล้วกัน อย่าสุ่มสี่สุ่มห้า ใจเดือดร้อนวุ่นวาย เอาอย่างใจตัวเอง เอาอารมณ์เข้าไปตีแล้วแตกได้นะ เรื่องยาพิษไม่ต้องมาก นิดเดียวเท่านั้นแตกกระจายได้เลย จึงต้องให้ระมัดระวัง เราสอนไปทุกแง่ทุกมุมสอนพี่น้องชาวไทยเรา นำศาสนามาสอน บอกทุกช่องทุกมุม จะเป็นช่องโหว่ตรงไหนก็เตือน ๆ ให้ปฏิบัติตามนั้น ๆ จะค่อยเป็นไปอย่างนี้

พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์นำศาสนามารื้อขนสัตวโลก มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองสงบร่มเย็น ไม่มีความล่มจมเสียหายเพราะพระพุทธเจ้าแม้พระองค์เดียวที่มาสั่งสอนโลกเลย เพราะฉะนั้นธรรมนี้จึงเป็นธรรมของพระพุทธเจ้า ให้ฟังเสียงธรรมแล้วจะฟื้นได้ ๆ โดยลำดับ ถ้าแยกจากธรรมแล้วนั้นแหละเป็นภัยนะ จมได้รวดเร็ว คือการจะฟื้นขึ้นนี่มันต้องช้า เหมือนกับเขาปลูกบ้านปลูกเรือนปลูกศาลานี้ มันทุ่มกำลังวังชาเวล่ำเวลามากขนาดไหน มันขึ้น ขึ้นอย่างนี้แหละ จะค่อยขึ้นเชื่องช้า ๆ แต่ไฟจ่อเข้าไปเท่านั้นอันเดียว ไม้ขีดไฟก้านเดียวพรึบหมดเลย นั่นมันต่างกันนะ การทำลายนี้เร็วมากทีเดียว การฟื้นนี้ยาก ช้า แต่เราต้องเล็งเหตุผล จะช้าหรือเร็วขอให้ฟื้น ขออย่าให้จมอย่างรวดเร็ว นั่นมันแก้กันตรงนี้นะให้ระวัง

ทองคำก็เริ่มแล้ว เมื่อวานนี้ก็ ๕ บาท ๒๖ สตางค์ ดอลลาร์ ๗๖ ดอลล์ ค่อยได้ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้

เราก็ทำไปฟังไปพิจารณาไปเรื่อย ๆ ตรงไหนที่ควรซ่อมก็จะเตือนเรื่อย ๆ ให้เดินตามนั้น ในธรรมที่เป็นบทบาทสำคัญในหมู่ชนเราท่านแสดงไว้ว่า สามคฺคี สมคฺคานํ ตโป สุโข ความพร้อมเพรียงความสามัคคี ผนึกกำลังกันขึ้นแล้วเป็นกำลังอย่างมหาศาล แผดเผาสิ่งเลวร้ายทั้งหลายได้เป็นอย่างดี นั่นฟังซิน่ะ คือสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย อำนาจแห่งความสามัคคีเป็นธรรมอันดีงาม ดับได้หมดไปเลย ความพร้อมเพรียงความสามัคคี อย่าแตกอย่าแยก ให้ฟังเสียงธรรม เอาธรรมเป็นแนวเดิน ใครมาก็เล็งไปตามสายธรรม ต่างคนต่างเล็งไปสายเดียวกันก็พุ่งเลย คนนี้ไปนี้ ๆ ไม่ได้นะ พัง

พอพูดอย่างนี้เราก็ระลึกได้ที่เราไปอยู่ในเขา พวกเขาไปเลี้ยงควาย ควายฝูงนะ คือในหมู่บ้านนี้เวลาเขาทำไร่ทำนาแล้วสถานที่มันไม่มีที่เลี้ยงสัตว์ เขาต้องเอาไปเลี้ยงในป่าตามโคกตามภูเขา เวลาเราไปเที่ยวเราก็เห็นอยู่ เขาเรียกปางหรืออะไร เป็นทับ ทับร้าง ๆ เขา เวลาเขาลงเกี่ยวข้าวเขาก็เอาพวกฝูงสัตว์พวกควายพวกอะไรลงไปด้วย พอเขาเกี่ยวข้าวแล้วเขาเอาสัตว์ลงไปหาปล่อยในทำเลที่เขาเกี่ยวข้าวเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ทับเขาก็เป็นทับร้าง ๆ เป็นแห่ง ๆ นะอยู่ในภูเขา เราเที่ยวเราไปเห็น อ๋อ นี่พวกชาวบ้านนู้นตามท้องนาเขาเอาฝูงสัตว์มาเลี้ยงในป่าเพราะไม่มีที่เลี้ยง มีแต่ข้าวเต็มนา ทีนี้พอเขาเกี่ยวข้าวเขาก็เอาสัตว์ลงไป

เราไปเที่ยวในป่าเห็นแต่พวกเป็นทับ ๆ ทับร้าง ๆ ปางร้างทับร้างมีเป็นแห่ง ๆ คือหมู่บ้านมีอยู่ทั่วไป หมู่บ้านทางไหนเขาก็ขึ้นมาปล่อยทางนี้ ไปเลี้ยงทางโน้นก็มาทางนี้ในจุดศูนย์กลาง คือพวกภูเขามีโคกมีอะไรพอเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ได้ หมู่บ้านรอบ ๆ เขาก็เอาขึ้นมาเลี้ยงตามนั้น เขาพูดถึงเรื่องสัตว์ที่น่าฟังมากนะ แล้วเป็นไงเวลามาเลี้ยงอยู่ในป่าอย่างนี้ พวกเสือพวกอะไรมันไม่มากวนเหรอเราว่าอย่างนี้นะ คนนอนอยู่นี้ไม่เป็นไรแหละเขาว่างั้น มันมาเหมือนกันเสือ มันมาขู่คำรามคอยดูความแตกแยกของสัตว์ ฟังซิ เวลากลางคืนเขามานี่เขามาขู่คำราม คนก็ตั้งทับนอนเฝ้าอยู่นี้ พวกสัตว์มันก็เต็ม เสือมันมานี้มันมาขู่คำราม มันทำท่า เฮ่อ ๆ คำราม

ทีนี้พวกสัตว์ที่ใจร้อนที่กลัวตายไม่มีเหตุมีผล ใจร้อน พอได้ยินเสียงเท่านั้นก็โดดหนีไป เสือโดดกัดเอาไปกินเลย แตกฝูงออกไปไม่ได้นะตายเลย บางพวกพอได้ยินเสียงเสือขู่คำรามเขาจะลุกพรึบพร้อมกันเลย พวกลูก ๆ ของควายของอะไรวิ่งเข้าใต้คอแม่ ๆ ตัวผู้ก็ดีตัวแม่ก็ดียืนมองจ้อง ยืนกึ๊กเหมือนทหารนะ อันนั้นก็คำรามรอบไปรอบมาไม่กล้าเข้ามาได้ เห็นไหม เขาพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ถ้าตัวไหนวิ่งแหวกแนวไปตัวนั้นตาย ออกไปตาย พวกสัตว์ฝูงพวกควายนี้ถ้าแตกฝูงแล้วเสียท่าทั้งนั้นเขาบอกอย่างนั้นนะ ถ้าไม่แตกแล้วจะอยู่ลำพังพวกสัตว์ก็ทำไมเขาไม่ได้

คือไม่ใช่ว่าเสือมันจะมาทำอยู่เฉพาะคน นาน ๆ จะมีทีนึงเขาว่างั้นนะ แต่มันก็มี มันมาขู่คำรามทั้ง ๆ ที่คนอยู่นั้น มันมาขู่คำรามอยู่ข้างนอก มันคอยจ้องดูสัตว์ตัวไหนกลัวมากวิ่งออกไป แล้วมันก็กิน กัดตัวนั้นแหละ ถ้าไม่ออกก็ไม่ตาย แต่มันไม่กล้าเข้ามาใกล้แหละเขารู้ว่าคนอยู่นี้ พอได้ยินเสียงคน มันมาอะไร เท่านั้นก็ไปแล้ว เพราะมันกลัวคน ที่สำคัญก็คือว่าเขาไปหากินกลางวี่กลางวัน ที่แตกกระจัดกระจายไปหากิน พอมีแปลก ๆ นี่ ตัวใดตัวหนึ่งร้องขึ้นมาลักษณะแปลก ๆ เขาจะรุมถึงกันเลยนะ เสือไม่กล้ามาทำอะไรได้ เวลาได้ยินเสียงเสือนี้เขาจะวิ่งจับกลุ่มกันทันที เหมือนทหาร ยืนจ้องอยู่นั้นเลย ตัวใหญ่ตัวแม่ตัวผู้ยืนรอบหน้าจ้อง ลูกมันเข้าอยู่ข้างในหมดแล้ว แล้วเขาก็เดินฉากไป ๆ  ทางนี้ก็จ้องดู ฉากไปทางไหนทางนี้ก็มีแต่จะเอา หนี แตะต้องไม่ได้ เขาว่างั้นนะ เจ้าของเขาเล่าให้ฟัง

ดงนี้มันดงเสือแหละ เขาเล่าให้เราฟัง เราเอามาพิจารณา เรื่องความสามัคคีนี่แม้แต่สัตว์ก็พ้นภัย ถ้าแตกสามัคคีแล้วแตกได้ทั้งนั้นเสียได้ทั้งนั้น เอามาพิจารณา ฝูงสัตว์ตามที่ท่านแสดงไว้ในชาดกเหมือนกันนะ ฟังหัวหน้า ๆ ฟังซิน่ะ สัตว์มีหัวหน้า ต้องฟังเสียงหัวหน้า ความสามัคคีสำคัญมากทีเดียว ก็คิดดูร่างกายของเราที่เราอยู่อย่างนี้ปรกติสุข ไม่เจ็บไข้ปวดหัวอวัยวะไม่พิกลพิการอยู่เป็นสุข ก็เรียกว่าร่างกายสามัคคีกัน ในธาตุขันธ์ของเรานี้สามัคคีกันเราก็อยู่สบาย กินอยู่หลับนอนไปมาอะไร ๆ ได้สะดวกสบาย ถ้าลงมาเจ็บขัดตรงไหน จุดใดจุดหนึ่งซี นั่นละร่างกายมันแตกสามัคคี จะก่อกวนเจ้าของให้ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน จึงต้องหาหยูกหายามาเยียวยารักษาเพื่อให้มันเข้าสู่ปรกติ

ความแตกสามัคคีในร่างกายก็ไม่ดี แม้แต่ศาลาหลังนี้ก็ลองดูซิน่ะ ฝนตกรั่วลงมาที่นั่นที่นี่ โอ๋ย ไม่มีที่อยู่ วิ่งหัวซุกหัวซุน เมื่อมันแน่นหนามั่นคงดีอยู่แล้ว ฝนตกไม่รั่วไม่ไหลเราก็อยู่ได้สบาย ๆ เรียกว่ามันไม่แตกสามัคคี ทางหนึ่งดีทางหนึ่งรั่วเขาเรียกแตกสามัคคีใช่ไหมล่ะ ทางนั้นรั่วทางนี้ดีก็ยังพออาศัยได้ หรือตรงนั้นรั่วตรงนี้รั่ว สุดท้ายคนก็เผ่น แน่ะอย่างนั้นแล้ว ความสามัคคีเป็นสำคัญมาก ทีนี้รวมลงในด้านจิตตภาวนาก็เหมือนกัน จิตตภาวนาเราจะเห็นพลังของจิตพลังของธรรมแสดงอำนาจขึ้นมานี้ ต้องแสดงเวลากระแสของจิตรวมตัวเข้ามา ด้วยจิตตภาวนาคำใดก็ตามเป็นเครื่องดึงเข้ามา เหมือนเราดึงจอมแห

กิริยาของจิตมันคิดไปซ่านไปทั่วโลกดินแดน ทีนี้เราต้องการความสงบคือความสามัคคีรวมตัว ความรวมตัว เราก็จับคำบริกรรมคำใดคำหนึ่งขึ้นมา สติตั้งอยู่นี้ กระแสของจิตก็จะรวมเข้ามา ๆ ก็จะมารวมอยู่จุดนี้ เมื่อมารวมตัวจุดนี้แล้วสง่าผ่าเผยขึ้นทันทีเลยเห็นไหมล่ะ  แต่ก่อนไม่มี  นี่ละความสามัคคีของจิต ท่านจึงว่า มคฺค สมงฺคี มคฺค สมงฺคี คือ ทางรวมเข้ามา กระแสของจิตนี้เรียกว่าออกทางนั้นทางนี้ เรียกว่า มคฺโค มคฺโค มคฺโคของธรรมนี้เพื่อความพ้นทุกข์ ทางเดินของกิเลสไม่เรียกว่ามรรค แต่ก็เป็นทางของมันออกทางนั้นทางนี้ เข้ามาจุดรวมเรียกว่า ธรรมสามัคคี รวมอยู่ในจิต สง่า ถ้าเข้ารวมแล้วสง่า ถ้าไม่รวมไม่มีอะไรแปลกต่างกับสัตว์นะคนเรา

จิตเป็นสำคัญมากทีเดียวในตัวของคนและสัตว์ เล็นตัวหนึ่งยังไม่ให้ทำลาย จิตอยู่ที่นั่น เล็นตัวนี้พลิกจากนี้เป็นช้างเป็นเทวดาอินทร์พรหมได้จากจิตดวงนี้ ไปเป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์นรกได้จากจิตดวงนี้ จิตดวงนี้ไปได้ทุกแห่งไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ เพราะฉะนั้นการเกิดการตายของสัตวโลกทั่ว ๆ ไปในที่ต่าง ๆ จึงมีอยู่ทั่วไปทั่วโลกธาตุ เกิดได้ทุกแห่ง ตายได้ทุกแห่ง เสวยสุขเสวยทุกข์ตามวิบากของตนได้ทั่วกันหมดเลย ไม่มีเกาะใดดอนใดว่าวิบากกรรมจะเข้าไม่ถึง เพราะวิบากกรรมที่ตนทำไว้อยู่กับตน จิตวิญญาณไปไหนมันก็ติดกันไปนั้น ความทุกข์จึงมีอยู่ทั่วไปในจิตวิญญาณของสัตว์

นี่เราก็สอนโลกชาวพุทธเราได้รู้เรื่องของศาสนาบ้างนะ ว่านับถือศาสนาพุทธเฉย ๆ ไม่รู้เรื่องของพุทธเลย มีมากต่อมากนะไม่ใช่ธรรมดา ถ้าจะพอร้มีวี่มีแววบ้างก็พวกเข้าวัดเข้าวาเข้าปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งภาวนา อันนี้เป็นที่รวมของธรรมทั้งหลาย ถ้าว่าเป็นแม่น้ำก็เป็นทำนบใหญ่ แล้วก็เป็นมหาสมุทรรวมลงนั้น รวมลงที่จิตนี่ละ มีการภาวนาตีตะล่อมเข้ามาให้เข้าสู่ความสงบร่มเย็นสบาย ๆ ผู้ที่ดำเนินทางจิตนั้นจะเป็นผู้ที่รู้เห็นสิ่งต่าง ๆ ที่กว้างขวางมาก ที่โลกทั้งหลายลึกลับ ธรรมชาติอันนี้ไม่ลึกลับ มันจะเห็นไปหมดนะ นี่อำนาจของจิต

ศาสดาอุบัติขึ้นมาแต่ละองค์ ๆ เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร ที่จะมารื้อขนสัตว์ให้รู้เรื่อง เตือนสัตว์ทั้งหลายให้รู้เนื้อรู้ตัว คือรู้ใจของตัวเองนั้นแหละ ใจอยู่กับตัวของทุกคนแต่ไม่รู้ใจตัวเอง ให้กิเลสหลอกไปข้างนอก ล่มจมไปเสียมากต่อมาก ใจนี่พาไปเพราะหลง ไม่มีอะไรกระตุกเตือนคือธรรม ธรรมไม่มีกระตุกเตือนมันก็ย้อนเข้ามาร้ตัวเองไม่ได้ ก็ไม่รู้ผิดถูกชั่วดี เพราะฉะนั้นเวลาสอนภาวนาท่านจึงบอกให้มีสติ ตั้งสติไว้นี้ ว่าพุทโธ ๆ แต่สติไม่มีมันก็เพ่นพ่าน ๆ คำว่าพุทโธก็เป็นนกขุนทอง วิ่งตามกิเลสไปเสีย พุทโธ ๆ พุทโธก็วิ่งตามกิเลส สติสตังไม่มีจิตก็ไม่รวม พอรู้ตัวนิดขึ้นมา โฮ้ นั่งภาวนานานไม่เห็นได้เรื่องอะไร มันจะได้เรื่องอะไรก็มันภาวนาหาเอาแต่สิ่งไม่เป็นท่า ก็ได้แต่ของไม่เป็นท่ามา ก็มาทวงเอาคะแนน ทวงคะแนนไม่ได้แล้ว โอ๊ย นอนเสียดีกว่า ทีนี้เลยนอนดีกว่าทุกอย่าง เป็นอย่างนั้นนะ

เวลามันผาดโผนมันผาดโผนจริง ๆ นะกิเลส มันเต็มอยู่ในหัวใจทุกอย่างแล้ว เพราะฉะนั้นพูดอะไรถึงพูดได้เต็มปาก มันผ่านมาเสียพอกว่าจะพิจารณาโลกให้มันรอบตัวเอง ถึงกับขั้นว่าปล่อยมันโดยสิ้นเชิงได้นี้ เรียกว่าทุกข์แสนสาหัส เรื่องซอกแซกของจิตพินิจพิจารณาฝึกทรมานตนเอง เพื่อความรู้ความเห็นทั้งโทษและคุณนี้เป็นเรื่องที่หนักมาก เราจึงกล้าพูดอย่างเต็มปากเลยเทียวว่า งานในโลกนี้ใครอย่าว่างานอะไรที่ยุ่งยากปากหมอง หรือได้รับความทุกข์ความทรมานมากอันใดเลย ถ้ายังไม่ได้ผ่านการฆ่ากิเลส ขึ้นบนเวทีฟัดกับกิเลสเสียก่อน อย่าด่วนคุยนะ ถ้าใครได้ขึ้นฟัดกับกิเลสให้เต็มเหนี่ยว ลงจากเวทีมาแล้ว ผู้นั้นประกาศป้างได้เลย งานนี้เป็นงานหนักที่สุด

งานหนักที่สุดนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว เป็นความสุขสุดยอด นั่นเห็นไหมล่ะ หนักซิ กิเลสมันหนามันก็หนัก สู้กันอย่างหนัก เราอย่าเอาความลำบากลำบนซึ่งเป็นเรื่องของกิเลส มากีดขวางทางเดินเพื่อความดีของเรา ยากนั่นให้ถือว่าเป็นเรื่องของกิเลส ความทุกข์ความทรมานจะทำความดีนี้ มันจะมาสร้างกำแพงกั้นไว้ทันที ๆ เป็นอุปสรรค หาเรื่องมากีดกัน เดี๋ยวจะทำอันนั้นจะทำอันนี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี้ นั่นกิเลสลากออกไปแล้วนะ พอไปกับกิเลสจนจะตายก็ไม่รู้ว่ายุ่งว่ายาก บ่นก็บ่นแต่ว่าสาเหตุแห่งความทุกข์มาจากไหน กิเลสนำมามันไม่รู้ ก็มาบ่นให้แต่ผลของมันนั่นซี เหตุที่มันสร้างขึ้นมาเราไม่เห็น

ธรรมจับเข้าไปเห็นหมดทั้งเหตุทั้งผล ทุกข์ขึ้นมาอย่างนี้เพราะเป็นอย่างนั้น จิตเป็นอย่างน้นทุกข์จึงเป็นอย่างนี้ เมื่อเราฝึกทรมานเราฝึกได้อย่างนี้ ๆ ความสุขเกิดขึ้นมาอย่างนี้เห็นสาเหตุแห่งความสุข เห็นสาเหตุแห่งความทุกข์ ทีนี้ก็รู้จักวิธีแก้ ถึงยากลำบากบ้างมันก็ทนเอาคนเรา แล้วไปได้ ถ้าอย่างนั้นไปได้ จึงได้กล้าพูดซิว่า เรื่องความทุกข์ในโลกอันนี้ ใครว่าทุกข์ที่ไหนอย่าเอามาคุยนะ ให้ขึ้นฟัดกับกิเลสเสียก่อน นี้ละตัวข้าศึกใหญ่ที่มันครอบโลกธาตุ ทำความทุกข์แก่โลก ได้รับความทุกข์ความทรมานกี่กัปกี่กัลป์มา คือกิเลสเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น

เพราะฉะนั้นเวลาจะแก้มัน เวลาจะทำลายมันรบกับมันนี้จึงหนักมากที่สุดตัวนี้ หนักมากทีเดียว มันควรสลบไสลพระพุทธเจ้าถึงสลบซิ มันควรจะยังไงมันก็เป็นได้ละเวลาขึ้นต่อกรกันแล้ว นักมวยต่อกรควรสลบ-สลบได้ ควรถูกน็อก-น็อก ดีไม่ดีตายไปเลยก็มี เป็นได้ทั้งนั้นแหละ เรื่องของกิเลสกับธรรมฟัดกันก็แบบเดียวกัน มันทุกข์ได้แบบเดียวกัน แต่ว่าผู้ที่ต่อสู้จริง ๆ เกี่ยวกับเรื่องฟัดกับกิเลสนี้มักจะได้ชัยชนะไปเรื่อย ๆ นะ

อย่างครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ปรากฏชื่อลือนาม ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรานี้ องค์ไหน ๆ ก็เถอะ ถ้ายังไม่เข้าถึงตัวท่านก็เหมือนท่านล้างมือเปิบนะ เหมือนล้างมือเปิบ ๆ ท่านไม่เป็นทุกข์ เวลาเข้าถึงกันแล้วมาคุยกันนี้ โหย เราก็นึกว่าเรานี้เดนตายมา ท่านพูดขึ้นมาเราก็จะสู้ท่านไม่ได้ นู่นเห็นไหม มันทุกข์ด้วยกัน เป็นแต่เพียงไม่พูดเฉย ๆ นี่ละจึงว่ากองทุกข์ ถ้าใครไม่ได้ผ่านการสังหารกิเลส ซึ่งมีอำนาจครอบโลกธาตุให้จมอยู่ตลอดมานี้ ยังฆ่ามันไม่ได้หรือยังไม่ได้สู้กับมัน อย่ามาพูดว่าเป็นทุกข์นะ ถ้าได้ขึ้นต่อกรกับนี้แล้ว ผ่านไปแล้วพูดได้หมด อันนี้เป็นสุดยอดในความทุกข์ทั้งหลาย

แต่เวลาธรรมชาตินี้ถูกสังหารเรียบลงไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะสุขสุดยอดยิ่งกว่าการพ้นจากหรือการปราบกิเลสให้อยู่ในเงื้อมมือ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านปราบเรียบร้อยแล้วท่านจึงสุขสุดยอด ทีแรกก็ทุกข์สุดยอดเหมือนกัน พอชนะไปแล้วก็สุขสุดยอด ต่างกันอย่างนี้นะ สอนคราวนี้เราก็สอนเน้นหนักทางด้านจิตตภาวนา ให้โลกทั้งหลายได้รู้ใจตัวเองบ้าง ถือศาสนาพุทธก็ไปดูในคัมภีร์เสีย ว่าเป็นพุทธอยู่ในคัมภีร์เสีย ว่าเป็นพุทธอยู่ลิเกดีเสีย ว่าเป็นพุทธอยู่ที่พระพุทธรูปเขาสร้างไว้ที่นั่นที่นี่เกลื่อนไปทั่วประเทศไทย มีแต่พระพุทธรูป สร้างกันอย่างง่ายดาย สบายสร้างพระพุทธรูป แต่สร้างพุทธะคือผู้รู้ขึ้นภายในใจนี้ไม่มีใครสนใจจะสร้างนะ

พระพุทธรูปที่ปรากฏนอกนั้นน่ะ พระพุทธเจ้าท่านสร้างความรู้ความฉลาดเป็นจอมปราชญ์สมัยปัจจุบันซึ่งเป็นศาสดาเอกของโลกแล้วนั้นพุทธะแท้ เราปั้นรูปท่านสำหรับกราบไหว้บูชา เราเลยมองตั้งแต่วัตถุข้างนอกกันเสีย ไปที่ไหนเห็นพระพุทธรูปก็กราบไหว้ปลก ๆ ไหว้ปลกแล้วไปไม่สนใจดูตัวเอง เวลานี้เรื่องวัตถุนี้จึงเกลื่อนในพุทธศาสนาเรา ไม่มีใครสนใจจะดูอันสำคัญนี่นะ กิเลสมันไสให้ไปเกาข้างนอกนู่น ให้ไปสร้างอันนั้นสร้างอันนี้

เราไม่ปฏิเสธว่าเป็นบุญเป็นกุศล แต่บุญกุศลที่ล้นพ้นมันอยู่ที่ใจ การปฏิบัติตัวเองต่างหากนี่นะ อันนั้นได้แต่สู้อันนี้ไม่ได้ความหมายว่างั้นนะ ให้เห็นทั้งทางนั้นเห็นทั้งทางนี้ ปฏิบัติทางโน้น เอ้า สร้างก็สร้าง สร้างอันนี้ก็สร้าง สม่ำเสมอกันไป นี้ไม่ได้สนใจนะ เอะอะก็สร้างพระพุทธรูปมีเกลื่อนไปหมด ไปที่ไหน ในภูเขาที่ไหน ๆ พระพุทธรูปมีอยู่ทุกแห่ง ไปหาสร้างกันอย่างนั้น แต่ไม่สนใจจะสร้างตัวเองให้เป็นพุทธะ รู้ขึ้นมาที่ใจ ไม่ค่อยสนใจกัน เพราะอันนั้นมันทำง่าย อันนี้ทำยากไม่สนใจทำ ไปหาทำง่าย ๆ มากกว่า ไปไหนเลยขลังไปหมด

พุทธะเลยไปอยู่ตามตู้ตามหีบตามคัมภีร์ตามพระพุทธรูป ตามสถานที่เจดีย์ต่าง ๆ ไปหมดเสียแล้วพุทธะ พุทธะในหัวใจของคนที่จะได้รับความสุขความเจริญแท้ ๆ ไม่ได้สนใจสร้าง เสียตรงนี้นะ ชาวพุทธเราเวลานี้เป็นบ้าวัตถุไปหมดแล้วนะ พุทธศาสนาก็เป็นจุดศูนย์กลางเป็นเครื่องมือให้ทั้งคนดีคนชั่ว ถ้าคนดีก็มีจำนวนน้อยกราบไหว้บูชาปฏิบัติตนให้เป็นคนดีไปตามคำสอน ถ้าเป็นคนที่มืดหนาสาโหด ก็เลยเป็นเครื่องมือของพวกนี้ไปเสีย

เช่นอย่างจะไปปล้นเขาอย่างนี้ เอาพระพุทธรูปแขวนคอไปปล้นเขา ไปปล้นเขาเขาฆ่าตายล่ะซิ พระพุทธรูปหรือเครื่องของขลังเต็มคอเห็นไหมล่ะ นี่ละมันเอาไปเป็นเครื่องมือ บ้านนี้ก็มีมาปล้นเขาล่ะซิ บ้านตาดนี้ เครื่องรางของขลังพระพุทธรูปเต็มคอมาปล้นเขา เขายิงตายแล้วไปดูมีตั้งแต่เครื่องรางของขลังเต็มคอ เป็นอย่างนั้นนะ มันเอาไปเป็นเครื่องมือได้พวกนี้ ไปปล้นเขา เขาก็คนเขาก็ยิงเอา ไม่ได้นึกว่ามีแต่เราคนเดียวในบ้านนี้เป็นเจ้าอำนาจ ไปปล้นเขา เขาเป็นเจ้าของสมบัติ เขาก็มีสิทธิมีอำนาจมีใจเหมือนกันกับเรา ไม่ได้คิดล่ะซิ นึกว่ามีใจแต่เรา มีอำนาจแต่เราคนเดียว ไปปล้นบ้านเขา คนที่ถูกปล้นก็ถูก คนที่ไม่ถูกปล้นก็ด้อมเข้ามาข้างหลังยิงใส่เปรี้ยงตายเลย พอได้ยินเอะอะก็วิ่งมาแล้ว คนมาปล้นบ้านเขา เอะอะมาปล้น มาเห็นมันก็ยิงเอาเลยจะว่าไง ตาย พระพุทธรูปเต็มคอ ของขลังไม่เห็นขลัง

พระพุทธรูปท่านสอนคนให้ไปปล้นอย่างนี้เหรอ แล้วเอาท่านมาทำไม แล้วจะไปตำหนิพระพุทธเจ้าว่าไม่ขลังได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอนให้มาขลังแบบถูกเขายิงตายอย่างนี้ ให้ไปปล้นเขาเขายิงตาย เราตถาคตจะอยู่ในคอนั่นแหละจะว่าอย่างนั้น ถ้าเป็นหลวงตาบัวเอามากี่องค์เอาหลวงตาบัวไปด้วย หลวงตาบัวก็อยู่คอพวกแกก็ตายไปเถอะ ข้าเป็นหลวงพ่อคูณข้าไม่ตาย ข้าโดดลงแต่ ๙๐ นู้นแล้ว แน่ะก็ไปอย่างนั้นถ้าเป็นหลวงตาบัวเข้าข้างหลวงพ่อคูณทันทีเลย เป็นอย่างนั้นมันขลังข้างนอก นี่เราพูดถึงเรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคีเลยไหลไปทางไหนก็ไม่รู้นะ พลังของจิตเมื่อรวมตัวแล้วมีพลังมาก

เดี๋ยวนี้ดูโลกมันจะดูไม่ได้นะ มองไปที่ไหนมีแต่ดีดแต่ดิ้น ดิ้นกันทั่วโลกทั่วสงสาร ไม่ใช่เฉพาะพวกเรานะ คือมันเหมือนกันหมด วิ่งไขว่โน้นคว้านี้ คว้าโน้นคว้านี้ คว้าอะไรหลุดไม้หลุดมือ ๆ ไม่มีอะไรเป็นสาระพอจะพึ่งเป็นพึ่งตายได้เลย แต่คว้ากันทั่วโลกดินแดน เพราะเขาไม่รู้จักว่าจะคว้าอะไรดี อะไรก็ว่าดีไปหมดแล้วก็เหลวไปหมด ๆ นี่มันไม่มีหลักยึด เพราะฉะนั้นเมื่อได้สอนอรรถสอนธรรมเข้าให้มีหลักใจ นี้คือมีหลักยึด ศาสดาองค์เอกมาสอนไว้แล้ว ธรรม-ธรรมอันเอกมาสอน ยึด เกาะนี้ปั๊บติด ไปได้ ๆ คนเรา มันไม่มีอันนี้นั่นซีโลกถึงได้ร้อนไม่มีหยุดมียั้งนะ ยังจะร้อนไปอีกไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ ถ้าไม่มีเกาะอันเหมาะสมเข้ายึด เช่น ธรรม ถ้าธรรมแล้วพอเป็นพอไปคนเรา

ทุกข์ยากก็ทุกข์ด้วยกัน เกิดมาในท่ามกลางแห่งกองทุกข์จะเอาความสุขมาจากไหน ก็ต้องมี แต่สาระสำคัญที่เราจะพึ่งพิงอาศัยคือธรรมก็ให้มี สำคัญอันนี้นะ เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธเราในเมืองไทยนี้เหลวไหลเอามากจริง ๆ มองไปไหนเป็นวัตถุไปหมดเลยไม่ได้เป็นนามธรรม คือจิตใจที่สงบร่มเย็นเพราะการปฏิบัติธรรม ไม่ค่อยมีและไม่มี นั่นฟังซิ เป็นขั้น ๆ นี่เราพูดย่อม ๆ นะว่าไม่ค่อยมี เราอยากจะพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ว่า มันไม่มีว่างั้นเลย ใครจะไปสนใจกับอรรถกับธรรม มองไปที่ไหนเห็นแต่มันดิ้น มันไม่ได้เห็นดิ้นเข้ามาหาธรรมให้พอมองเห็นว่าพอมีบ้าง

นี่ละหลักใจคือธรรมนะ ให้พากันยึดถ้าอยากมีฝั่งมีฝา ให้ยึดอรรถยึดธรรม ยึดสิ่งภายนอกเขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ไม่มีใครที่จะพึ่งกันได้แหละ ตายไปก็พังไปด้วยกันหมด มหาเศรษฐีตายไปก็พัง สมบัติเงินทองข้าวของพังไปด้วยกันหมด ไม่มีความหมายอะไรเลย ใจก็พังใจไม่มีที่เกาะ ยึดอันนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้ายึดธรรมแล้วอะไรจะพังไม่พังก็ตามใจกับธรรมไม่พัง นั่นไปพับเลย เศรษฐีตายก็เป็นสุขได้ คนจนตายก็เป็นสุขได้ถ้ามีธรรมในใจ ไม่ว่าคนมีคนจน คนโง่คนฉลาด เดินตามแถวของกิเลส ไอ้ฉลาด ๆ ไปตามแถวธรรมไม่ค่อยมีนะ ฉลาดก็ฉลาดเพื่อโง่ ฉลาดเพื่อสร้างกองทุกข์ใส่ตัวเองดังที่เป็นอยู่เวลานี้

ทำให้โลกร้อนอยู่เวลานี้ มีแต่เสกสรรตัวเองว่าเป็นคนฉลาดทั้งนั้นแหละ เป็นนักวิชาการดอกเตอร์ดอกแต้ ครั้นเวลาเรียนมาแล้วก็มาถลุงพุงตัวเองนั่นแหละ ชาติตัวเองให้แหลกเหลวไปหมด มันฉลาดยังไงจึงทำอย่างนั้นล่ะ ถ้าฉลาดจริง ๆ เรียนมาแล้วก็มาพยุงชาติตัวเองให้ดีขึ้น พยุงผู้เกี่ยวข้องชาติบ้านเมืองให้ดีขึ้น ต่างคนต่างเรียนมา ต่างคนต่างเป็นนักวิชาการมาพยุงส่งเสริมตัวเองและชาติของตัวเองให้มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นลำดับ นี่เรียกว่าความรู้เป็นไปตามแถวธรรม จากนี้แล้วเป็นความรู้ของมหาภัยสังหารตนเองและผู้อื่นด้วย แล้วเวลานี้ความรู้ของพี่น้องชาวไทยเราเป็นความรู้ประเภทไหน ควรจะนำไปตั้งปัญหาถามตัวเอง เรียนมาแล้วเอามาสังหารชาติบ้านเมืองอย่างนี้หรือความรู้อย่างเอกน่ะ มันเอกอย่างนี้นะกิเลส มันเอาให้จมได้นะความรู้ประเภทนี้ ถ้าเป็นความรู้ของด้านธรรมะเรียนมามากมาน้อย มาปรับปรุงพยุงให้ดีขึ้น ๆ เรียกว่าธรรม ความรู้อย่างนี้เป็นธรรม เป็นอย่างนั้นนะ

เอาทีนี้ยกเข้าไปหาตัวสุดยอด พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติบำเพ็ญพระองค์อยู่ตั้ง ๖ ปีสลบ ๓ หนอยู่ในป่า จนกระทั่งสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าเต็มภูมิแล้วและสั่งสอนโลก ก็เป็นมหาวิทยาลัยป่าขึ้นมาแล้ว ไม่ต้องชื่อมหาวิทยาลัยก็ตาม เป็นขึ้นแล้วโดยหลักธรรมชาติ บรรดาพระสงฆ์สาวกทั้งหลายผู้มีอุปนิสัยปัจจัยเข้าไปศึกษาอบรมกับพระพุทธเจ้าในป่าในเขา ยกตัวอย่างเช่น เบญจวัคคีย์ทั้งห้า เป็นต้น นี่ไปศึกษาอบรมมาหลั่งไหลกันไปศึกษาอบรมอยู่ในมหาวิทยาลัยป่า  องค์นี้สำเร็จเป็นพระโสดา  องค์นี้สำเร็จเป็นพระสกิทาคา องค์นี้สำเร็จเป็นพระอนาคา องค์นี้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นี่เรียนสำเร็จออกมาจากมหาวิทยาลัยป่า เป็นวิชาที่จะเทิดทูนตัวเองให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายได้โดยลำดับลำดาไป ผู้นอกจากนั้นก็ศึกษาอบรมกันสำเร็จออกมา ๆ อย่างน้อยก็เป็นกัลยาณชน เป็นผู้มีสติปัญญาสงบเสงี่ยมเจียมตัว รู้บุญรู้บาป มีหิริโอตตัปปะประจำใจ นี่ผู้ที่เรียนออกมาจากมหาวิทยาลัยป่า ดังพระพุทธเจ้าสอนเป็นอย่างนั้นนะ

ทีนี้พวกเรานี้เรียนมันไม่ได้เรียนแบบพระพุทธเจ้าซิ เรียนเข้ามาเพื่อเผาตัวนั่นซี ความรู้นี้ก็เป็นความรู้ที่กิเลสผลิตให้นะ ความรู้ของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมผลิตให้ ออกมาจากธรรม ๆ ออกไปจึงเป็นธรรมเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นสรณะของพวกเรา ออกมาจากป่าทั้งนั้นนะ เกือบจะว่าร้อยทั้งร้อย สรณะของพวกเราที่สำเร็จนี้ ส่วนมากมาจากป่า มาเป็นสรณะ พุทฺธํ พุทธะก็ ธรรมเกิดในป่า ธมฺมํ ธรรมเป็นหลักธรรมชาติ รู้ธรรมนี้อยู่ในป่า พระสงฆ์ปฏิบัติตามก็ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาอยู่ในป่าในเขา แดนแห่งสถานที่บำเพ็ญอันสะดวกผาสุกร่มเย็น ท่านสำเร็จแล้วออกมาเป็นสรณะของพวกเรา

นี่ละต้นรากฐานแห่งพระพุทธศาสนาในเบื้องต้น สถานที่ก็เหมาะสมการบำเพ็ญก็เหมาะเจาะทุกอย่าง ผลได้ขึ้นมาเป็นที่พึงใจ เป็นที่พึ่งต่อสัตวโลกได้โดยสมบูรณ์ โดยลำดับลำดามา นี่ละรากฐานเป็นอย่างนั้น ครั้นต่อมาก็ค่อยเปลี่ยนแปลงมา กิเลสเหยียบย่ำเข้าไป ๆ มหาวิทยาลัยป่าจะไม่มีนะนี่ จะมีแต่มหาวิทยาลัยบ้าน มหาวิทยาลัยส้วม มหาวิทยาลัยถานไปแล้วนะ ตั้งขึ้นเสกสรรปั้นยอกิเลสขึ้น มันต่ำอยู่แล้วกิเลสจะเสกขึ้นให้มันสูงขนาดไหน มันจะเอาความสูงมาจากไหน มูตรคูถอยู่ในส้วมยกไปขึ้นปราสาท ๗ ชั้นมันก็ไปเป็นส้วมเป็นถานอยู่ ๗ ชั้น มันจะไปเป็นทองทั้งแท่งได้ยังไง ประสามูตรประสาคูถเข้าใจเหรอ

นี่ก็เหมือนกันกิเลสเป็นของต่ำทราม จะยกให้ทัดเทียมกับโลกกับสงสาร พุทธศาสนากับโลกให้ไปเสมอกัน ตั้งมหาวิทยาลัยป่า ท่านมีมหาวิทยาลัยป่าโดยหลักธรรมชาติ เราก็เสกสรรปั้นยอมหาวิทยาลัยบ้านขึ้นมา เช่นอย่างตั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ทุกวันนี้เห็นไหมเกลื่อนอยู่นั่น ใครเห็นทุกคนปิดกันได้ไหม มหาวิทยาลัยสงฆ์นั่นไปดูซิ หลักวิชาสอน สอนกันยังไง มหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าสอนอริยสัจ ๔ สติปัฏฐาน ๔ จนกระทั่ง โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการนี้เป็นหลักวิชาของพระพุทธเจ้าที่สอนโลกให้ได้พ้นจากภัยจากเวร มีความรู้ความฉลาดสามารถเป็นสรณะของพวกเราได้

นี่มหาวิทยาลัยบ้านมันตั้งอะไร เอาตั้งแต่วิชาทางโลก วิชามูตรวิชาคูถเข้าไปสอนกัน เอาฆราวาสไปสอนพระอยู่ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีตั้งแต่มูตรแต่คูถสอนมูตรสอนคูถ เอามูตรคูถสอนส้วมสอนถานมันจะวิเศษวิโสมาจากไหน มันก็เป็นส้วมเป็นถานเป็นมูตรเป็นคูถด้วยกันอยู่นั่นละ สอนมหาวิทยาลัยบ้านจะให้มันทัดเทียม มันทัดเทียมอะไร ทีนี้เวลาจะตั้งให้มันสมยศของมันแล้วจะตั้งมายังไง มหาวิทยาลัยป่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ธรรมสังหารกิเลส มหาวิทยาลัยบ้านเป็นมหาวิทยาลัยที่กิเลสสังหารพระว่างั้นถูก มันผิดไปไหน เรียนมาด้วยกันเห็นอยู่ด้วยกันมาค้านกันได้ยังไง

หลักวิชาของมหาวิทยาลัยบ้านเขาเรียนทุกวัน มีตั้งแต่เรื่องวิชาของทางโลกทางสงสารของกิเลสตัณหา ที่จะลากพระลากเณรออกไปให้ตกเหวตกบ่อทั้งนั้น ไม่ได้ลากขึ้นสวรรค์ ชั้นพรหม นิพพานที่ไหนมันลากลง มันตรงกันข้าม มันทัดเทียมกันอะไรอย่างนั้น  มันคู่แข่งคู่ปรปักษ์กับธรรมว่างั้นถูกต้องนะ แล้วก็ตั้งกันขึ้นมาอย่างนั้นจะให้ทำยังไง ก็เห็นกันอยู่นี้  พวกที่มาตั้งมหาวิทยาลัยนี้เป็นคนโง่เมื่อไร ก็เป็นคนฉลาดทั้งนั้น ถ้าฉลาดเป็นธรรมก็เป็นประโยชน์ได้มากมาย แต่นี้มันฉลาดแบบนั้นซิ เลยล่มเลยจมไปเรื่อย ๆ

เราไม่ได้ตำหนิใครเอาความจริงมาพูด ธรรมต้องเอาความจริงมาพูด หลอกลวงหรือโกหกไม่เป็นธรรม เรื่องของกิเลสปลิ้นปล้อนหลอกลวง ชั่วขนาดไหนก็ต้องบอกว่าดี เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น มันเสกสรรปั้นยอ ธรรมไม่เสก เป็นยังไงว่าไปตามกฎตามเกณฑ์ของธรรม เพราะฉะนั้นมันถึงเลอะเทอะซิศาสนาเราเวลานี้ มีศาสนาเหลืออยู่ที่ไหน ก็มีอยู่ในตู้ในหีบนั้นเสีย ไม่เห็นมีอยู่ในบุคคลพอจะเป็นความสุขความเจริญสงบร่มเย็นบ้างเลย มันไม่มี มีแต่ในตู้ในหีบ แต่กิเลสนั้นออกเพ่นพ่าน ๆ รบราฆ่าฟันหั่นแหลกยุ่งเหยิงวุ่นวาย มีแต่กิเลสพาทำงานทั้งนั้น ถ้าธรรมพาทำไม่ยุ่ง สบายไปเลย

วันนี้ก็เทศน์ขนาดนี้ก็เอาแล้วนะ วันไหนว่าจะไม่เทศน์ ๆ ทุกวันหลวงตา ป.๓ ไม่ทราบเอาความรู้มาจากไหน เอามาจากส้วมจากถานนั้นแหละดังเทศน์ตะกี้นี้ เทศน์ส้วมเทศน์ถานเอามาจากนั้นแหละมาเทศน์จะว่าไง พวกหูส้วมหูถานก็ฟังกันไป ถ้าหูอรรถหูธรรมก็เป็นธรรมขึ้นไป เทศน์ตรงไหนเป็นธรรมทั้งนั้น เพราะเทศน์ธรรมะนี่วะ มีเท่านั้น

วันนี้ ๑๐๐ ดอลล์แล้ว เมื่อวานนี้ได้ ๗๕ ดอลล์ วันนี้ขึ้น ๑๐๐ ดอลล์นั่นเห็นไหมล่ะ (อันนี้ ๑๑๕ ดอลล์) ก็เป็น ๒๑๕ ดอลล์เหรอ นั่นเห็นไหมขั้นปุ๊บเลย ( ๕๐ ดอลล์เจ้าค่ะ) เป็น ๒๖๕ เหรอนั่นขึ้น โหย บึ่งเลยวันนี้ หลังจากนี้ไม่นานแล้วก็ไปสกลฯแหละ ตอนบ่าย ๓ โมงเทศน์ที่สกลนคร คิดว่าพระจะมามากพอสมควร เพราะเป็นงานครบรอบของหลวงปู่มั่นเราด้วย แล้วพระเหล่านั้นก็จะทราบด้วยว่าเราจะเป็นผู้แสดงธรรมด้วย ซึ่งเป็นจุดที่พระกรรมฐานทั้งหลายมีความมุ่งหมายอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าจะมากันมากอยู่นะ วันพรุ่งนี้ก็พอฉันเสร็จแล้วก็กลับมามาค้างอีกคืนนึง วันที่ ๓๑ ก็ออกเดินทางไปสุรินทร์

ไปสุรินทร์นี้จะต้องไปฉันที่ร้อยเอ็ด เสี่ยสมหมายมามัดเอาแล้ว เราเลยอยู่หมัดเลย สู้ไม่ได้นะมันเอาจนได้ ไปนั้นพอประมาณสว่างว่างั้นเถอะ วันนั้นไปสว่างออกไปพอดี ราว ๖ โมงไปถึงนั้นก็ ๘ โมง จากนี้ไปร้อยเอ็ด ๒ ชั่วโมง ตามธรรมดาเคยไป ๒ ชั่วโมง ๑๐ นาทีอยู่ในย่านนี้ ไปถึงโน้นก็ ๘ โมง ฉันเสร็จแล้วเราค่อยออกเดินทางต่อไปสุรินทร์ ไปค้างที่สุรินทร์ ตอนบ่าย ๒ โมงก็เทศน์ วันที่ ๓๑ ออกจากนู้นไปถึงเวลาบ่าย ๒ โมงก็เทศน์ ฟ้าหญิงก็จะเสด็จ คืนวันนั้นก็ค้างที่นั่นคืนนึง ส่วนฟ้าหญิงจะเสด็จกลับในวันนั้นแหละ เราค้างที่นั่นคืนนึง พอวันที่ ๑ ก็เดินทางกลับมา มันต่อกันอยู่เรื่อย ๆ

ตอนเช้ารู้สึกหนาว ๆ หน่อย มันไม่ใช่หนาวหน้าหนาวนะมันหนาวอากาศฝน ฝนตกมีอยู่ทั่วไป ไม่ตกกว้างมันตกเป็นหย่อม ๆ ไป พอพูดถึงเรื่องฝนตก ฝนหน้าไหนก็ตามไม่ได้หนาวเหมือนฝนหน้านี้นะ ฝนหน้านี้ตกหนาวมากจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดานะ คือฝนตกหน้าฝนก็หนาวธรรมดา แต่ตกหน้านี้รู้สึกว่าหนาวมากจริง ๆ เรามันโดนมาเสียเป็นประจำ หน้านี้แหละออกเที่ยวกรรมฐาน คือพอฟ้าตกฝนลงมันหมดฤดูแล้วเขาทำไร่ทำนาเสร็จแล้วเป็นหน้าแล้งสบายแหละออกตอนนี้แหละ ทีนี้มาเจอฝนนี้แหละ เขาเรียกอะไรเดือนปีเก่าต่อปีใหม่ เดือนยี่เดือนสามนี่แหละ ที่มันโดนฝนนี่  โถ ไม่ใช่เล่น ๆ นะ มันหนาวจนตัวสั่นจริง ๆ นี่นะ

หนุ่ม ๆ อยู่ด้วยนะ มันหนาวอะไรก็ไม่รู้ฝนหน้านี้นะ หนาวจริง ๆ เราโดนมาพอแล้ว โดนเสียจนไม่ทราบจะว่ายังไง คือเราอยากจะพูดว่าทุกปี ปีไหนก็ปีเถอะนะ มันตกมาที่ไหนเราอยู่ที่ไหนก็ซัดกันเลย สู้มันไม่ได้ก็ห่มผ้าเอา ฝนหน้านี้หนาวมากไม่ใช่ธรรมดา หนาวจนจะชัก หน้าฝนเราเคยตากมาเท่าไรไม่เห็นเป็นไร แต่หน้านี้ โห หนาวมากนะ ไปละที่นี่

 

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก