เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
พระพุทธเจ้าสอนโลกเล่น ๆ เมื่อไร ยังมานอนจมกันอยู่เหรอ
เชียงใหม่คงไม่หนาวมั้งระยะนี้ คงจะพอ ๆ กันทุกภาค ปีนี้ไม่ค่อยหนาว เดือนธันวาฯ มกราฯ ตามธรรมดาเป็นหน้าหนาวของมันเต็มตัว ปีนี้ไม่หนาวนะ เท่าที่ผ่านมานี้มีปีนี้ที่เป็นหน้าหนาวแต่ไม่หนาว พึ่งมาเห็นปีนี้นะ ปกติเรื่อยมาถึงหน้าหนาว เช่น ธันวา ฯ มกราฯ ต้องมีลวดลายจนได้แหละ ปีนี้แทบจะว่าไม่มีหน้าหนาวก็ได้ ตอนเราไปกรุงเทพขึ้นมาก็ดูปรอท มันลงต่ำสุดแค่ ๑๓ ปีนี้ความหนาวเราเห็นแค่ ๑๔ แล้วลงมา ๑๓ เท่านั้นไม่เลยจากนั้น คือปรอทอยู่กุฏิเรามันบอก ถ้าวันไหนลงต่ำสุดก็แค่นั้น ถ้ามากกว่านั้นลงอีกมันก็เห็น อันนี้ลงแค่นั้น เดือนพฤศจิกาฯ ลงคืนเดียว ๑๔ ตอนที่เราไปกรุงเทพคราวที่แล้วนี้ ไม่ใช่ไปวัดอโศฯ นะ
ไปกรุงเทพคราวที่แล้วนี้ กลับมามาดูปรอท คือเราดูต่ำสุดมันแค่ไหน ลงแค่ ๑๓ เท่านั้นแหละ จากนั้นมาก็ไม่มี ปีนี้รู้สึกว่าไม่หนาว ตั้งแต่ผ่าน ๆ มาก็มีปีนี้ที่ว่าไม่หนาว แต่มันก็ทำให้สบาย คือไม่หนาวมาก หนาวพอให้สบาย ๆ ไม่หนาวถึงกับบีบคั้นเราจะตาย หน้าหนาวจริง ๆ มันหนาวมากจริง ๆ นะ นี่ไม่มี เราอยากพูดว่าตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาดมานี้ พึ่งมาปีนี้ที่ความหนาวผิดปกติพอสมควร นอกนั้นต้องมี มันหนาวมาตลอดทุกปี ๆ ปีนี้ลงสุดขีดแค่ ๑๓ องศาไม่เลยจากนั้น แล้วตั้งแต่ตั้งวัดป่าบ้านตาดนี้ก็มีปี ๕๑๖ ลงถึง ๕ นะ ลงมาเรื่อย ๆ ลงมาแล้วก็ยืนตัวสองคืนสามคืนแล้วก็ลง สามคืนสี่คืนแล้วลง ๆ ฟาดจนถึง ๕ นะ เกือบศูนย์ว่างั้นเถอะ ก็มีปรอทนี่
อันนี้ก็เป็นที่ระลึกอันหนึ่งเหมือนกัน ตั้งแต่สร้างวัดมานี้ ปี ๕๑๖ ลงถึง ๕ ต้นไม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราปลูกไว้ตามนี้ตายหมดนะ ทนหนาวไม่ไหว ต้นไม้อะไรที่เขาปลูกไว้ตามข้าง ๆ พวกต้นขนุนอะไรปลูกไว้ตามนี้ ต้นได้ประมาณถึง ๒ เมตรแล้วก็มี สูงขนาดนี้ ตายหมด หนาวมากตาย เมืองไทยเราก็นับว่าเป็นเมืองพอเหมาะพอดี ถ้าพูดตามส่วนของเมืองทั้งหลายทั่วประเทศว่างั้นเถอะ ทั่วโลกนะ ถึงเวลาหนาวก็ไม่เห็นหนาวมากอะไรนัก ร้อนก็ร้อนธรรมดา พอทนบ้านเราเมืองเรา อย่างเมืองอื่นน้ำจนเป็นน้ำแข็งฟังซิน่ะ หนาวขนาดเป็นน้ำแข็ง เมืองเราไม่เป็น นอกจากพวกบ้าน้ำแข็งมันไปทำโรงขึ้นมา เอะอะน้ำแข็งมาขาย สุดท้ายเอามาให้พระกินด้วย เราก็กินน้ำแข็งโรงบ้ากับเขาเหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นเราจึงเป็นบ้าบ้างดีบ้าง
นี่พูดถึงว่ามันหนาว เมืองเขาเป็นน้ำแข็ง เมืองเราไม่มี นกเป็ดน้ำมาจากโน้นปีนี้ฟังว่าไม่ค่อยมาก แน่ะเห็นไหมล่ะ คือมันหลีกหนาวมานะ จากไซบีเรียหรือไง ไปถามธรรมอินทร์ดูว่ามีประมาณร่วมพัน ท่านก็บอกไม่ค่อยมากนักว่างั้นนะ คือทุกปีหน้าหนาวมันเต็มนั้นเลย พอหน้าร้อนเขาก็กลับบ้านเขา ไอ้พวกที่มีครอบครัวมีลูกมีเต้าเขาอยู่นั้นเป็นประจำ เป็นพื้น พวกนี้เป็นพื้นนะ พวกนั้นมาเป็นเวลา หน้าหนาวมาเสียทีหนึ่ง ยกทัพมาแล้วก็ไป ๆ พวกที่อยู่เป็นประจำนี้เขามีลูกมีเต้า เขาอยู่เป็นประจำเป็นพื้นไว้เลย
บรรดาสถานที่อยู่ของนกเป็ดทั้งหลายเรียกว่าวัดมาทางภาคอีสานเรานี้ ก็มีอยู่ทางวัดนาคำน้อย รู้สึกจะเป็นอันดับหนึ่งที่นกเป็ดน้ำมีมาก ถึงขนาดพันก็มี คือมืดฟ้ามัวดินเวลาเขาขึ้นเที่ยวของเขานะ เขามีเวลา พอ ๕ โมงเย็นเขาจะเริ่มออกหากินนะ พอถึงมืดเกือบจะหมด ยังแต่พวกรักษาครอบครัว พวกนั้นไป พอตี ๓ ตี ๔ แล้วมาละ เขาไปหากิน คงจะไปไกลนะพวกนี้ เคยมีใครมาบอกเราว่า พวกนกเป็ดเหล่านี้ตอนกลางคืนเขาไปหากินในทะเลโน้นเหรอ นกพวกนี้มันบินเก่งนะ คงจะไปไกลนะ เขาคงไปหากินตามนิสัยที่เขาเคยไปที่ไหนเขาก็ไปของเขา ยกพวกไปคนละพวก ๆ แล้วก็มารวมกัน
แต่ก่อนก็วัดหลวงพ่อตัน สมัยก่อนที่เราไป คือทำเลนั้นน่ะแต่ก่อนมันเป็นดงล้วน ๆ ใครก็ไม่ทราบว่ามีนกเป็ดหรือไม่มี คงไม่มีเพราะมันไม่ปลอดภัย นี่ที่เราได้พูดให้ฟัง เหล่านี้เป็นดงล้วน ๆ นะ ป่าล้วน ๆ ไม่มีบ้านคนเลย มีบ้านไม่กี่หลังคาเรือนอยู่ไกล ๆ เขาเริ่มจะไปสร้างบ้าน ที่หลวงปู่ตันอยู่นี้ กลางดงใหญ่เลยนะนั่นไม่ใช่ธรรมดา อยู่กลางดงใหญ่เลย ทีนี้มันเป็นเกาะ ๆ พวกหินดานหินอะไรเป็นเกาะ ๆ แล้วน้ำอยู่ซอกแซกเต็มไปหมด ทำเลที่กว้างก็มี พวกโขลงช้างมาเล่นน้ำกลางคืนนี้ โอ๋ย เสียงลั่นเลย ทีนี้พระก็ไม่ค่อยได้ภาวนา ช้างมาเล่นน้ำ ยกมาทั้งโขลง ๆ เลยรอบเลย
เลยคิดกันซิพระ นั่นเห็นไหมพระเวลาจนตรอกท่านก็หาทางออกเหมือนกัน ปรึกษากันจะทำไง เรามาเราตั้งใจจะมาหาภาวนา อยู่นั้นดูว่าไปด้วยกันประมาณสามสี่องค์ นับว่ามากอยู่นะ ไปสามสี่องค์ไปพักอยู่ที่นั่น พอตกกลางคืนมามันก็มาเล่นน้ำ โน่นน่ะจวนสว่างมันถึงไป ตอนเวลาภาวนาเขาก็เล่นน้ำ เลยปรึกษากันให้ไปหาปี๊บแตกมา ได้ปี๊บแตกปี๊บร้างมาไว้คนละจุด องค์ไหนอยู่ที่ไหนก็เอาไว้ตามที่อยู่ของตน ทีนี้พอถึงเวลาช้างมันก็ลง พอมันลงเต็มที่เสียงลั่น องค์หนึ่งก็เคาะปี๊บเสียงดังเป๊ก ๆ มันตื่นล่ะซี วิ่ง
พอองค์นั้นได้ยินเสียงทางนั้นองค์นี้ก็เป๊ก ๆ ช้างไม่ทราบจะวิ่งไปทางไหน วิ่งวกไปเวียนมา ไปนี้ไปโดนเป๊ก วิ่งมาทางนี้เป๊ก วิ่งวนอยู่บริเวณนั้น พวกวิ่งออกนอก ๆ ก็มี วิ่งไปวิ่งมาวิ่งผ่านกลางลาน พระท่านไปทำกระต๊อบไว้นั้น พระก็อยู่ในนั้น ช้างมันวิ่งหนีตายมาก็ชนกระต๊อบ กระต๊อบก็ล้ม ช้างโดนกระต๊อบ ๆ ก็ล้ม พระก็ร้องโก้ก ช้างก็ร้องโก้ก ต่างคนต่างร้อง ป่านนี้มันหยุดหรือยังไม่รู้นะพวกบ้าพวกร้องนั่นละ ลองไปหาดูซิ ถึงขนาดนั้นนะ วันหลังมาเงียบเลย ได้ภาวนา ครั้นต่อจากนั้นมาก็เลยเป็นวัด แล้วคนก็เข้าไปสร้างบ้านสร้างเรือน เลยกลายเป็นกลางบ้านไปหมดแล้วเวลานี้
พูดถึงแต่ก่อนช้างมาก ท่านวันนี้องค์หนึ่งไปมาเล่าให้ฟัง เจ้าคุณมหาเส็งองค์หนึ่งที่ขอนแก่น เสียแล้วเดี๋ยวนี้ แล้วองค์ไหนอีก ท่านวันดูว่าเป็นเณรอยู่ ท่านวันนี่มาเล่าให้ฟังไม่ใช่เราไปเห็นเองนะ ท่านวันแหละมาเล่าให้ฟังถึงโขลงช้าง ท่านวันเป็นเณร มีเณรเดียวเท่านั้น แล้วใครบ้าง จำได้ว่าเจ้าคุณเส็งนี่องค์นึง มหาเส็ง เจ้าคุณอริยคุณาธาร ที่วัดเขาสวนกวาง ดูเหมือนเสียไปแล้วนะ
นี่เราพูดถึงเรื่องนกเป็ดน้ำ พอพระไปสร้างวัดที่นั่น น้ำมีมาก เขาก็ไปกั้นเขื่อนไว้ที่นั่นอีกนะ มีน้ำเต็มไปหมด ทีนี้นกเป็ดน้ำเต็มไปหมดเลยนะ เราไปตอนกลางวันเห็นมันนอนดาดาษอยู่ตามนั้นเลย กลางวันเราไป เขาไม่สนใจกับเรา เขาพักนอนกลางวันเงียบเลย มองไปที่ไหนเหมือนกับเอาเสื่อปูไปเลยนะ นี่คือพวกนกเป็ดน้ำมันนอนดาดาษเต็มอยู่ตามสนามหญ้าอะไร ๆ ริมน้ำ ๆ เต็มไปหมดเลย โห ทำไมมากมายนัก นี่เราไปเห็นด้วยตาของเราเอง พอตกเย็นเขาก็ไป ตอนเช้าเขาก็มาเป็นประจำ เวลานี้ดูมีนกเป็ดหรือไม่มีก็ไม่รู้ นั่นเห็นไหมล่ะ อำนาจผู้ครองวัดมีสำคัญอยู่นะ
อย่างวัดหลวงตาบัว หนองแซง นี้ก็เหมือนกัน แต่ก่อนหนองแซงนี้เต็มหมดเลยสระน้ำ มีตั้งแต่นกเป็ด ทีนี้พอหลวงตาบัวล่วงไปพวกนี้ก็จางไป ๆ เดี๋ยวนี้จะมีหรือไม่มี น่ากลัวจะไม่มีนะ หมดอย่างนั้นละนะ อันนี้ก็อาศัยอยู่ที่วัดนาคำน้อย สระเรานี้ในครัวเขาก็มา สระเล็ก ๆ ในครัวนี้ เขามาเราสงสัย ก็เราเดินไปริมสระเห็นเขาเล่นน้ำอยู่นั้น ๒ ตัว เล่นน้ำอยู่ในสระนั้น เราเดินไปริมสระเขาก็เล่นน้ำเฉย อ้าว ใครเอานกเป็ดมาปล่อย นี่เขามาดูลาดเลา หัวหน้าเขาละมาดู ถ้าพออยู่ที่ไหนเขาจะอยู่ นาน ๆ มาทีนึง ตัวหนึ่งก็มี สองตัวก็มี ส่วนมากก็อยู่ในราวสองตัว
เขาเล่นเฉยนะไม่สนใจกับเรา เราเลยสงสัยนึกว่าใครเอานกเป็ดมาปล่อย เวลาถามแล้วไม่มี เขามาเอง มาอยู่คืนนึงสองคืนเขาก็ไป เขามาดูลาดเลา จากนั้นมาไม่ค่อยเห็นนะ แสดงว่าไม่เป็นท่าแล้ว สระนี้ไม่เป็นท่า มีแต่เต่าเต็มอยู่นั้น เราได้เดินไปบอกเรื่อยนะ คือเต่าตัวเล็ก ๆ นอนเต็มอยู่ในน้ำ พอตกกลางคืนมามันก็เอาพวกแหนพวกอะไรเป็นอาหารกัดกิน กัดกินแล้วเศษมันก็ลอยขึ้นเต็มผิวน้ำ ทีนี้พอแช่ไปหลายวันเหม็นซี ทางโน้นเขากวาดออกอยู่เรื่อย เราไปเตือนอยู่เรื่อยกลัวน้ำจะเสีย คืออันนี้ถ้ามันแช่หลายวันไปแล้วมันก็เน่า จากเน่ามันก็เหม็น ต้องให้เอาออกเรื่อย ๆ เขาก็กัดกินเรื่อยของเขา เต่ามากที่สุดกิน ตัวเล็ก ๆ มาก เต็ม มันนอนมองเห็นอยู่ก็มี มันนอนอยู่ในน้ำนะ มองไปเห็นก็มีไม่เห็นก็มี เต็ม เต่ามากในวัดเรานี่
วันนี้พูดเรื่องนกเป็ดเรื่องเต่า พวกนกเป็ดที่อาศัยพระ นกเป็ดนี้รู้ดีกับพระนะ ไปเห็นผ้าจีวรตากไว้ที่ไหนเขาจะร่อนลงดูนะพวกนกเป็ด เขารู้ คือเขาเคยอาศัยพระ พวกนกเป็ดกับพระนี้สนิทกันมาก ไม่กลัวกับพระเรา เขาเคยพอแล้ว พอเห็นจีวรเราตากอยู่ในป่านี้ก็เหมือนกันเขาจะร่อนมาดู เขาร่อนมาดูทำเล เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าหากว่ามีน้ำเขาจะลง เขาไปเที่ยวของเขา น้ำที่เราไปอยู่ก็น้ำเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่สมควรที่สัตว์เหล่านี้จะอาศัยได้ แต่เขาก็มาร่อนดู นั่นน่ะผ้าเหลืองเป็นเครื่องหมาย ทำเลที่เขาอาศัยผ้าเหลือง เขาจะอยู่แถวนั้น มีอยู่ทั่วไปนะ นกเป็ดน้ำเข้าใจดีกับพระ
อย่างวัดใหม่นี้เราก็ทำสระใหญ่ไว้สำหรับนกเป็ดน้ำ แต่ก็มีมาบ้างเป็นบางเวลา หน้าฝนมีบ้าง แต่ไม่ค่อยมีมาก ก็อย่างนั้นแล้ว ต่อไปอาจจะมีก็ได้ อันนั้นก็ใหญ่อยู่ รวมทั้งหมดดูเหมือน ๔ ไร่นะ ทั้งบริเวณขอบนอกขอบในรวมกันแล้ว ๔ ไร่ ในวงกลางนี้เป็นสระ เราเป็นคนไปสั่งเองเพื่อจะได้สระน้ำนี้ไว้สำหรับนกเป็ดจะได้มาอาศัยพระ เพราะเราเคยเห็นมันไปอาศัยพระอยู่ตลอดเวลาแล้ว
เมื่อวานนี้ได้พูดถึงเรื่องภาวนาบ้าง ให้พากันเน้นหนักทางด้านจิตตภาวนานะ ให้เห็นจิตนี้เป็นสำคัญบ้างในตัวของเรา ๆ นี้ จิตเท่านั้นเอง ให้พากันภาวนา สำรวมระวังอารมณ์ของธรรมเข้าสู่จิต จิตจะชุ่มชื่นเบิกบานยิ้มแย้มแจ่มใส สว่างไสว ความแปลกประหลาดจะขึ้นตรงนั้นละ เพราะสถานที่เกิดของธรรมอยู่ที่นั่น พร้อมกันกับสถานที่เกิดของกิเลสก็อยู่ที่นั่น เวลานี้มีแต่กิเลสเรืองอำนาจไปหมดนะ โอ๊ย กิเลสเรืองอำนาจเราพูดจริง ๆ นะ จนจะดูไม่ได้ว่างั้นเถอะเวลานี้ ดูโลกมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งดูชาวพุทธเรานี้จะดูไม่ได้เลย มันไม่มีหลักมีเกณฑ์อะไรเลย มีแต่กิเลสฉุดลากตลอดเวลา กิริยามารยาททุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องของกิเลสลากจูง ๆ ไม่มีธรรมเป็นเครื่องหักห้ามกันบ้างเลย ถึงขนาดนั้นนะ
นี้เราดูจริง ๆ ไม่ได้ดูธรรมดา ดูนอกก็ดู ดูในก็ดู พูดให้มันชัดเจนอย่างนี้ แล้วดูในน่ะมันจะดูไม่ได้นะ ดูนอกเราก็เคยดูมาแล้วตั้งแต่พ่อแต่แม่ เกิดมาเราก็ดูมาเรื่อย ๆ ก็ไม่ค่อยตื่นเต้น ดูในซี เกิดขึ้นแล้วมันดู แล้วดูจริงเสียด้วยนะข้างใน ไม่ได้หมอง ๆ มัว ๆ เหมือนดูข้างนอกนะ ดูข้างในมันแม่นยำ ๆ นั่นซีมันถึงได้สลดสังเวช โถ พิจารณาดูโลกนี่กว้างแสนกว้าง มีที่ไหนพอจะเป็นที่ซุกหัวนอนได้บ้างโลกนี้ ว่าอันนั้นเจริญ อันนี้เจริญ
ที่กิเลสมันหลอกเอานะ ว่าบ้านนั้นเจริญ บ้านนี้เจริญ ๆ นี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวล ฟังให้ดี บ้านนั้นเจริญ บ้านนี้เจริญ เจริญด้วยวัตถุซึ่งเป็นเครื่องหลอกหูหลอกตาหลอกจิตใจของโลกให้ลืมเนื้อลืมตัวไม่มีฝั่งมีฝา ดิ้นไปตามนั้นก็ล้มเหลว ๆ ล้มเหลวไปตาม ๆ กันทั่วโลกนะ นี่วิ่งตามวัตถุทั่วโลกเลย แล้วหาที่ว่าเจริญไม่มี ยิ่งสถานที่ใดไม่มีศาสนาเลยแล้วมันมืดตื้อไปหมด จากมืดตื้อครั้นแสดงขึ้นมาก็เปลวไฟกิเลสนั้นเสีย มันเผาอยู่งั้นตลอดเวลา หาที่ว่าเจริญมันไม่มี ยิ่งกิเลสมันยกยอปอปั้นว่าเจริญมาก นั้นละกองไฟมากอยู่ตรงนั้นมากที่สุดเลย มันมีอยู่ทุกแบบพูดไม่ถูก เห็นชัด ๆ จะว่าไง
เรื่องของกิเลสมันออกลวดออกลาย ออกแบบไหน ๆ ที่จะสร้างกองทุกข์ให้แก่สัตวโลกนี้ มีทุกแง่ทุกมุม ไม่มีว่างเว้นที่กิเลสจะไม่ไปจับจองสร้างกองทุกข์ให้แก่หัวใจสัตวโลก ตลอดกิริยามารยาทที่ดีดที่ดิ้น มีแต่กิเลสผลักดันออกไปให้ดิ้นทั้งนั้น ธรรมมีความพอเพียงฟังซิน่ะ พอเพียง ถึงระยะสงบ-สงบ ถึงระยะพักเครื่องพัก ไม่ใช่วิ่งตลอดเวลาจนเครื่องพังเหมือนกิเลสพาวิ่ง กิเลสพาวิ่งเอาเครื่องพังได้เลย ถ้าธรรมพาวิ่งนี้ เวลาวิ่ง-วิ่ง เวลาหยุด-หยุด เวลาพักเครื่องพักไปเรื่อย ๆ นี่มีที่ยับยั้งในหัวใจ
คนมีศีลธรรมเป็นที่ยับยั้งในหัวใจนี้พอพักผ่อนหย่อนตัวได้ ถึงจะยุ่งขนาดไหนก็ตาม พอเข้ามาสู่เกาะแห่งธรรมแล้วจิตจะสงบเย็น ทีนี้เรื่องราวทั้งหลายที่ก่อกวนเพราะเป็นเรื่องของกิเลสนั้นน่ะมันจะจางไป ๆ ทีนี้ธรรมเข้าหล่อเลี้ยงจิตใจค่อยสงบเย็น นี่มีที่ซุกหัวนอนได้นะ เราอย่าไปหาดูวัตถุเงินทองข้าวของสถานที่ต่าง ๆ ถนนหนทาง เครื่องก่อสร้างต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องของกิเลสมันวางตาข่ายไว้ทั้งหมด เพื่อครอบหัวสัตวโลกคือมนุษย์เรานั้นแหละให้ลืมเนื้อลืมตัวตลอดไป
ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งวันตายดีดตลอดไปหาฝั่งหาฝาไม่ได้ เหมือนกับคนตกน้ำในท่ามกลางมหาสมุทร มองไปที่ไหนมีแต่ป๋อมแป๋ม ๆ ท่ามกลางมหาสมุทร แล้วเขาลอย(ลอย=ว่าย) ไปนี้ ว่ายน้ำลอยน้ำนี้เขาจะไปที่ไหน ไม่มีที่หมาย จุดหมายปลายทางไม่มี แต่ก็ต้องลอยไม่ลอยก็จะตาย หนักมากกว่านั้นมันจะตาย ลอยพอประทังชีวิตเท่านั้น หาฝั่งหาฝาที่จะเกาะจะยึดเพื่อความปลอดภัยไม่ได้เลย
นี่ละมหาสมมุติมหานิยมนี้ละเท่ากับมหาสมุทร ที่สัตว์ทั้งหลายดีดดิ้นไปตาม ๆ กันนี้ เหมือนกับเราว่ายน้ำในมหาสมุทร ไม่มีฝั่งมีฝาที่จะหาสาระเป็นที่พึ่งที่อาศัยของตัวจริง ๆ ไม่มีเลย เหมือนสัตว์ที่ตกน้ำมหาสมุทรแบบเดียวกันเลยไม่ผิดกัน ถ้ามีอรรถมีธรรมเข้าก็เหมือนกับมีที่เกาะ มีฝั่งมีฝาพอจะยึดจะเกาะ พอได้ยึดได้เกาะ มีเรือใหญ่ผ่านเข้ามาก็อาศัยไป ผ่านพ้นไป ๆ เรือใหญ่ก็คือศีลธรรมประจำใจ ผู้มีศีลธรรมประจำใจนั้นคือผู้เจริญอยู่ภายใน เจริญอันนี้มองกันไม่ค่อยเห็น เพราะกิเลสมันไม่มองความเจริญของธรรม มันจะมองแต่ความเจริญของมันแล้วเอาไฟเผาโลกเท่านั้น เรื่องความเจริญของธรรมมันไม่มอง
เพราะฉะนั้นจึงเป็นข้าศึกต่อกันระหว่างกิเลสกับธรรม ไม่เคยลงรอยกันได้เลยตลอดไป มีมากมีน้อยจะกีดจะขวางทุกแบบทุกฉบับ จนกระทั่งไม่มีอะไรเลยแล้วถึงจะรู้ได้ชัดว่า มีกิเลสเท่านั้นก่อกวน พออันนี้สิ้นซากไปแล้วไม่เห็นมีอะไรก่อกวน จิตพระอรหันต์ไม่มี ทุกข์แม้เม็ดหินเม็ดทรายตั้งแต่ขณะท่านตรัสรู้ สังหารกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว จิตพระอรหันต์ไม่เคยมีทุกข์เลยฟังซิน่ะ กับพวกเราแบกกองทุกข์มากี่กัปกี่กัลป์ และแบกกองทุกข์ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตายต่างกันยังไงบ้างพิจารณาซิ กับท่านที่ว่าไม่มีทุกข์เลย นั่นฟังซิ
นี่ละธรรมของจริงเอามาสอนโลก โลกไม่ยอมรับจะให้ว่าไง ถ้าพูดเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องความรู้ความเห็นในอรรถในธรรมขึ้นมา พอจะเป็นสารประโยชน์ให้ยึดให้เกาะบ้างมันปัดทันที สู้ลอย(ว่าย)น้ำในมหาสมุทรไม่ได้ ตายอยู่ในนี้ดีกว่าว่างั้นนะ มันเป็นอย่างนั้นนะเวลานี้ ธรรมจึงเข้าไปเฉียดไม่ได้เลย กิเลสมันตีออกปัดออก ๆ โลกถึงมีความยินดีเพลิดเพลินในกองทุกข์ทั้งหลาย เพราะมันมียาเคลือบน้ำตาลเสริมไป ๆ หลอกไปลวงไป ข้างหลังนี้โกยทุกข์เผาไปเรื่อย ๆ ข้างหน้าก็หลอกไปดิ้นไป หาฝั่งหาฝาไม่ได้นะ ข้างหลังนี่ก็ไฟเผาไปเรื่อย ๆ
นี่ละจิตของโลกดังที่อธิบายมานี้ไม่มีอะไรผิดไปเลย จิตผู้มีธรรมมีฝั่งมีฝามีเกาะมีขอบเขต แล้วยิ่งจิตท่านผู้หลุดพ้นไปแล้ว เท่านั้นพอ ท่านจึงว่า นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่นี้ต่อไปความเกิดอีกเพื่อแบกกองทุกข์ทั้งหลายดังที่เคยเป็นมานั้น ได้สิ้นสุดลงแล้ว ต่อไปนี้เราจะไม่กลับมาเกิดแบกหามกองทุกข์อีกแล้ว นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว นั่นละกองทุกข์หมด หมดจากหัวใจเพราะกิเลสหมดจากหัวใจ กิเลสเป็นผู้สร้างกองทุกข์ในหัวใจ ธรรมสร้างความสุขขึ้นในหัวใจ เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วมีตั้งแต่ธรรมล้วน ๆ ไม่มีอะไรเป็นทุกข์ตลอดไปเลย
นั่นละมันถึงคุ้มค่ากันซิ การประกอบความเพียรตะเกียกตะกายเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้เป็นลำดับลำดามากน้อยนั้น ควรอย่างยิ่งสำหรับพวกเราที่จะหนีจากกองทุกข์มหันตทุกข์เหล่านี้ ด้วยความเพียรต่อสู้กับความทุกข์ทั้งหลาย กิเลสหลอกมา ๆ วาดภาพหลอกลวงมา ให้ปัด ๆ สู้กัน ทุกข์ยอมทน ลำบากยอมทน ทนเพื่อจะสุข เอ้า ว่ายไป ๆ แล้วเห็นฝั่ง ทีนี้ทุกข์ก็ทุกข์ ทุกข์เพื่อจะไปเกาะฝั่งให้ถึงฝั่ง ไอ้ทุกข์แบบไม่มีฝั่งมีฝานั่นซีลำบากมากนะ ทุกข์เพราะศีลเพราะธรรมมี เป็นฝั่งเป็นฝาของเรา บืนเพื่อฝั่งเพื่อฝาคือศีลธรรมเอ้าบืนไป ทุกข์ยากลำบากก็บืนไป
ตัวอย่างก็เห็นแล้วพระพุทธเจ้าทรงสลบสามหน นั่นบืนเห็นไหมล่ะ ถึงสามหน บืน พ้น นั่น ยกตัวอย่างมาอย่างสาวกก็เหมือนกัน ที่เป็นเอกเทศที่เด่น ๆ ก็ดังที่เราเคยพูดนั่นแหละ อย่างพระโสณะประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตก นี่คือบืน บืนตลอด พระจักขุบาลก็เป็นโรคจักษุ หมอเขาให้นอนหยอดตา ท่านตั้งสัจจอธิษฐานในสามเดือนท่านจะไม่นอน เขาเอายาจะมาหยอดตา ให้นอนหยอดท่านไม่ยอม ไม่ยอมตาท่านก็บอด บอดก็บอดท่านว่าอย่างนั้นเห็นไหมล่ะ ท่านก็ยอมบอด
ตาท่านบอด ตานอกบอดตาในกระจ่างขึ้นมา ท่านตรัสรู้ในระยะนั้นเลย หมอก็จะให้หยอดตาให้นอนหยอด ท่านไม่ยอมหยอด หมอก็บอกว่าท่านไม่หยอดท่านต้องตาบอด เอ้า บอดก็บอด นั่นเห็นไหม ท่านก็ยอมบอด ตานอกบอดตาในท่านจ้าขึ้นมา เพราะความอุตส่าห์พยายามรักษาความสัตย์ความจริง ได้ตรัสรู้ขึ้นมา นี่พระจักขุบาลก็ถึงขนาดจักษุแตกไม่ยอมถอย พระโสณะก็ประกอบความเพียรจนกระทั่งฝ่าเท้าแตก นี่ละท่านต่อสู้ไหม เราเอามาพิจารณาเป็นคติเครื่องเตือนใจเราซิ
เราต้องได้ถ้ามีท่าต่อสู้ คนเราเมื่อจนตรอกจนมุมแล้วมันหากมีนะสติปัญญาที่จะหลีกเว้นสิ่งเป็นภัยออกได้ เรียกว่าออกพ้นจากข้าศึกไปได้มี ไม่ใช่จะนอนจมนอนตายอยู่เฉย ๆ นะ คือเวลาจนตรอกสติปัญญามันยิ่งหมุนของมันเรื่อย หาทางออกซิ หมุนไปหมุนได้ช่องออกมันก็ผึงออกได้เลย นี่ก็เคยพูดให้ฟัง พูดเป็นคติแก่พี่น้องทั้งหลาย อย่างที่ว่านั่งตลอดรุ่ง เวลามันทุกข์จริง ๆ นี้ร่างกายของเรานี้มันเหมือนกับท่อนฟืนนะ ทุกขเวทนาเหมือนกับไฟเผากายของเราทั้งร่างนี้เลย ขนาดนั้น เหมือนว่าร่างกายนี้เป็นไฟไปหมดเลย มีแต่ความทุกข์ความทรมาน
แต่ความสัตย์ความจริงเหนือสิ่งเหล่านี้ เอา มันจะตายก็ตาย เกิดมาชาติใดภพใดมันตายด้วยกัน ๆ ภพนี้ชาตินี้จะให้ตายด้วยความเพียรเป็นยังไง เอาเป็นไหนเป็นกัน ถ้าไม่ถึงเวลาแล้วจะไม่ลุก นั่นตัดแล้วนะตัดขาด เมื่อไม่ให้ลุกไม่ให้มีข้อแม้แล้วไม่มีทางไป ทุกข์มากขนาดไหน มันไม่ใช่นอนสู้ทุกข์เฉย ๆ ไม่ถูก นอนสู้เฉย ๆ ไม่ถูก นอนสู้ด้วยสติปัญญาหาทางออก นี่ก็ได้แล้วได้เอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เวลาจนตรอกจนมุมนี้ ทุกขเวทนาโหมตัวเข้ามาจนกระทั่งร่างกายของเราทั้งร่างนี้กลายเป็นฟืนไปเลย เป็นท่อนฟืนไปเลย ทุกขเวทนาเป็นไฟเผาร่างกาย ถึงขนาดนั้นนะ จนตัวสั่นเทียวนะ
ทุกข์มากจริง ๆ แต่สติปัญญายิ่งหมุน สุดท้ายมันก็ได้เงื่อน ๆ ฟาดกันพังเลย ทีนี้ทุกขเวทนาที่มันเผาร่างกายอยู่นั้นมันดับพึบไปด้วยกันเห็นไหมล่ะ ทั้ง ๆ ที่มันกำลังลุกเต็มที่เผาเต็มที่ สติปัญญาดับลงได้พึบเลย จากนั้นความอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นละซี พอดับพึบความอัศจรรย์เกิดขึ้น คุ้มค่า นั่นเห็นไหมล่ะ กับที่สละตายมาแล้ว ที่เราได้เห็นประจักษ์ผลแห่งการสละตายเป็นอย่างนี้ คืออัศจรรย์ มันเห็นชัด ๆ อย่างนี้ เพราะฉะนั้นคนเรามันไม่ได้จนตรอกจนมุมอยู่ตลอดเวลานะ ไม่ได้โง่ตลอดเวลาหนา ถึงเวลาจนตรอกจนมุมมันหากหาทางออกจนได้นั่นแหละ
นี่เราหาทางออกตลอดเวลา ได้ทุกคืนฟังซิน่ะ นั่งจนขนาดก้นแตกเลอะไปหมดฟังซิ นี่ก็มาพูดให้ฟัง ใครจะว่าโกหกไม่โกหกก็ตามก็ก้นเราแตกนี่ ก้นเขาไม่แตกเขาพูดยังไงเขาก็พูดได้สบาย หลอกไปไหนก็ได้ ก้นเราแตกก็บอกว่าแตกจะว่าไง นั่นขนาดนั้น นี่สู้ ความหมายว่าสู้นะ แล้วได้ทุกคืน สำคัญอันนี้ เราจะไม่เชื่อยังไงเชื่อความสามารถของเรา
เวลาจนตรอกเท่าไรทางนี้มันยิ่งหมุนจี๋ ๆ ๆ เผลอไม่ได้นะเวลาทุกข์มาก ๆ นี้สติกับปัญญานี้จะติดกัน เรียกว่าติดกันอย่างสนิทเลยแยกกันไม่ออก แยกนี้แยกเพื่อแก้ ส่วนสติปัญญาที่จะแยกจากกองทุกข์นี้ไม่มีแยก มีแต่สู้ตลอด เวลามันรู้ขึ้นมามันก็รู้แบบอัศจรรย์ พอดับพึบนี้หมดเลยนะ ความทุกข์ทั้งหลายที่มันเผาเราทั้งร่างนี้เหมือนจะเป็นเถ้าเป็นถ่านไป ดับพึบหมด ร่างกายหายหมด อะไรหายหมดไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ธรรมชาตินั้นแหละ จิตนะนั่นน่ะ
เหลือแต่ธรรมชาติล้วน ๆ จะพูดว่าปรากฏจริง ๆ ก็ไม่ถูก คือละเอียดลงไป พูดได้แต่เพียงว่าอะไร ๆ ดับหมดยังเหลืออยู่แต่สักว่ารู้ อันนั้นละที่เด่นสักแต่ว่ารู้ คือจิตลงขั้นอัศจรรย์แล้ว ปล่อยหมดแล้ว ภูเขาเลากออะไรกว้างแคบ หมดไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่สักแต่ว่ารู้ แต่คำว่าสักแต่ว่ารู้คือละเอียดขนาดนั้นละ แต่สักแต่ว่าไม่ใช่สักแต่ว่าธรรมดา สักแต่ว่าที่มีคุณค่ามหัศจรรย์ มีเท่านั้น นี่เวลาจิตลงเต็มที่ให้ฟังเอานะ
นี่ละจิตเป็นอย่างนี้ เวลาถูกบีบถูกคั้นนี้ไม่มีราค่ำราคาอะไรเลย แต่เวลาช่วยดัดด้วยอรรถด้วยธรรมสู้ไม่ถอย เด่นขึ้นมาก็อย่างนี้แหละ อัศจรรย์ จากนั้นแล้วไม่มีหวั่นไหวนะ เอ้าถึงมันจะตายก็ตาย หลักเกณฑ์เราได้แล้วจากความเด็ดเดี่ยว ด้วยสติปัญญา ศรัทธาความเพียรของเรา เราได้แล้วเห็นประจักษ์แล้วเป็นพยานแล้ว มันจะขนาดไหนก็อันนี้เป็นพยานต่อเราแล้วมันไม่ถอยนะ ฟาดนี้ก็ตูมเหมือนกัน ลง มันลงแบบไหนเราก็บอกให้ทราบชัดเจนตามความเป็นจริงที่มันรู้มันเป็นขึ้นมา สำหรับเราเองเป็นสองอย่างเราก็บอก เป็นสองอย่างยังไง อย่างหนึ่งที่ว่านี่ พอมันรอบของมันเต็มที่แล้วผึงนี่เงียบเลย ดับ ร่างกายกับความทุกข์นี้หมดไปด้วยกันไม่มีอะไรเหลือเลย
โลกธาตุไม่ต้องพูดมันไม่มาเกี่ยวข้อง มีแต่กายกับทุกขเวทนากับจิตที่สัมพันธ์กันอยู่ ทีนี้พอมันดับลงได้หมดแล้วก็ยังเหลือแต่สักแต่ว่ารู้ที่อัศจรรย์เท่านั้น นอกนั้นหมดเลย เห็นไหมล่ะ นี่ลงแบบนี้แบบหนึ่ง อีกแบบหนึ่ง แต่ที่ว่าทั้งสองแบบต้องเป็นเองเราไปคาดไม่ได้นะ ต้องเป็นหลักธรรมชาติของนิสัยคนนั้นจะเป็นในตัวเอง จะไปปรุงไปแต่งไม่ได้ เราเองเราไม่เคยปรุงแต่งได้เลย เราจึงบอกปรุงแต่งไม่ได้ มีแต่คาดเฉย ๆ มันไม่เป็น เวลาเป็นแล้วไม่ต้องคาดมันก็เป็น นี่เรียกว่าเป็นเอง
อย่างหนึ่งพอมันรอบเรียบหมดแล้ว พอเรียบเข้าไปหมดแล้วจิตนี้ก็อยู่กับความอัศจรรย์โดยเฉพาะ แต่ไม่แบบพึบนะ คือเข้าสู่ความอัศจรรย์โดยเฉพาะเต็มภูมิเหมือนกันกับที่ลงพึบแล้วเป็นที่ว่าสักแต่ว่ารู้ที่อัศจรรย์นั้น อันนี้เข้าจุดนั้นแล้วก็อัศจรรย์แบบเดียวกันไม่มีลดหย่อนต่างกัน แต่ความทุกข์นี้ทราบ แน่ะแปลกกันนะ
โลกอะไร ๆ นี้ก็ไม่ดับ ทุกข์เป็นทุกข์ กายเป็นกาย อะไรเป็นอะไร มันก็เป็นอยู่ตามของมัน อันนี้ก็เป็นอยู่ธรรมชาติอันนี้เข้าถึงกันไม่ได้ แม้จะตายก็ตายไปเฉย ๆ เรื่องจะให้ทุกขเวทนาเข้าไปทับถมจิตนี้ทับไม่ได้ นี่เป็นประเภทหนึ่ง มีสองอย่างสำหรับเราเป็น มันจะเป็นแบบไหนมันก็ลงอัศจรรย์แบบเดียวกันแล้วไม่สงสัย ยิ่งให้เราได้ทราบด้วยว่า อ๋อ มันเป็นได้อย่างนี้ ๆ นี่ละจิตเวลาฝึกแล้ว ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ ให้มันเป็นนะ ถึงขั้นที่ควรจะเอากันทรหดอดทนนี้เต็มเหนี่ยว ๆ เอาชีวิตเข้าแลก ๆ มันก็มี ๆ เป็นประจำไปเลย
ทีนี้เวลาถึงขึ้นแก่กล้าสามารถแล้วก็เป็นอีกแบบหนึ่ง ธรรมเวลาแก่กล้าสามารถแล้วเป็นอีกแบบหนึ่ง พลิกตาลปัตรระหว่างกิเลสกับธรรม กิเลสที่มีกำลังมากขนาดไหนเอาเราจนน้ำตาร่วง ๆ ทีนี้เวลาธรรมเรามีกำลังมากก็ฟาดเลย กิเลสถ้ามันมีน้ำตามันก็ร่วงเหมือนกัน นั่นเห็นไหมล่ะมันทันกัน เอ้า แย็บออกมาทางไหนแย็บออกมา ขาดสะบั้นไปพร้อม นี่เรียกว่าธรรมทำงานของตัวเองโดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องไปบีบไปบังคับไปไสนะ หากเป็นหลักธรรมชาติของธรรมที่มีกำลังมากและคล่องตัวเต็มเหนี่ยวแล้ว กิเลสผ่านมาไม่ได้เลย ขาดสะบั้นไปพร้อม ๆ กัน เรียกว่าฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติที่นี่นะ
เบื้องต้นกิเลสฆ่าเราเป็นอัตโนมัติ คิดแย็บออกแง่ไหนเป็นกิเลส ๆ เพื่อทำลายเรา ๆ นี่เป็นวัฏจักรเป็นอัตโนมัติของวัฏจักร ทีนี้วิวัฏจักรคือธรรมมีกำลังแล้ว มันก็คลี่คลายกลับคืนมา อันนี้ก็เป็นอัตโนมัติหมุนออกเรื่อย ๆ หมุนเรื่อย ๆ ฆ่าเรื่อยฆ่ากิเลสจนกระทั่งไม่มีอะไรปรากฏ บางทียัง หือ หมดแล้วเหรอ มันเป็นนะ คือมันไม่มีอะไรมีวี่แววอะไร หือ หมดแล้วเหรอ ไม่เอา นั่น เครื่องตัดสินยังไม่เอา สนฺทิฏฺฐิโก ไม่บอกไม่ยอมรับ
ความจริงมันหมอบ ทางนี้ก็คุ้ยเขี่ย มันหากเป็นอัตโนมัตินะ การคุ้ยเขี่ยที่จะสังหารกิเลสก็เป็นอัตโนมัติของมันเองไม่ได้บอกไม่ต้องบังคับนะ เป็นเอง นี่ละธรรมมีกำลังแล้วพี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ ถึงขั้นที่ธรรมมีกำลังแล้วเป็นอัตโนมัติเหมือนกันกิเลสผ่านไม่ได้เลย ๆ นี่ธรรมประเภทนี้ธรรมจะขึ้นพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวแต่กำลังเดินทางอยู่เวลานี้คล่องตัว ๆ ใกล้สถานีหรือฝั่งที่จะพ้นทุกข์เข้าโดยลำดับ ๆ หมุนเรื่อย ๆ
ทีนี้ความหมุนนั้น ความหมุนเหมือนไฟหาเชื้อ เชื้อคือกิเลส กิเลสผ่านมาตรงไหนไฟไหม้พับ ๆ ๆ เรียบเลย เชื้อหมดแล้วคือกิเลสหมดโดยสิ้นเชิงไฟก็ดับพึบพร้อมกันเลย ไม่ดับมันจะไปเผาอะไร ไฟมันก็ต้องเผาเชื้อใช่ไหม เมื่อเชื้อหมดแล้วมันจะไปเผาอะไร มันก็ดับของมันเองไม่ต้องบอก นี่ละท่านว่า วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ เสร็จกิจในพุทธศาสนา พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว งานของโลกไม่มีสิ้นสุด จะกี่กัปกี่กัลป์ไม่มีต้นมีปลาย แต่งานของธรรมเมื่อถึงขั้นสิ้นสุดแล้ว วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณียํ, นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ การประพฤติพรหมจรรย์เพื่อแก้ถอดถอนกิเลสซึ่งเป็นงานหนักอย่างมากในชีวิตนี้ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว งานที่ควรทำได้ทำเรียบร้อยแล้ว งานอื่นที่จะทำให้ยิ่งกว่านี้ไม่มี นั่นเวลาแปลออกมาแล้ว
นั่นละตั้งแต่ท่านเสร็จงานนั้นแล้วพระอรหันต์จะไม่ได้ละกิเลสตัวใดเลย เรียกว่าสิ้นซากแล้ว ก็อยู่เฉพาะระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองกันอยู่ ท่านเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ท่านไม่ได้เดินจงกรมเพื่อละกิเลส กิเลสสิ้นไปแล้วละหาอะไร การประกอบความเพียรของท่าน อย่างพระพุทธเจ้าก็มี พระอรหันต์ทั้งหลายมีประจำ ยิ่งความเพียรของท่านเก่งกว่าพวกเราที่จุดเทียนวันละ ๕ ดอก ๖ ดอกด้วยซ้ำไปนะ ท่านไม่ได้จุดเทียน ไม่ได้บอกว่าท่านจุดเทียนนะ อันนี้ไม่บอกก็ตามแต่มันเห็นจะให้ว่าไง จุดเทียนกี่เล่ม เท่าไรก็ไม่ได้เรื่องได้ราว
นี่พูดเรื่องอะไรไปหาจุดเทียน มันลืมแล้วนะ อย่างนี้ละพูดไปลืมแล้ว (พระอรหันต์ท่านไม่ได้จุดเทียน) อ๋อ พระอรหันต์ท่านไม่ได้จุดเทียน ท่านเดินจงกรมของท่านไป นี่พูดออกมาเพียงเผิน ๆ พอจะเข้าใจกันได้นะ ที่ลึกลับซึ่งเป็นเรื่องรู้เฉพาะองค์ท่านเองนั้นมันพูดไม่ออกพูดไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ท่านรู้เต็มใจ ก็คือกิริยานี้มันประสานระหว่างขันธ์กับจิต ร่างกายของเราต้องให้ยืน ให้เดิน ให้นั่ง ให้นอน ขับถ่ายรับประทานอาหารนี้เป็นงานประจำขันธ์ เยียวยากันไปบรรเทากันไป เช่น การเดินจงกรมนี้ ธาตุขันธ์ของท่านมันขัดมันข้องเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป การเดินจงกรมเป็นระบายคลายทุกข์ สลายออกจากธาตุขันธ์ที่มันขัดมันปวด เวลาเดินไปนี้ธาตุขันธ์จะค่อยคลี่คลายออก เส้นเอ็นค่อยคลี่คลายออก ค่อยเบาไป ๆ นี่ประการหนึ่ง
ประการที่พิเศษลึกซึ้งมากอยู่ในความเพียรนั้น ท่านพิจารณาถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรม เรื่องอะไร ๆ อยู่ในนั้นของท่านเสร็จ ไม่มีใครทราบจากท่านได้ สำหรับท่านเป็นงานเต็มตัวโดยหลักธรรมชาติอีกเหมือนกันนะ ไม่ได้บังคับหากเป็นเอง ท่านจะพิจารณาเรื่องอะไร ๆ ไอ้เรื่องโลกธาตุนี้ เหล่านี้เป็นดินน้ำลมไฟนี้ ไม่ได้มีความหมายกับความรู้นั้นนะ ธรรมชาตินี้เราจะว่าเขามีก็ตามไม่มีก็ตาม เขาไม่มีความหมายในตัวของเขาเลย และไม่มีความหมายในตัวของเราเลย มีแต่จิตเป็นผู้ไปให้ความหมายสิ่งเหล่านี้ต่างหาก ว่าสิ่งนั้นมีสิ่งนี้มี สิ่งนั้นดี สิ่งนี้ชั่ว สิ่งนั้นหนา สิ่งนี้บางอะไร นี้เป็นจิตเป็นผู้ไปสัมผัสแล้วก็ให้ความหมายออกมา ตัวเขาเองเขาไม่มีความหมายอะไรเลย
ทีนี้เวลาพิจารณาถึงหลักธรรมชาติแล้ว สิ่งเหล่านี้จึงว่างไปหมดเลยเข้าใจไหม ที่มีเต็มโลกธาตุอยู่นี่ เช่น โลกของเรานี้มีแผ่นดิน จิตนี้พุ่งไปหมดเลยไม่มีความหมายในสิ่งเหล่านี้ในจิตนะ จิตนี้จะไปมีความหมายกับสิ่งต่าง ๆ บาป บุญนรก สวรรค์ เปรตผีประเภทต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องนามธรรมด้วยกัน นับแต่วิญญาณไปถึงสิ่งที่เป็นคู่ควรกับวิญญาณ เช่น นรก สวรรค์ นี่เป็นสิ่งที่เป็นคู่ควรกับวิญญาณ วิญญาณเหล่านี้จะอยู่กับที่นั้น ๆ มันจะวิ่งสัมผัสสัมพันธ์กัน ถึงกัน ๆ เข้าใจไหมล่ะ นี่ละฟังให้ชัด ใครมาพูดอย่างนี้ มันจ้าอยู่ในหัวใจไม่ให้พูดว่าไง
พระพุทธเจ้าสอนโลกเล่น ๆ เมื่อไร เรายังมานอนจมกันอยู่เหรอ นี้ที่เราทุเรศ โอ๋ย อ่อนใจนะ นี่ละเรื่องวิถีจิต ที่ไม่มีอะไรที่จะมากีดมาขวางแล้วมันจะพุ่งเต็มตัวของมัน สิ่งไม่เคยรู้มันรู้ไปหมดจะให้ว่าไง รู้ตรงไหนหายสงสัยตรงนั้น ๆ ที่ว่าท่านพุ่งไปนี้ เรื่องต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ที่ว่าหนาแน่นเต็มที่ที่เราอยู่นี้ จะไม่มีความหมายกับจิตดวงนั้นนะ ไม่มีเลย แต่มันจะเข้าถึงถึงเรื่องจิตวิญญาณของสัตวโลกมีจำนวนมากน้อยเพียงไร ซึ่งเป็นนามธรรมด้วยกันเป็นของละเอียด แล้วสิ่งที่คู่ควรกันอีก
คือ บาป บุญ นรก สวรรค์ อันนี้เป็นคู่ควรกับจิตดวงนี้ มันจะวิ่งเข้าถึงกันประสานกันหมด แล้วปฏิเสธได้ยังไงว่าจิตไม่มี แล้วสิ่งเหล่านี้ที่จิตเข้าไปอาศัยไม่มีได้ยังไง ก็มันเห็นอยู่อย่างนั้นเข้าใจไหม เหมือนอย่างศาลาหลังนี้ เราอยู่ที่นี่ก็เห็นกันอยู่นี้ นี่เป็นหยาบ ๆ นะ ศาลาหลังนี้คนนั่งอยู่ใต้ถุนศาลาเต็มมันก็เห็นอยู่นี้ ทีนี้ธรรมชาติที่เป็นนามธรรมละเอียด มันก็เป็นอย่างนั้นเห็นอย่างนั้นเป็นละเอียดอย่างนั้นเข้าใจไหมล่ะ แล้วจะปฏิเสธได้ยังไง
นี้ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศขนาดนั้นนะ เดี๋ยวนี้กำลังให้กิเลสตัณหานี้ปิดบังหุ้มห่อจนกระทั่งจะมองไม่เห็น เราพูดจริง ๆ เราตัวเท่าหนูหัวใจไม่ได้เป็นหนูนี่วะ เห็นก็บอกว่าเห็น สงสารก็บอกสงสาร จึงลากจึงเข็นให้ดีดให้ดิ้นกันน้า ๆ จะนอนจมกันอีก โห ความทุกข์นี้ไม่ได้มีคำว่าครึว่าล้าสมัยนะ ความทุกข์มันเอี่ยมอยู่ตลอดเวลา จี้เข้าไปตรงไหนดีดตลอดเวลาดิ้นตลอดเวลานะความทุกข์ ใครไปชินกับมันไม่ได้นะ อันนี้เราจะไปชินกับความทุกข์ด้วยกิเลสกล่อมให้นอนใจ ตายจมจริง ๆ เข้าใจทุกคน ๆ นะ ให้อบรมจิตใจ ศีลธรรมเป็นสำคัญมาก โลกกิเลสมันปฏิเสธลบล้างหมดเลยว่าศีลธรรมไม่มี บาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี สิ่งที่มีก็คือมีตั้งแต่ที่มันผันหัวใจสัตว์ให้ดีดให้ดิ้นตลอด นี่ละมี แต่มันไม่ให้บอกว่ามีนะ มีแต่พาดีดพาดิ้น อันนี้ละพาให้จม นั่นน่ะฟังซิ
จะจมไปที่ตรงไหน มันลบล้างว่าไม่มี มันก็ไปลงที่มันโกหกนั่นแหละ ว่าไม่มี นั่นมันลงไปจมอยู่ในนรก นรกไม่มีใครไปจมอยู่นั่น ไม่มีมันจมได้เหรอ พูดอย่างนั้นซี ใครเป็นคนเห็น พระพุทธเจ้าเห็นนี่นะ พวกตาบอดกิเลสนี้มันเห็นที่ไหน เพราะฉะนั้นมันถึงลบล้างได้สนุกปากของมันจนหน้าด้านนะ บาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี ทุกวันนี้ชาวพุทธของเรามันหน้าด้านหมดแล้วนะ มันกำลังจะสร้างความล่มความจมใส่ตัวเองเต็มเม็ดเต็มหน่วย จะสร้างความล่มความจมใส่บ้านใส่เมืองเข้าอีก เวลานี้บ้านเมืองกำลังจะจม นี่คือตัวบาปตัวกรรม ตัวไม่มีบาปมีบุญ ไม่มีนรกสวรรค์ มีแต่อำนาจบาตรหลวงป่า ๆ เถื่อน ๆ มาบีบมาบังคับสัตวโลกด้วยความลืมตัวของเรา นี่จะพาบ้านเมืองให้ล่มจมด้วยกิเลสตัวนี้เข้าใจไหม ได้ไม่พอกินไม่พอ ไม่มีความอิ่ม บ้ายศ บ้าร่ำบ้ารวย บ้าพวกบ้าพ้อง บ้ากำลังวังชาของพวกที่ศักดิ์สิทธิ์อำนาจมากนั่นละ มันกำลังจะสร้างตัวเองให้จมด้วย ให้ชาติบ้านเมืองจมด้วย แล้วธรรมจ้าอยู่ตลอดเวลามันปิดได้เหรอ
อะไรจะเหนือกรรมไปได้วะ กรรมก็คือกรรมดีกรรมชั่วครอบตลอด กรรมดีทำลงไปเต็มเหนี่ยวแล้วพ้นทุกข์ได้เลย กรรมชั่วเวลาทำลงไปเต็มเหนี่ยวจมมหาอเวจีได้เลยไม่ต้องสงสัย อำนาจของกรรมใครจะบังคับไม่ได้ มันพูดได้เฉย ๆ ตอนที่ยังไม่เข้าถึงตัว เหมือนผู้ร้ายชายโจร ไปที่ไหนไม่มีใครฉลาดยิ่งกว่าเขา ว่าเขานี้ฉลาดยิ่งกว่าคนทั้งโลกนั่นแหละ เวลาเขาจับไม่ได้นะ ตัวฉลาดจอมโกงจอมอันธพาลอยู่กับตัวนั้นหมด พอเขาจับได้แล้วเป็นยังไง เห็นไหมกองอยู่ในเรือนจำ มันเอาอำนาจบาตรหลวงมาจากไหน มาเหนือความชั่วของมันที่จะไม่ให้เป็นนักโทษ เห็นไหมเป็นไหมนั่น นี้ก็เหมือนกันกรรม ก็เป็นอย่างนั้นละ
ให้พากันอุตส่าห์พยายามนะ โถ จิตนี้สำคัญมาก ลึกลับมาก กิเลสปิดไม่ให้เห็นเลยนะ ธรรมเปิดออก ๆ พระพุทธเจ้าถึงได้ดึงขึ้นมาสอนโลกละซิ ไม่มีใครเห็น พวกเรายังหลับตาครอก ๆ อยู่ได้ยังไง เอาละวันนี้พอสมควร นู่นเห็นไหม ตั้ง ๙ โมงเกือบครึ่งแล้ว ว่าจะไม่พูดอะไรนะ ไปใหญ่ทุกวัน ให้พร
พวกข้าวสารในครัวใครต้องการก็ให้มาติดต่อกับพระ มาเอาที่โกดังนะ พวกข้าวสารไม่ว่าข้าวสารเจ้าข้าวสารเหนียว ใครขัดข้องทางโน้นให้มาติดต่อกับพระ มาเอาจากโกดังนี้เข้าไปในครัวนะ แต่ส่วนกับเรายังไม่อยากให้ ได้ข้าวสารไปแล้วข้าวเจ้าข้าวเหนียวไปฟาดแต่ข้าวเฉย ๆ ไม่เป็นไรแหละ ส่วนกับเราไม่อยากให้เพราะเราเป็นห่วงทางโรงพยาบาลมากนะ ที่เราเอามาไว้มาก ๆ นี่เราเพื่อโรงพยาบาล แม้แต่วัดไหนมานี้ไม่จำเป็นจริง ๆ เราไม่ให้
เราสงวนไว้สำหรับโรงพยาบาล เต็มโกดัง ๆ สั่งซื้อไม่ให้บกพร่องนะเต็มอยู่ตลอดเลย โรงนั้นมาโรงนี้มา เมื่อวานนี้ก็ดูสี่โรง อย่างนั้นแล้ว วันละสามโรงสี่โรงเป็นประจำ พวกอาหารนี้สำหรับโรงพยาบาล ข้าวเป็นพื้นฐาน สำหรับพวกข้าวสารมาเอาได้เลยเราเปิดไว้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยข้าวสาร ไม่ว่าข้าวเจ้าข้าวเหนียวแต่สำหรับกับเราไม่ค่อยเปิด เราไม่เปิดก็เพื่ออันนี้เองแหละเพื่อโรงพยาบาล ข้าวสารนี้เราเปิดไว้เลยทั่วถึงกันหมด
สำหรับวัดที่เราเปิดไว้ก็คือว่า ที่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ภูวัวนี้เราส่งประจำเดือน ๆ แล้วก็ภูสังโฆอันดับสองเพราะเห็นว่าพระอยู่ข้างในลึก พระมีจำนวนมาก การโคจรบิณฑบาตแถวนั้นเราก็พอทราบพื้นเพของเขาแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาทางโน้นมาเมื่อไรเราให้เต็มรถ ๆ ไปเลย แล้วทางโน้นจะมาเอาเท่าไรให้ตามนั้นเลย สองวัดนี้เปิดเต็มที่ นอกนั้นให้บ้างไม่ให้บ้าง ส่วนมากไม่ค่อยจะให้ เพราะไปบิณฑบาตในหมู่บ้านหนึ่ง ๆ พอขบพอฉันกันทุกแห่ง ไปตั้งวัดที่ไหนบ้านมี ไปบิณฑบาตกับเขามาฉันนี้ไม่อดอยาก เราจึงไม่ส่งเสริม เพราะสถานที่ขาดแคลนยิ่งกว่าพระในวัดหนึ่ง ๆ นั้นยังมีมาก เราจึงไม่ค่อยเปิดเรื่องกับเรื่องอะไรอาหารการกินให้พระนะ สำหรับวัดที่เราเปิด ก็คือวัดภูสังโฆกับวัดภูวัว มีเท่านั้นละ
เมื่อวานนี้ได้ทองคำ ๑๒ บาท ๒ สตางค์ ดอลลาร์ ๕๐ ดอลล์ เมื่อวานซืนนี้ไม่ได้นะ ค่อยขยับไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ ขยับไปเรื่อย ๆ เอ้า มาอีก ๕๐ ดอลล์แล้ว ได้แล้ว ๕๐ ดอลล์ ต้องวางลวดลายไว้เป็นประจำแหละดี ได้วันละเล็กละน้อยมีลวดลายอยู่ เวลาเรามองลงไปเห็น โห แมวตัวนี้มันกำลังนอน มันนอนก็จริงแต่ลายแมวมันไม่ได้นอน จึงเรียกว่าวางลวดลายไว้ นอนก็ให้รู้ว่าเป็นแมวนอน เข้าใจไหม ท่าต่อสู้มีอยู่ในนั้น แมว มองเห็นกลัวแล้ว หนูไม่ไปกล้าแหละ ถึงแมวนอนหนูก็ไม่กล้า เพราะกลัวแมวกลัวลวดลายของแมว อันนี้ก็เหมือนกัน ความจนอย่ามาแตะนะ นี่แมวถึงจะนอนก็นอนเพื่อจะสู้ต่างหาก เข้าใจไหมล่ะ
หลวงตาครับ ขอโอกาสเรียนถามครับ หมื่นโลกธาตุรวมอยู่ที่โลกนี้อย่างเดียวหรือครับ ที่ดาวดวงอื่นมีไหมครับ
แล้วโลกธาตุสองมีอีกไหมล่ะ อ้าว มันต้องถามซี มันมีโลกธาตุอย่างเดียวหรือ สองมีไหม ถ้าไม่มีอันสองก็ลงในจุดเดียว ถ้ามีสองก็แบ่งคนละครึ่ง แน่ะ เป็นอย่างนั้นเข้าใจไหม อย่าถามนะบอกแล้ว พูดตรง ๆ นี้อย่าถามนะ ถามปั๊บมันจะออกทันทีเลย อ้าว จริง ๆ นี่นะ นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าครอบโลกธาตุแล้วอัดอั้นที่ไหน พูดนี่รอบตัวเลย ออกมาทางไหนออกทางนั้น ออกรอบตัวเลย ธรรมไม่มีจนตรอก กิเลสเท่านั้นกันเอาไว้นะ พอเปิดกิเลสออกหมดแล้ว มาแง่ไหนเป็นธรรมทั้งหมดแล้วนี่ กิเลสอะไรจะมาเอื้อม เท่านั้นแหละไป อย่ามาถามอีกหมื่นสองหมื่นโลกธาตุ
การภาวนาเราต้องรู้จักประมาณของเราเองนะ ถ้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าควรจะพักอิริยาบถ เช่น เดิน ควรจะพักนั่งหรือควรจะพักนอน เราต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับเราเอง เราจะให้คนนั้นไปบอกไปสอนนี้ ไม่เหมาะสมกับเราซึ่งควรจะรู้ตัวเองอยู่แล้ว มันหนักแง่ไหนเบาแง่ไหนเราก็พิจารณา เราก็ผ่อนผันสั้นยาวไปตามนั้น แต่ไม่ให้ผ่อนผันแบบที่ว่าอ่อนเปียกนะ ถ้ามันหนักจริง ๆ เราก็ผ่อนของเราได้เรื่องภาวนาเป็นอย่างนั้น เช่นอย่างที่เราพูดนี้ เวลานั่งนี้ วันนี้จะไม่ลุก ฟาดตลอดรุ่งต้องตลอดรุ่งเท่านั้น ทีนี้ถึงเวลาเราจะคลี่คลายจะพักผ่อน เวลากลางวันเดินจงกรมฟาดมันหมดทั้งวันแก้กับนั่งกลางคืน แน่ะ มันก็แก้ของมันอย่างนั้น มันรู้เองเข้าใจไหมล่ะ
เวลากลางคืนเรานั่งเสียจนกระทั่งกระดูกนี้ทุกท่อนเหมือนจะพังนะมันเป็น ปวดหมด นอนกลางวันนี้สะดุ้ง คือความเจ็บปวดมันดีดทั้ง ๆ ที่เราหลับกลางวันนะ กลางคืนเรานั่งตลอดรุ่งเสีย กลางวันเราพักนอน มันปวดมันระบมไปหมดเลย พอหลับ ๆ สะดุ้งปึ๋งขึ้นมาเลย เพราะอันนี้มันกระตุก
เมื่อเวลาออกจากนี้แล้ว ทีนี้เดิน เอาเลยที่นี่ เอาจนมันอ่อนเพลียไปเลย การนั่งมากเจ็บปวดนั้นหายไปหมด มีแต่ความเหนื่อยแล้วก็อ่อนนิ่มไปเหมือนกัน ทีนี้พักตามสบายได้ นั้นเรียกว่าการพักผ่อนตัวเองในอิริยาบถต่าง ๆ ให้ดูตัวเอง ถึงเวลาเด็ดก็เด็ด ถึงเวลาจะผ่อนคลายก็ผ่อนคลายกันไป เจ้าของต้องพิจารณาเจ้าของเอง คนอื่นบอกไม่ถูกก็มีเท่านั้นเรื่องมัน
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร
www.luangta.com |