ธรรมดาของจิตไม่ได้คิดได้ปรุงอยู่ไม่ได้
วันที่ 30 พฤศจิกายน 2549 เวลา 8:20 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
  วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

ธรรมดาของจิตไม่ได้คิดได้ปรุงอยู่ไม่ได้

ก่อนจังหัน

               การอดอาหารเพื่อภาวนาให้รู้จักประมาณ การอดอาหารนี้ดีทางด้านจิตตภาวนาแต่เสียทางธาตุขันธ์ ถ้าอดเข้าไปมากจริงๆ แล้วเสียธาตุขันธ์ได้ ให้เราพิจารณาทั้งธาตุทั้งขันธ์ทางด้านจิตตภาวนาเกี่ยวกับเรื่องการอดอาหาร การอดอาหารนี้ดีทางด้านจิตตภาวนา เฉพาะอย่างยิ่งสติติดแนบๆ เลย อดไปหลายวันเท่าไรสติไม่มีเผลอ แต่ครั้นแล้วมันก็มาเสียที่ธาตุขันธ์ เพราะฉะนั้นผู้อดอาหารควรจะพิจารณาให้ดี นี้เป็นคำเตือนซึ่งเราผ่านมาหมดแล้วเรื่องเหล่านี้ มีอดบ้างอิ่มบ้างแต่อย่าให้มันเสียทางธาตุขันธ์ซึ่งเป็นเครื่องมือใช้สำหรับจิตตภาวนา ธาตุขันธ์เสียได้นะ เวลาอดไปนานๆ ธาตุขันธ์เสีย

คือธรรมดาที่ไม่มีคนเตือนมันเป็นได้ ผิดพลาดไปได้ ต้องมีคนเตือนเสมอ คอยรั้งเอาไว้ๆ เพราะทางไม่เคยเดิน สิ่งไม่เคยทำ ไม่รู้จักความพอเหมาะพอดี การอดอาหารนี้ส่วนมากถูกกับจิตตภาวนา แต่ถ้าอดไปมากเข้าจริงๆ ก็มาเสียทางธาตุขันธ์ ท้องเสีย เสียทางท้อง ผู้อดอาหารให้พิจารณาด้วยดี ให้พร

หลังจังหัน

ปวดเข่า คู้ได้ไม่นานจะเหยียดไม่ออก ปวด ครั้นเหยียดนานก็จะคู้ไม่ได้อีกแหละ ถ้าคู้เข้ามานานก็จะเหยียดไม่ออก เป็นเพราะเส้น เวลามันชำรุดมันบังคับเรา เดี๋ยวนี้มีแต่ร่างกายส่วนต่างๆ บังคับเรา มันลดลงทุกอย่างๆ ด้วยความชำรุดๆ ไปเรื่อยๆ เวลาเราเร่งธรรมนี้บังคับมัน มันคนละแบบ พอเร่งความเพียรนี้ร่างกายนี่เป็นเครื่องมือเอาสมบุกสมบัน หนักมากนะเรา ถ้าพูดถึงเรื่องการประกอบความเพียรนี้ค่อนข้างหนักมาก จนกระทั่งพ่อแม่ครูจารย์ได้รั้งเอาไว้ๆ ไม่ว่าความเพียรออกแง่ใดๆ มันผาดโผน ผาดโผนนี่เพราะความตั้งใจ ความมุ่งมั่นมันรุนแรง เลยกลายเป็นเรื่องผาดโผนไป ท่านได้รั้งเอาไว้ๆ ท่านจอมปราชญ์แต่เรามันจอมโง่

เราพิจารณาย้อนหลัง ท่านสอนที่ตรงไหนแหม ฝังลึกมาก ไม่มีคำว่าผิด ส่วนมากมักจะมีเรื่องการรั้งเอาไว้ๆ เหตุที่จะได้รั้งเอาไว้เพราะความเพียรรุนแรง มีความปรารถนาอย่างแรงกล้า อันนี้เป็นตัวเหตุสำคัญ ความมุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์มีกำลังกล้าแข็งมากทีเดียว เพราะฉะนั้นอะไรๆ ที่จะมาผ่านจึงผ่านไม่ได้ เอาขาดสะบั้นไปเลย นี่ละเวลาฝึกทรมาน ร่างกายเป็นเครื่องมือก็หนักไปด้วย ถ้าว่านั่งก็ท่านรั้งเอาไว้เสีย ออกทางด้านปัญญาท่านก็รั้งเอาไว้เสีย มันไม่รู้จักความพอดี ถ้าว่าติดสมาธิท่านก็เขี่ยลงบนเขียง เหมือนหมูขึ้นเขียง ติดสมาธิ มันเป็นหมดแล้วหายสงสัย...เรา

คือธรรมดาของจิตนี้ถ้าไม่ได้คิดได้ปรุงอยู่ไม่ได้นะ มันกระวนกระวายมันดีดมันดิ้นอยากคิดอยากปรุง เรื่องอะไรก็ตามขอให้ได้คิด อวิชฺชาปจฺจยา อวิชชาตัวนี้ดันออกให้อยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ อยากรู้อยากเห็นอยากๆ ดันออก ทีนี้เวลาฝึกจิตเพื่อความสงบด้วยจิตตภาวนา เอาพุทโธผูกมัดจิตใจเอาไว้ จนกระทั่งเป็นความสงบขึ้นมา สงบหนักเข้าๆ ก็เป็นสมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงแห่งความสงบ แน่นหนามั่นคงมาก พอถึงขั้นนี้แล้วความคิดความปรุงไม่อยากคิดอยากปรุงเลยมันรำคาญ แต่ก่อนไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้

เวลาถึงขั้นความสงบจริงๆ แล้วความคิดความปรุงเป็นสิ่งรบกวน ไม่อยากคิด นั่งอยู่ที่ไหนเหมือนหัวตอ คือจิตมันแน่วของมัน ความคิดยิบๆ แย็บๆ เหมือนมีสิ่งรบกวน มันไม่อยากคิด ที่กล่าวมาเหล่านี้เราเป็นหมดแล้ว เป็นมาแล้ว ผ่านมาแล้วจึงพูดได้เต็มปากทีเดียว เวลามันอยากคิดนี้เหลือประมาณ ทีนี้เวลามันเข้าสู่ความสงบ สงบหนักเข้าๆ เป็นสมาธิ แน่นหนามั่นคงแห่งความสงบ ทีนี้ความคิดความปรุงเป็นการรบกวน ไม่อยากคิด นั่งอยู่ที่ไหนเหมือนหัวตอ คือจิตมีอารมณ์อันเดียวแน่ว เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ คืออารมณ์อันเดียวของจิตไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องรบกวนเลย ตอนนี้ละที่ว่าความคิดความปรุงมันไม่อยากคิดอยากปรุง มันรบกวน ถ้าอยู่แน่วนี้อยู่เท่าไรก็ได้

เวลามันอยากคิดอยากปรุง ไม่ได้คิดอยู่ไม่ได้ น่น ต้องบังคับเอาไว้ไม่ให้คิด พอถึงขั้นไม่อยากคิดแล้ว ที่นี่ความคิดปรุงออกมาเป็นความรำคาญ ติดนะ ความสงบแน่วนี้ท่านเรียกว่าติดสมาธิ คือไม่อยากคิดอยากปรุง เป็นอารมณ์อันเดียวแน่ว ติดแล้วนั่น แต่เจ้าของไม่รู้ว่าติด มีแต่ความเพลินอยู่กับความแน่วนั้น ทีนี้เวลาออกทางด้านปัญญา ปัญญาเป็นความคิด แต่เป็นความคิดทางมรรค ไม่ใช่เป็นความคิดสมุทัย เป็นความคิดแก้กิเลส การแก้กิเลสแก้ด้วยปัญญาต่างหาก ไม่ได้แก้ด้วยสมาธิ

สมาธิเหมือนว่าตีตะล่อมเข้ามา ฆ่าได้ง่าย ทำลายได้ง่าย พูดง่ายๆ  ถ้ามันเต็มอยู่ทุกแห่งทุกหนก็ไม่ทราบจะไปฆ่ากิเลสตัวไหนๆ ต้องตีตะล่อมเข้ามาสู่ความสงบ เหมือนเราไล่สัตว์เข้าคอกแล้วฆ่าได้ง่าย ทีนี้เมื่อจิตเข้าสู่ความสงบแล้ว เอาปัญญาออกคลี่คลาย นี่ละเริ่มฆ่ากิเลส เพราะฉะนั้นการฆ่ากิเลสอย่าพึงเข้าใจว่าฆ่าด้วยสมาธิความสงบใจ ความสงบใจคือสงบอารมณ์ไม่ให้กวนมากนัก เพื่อปัญญาจะได้ฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสตัวฟุ้งซ่านได้ง่ายขึ้นๆ

จิตเป็นสมาธินี้จะเป็นหนักขนาดไหนมากขนาดไหน ก็เป็นสมาธิอยู่ตลอดไป ไม่ใช่ธรรมแก้กิเลส เป็นแต่เพียงเป็นอุปกรณ์หนุนปัญญาให้แก้กิเลส อย่างที่ท่านว่า สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาที่มีสมาธิหนุนหลังแล้วย่อมเดินได้คล่องตัว นั่น นี่ละภาคปฏิบัติแกอย่างนี้ ภาคปริยัติเราก็เรียนมา แต่มันถนัดภาคปฏิบัติ ดึงออกมาจากนี้ปั๊บเลย อย่างที่แปลตะกี้นี้ถนัด ถ้าเป็นภาคปริยัติก็ว่า ปัญญาที่มีสมาธิอบรมแล้ว ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก ท่านว่าอย่างนั้น ทีนี้ปัญญาที่สมาธิหนุนหลังแล้วย่อมเดินได้คล่องตัว

ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ จิตที่ปัญญาซักฟอกเรียบร้อยแล้วย่อมหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ คำว่าโดยชอบคือหมายความว่าไม่ผิด ท่านว่า ปญฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมฺมเทว อาสเวหิ วิมุจฺจติ นี่พระพุทธเจ้าประทานให้ทั้งนั้น สดๆ ร้อนๆ สำหรับผู้จะแก้กิเลสเพื่อถึงแดนแห่งนิพพาน เอ้า เดินตามนี้จะไม่ผิดเลย

เดี๋ยวนี้เรื่องมรรคผลนิพพานใครพูดได้ที่ไหน พูดแล้วหัวเราะเยาะเย้ยกันทั่วแผ่นดินแห่งชาวพุทธเรา เราอยากพูดให้เต็มปากนะ ชาวพุทธเรานี้เต็มบ้านเต็มเมือง พอพูดเรื่องมรรคผลนิพพานชาวพุทธเรานี้ฟังไม่ได้แล้วนะ เหมือนว่าเรื่องมรรคผลนิพพานที่พระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาสอนโลกไว้โดยชอบธรรมนั้น เป็นสิ่งที่ครึที่ล้าสมัยเอาเหลือประมาณของกิเลสตัวล้ำยุคล้ำสมัยเวลานี้ ทีนี้เมื่อเข้าถึงตัวจริงเสียจริงๆ แล้วมันเปิดออกหมดจะให้ว่าไง อะไรที่ปิดบัง ก็มีแต่กิเลสเท่านั้นปิดบังหัวใจให้มืดมิดปิดตา สำคัญตนว่าทันสมัย ล้ำยุคล้ำสมัย ก็คือกิเลสมันเสกตัวเองต่างหาก ธรรมท่านไม่ได้เสก

พอแก้กิเลสลงไปๆ จะว่าธรรมนี้ล้ำยุคล้ำสมัยท่านไม่เคยสนใจ กิเลสขาดสะบั้นลงไปจ้าขึ้นมาเท่านั้นท่านเป็นที่พอใจแล้ว เพราะกิเลสมันชอบยอ บ้ายอคือกิเลส ไม่มีใครเกินกิเลส คือกิเลสบ้ายอ ไปตำหนิติเตียนไม่ได้นะกิเลส ถ้าเป็นหมาก็เห่อๆ ขึ้นเลย คือไปตำหนิมันไม่ได้ กิเลสมันเห่อๆ ขู่คำรามเจ้าของ เราจะยกตัวอย่าง อยู่ในกรุงเทพเรานี้ละ เขานิมนต์เราไปฉันในบ้านเขา...มีหมาตัวหนึ่งน่ารักนะ อ้วนๆ เตี้ยๆ หูตูบ มันป้วนเปี้ยนๆ อยู่กับคน คนอยู่ที่ไหนมันอยู่ที่นั่นหมาตัวนี้ มันสนิทสนม รู้ภาษาคนด้วยนะหมาตัวนี้ เราก็ไปฉันที่นั่น

ทีนี้เจ้าของเขาเขารู้นิสัยมันว่าบ้ายอ อย่าว่าเป็นบ้ายอแต่คน หมาก็บ้ายอเหมือนกัน ทีนี้เขาก็พูดลักษณะชมเชยหมาตัวนี้ละ เราก็นั่งฟัง เขาก็นอน เวลานอนนั้นเหมือนไม่มีหูมีตามีใจนะ คือเขาได้รับลูกยอเข้าไปเขาเคลิ้มหลับ เข้าใจไหม หมาตัวนี้พูดอะไรรู้เรื่องหมดเขาว่าอย่างนี้ เขาก็หูผึ่ง รู้ภาษาคนว่างั้น เช่นอย่างเราใช้ให้เขาไปไหนเขาไปเลย มันก็มีสระน้ำเล็กๆ ความยาวสัก ๓ เมตร ความกว้างจะอยู่ใน ๒ เมตรครึ่ง น้ำอยู่นั้นมีปลาอยู่ในนั้น อยู่หน้าบ้านเขานะ

ใช้อะไรๆ ได้หมดหมาตัวนี้ว่า เช่นอย่างเราจะใช้เขาลงน้ำหาปลานี้เขาไปทันที พอว่างั้นลุกปุ๊บปั๊บขึ้นเลยจะวิ่งลงไปสระน้ำ ฟังซิน่ะ เขารู้ภาษาแล้วนะนั่น เขาลุกปุ๊บปั๊บไปลง พอลง โอ๊ย พูดเฉยๆ ไม่ให้ไปละ กลับคืนมาเสีย เขากลับคืนมานอนเฉย คือว่าให้เขาลงสระน้ำหาปลาก็ได้ ปุ๊บปั๊บไปเลยจะลงสระน้ำ มันน่ารักอยู่นะ ที่นี่มันก็มาบทขำๆ ละ เขายกยอไปเต็มที่เต็มฐานแล้วทีนี้เขาก็พูดเสียงธรรมดาเรานี้ละ พอบทสุดท้ายเขาก็เปลี่ยนคำพูดเป็นตำหนิติเตียน สุดท้ายเขาเปลี่ยนจากยกยอสรรเสริญมาเป็น พูดเสียงเบาๆ นะ เปลี่ยนเป็นไอ้บ้า ว่าเบาๆ นะ พอว่าไอ้บ้า เห่อๆ ขึ้นเลยไม่ใช่เล่นนะ

เขานอนอยู่นั่น พอพูดสรรเสริญเขานอนเฉยเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ บทสุดท้ายเจ้าของเขาตบท้ายว่า ไอ้บ้า ว่าเบาๆ นะ เขาได้ยิน เห่อๆ ขึ้นเลย มันน่ารักนะหมาตัวนี้ ก็เราไปเห็นต่อหน้าต่อตา พูดเรื่องอะไรไปหาหมา ลืมแล้วนะ อ๋อ กิเลสมันบ้ายอ ถูกทุกหัวใจไม่มีผิดพลาด ว่ากิเลสบ้ายอถูกหมด ที่ผิดก็คือท่านผู้บริสุทธิ์พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ อันนี้เข้าไม่ติดเลย เพราะความยกยอสรรเสริญเหล่านี้มีคุณค่าเท่ากับมูตรกับคูถ เป็นอย่างนั้นนะ อันนั้นเหนือกว่าขนาดไหน เพราะฉะนั้นจึงเข้าไม่ติด เข้าไปปั๊บตกผล็อยๆ เลย เป็นเองเป็นหลักธรรมชาติ

ให้พากันตั้งอกตั้งใจภาวนาให้ดีนะพวกข้างใน เราเคยเตือนเสมอ สติเป็นสำคัญมากในการภาวนา กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตามถ้าสติครอบอยู่แล้วกิเลสออกแสดงตัวไม่ได้ กิเลสจะออกทางสังขาร ความคิดความปรุงดันออกมาให้คิดให้ปรุง เป็นทางออกของกิเลส แล้วก็เป็นฟืนเป็นไฟกลับเข้ามาเผาไหม้ตัวเอง ออกจากอวิชชา อวิชชาดันให้เกิดสังขารขึ้นมา สังขารสมุทัย แล้วก็กลับมาเผาเรา เมื่อสติมีอยู่แล้วไม่เกิด เกิดไม่ได้สติครอบเอาไว้ๆ เมื่อครอบนานเข้าๆ จิตค่อยสงบๆ ที่มันดันออกมาอยากคิดอยากปรุงไม่คิดไม่อยาก สติจึงเป็นของสำคัญมาก ให้พากันใช้สติให้ดี

มาวัดมาวามาเพื่อศีลเพื่อธรรม ไม่ได้มาเพื่อโลกเพื่อสงสาร เพื่อติฉินนินทายกโทษคนนั้นยกโทษคนนี้ โทษเจ้าของเต็มหัวใจไม่ดูไม่คิดมันก็ไม่เห็นที่แก้ ไปยกโทษคนอื่นไม่ใช่ทางแก้กิเลส ทางส่งเสริมกิเลสให้เกิดความกระทบกระเทือน ไม่ใช่ทางอย่าพากันไปคิด ร้ายช่างเขาดีช่างเขาเขารับผลของเขาเอง ดีเขาก็รับผลดีไป ชั่วเขาก็รับผลชั่วไป เราอย่าไปคิดให้เสียเวลา ให้ดูความดีดดิ้นของจิตที่มันชอบจะคิดเรื่องเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา ตีมันไว้ไม่ให้มันคิด ให้คิดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมเข้าสู่ใจ แล้วใจจะมีความสงบร่มเย็น จำเอานะคำนี้

สติเป็นของสำคัญมาก ถ้าลงสติได้ครอบแล้วกิเลสเกิดไม่ได้ มันจะหนาแน่นขนาดไหนมันก็ดันอยู่นั้นขึ้นมาไม่ได้ สติครอบเอาไว้เลย ต่อไปมันก็ค่อยสงบลง ความดันรุนแรงก็เบาลงๆ ต่อไปมีแต่ความสงบครอบไปหมดเลย หนักเข้าๆ ถึงขั้นสมาธิเต็มภูมิแล้วคิดไม่อยากคิดไม่อยากปรุง รำคาญ อยู่แน่วเป็นอารมณ์อันเดียว เอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์ อยู่อันเดียวอยู่ที่ไหนได้หมดเลย ไม่มีสิ่งรบกวนคือความคิดปรุงของเจ้าของนั้นแหละกวนเจ้าของเอง อันนี้ไม่กวนแล้วก็สบาย ติดสมาธิได้ ทีนี้ออกทางด้านปัญญา ความคิดทางด้านปัญญาเป็นฝ่ายมรรคแก้กิเลส ความคิดธรรมดาของมันเป็นฝ่ายสมุทัยส่งเสริมฟืนไฟเผาไหม้ตัวเอง ถ้าความคิดทางด้านปัญญาเป็นน้ำดับไฟ จำให้ดี

ไม่มีอะไรจะพิสดารยิ่งกว่าจิต จิตนี้ถ้าได้เบิกกว้างออกแล้วมันกว้างจริงๆ เวลามันมืดมิดปิดตาถูกกักถูกขังไว้เหมือนนักโทษในเรือนจำ ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำขนาดไหนเข้าไปเป็นนักโทษแล้วเป็นนักโทษด้วยกันหมดไม่มีคุณค่าอะไร ถ้าลงกิเลสได้ครอบหัวใจแล้วก็เป็นนักโทษด้วยกันไม่มีคุณค่าอะไร เพราะฉะนั้นถึงเบิกออกด้วยความพากเพียร อย่างน้อยให้จิตสงบได้ สงบแล้วออกทางด้านปัญญาพิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภัง ป่าช้าผีดิบในร่างกายของเรา แยกส่วนแบ่งส่วนออกเป็นหนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง อาหารใหม่ อาหารเก่า ดูคลี่คลายออกไป นี่เรียกว่าพิจารณาทางด้านปัญญา ที่นี่มันจะเบิกกว้างออกละปัญญา เบิกกว้างออกๆ ความเฉลียวฉลาดจะไปด้วยปัญญาพาไปนั่นแหละ พากันจำ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้

 

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก