เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
ท่านสิงห์ทองเข้ากันได้กับนิสัยของเรา
คนโบราณเขาเอาใบตองกล้วยแห้งมามวนบุหรี่ มาทุกวันนี้ก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนมาเรื่อยๆ แต่ก่อนใช้อย่างนี้ละ อย่างหลวงปู่แหวนเป็นมวนโตๆ ทำตามนิสัยท่านเคย หลวงปู่มั่นไม่ใหญ่ สั้นๆ หลวงปู่แหวนใหญ่ เคยตามนิสัยมา อันนี้ขึ้นอยู่กับนิสัยที่เคย พอเห็นบุหรี่อย่างนี้แล้วเราระลึกได้ ท่านสิงห์ทองตั้งแต่เด็กขี้ดื้อ โตมานิสัยอันนั้นก็ยังมีอยู่ ดื้อ พูดหยอกพูดเล่น พอดีตัวเธอเองนั่นแหละขึ้นรถมาจากอุบลจะมานครพนม ท่านนั่งรถโดยสารมา แต่ก่อนรถโดยสารก็อย่างว่า พอมาถึงดงเขาเรียกดงหมากอี่ จากมุกดาหารไปอุบลไปทางอำนาจเจริญ นี่ละดงใหญ่ เขาเรียกดงหมากอี่ ท่านสิงห์ทองนั่งรถคันนั้นมา เห็นผู้เฒ่าคนหนึ่ง ตอนนั้นเป็นสงครามโลกครั้งที่สอง อะไรๆ ก็อดอยากไปตามๆ กันหมด พอดีรถกำลังมา รถก็เป็นรถถ่านไม่ใช่รถน้ำมัน ติดก็ยาก ไปก็ช้าๆ อืดอาดๆ ใช้ถ่านติดอยู่ท้ายรถ น้ำมันไม่มี
ท่านสิงห์ทองเป็นนิสัยชอบพูดเล่น ชอบตลก แล้วก็ไปเจออย่างนั้นเข้า พอไปถึงกลางดง มองไปเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งแกทำไร่ทำสวนอยู่ข้างถนน แกอยากสูบบุหรี่แต่ไม่มีไฟจุดบุหรี่ พอได้ยินเสียงรถมาแกก็ออกมาดักมาโบกมือ พวกคนรถเขาก็ปรึกษากัน นั่นเขาโบกมือ ว่ายังไงจะรับเขาไหม ปรึกษากันแล้วก็ เอ้าจะรับก็รับเสีย ได้แค่บุหรี่ซองหนึ่งก็เอา ตกลงใจละ พอไปถึงนั้นก็จอดรถ เอ้า ขึ้นลุง แกก็เลยบอกว่า โอ๋ย พ่อไม่ขึ้นดอก พ่อโบกมือนี่มาขอต่อกอกยา หมดท่าเลย ก็เลยต้องจอดรถให้แกต่อ เอาไฟต่อบุหรี่ กอกยาก็อันนี้ละ พอต่อกอกยาเสร็จแล้วแกก็ลงไปขุดสวน
ทีนี้รถทำยังไงมันก็ไม่ติดก็เลยว่า เป็นเพราะเฒ่าห่านี่ละๆ มีแต่เฒ่าห่า เขาพูดไปหัวเราะไปมันขบขัน โบกมือขอต่อบุหรี่เคยมีที่ไหนใช่ไหม เอ้า ได้ค่าบุหรี่ซองหนึ่งก็เอา บทเวลาจริงๆ เอ้าขึ้นลุง โอ๋ย พ่อไม่ไปดอก พ่อมาโบกมือขอต่อกอกยาต่างหาก หมดท่าเลย ท่านสิงห์ทองมาคันนั้นด้วย พอเสร็จแล้วแกก็ไปขุดสวนอยู่นั้น คือรถมันไม่ติดซัดกันอยู่นั้น เป็นเพราะเฒ่าห่านี่ละๆ เรื่อยเลย ทีนี้พอรถติดวิ่งไปแล้ว นี่เป็นเพราะเฒ่าห่านี่ละ เขาพูดเขาหัวเราะกัน เขาพูดเล่นไม่ได้พูดเคียดพูดโกรธ มันบ่เคยได้ยินโบกมือขอต่อกอกยา ไม่เคยได้ยินใช่ไหม คือมันอดอยากขนาดนั้นปีสงคราม ท่านสิงห์ทองไปเห็นเอง นั่งอยู่ในรถ ไม่ลืมละ ถึงบ้านตาดก็ไม่ลืมถ้าเป็นของเล่นของตลกท่านสิงห์ทองเป็นอย่างนั้น
นี่เขาเรียกกอกยาทางภาคอีสาน เป็นใบตองกล้วยเอามามวนบุหรี่ เขาเรียกกอกยา ผู้เฒ่าออกมาก็มาโบกมือขอต่อบุหรี่เพราะไม่มีไฟ คนรถก็เลยตกลงกันจะรับไหม ได้ค่าบุหรี่ซองหนึ่งก็เอา เอารับเสีย ตกลงใจรับก็จอด เอ้าขึ้นลุง โอ๋ย พ่อบ่ขึ้นดอก พ่อโบกมือนี่มาขอต่อกอกยาต่างหาก หมดท่าเลยจะว่ายังไง เลยให้ผู้เฒ่าต่อกอกยา เสร็จแล้วผู้เฒ่าก็ไปขุดสวนเฉย รถติดเครื่องไม่ติดเอากันอยู่อย่างนั้น มีแต่ว่าเป็นเพราะเฒ่าห่านี่ หัวเราะกันลั่น ธรรมดาว่าเฒ่าห่านี่เป็นความเคียดแค้นก็ได้ ความตลกเล่นก็ได้ อันนี้มีแต่ว่าเป็นเพราะเฒ่าห่านี่ พอรถติดเครื่องได้แล้วผ่านไป ผู้เฒ่าก็ขุดสวนอยู่ข้างทาง นี่ๆ เฒ่าห่านี่ ว่าอีกแหละ นี่ท่านสิงห์ทอง นิสัยชอบเล่น ถ้าเป็นนิสัยแล้วสอนยังไงก็ไม่ได้เรื่อง
ท่านสิงห์ทองเคารพเรามากนะ พอออกจากหลวงปู่มั่นก็ติดสอยห้อยตามเราตลอด เป็นลูกศิษย์เรามาตั้งแต่ต้นเลย ที่ไปอยู่ป่าแก้วชุมพลนี่ ทีแรกอยู่ที่นี่แล้วแม่มาหา แม่ท่านสิงห์ทอง ถูกกันมากกับโยมแม่เรา มันจะไม่สะดวกทั้งสองฝ่าย ท่านสิงห์ทองก็จะเป็นกังวลกับแม่ แต่แม่ท่านกับแม่เราก็สนิทกันดี แต่ก็ไม่พ้นความกังวล เราก็เลยพิจารณา พอดีกับทางป่าแก้วชุมพลเขาไม่มีหัวหน้าวัด เขามาหาเรามาขอพระ พอดีกับท่านสิงห์ทองอยู่ที่นั่น ตกลงด้วยเหตุด้วยผล ท่านสิงห์ทองก็นั่งฟังอยู่ นี่เหตุผลกลไกเป็นอย่างนี้ เขาไม่มีหัวหน้าวัด ให้ท่านสิงห์ทองไปอยู่นั้น ถ้าเราจะขับไปก็ไม่งามใช่ไหมล่ะ เพราะท่านมาด้วยสมัครใจทั้งท่านสิงห์ทองทั้งแม่ท่านสิงห์ทองด้วย พอดีเหตุผลเข้ามาก็รับกันได้ ทางโน้นมาขอครูบาอาจารย์หัวหน้าวัด มาหาเรา ก็พูดด้วยเหตุด้วยผลให้ท่านสิงห์ทองไปนู่นเสีย เอาแม่ไปด้วย ท่านสิงห์ทองก็พอใจไปอยู่เป็นเอกเทศ ท่านสิงห์ทองจึงเสียที่นั่นแหละ แม่เสียทีหลัง
ท่านสิงห์ทองเรื่องความเพียรนี้เก่ง ไม่ชอบทำงานทำการอะไร หมุนแต่ความเพียร อันนี้เราชอบ เข้ากันได้สนิทเลย เวลาท่านทำความเพียรงานการอะไรมายุ่งไม่ได้นะท่านสิงห์ทอง อันนี้เข้ากันได้สนิทกับเรา เพราะเราตั้งแต่ออกจากเรียนเข้าป่าแล้วเท่านั้น งานการอะไรมายุ่งไม่ได้เหมือนกัน เอางานเดียวฆ่ากิเลส ท่านสิงห์ทองก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ท่านวันเป็นบ้างาน ท่านวัน ภูเหล็ก เดี๋ยวมีงานนั้นขึ้นมา มีงานนี้ขึ้นมา แล้วมากวนเพื่อนฝูงนิมนต์ไปงานนั้นงานนี้ ท่านสิงห์ทองมีแต่บอกว่าไม่สบายเรื่อย นั่นบ้างาน อยู่เฉยๆ ไม่ได้ บ้างาน
ทั้งๆ ที่เคยอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่นมาแล้ว แต่เวลาออกไปแล้วมันก็เป็นอย่างที่เราเคยพูดอยู่ในหนองผือ เวลาอยู่ที่นี่รู้สึกว่าเรียบราบเหมือนกับผ้าพับไว้บรรดาพระเณรเรา ว่าอย่างนี้แหละ เวลาออกจากนี้ไปแล้วมันจะแสดงกางเล็บออกเต็มเพลง ใครมีเพลงใดๆ มันจะออกเต็มเม็ดเต็มหน่วย กางเล็บออกตามนิสัยของตนนั่นแหละ ก็เป็นอย่างว่า ท่านสิงห์ทองไม่ทำงานอะไรตั้งแต่ออกจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นไป แต่ท่านวันเป็นโรงงานใหญ่โตอยู่ที่ภูเหล็ก โอ๋ย เหมือนเมืองหนึ่งในป่า สร้างนั้นสร้างนี้ เราขึ้นไปเห็นทีหลังตอนตายแล้ว ต่างกันอย่างนั้นละ ออกจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นเหมือนกัน นั้นออกไปแผลงฤทธิ์ทางการก่อการสร้าง ไม่ได้เป็นไปตามโอวาทครูบาอาจารย์ ซึ่งพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ทำนะ งานไม่ยุ่ง ถามปั๊บเข้าเรื่องภาวนาเลยๆ เรื่องก่อเรื่องสร้างไม่มี ท่านวันไปอยู่นั้นก็สร้างเมือง เมืองวัด เมืองการก่อสร้าง
คือการก่อการสร้างนี้เป็นงานของวัฏวนวัฏจักร มันง่าย แต่การงานฆ่ากิเลสนี้มันยาก พอจ่อจิตเข้าไปจ่อสติเข้าไปนี้ถูกกิเลสมันเผาเอา หงายออกมาๆ แล้วก็ไปทำงานอื่นพอแก้รำคาญ เพราะฉะนั้นจึงไปทำแต่งานภายนอก งานภายในทำไม่ได้ ถูกกิเลสมันตีหน้าผากเอาหงายๆ พูดให้มันชัดเราเคยผ่านมาแล้ว ฆ่ากิเลสมันลำบากลำบนมาก ใครก็ไม่อยากฆ่า ทำงานเหล่านั้นมันสะดวกเบาสบาย มันก็ไปแต่งานนอก ให้กิเลสหลอกออกไปข้างนอก งานฆ่ากิเลสจริงๆ มันไม่ยอมง่ายๆ นะ ก็เป็นอยู่กับหัวใจเรา แต่นี้มันไม่ถอยนี่
พอได้ฟังอรรถฟังธรรมจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ทีนี้เอาละ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยทำงาน หยุดจากเรียนก็เข้าป่าเลย เข้าป่าก็เข้าหาพ่อแม่ครูจารย์มั่น ได้รับโอวาทจากท่านแล้วถึงใจ จากนั้นมาก็มีแต่จิตตภาวนาฆ่ากิเลสโดยถ่ายเดียวๆ งานการอะไรจึงไม่มีสำหรับเรา เราไม่มี ใครมายุ่งไม่ได้ ท่านสิงห์ทองนี่เข้ากันได้กับนิสัยของเรา คือไม่ก่อไม่สร้าง มีแต่ประกอบความเพียร เราพอใจ ท่านหนักแน่นทางความเพียรด้านจิตตภาวนา นอกนั้นเถลไถลๆ เพราะฉะนั้นนักภาวนาเราจึงไม่มีหลักใจ ถูกกิเลสตีกบาลเอาหงายไป เถลไถลไปทำนั้นสร้างนั้นสร้างนี้ คือถูกกิเลสเนรเทศออกไป เข้ามาวงในไม่ได้ถูกกิเลสตีหน้าผาก ตีกบาลเอา ก็ต้องเถลไถลไปทำนั้นทำนี้
งานอย่างนั้นทำง่ายนี่นะ งานฆ่ากิเลส อู๋ย ยากแสนยาก ไม่มีใครจะทำได้ง่ายๆ แหละ งานฆ่ากิเลสเป็นข้าศึกใหญ่โตมาก เพราะฉะนั้นเวลาผู้ใดสำเร็จมรรคผลนิพพานขึ้นมา วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่ยิ่งกว่ากิจนี้คือการฆ่ากิเลสนี้ไม่มี นั่น พระพุทธเจ้าละอุทานขึ้นมา เป็นงานที่ใหญ่โต งานรื้อภพรื้อชาติ คืองานฆ่ากิเลส ฆ่าแล้วก็รื้อภพชาติ การตายกองกันของสัตว์โลกรื้อหมดไม่มีเหลือ พอถึงขั้นจิตบริสุทธิ์แล้ว จึงเป็นงานที่ยากมาก
งานฆ่ากิเลสเป็นงานที่หนักมาก แต่ถึงเวลาที่ธรรมมีกำลังแล้วมันจะหนักขนาดไหนก็ตามเถอะ เรื่องของธรรมจะติดตามเหมือนไฟได้เชื้อ เอา เชื้ออยู่ที่ไหนไฟจะตาม คือธรรม วิริยธรรม สติธรรม ปัญญาธรรม จะติดตามเผาไหม้กิเลสเหล่านั้นให้หมดๆ เลยเมื่อกำลังวังชาถึงกันแล้ว ที่เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติมีความเพียรเป็นเนื้อเป็นหนังของตัวแล้วนี้ไม่หยุด ฆ่ากิเลสตลอดจนกระทั่งกิเลสม้วนเสื่อถึงจะหยุดได้ ก่อนนั้นกิเลสเหยียบเอาๆ ทั้งนั้นแหละ พอถึงขั้นเหยียบกิเลสแล้ว มีอยู่ที่ไหนไม่มีเหลือ
เราก็เคยพูดให้ฟังมันเป็นในจิตนะ มันฟัดกันเสียจนกระทั่งบางทีหายเงียบ พอไปถึงขั้นมันละเอียดละเอียดจริงๆ นะกิเลส มันฉลาดมันแหลมคมมาก คุ้ยเขี่ยขุดค้น สติปัญญาไม่ใช่สติปัญญาธรรมดา เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ ก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา ถึงขนาดนั้นมันยังหลบซ่อนตัวได้นะกิเลส คือค้นหาที่ไหนมันก็ไม่เจอ เงียบหมด จิตก็ว่างไปหมดเลย ทีนี้หาเหตุผล คือกิเลสเป็นตัวเหตุสำคัญ ค้นหาที่ไหนก็ไม่เจอๆ หือ ไม่ใช่มันเป็นพระอรหันต์น้อยๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ แต่มันไม่ได้สำคัญนะ ว่าเฉยๆ ความสำคัญว่าเป็นอรหันต์เป็นอันหนึ่ง อันนี้มันไม่ได้สำคัญ ทั้งๆ ที่ทราบอยู่กิเลสยังอยู่ แต่มันไม่ปรากฏเวลานั้นก็ว่าขึ้นมาเฉยๆ จากนั้นพอโผล่ขึ้นมาก็ฟัดกันเลย เอาจนกระทั่งถึงขาดสะบั้นไปหมด จ้าขึ้นมาภายในจิตใจ เลยอรหันต์น้อยก็ไม่พูด อรหันต์ใหญ่ก็ไม่พูดเลย ถึงขั้นมันตัดสินขาดแล้ว ทั้งน้อยทั้งใหญ่อรหันต์ตัดขาดหมดเลย ไปท่ามกลาง นั่นเป็นอย่างนั้น
เวลานี้ใครพูดดูซิน่ะพูดเรื่องมรรคผลนิพพานใครเชื่อเมื่อไร ร้อยหนึ่งนี่ ๙๕% ไม่อยากจะเชื่อว่าธรรมะพระพุทธเจ้ายังคงเส้นคงวาหนาแน่น ศาสดาคือศาสดา มรรคผลนิพพานคือมรรคผลนิพพานที่ศาสดาสอนไว้มันไม่อยากเชื่อ เพราะกิเลสหนาแน่นมันตีขนาบเข้าไปหมด หาว่าโกหกหาว่าโอ้ว่าอวด อย่างหลวงตาที่เทศนาว่าการนี้มันก็ยังออกอยู่ เห็นไหมปากอมขี้ พูดให้ฟังชัดๆ หาว่าเรานี้อุตริ แล้วจะไปฟ้องว่าให้เป็นสังฆาปาราชิก ว่าเรานี้อุตริ ไอ้ตัวอุตรินี้มันก็ถึงกันว่า บอกให้มาทั้งโคตรเลยมาฟ้องหลวงตาบัว หลวงตาบัวก็มีโคตรเหมือนกัน เราสู้ไม่ได้เราจะเอาโคตรเรามาสู้ ก็อย่างนั้นพูดตลก
ไอ้ที่เขาว่าจะมาฟ้องเราว่าเป็นสังฆาปาราชิกเพราะอวดอุตริมนุสธรรมไม่มีในตน เขาก็ว่าไปเฉยๆ เขาไม่เห็นมาฟ้องเราวะ ไอ้เราก็ยกทัพขึ้นสู้กันเล่นเฉยๆ บอกให้ยกโคตรมามาฟ้องเรา เราก็มีโคตรเหมือนกันยกโคตรใส่กันเลย แน่ะก็พูดเล่น เขาก็พูดเฉยๆ เขาไม่เห็นว่าอะไร เราก็ยกโคตรใส่เขาก็ยกแต่ปากเฉยๆ บางคนอาจจะว่าอวดจริงๆ ก็ได้ บางคนก็ว่าไปอย่างนั้นสุ่มสี่สุ่มห้า ใครถ้าหากว่าเชื่อในมรรคในผลอยู่แล้วจะไปว่าอะไรอย่างนั้น ถึงเราไม่รู้เราก็ยอมรับ ดังศาสดาองค์เอกเป็นพระพุทธเจ้า เราไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าเราก็ยอมรับ เป็นศาสดาเป็นครูเอกของเรากราบไหว้บูชา พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ตลอดมา ไม่เห็นคัดค้านใช่ไหมล่ะ ยอมรับกัน
นี่มันไม่ยอมรับด้วย มันโต้มันเถียงเรื่อย ทั้งเห่าว้อๆ ไปด้วย ถึงว่าศาสดาองค์เอกจะมีเหลือแต่ชื่อไม่มีใครเชื่อศาสดา ถ้าเชื่อศาสดาก็เชื่อธรรมคำสอนที่สอนไว้เพื่อมรรคผลนิพพาน เชื่อบาปเชื่อบุญละซิ นี่มันไม่เชื่อทั้งหมดนั่นละ มันจึงไม่เชื่อศาสดา มันเชื่อแต่กิเลสเต็มหัวใจ ความโลภเชื่อเต็มหัวใจ ความโกรธ ราคะตัณหา ความโลภโลเลได้ไม่พอๆ เชื่อฝังใจ ตายก็ตายไปด้วยกันกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือกิเลสมันเชื่ออย่างฝังใจ เห็นไหมล่ะอย่างที่ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง ใครๆ เข้ามาเป็นหัวหน้าๆ เป็นผู้ใหญ่ในชาติไทยของเรา มีแต่มากอบมาโกยมากินเลือดกินเนื้อกินตับกินปอดประชาชน จนประชาชนทั่วประเทศจะไม่มีตับมีปอดให้กินแล้วเวลานี้ พวกยักษ์ใหญ่นี่ละมันกินไม่พอ แล้วความมั่งความมีใครจะมั่งมียิ่งกว่าพวกนี้
อำนาจของกิเลสตัณหาเหมือนกับไฟได้เชื้อ คือไฟไม่เคยอิ่มเชื้อนะ ไสเข้าไปเท่าไรเผาเลยๆ นี่ความโลภมันจะไปอิ่มสิ่งเข้ามาให้มันเสวยได้ยังไง มีแต่เผาไปเรื่อย ฆ่ามันขาดสะบั้นลงไปแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีในหัวใจ มันก็สนุกพูดตามหลักความจริง แต่ที่จะตั้งใจพูดไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ต้องพูดตามหลักความจริง คำว่าสนุกคือไม่สะทกสะท้าน เอาความจริงมาพูดเลยๆ โลกทั้งหลายไม่เชื่อว่ามรรคผลนิพพานมี ถ้าสมมุติว่าจะตอบรับกัน นี่โคตรพ่อโคตรแม่มึงเคยปฏิบัติไหม โคตรพ่อโคตรแม่กูไม่เคยปฏิบัติแต่กูปฏิบัติกูรู้อยู่นี่มึงเห็นไหม จะว่างั้นตอบกัน เข้าใจไหม มันหากมีตลกอยู่ในนั้น เราเหมือนว่าจะจริงจะจัง ไม่จริง หลอกไปเรื่อยตลกไปเรื่อย
มรรคผลนิพพาน สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ตรัสไว้ชอบทุกบททุกบาท ให้เดินตามนี้จะไม่เป็นอื่น จะพุ่งเข้าไปตรงนี้เลย จึงเรียกว่าตรัสไว้ชอบแล้วไม่มีที่จะขัดจะแย้งธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้าตั้งใจปฏิบัติรู้ ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่กับพุทธศาสนา พูดอย่างเปิดอกเลยเชียว พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประทานให้ ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานคือพุทธศาสนา คำสอนของพระพุทธเจ้านี้สอนชี้แนวทางเข้าสู่ตลาดมรรคผลนิพพาน คนอื่นชี้ไม่ถูก ใครสอนก็ตามไม่ถูก สวากขาตธรรม คือศาสดาองค์เอกนี้เท่านั้นสอนเพื่อมรรคเพื่อผล
แต่เวลาท่านจะแสดงท่านก็ไม่ให้กระทบกระเทือนใครนะ อย่างพราหมณ์แก่ที่เข้าไปเฝ้าท่านคืนท่านจะปรินิพพาน พราหมณ์แก่คนนั้นก็เป็นชาติอริยกะ เขาถือว่าเขาเป็นปู่เป็นตาเป็นอะไรไป ถือว่าพระพุทธเจ้าเรานี้เป็นลูกเป็นหลาน แม้จะเป็นชาติอริยกะก็ตาม นี่ละทิฐิมานะของสัตว์โลกเป็นอย่างนั้น เอาทิฐิมานะมาอวด เช่นจะมาถามปัญหากับสิทธัตถราชกุมารซึ่งเป็นชาติอริยกะด้วยกัน ก็ถือว่าเป็นรุ่นลูกรุ่นหลาน ไม่ถามๆ
จนกระทั่งวันสุดท้ายคืนสุดท้ายที่พระพุทธเจ้าเสด็จมาจะปรินิพพาน ก็มาคิดชั่งน้ำใจถึงเรื่องที่ว่าไม่ลง เพราะเราเป็นปู่เป็นย่าเป็นตาเป็นยายของสิทธัตถราชกุมาร แม้จะเป็นชาติอริยกะด้วยกัน จึงไม่ควรไปถามปัญหาให้เสียเกียรติ เกียรติเขาคือทิฐิมานะ แต่วาระสุดท้ายคืนวันนี้ก็เป็นคืนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาปรินิพพาน ก็ทราบกันทั่วโลกดินแดนว่าพระพุทธเจ้าเคยโกหกโลกเมื่อไร วันนี้จะเสด็จมาปรินิพพานก็ต้องเป็นความจริง ถ้าเราไม่ไปทูลถามเสียวันนี้เราก็หมดหวังละจะทำไง จะมาถือทิฐิมานะแต่อริยกะๆ อายุวัยอยู่อย่างนี้ไม่ได้ ตัดสินใจมา
พระพุทธเจ้าก็เล็งญาณทราบแล้ว พอมาก็ถูกพระอานนท์ห้ามเอาไว้ ว่าพระองค์กำลังเพียบเวลานี้ไม่ให้เข้าเฝ้า พระองค์ทรงทราบเปิดทางให้เข้ามา เรามาที่นี่เพื่อพราหมณ์คนนี้ละคนหนึ่ง นั่นเห็นไหมล่ะ ท่านเล็งญาณไว้แล้วนี่ ให้เข้ามา เข้ามาก็ถามถึงเรื่องศาสนา คำว่าศาสนาก็มีมากมายก่ายกอง ไม่ทราบว่าศาสนาใดจริงศาสนาใดแท้ ใครก็ว่าศาสนาของใครดีๆ พระองค์ก็ไม่ได้ตำหนิศาสนาใดนะ เอาตรงกลางเลย เพราะศาสนามีมากต่อมากมาดั้งเดิม คนมีกิเลสคลังกิเลสนั่นละเสกสรรปั้นยอขึ้นเป็นศาสนา มันก็เป็นคำสอนของกิเลส ไม่ใช่ศาสนธรรม มันเป็นศาสนะของกิเลส เป็นคำสอนของกิเลส พูดออกมาอะไรก็เป็นเรื่องของกิเลส
เดินไปตามกิเลสก็เป็นฟืนเป็นไฟ อย่างที่ว่าศาสนานั้นศาสนานี้เขาฆ่ากันอยู่ทุกวันนี้ ศาสนาฆ่ากันหาอะไร ถ้าศาสนาแท้เป็นศาสนธรรมไม่ฆ่ากัน เป็นศาสนากิเลสเอาได้วันยังค่ำ ยกศาสนารบกันเลย นั่น ก็มันไม่ใช่ศาสนามันกองทัพกิเลสต่างหาก ทีนี้เวลาไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เอ้อ เวลาเรามีน้อย อย่าถามเรามากเลยว่าศาสนามีมากต่อมาก สงสัยว่าศาสนาใดดีศาสนาใดถูก พระองค์ตัดบทลงไป อย่าถามเรามากเวลาเรามีน้อย ศาสนาใดมีมรรคแปด ท่านย่นลงนี้นะ มีอริยสัจสี่ มีมรรคแปด ศาสนานั้นเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล พระโสดาก็จะเกิดจากศาสนานี้ พระสกิทาคา อนาคา อรหันต์ สมณะที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม คือโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ เกิดขึ้นจากศาสนาที่มีมรรคแปด ท่านว่างั้นนะ ให้เอาไปปฏิบัติ
ให้พระอานนท์บวชให้ แล้วก็ เอ้า ปฏิบัติให้ได้สำเร็จมรรคผลนิพพานในวันเดียวกันกับที่วันเราจะตายพูดอย่างนั้น ไม่ต้องมากังวลกับเรา ก็สอนให้ไปบำเพ็ญ ทางนั้นก็บำเพ็ญเต็มเม็ดเต็มเหนี่ยวหายสงสัยเรื่องศาสนาใดๆ ทั้งหมด เอาแต่ศาสนาที่มีอริยสัจมีมรรคแปดนี้เข้าสู่หัวใจ ก็ได้สำเร็จเป็นอรหันต์ขึ้นมาในคืนวันนั้น พร้อมกับพระพุทธเจ้าปรินิพพานคืนวันนั้น ถูกหรือผิดพระพุทธเจ้าสอนโลก เป็นอย่างนั้นละ เรามาที่นี่ก็เพื่อพราหมณ์คนนี้ นั่นฟังซิน่ะ เล็งญาณดูแล้วนี่ ก็ได้สำเร็จจริงๆ พร้อมกับวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า
นี่ละเรื่องศาสนา ศาสนาแท้มีพุทธศาสนา เอ้า ใครจะเอาคอเราไปตัดไปเลย เราไม่เคยเสียดาย พุทธะ แปลว่าผู้รู้ ศาสนาของท่านผู้รู้จริงๆ ไม่ใช่ศาสนาของคลังกิเลส คว้าเอาไหนมานี่ก็พ่อของเรานี่ก็แม่ของเรา พ่อปลอมแม่ปลอม ได้ลูกมาก็มีแต่ลูกปลอม หาลูกจริงไม่มีเพราะพ่อแม่มันปลอม นี่ศาสนธรรม ศาสนกิเลสมันมีแต่เรื่องปลอมๆ กิเลสเป็นของจริงได้เมื่อไร สิ่งที่จะสอนคนให้เข้าสู่มรรคสู่ผลไม่มี มีแต่ของปลอม พุทธศาสนาเป็นของจริงโดยแท้ ตรงแน่วๆ เลย ปฏิบัติตามนั้นแล้วจะไม่เป็นอื่น พูดง่ายๆ ก็ว่างั้น พราหมณ์คนนั้นก็บรรลุธรรมในคืนวันนั้น พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานในคืนวันนั้นเลย นั่นละศาสนธรรมสอนโลกให้ตื่นเนื้อตื่นตัว เท่านั้นละ
เราเคยพูดถึงหมอมาหลายครั้งแล้วนะ ถ้าหมอได้หันหน้าเข้าวัดเข้าวา ฟังอรรถฟังธรรมทำบุญให้ทาน แล้วจะเป็นการชักจูงประชาชนจำนวนมาก เฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยเราเข้าศาสนาได้มากมายนะ เพราะเขาเชื่อถือหมอเขานับถือหมอเขาลงใจในหมอ เมื่อหมอนำเข้ามาสู่ศาสนาซึ่งเป็นศาสนาที่แท้จริงดังพุทธศาสนานี้ด้วยแล้ว ประชาชนจะยิ่งมีความเชื่อหมอมั่นใจในหมอเคารพหมอมากขึ้นนะ นี่เราเอาหลักความจริงมาพูด อันนี้หมอไม่ค่อยเข้าวัดเข้าวา มีบ้างเล็กๆ น้อยๆ ไม่ค่อยจะเข้าวัดเข้าวาเท่าไร
เราพูดเรื่องหมอ ถ้าหมอหันหน้าเข้าวัดเข้าวาแล้วจะเป็นการชักจูงประชาชนเข้าวัดเข้าวาได้มาก เข้าศีลเข้าธรรมได้มากมาย แต่หมอส่วนมากไม่ค่อยจะเข้าวัดเข้าวา จะเพลินในรายได้รายจ่าย หรือเพลินในทิฐิมานะของตัวเพราะว่าเรียนสูงอย่างนั้นก็ได้ เลยเอาความรู้ที่เรียนในสรีรศาสตร์ซึ่งเป็นการแก้โรคแก้ภัยเข้าไปแข่งพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงสอนเรื่องสรีรศาสตร์แก้กิเลสตัณหาฆ่าภพฆ่าชาติขาดสะบั้นลงไป เลยเป็นคู่แข่งกันอย่างนั้นก็ได้ มีอยู่สองอย่าง พวกหมอเรียนสรีรศาสตร์ อวัยวะส่วนใดเส้นใดๆๆ ทำงานอะไรๆๆ พวกหมอจะวิพากษ์วิจารณ์พิจารณา ปฏิบัติให้ถูกต้องกับอวัยวะส่วนต่างๆ ที่เรียกว่าสรีรศาสตร์ได้เป็นอย่างดี
ทีนี้พระพุทธเจ้านี้จิตตศาสตร์อริยศาสตร์ครอบหมดเลยรู้หมด ไม่ได้มีแต่สรีรศาสตร์อย่างเดียว นั้นแก้กิเลส อันนี้แก้โรคแก้ภัย อาจเพิ่มทิฐิมานะว่าตัวรู้มากขึ้นอีกก็ได้ ส่วนพระพุทธเจ้าไม่มีเพิ่ม พระสาวกอรหันต์ไม่เพิ่ม รู้หลักตามความจริง เลิศเลออยู่ภายในตัวโดยเฉพาะ ต่างกันอย่างนี้ การพูดทั้งนี้เราไม่ได้พูดมีเจตนาจะกระทบกระเทือนผู้หนึ่งผู้ใด เราเอาหลักความจริงมาพูด เพราะส่วนมากความจริงจะพูดออกมาไม่ค่อยได้ ดูถูกเหยียดหยามกัน
คือหมอนี้เรียนรู้สรีรศาสตร์ ปฏิบัติต่อสรีรศาสตร์เพื่อแก้โรคแก้ภัย สรีรศาสตร์เส้นใดๆ นี้ อวัยวะนี้ใช้ในทางใดๆ หมอจะเข้าใจ แล้วแก้ไขดัดแปลงตามนั้นปฏิบัติตามนั้นแก้โรคแก้ภัยได้ ส่วนพุทธศาสตร์นี่ครอบหมดเลย รู้สรีรศาสตร์รู้จิตตศาสตร์ทางด้านจิตใจรอบหมด เป็น โลกวิทู ขึ้นมา พูดถึงเรื่องนี้ เราอาจารย์ หมออวยเป็นลูกศิษย์ อาจารย์หมออุดม อาจารย์หมออวยเป็นลูกศิษย์ ฟัดกันเต็มเหนี่ยวระหว่างครูกับอาจารย์ ครูกับลูกศิษย์ซัดกันเลย ลงเลยนะอาจารย์หมออวยอาจารย์หมออุดม ยอมรับ พุทธศาสตร์ครอบหมดเลย
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |