เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
เห็นธรรมประเภทนี้แล้วเห็นตถาคตทุกพระองค์
ปวดมากปวดเข่า คู้เข้ามาสักเดี๋ยวได้เหยียด เวลานี้ธาตุขันธ์มันชำรุด อะไรๆ ก็มีแต่กำเริบๆ ธาตุขันธ์เวลามีกำลังก็ได้ทำความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย บังคับเอาเลยเทียว ทำความเพียรนั่งสมาธิภาวนานี้บอกว่าเอานะวันนี้ เอานะวันนี้คือตลอดรุ่งเลย นั่งขัดสมาธิตลอดรุ่ง นี่พูดถึงเรื่องความเพียรฆ่ากิเลส ไม่เอาหนักไม่ได้ กิเลสมันหนักตลอดเวลา ความเพียรที่จะแก้กิเลส ต้องมีบทหนักเข้าด้วย เอานะวันนี้คือให้นั่งตลอดรุ่ง เอานะวันนี้เคลื่อนไม่ได้เลย นี่เวลาบังคับมัน บังคับธาตุขันธ์ เวลายังหนุ่มน้อยความมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรมต่อแดนพ้นทุกข์มีน้ำหนักมาก ธาตุขันธ์ที่เป็นเครื่องมือก็ยังดี ใช้บังคับได้ตามความต้องการเพื่ออรรถเพื่อธรรม นั่งภาวนาเอาจนก้นแตก ฟังซิน่ะ
พวกเรามีแต่พวกหมอนแตก เสื่อขาด นอนไม่รู้จักตื่น หมอนแตก ลุกจากที่นอนแล้วยังเอาหมอนมัดติดคออีกไปอีก เพื่อไม่ให้ขาดวรรคขาดตอน เรื่องเสื่อกับหมอน หมอนก็มัดติดคอ เสื่อมัดติดหลัง เป็นความเพียรไปในตัว กิเลสร้องเพลงบนกระหม่อมมันยังไม่รู้ นั่น ทีนี้เวลาดัดกันกับกิเลส เอาจนกระทั่งก้นแตก พูดนี้เราก้นแตกมาแล้ว ไม่ได้มาอุตริให้ท่านทั้งหลายฟัง ความจริงจัง ความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดของอรรถของธรรมที่จะฆ่ากิเลสมีถึงขนาดนั้น ถึงกาลเวลาที่ควรมี แต่ไม่ใช่มีตลอดไป ถึงกาลเวลา เอานะ ต้องเป็นอย่างนั้นเป็นอื่นไปไม่ได้
ที่ว่านั่งก้นแตกๆ เพราะนั่งตลอดรุ่งๆ ไม่ใช่นั่งคืนหนึ่งคืนเดียว นั่งทีแรกก็ออกร้อนก้น คืนแรกตลอดรุ่งนั่งออกร้อนก้น ต่อมานี้ก็หนักเข้าๆ ทีนี้เวลาออกร้อนมันก็พองเพราะนั่งไม่หยุด จากพองก็แตก แตกเลอะหมดก้นเลย เป็นยังไงคำพูดนี้หยาบไหมท่านทั้งหลายฟังซิน่ะ กิเลสตัวมันหยาบเก่งกว่านี้ นี้ความเพียรเพื่อฆ่ากิเลสหยาบที่ไหน เป็นความเพียรที่เป็นคติเครื่องเตือนใจเรา เพราะกิเลสมันหนามันเหนียวแน่นมาก ถึงเวลาที่จะเอากันต้องเอาอย่างหนัก ไม่งั้นไม่ทันกัน เวลาหนักหนัก เวลาเบามันเป็นของมันเอง เผลอไม่ได้ละเวลาเบาบ้าง พอเจ้าของจะเบาบ้างไม่ได้ หมอนขึ้นคอเลย มัดติดคอทันที เสื่อมัดติดหลัง มันเป็นของมันเอง
เวลาจะเข้มงวดกวดขัน สลัดหมอนออกจากคอนี้ไม่ยอมออก สลัดเสื่อออกจากหลังไม่ยอมออก กิเลสมันเหนียวแน่นมันเสียดายหมอน เสียดายเสื่อ ยิ่งกว่าเสียดายมรรคผลนิพพานอันเป็นทางพ้นทุกข์ นี่ละท่านผู้เลิศเลอเราทั้งหลายได้กราบไหว้บูชาอยู่นี้ พระพุทธเจ้าทรงสลบถึงสามหน ไอ้เรามันสลบลงหมอนนั่นซิ พระพุทธเจ้าสลบบนเวทีฟัดกับกิเลส ต่างกันอย่างนี้ พระสาวกที่ท่านยกมาพูดเป็นคติตัวอย่างของพวกเราก็พระโสณะ เป็นผู้มีความเพียรกล้า ยกเป็นเอตทัคคะเลิศในทางความเพียรกล้า คือพระโสณะ เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกว่างั้นนะ อันนี้เราก็อ่านในตำรา ก็ฟังธรรมดา จะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็เป็นธรรมดาของคนมีกิเลสหนา ก็ฟังไปอย่างนั้นละ
ทีนี้เวลามันเข้าถึงขั้นที่มันจะรับกันเป็นสักขีพยานกันมันก็มีเหมือนกัน เวลาความเพียรกล้าเข้าไปๆ สติปัญญาแก่กล้าสามารถ ความเพียรหมุนทั้งวันทั้งคืนเข้าไปแล้วอย่างนั้น นี่ละที่นี่ความเพียรกล้าได้เลย ออกมาทันที ลงทางจงกรมตั้งแต่เช้าจนกระทั่งปัดกวาด จนขาก้าวไม่ออก เอาขาก้าวไม่ออกนั้นแหละเป็นเครื่องตัดสินกัน โอ้ นี่ไปไม่ไหวแล้วพัก ไม่งั้นมันไม่ได้ออกมาส่วนร่างกายนะ คือกิเลสกับธรรมมันฟัดกันอยู่บนหัวใจมันลืมวันลืมคืน เหมือนนักมวยเขาเข้าวงในกันนั่นแหละ กิเลสกับธรรมเข้าวงในกันก็เหมือนกัน ไม่ได้คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอะไร มันหมุนของมันอยู่ภายในโดยอัตโนมัติ
ถึงขั้นความเพียรฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติ มีเช่นเดียวกันกับกิเลสมันอยู่บนหัวใจสัตว์โลก ทรมานสัตว์โลก โดยอัตโนมัติของมัน มีอยู่ทุกหัวใจ มันหากทำของมันอยู่อย่างนั้น แต่เราไม่ได้คิดละซิ เราก็ไม่รู้ว่ากิเลสทำงานบนหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมัน ทำให้โลภให้โกรธ ราคะตัณหา ความได้ไม่พอ โกงกิน รีดกินไถกิน เหล่านี้มีแต่เรื่องของกิเลส มันไปของมันอย่างนั้นโดยอัตโนมัติของมันเอง ทีนี้เวลาความเพียรทันกัน กิเลสตัวเหล่านั้นหมอบๆ ธรรมะสติปัญญาแก่กล้าเป็นอัตโนมัติหมุนตลอดเวลาฆ่ากิเลส มันก็ฆ่าของมันได้อย่างนี้
แต่ก่อนเราก็ไม่เคยได้พูด คำพูดเช่นนี้ไม่เคยพูด เวลาได้เป็นขึ้นกับตัวเองแล้วก็ออกมาพูดได้อย่างสบาย เวลาก้าวลงทางจงกรมแล้วไม่รู้จักออกจากทางจงกรม จนกระทั่งก้าวขาไม่ออก มันเมื่อยมันล้าไปหมดเลยนั่นละ ไม่ว่ากลางคืนกลางวันนะถ้าได้ลง คือสติปัญญากับกิเลสอยู่ภายในใจมันไม่ถอยกัน มันเป็นอัตโนมัติ ธรรมก็จะเอากิเลสให้พัง ทีนี้กิเลสมันเคยอยู่บนหัวใจ เป็นกษัตริย์วัฏจักรอยู่บนหัวใจมานานเท่าไร มันจะยอมง่ายๆ หรือ มันก็ต้องฟัดกันเต็มเหนี่ยว นี่ละที่ว่าความเพียรกล้า มันเป็นเองของมัน
อย่างพระโสณะท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ทีนี้เวลามันจะได้เป็นพยานก็มาได้กับตัวเราเอง พอมันได้อย่างนี้แล้วก็เชื่อกันทันที แต่ก่อนเชื่อหรือไม่เชื่อก็อยู่แบบนั้นละ ว่าท่านทำความเพียรกล้าจนกระทั่งฝ่าเท้าแตกก็ฟังไป โอ๊ ความเพียรท่านเด็ดเดี่ยว เท่านั้นแหละไม่มาก แต่เวลาเข้าถึงตัวเองถึงขั้นที่ว่าความเพียรกล้านี้ มันยอมรับกันทันที ถ้าลงได้ลงทางจงกรมแล้วไม่รู้จักออกจากทางจงกรม จนกระทั่งก้าวขาไม่ออกไปไม่ไหว นั่นละตัดสินกัน พักเสีย ไม่ว่าจะลงกลางวันจะลงกลางคืน ถ้าได้ลงแล้วหมุนตลอดเลย เช้าสายบ่ายเย็นไม่สนใจยิ่งกว่าระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจ ไม่ยอมให้เผลอกันได้เลย ทีนี้เมื่อกลางคืนก็เดิน กลางวันก็เดิน เดินไม่หยุดไม่ถอย ฝ่าเท้าเรามันบางเข้าไป มันไม่ใช่แตกอย่างนี้นะ ฝ่าเท้ามันบาง หนังเท้าบางเข้าๆ จนจะถึงเนื้อ เมื่อถึงเนื้อแล้วก็เรียกว่าฝ่าเท้าแตก ความจริงมันกัดเข้าไปๆ ให้หนังนั้นบางเข้าไปถึงเนื้อ นี่เรียกว่าฝ่าเท้าแตก
เวลาเราเดินจงกรมนี้มันออกร้อนเหมือนฟืนเหมือนไฟเผาฝ่าเท้า มาลูบมาคลำดูก็ไม่เห็นแตก ฝ่าเท้าไม่แตกแต่มันเสียวมันเจ็บ ถ้าเลยจากนั้นแล้วฝ่าเท้ามันจะแตก นี่ก็เป็นพยานแล้ว ลงได้ก้าวลงทางจงกรมมันไม่รู้จักหยุดนี่ เรียกว่าก้าวขาไม่ออกนั่นละพักกันตอนนั้น ถ้าลงได้ลง ไม่ว่ากลางคืนกลางวัน คือความเพียรภายในใจมันไม่ถอย มันไม่ได้ออกมาส่วนร่างกาย ว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าประการใด เช้าสายบ่ายเย็นไม่มี มีแต่ฟัดกันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา นี่เรียกว่าความเพียรกล้า เดินไม่หยุด วันนี้ก็เดิน วันหน้าก็เดิน กลางคืนก็เดิน กลางวันก็เดิน มันก็ต้องบางเข้าไป หนังบางเข้าไปกัดเข้าไปถึงเนื้อในฝ่าเท้า จากนั้นก็เรียกว่าถึงเนื้อ พอถึงเนื้อแล้วก็เรียกว่าฝ่าเท้าแตก คือมันกัดเข้าไปๆ เป็นอย่างนั้น
ทีนี้ยอมรับที่พระโสณะท่านทำความเพียรจนฝ่าเท้าแตก ยอมรับโดยหลักธรรมชาติที่ตนเป็นขึ้นมามันก็รับกันเอง แต่สำหรับเรายังไม่เคยฝ่าเท้าแตก หากจวนแล้วนั่น จวนจะแตก มันออกร้อนเหมือนไฟลน จับมาดูก็ไม่เห็นแตก พอเอามือจับเสียวแปลบๆ เสียวเจ็บ มันจะแตกแล้วนั่น ถ้ากิเลสไม่แตกฝ่าเท้าต้องแตกแน่นอน นี่ก็เป็นพยานกันได้กับพระโสณะ เอาเรายันเลยเทียว ทีนี้กิเลสมันแตกเสียก่อนฝ่าเท้าก็เลยยังไม่แตก กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจแล้วความเพียรจะเพียรเพื่ออะไร มันก็ยุติกันเอง นี่ก็เป็นมาแล้วจึงได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
การพูดทั้งนี้พูดด้วยความเอาจริงเอาจัง เป็นความสัตย์ความจริง เป็นแบบเป็นฉบับทั้งตัวเองและผู้อื่นได้เลยเป็นอย่างดี นี่ละการประกอบความพากเพียรเมื่อมาเป็นกับเจ้าของมันก็เป็นพยานกันได้กับตำรับตำราที่ท่านแสดงไว้ยังไงต่อยังไง พอมาเป็นกับเจ้าของก็ยอมรับๆ อย่างพระโสณะท่านประกอบความเพียรจนฝ่าเท้าแตก เราไม่ถึงขั้นแตก แต่เวลามาลูบดูฝ่าเท้ามันเสียว เจ็บ จากนั้นมันจะแตกแล้วนั่น เท่านี้ก็เป็นพยาน อะไรที่มาเป็นกับเจ้าของแล้วก็เป็นพยาน
ดังพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ เอายันกันตรงนี้เลยกับผู้ปฏิบัติกำจัดกิเลสขาดจากหัวใจโดยสิ้นเชิงแล้ว พระพุทธเจ้ากับจิตดวงที่หลุดพ้นแล้วจากกิเลสทั้งหลายแปลกต่างกันอย่างไรบ้าง ที่นี่มันก็วิ่งเข้าถึงกันเป็นอันเดียวกัน พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ ใจเป็นธรรมธาตุล้วนๆ จ้าขึ้นมาแล้ว แล้วพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน เวลาจิตเข้าถึงธรรมธาตุบริสุทธิ์เต็มที่แล้ว นั้นแหละคือจิตดวงนี้อยู่ในท่ามกลางแห่งจิตพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์และสาวกทั้งหลายทุกๆ องค์ อยู่ในท่ามกลางแห่งพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายทุกๆ พระองค์ไม่สงสัย แล้วจะไปถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหนว่ามีกี่องค์ พระสาวกทั้งหลายมีกี่องค์ ธรรมชาติที่เป็นอยู่ในหัวใจของเรานี้มันกระจายถึงกันหมดแล้ว แล้วจะไปถามหาที่ไหน
พระพุทธเจ้าคืออะไร ก็คืออันนี้ นั่น พระสาวกอรหันต์คืออะไร ก็คืออันนี้ๆ ธรรมธาตุคืออะไร ก็คืออันนี้ นั่นมันยันอยู่ในหัวใจแล้วจะไปถามหาที่ไหน ท่านจึงแสดงไว้ให้เป็นเครื่องเตือนใจของเรา เป็นสักขีพยานได้เป็นอย่างดีว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต เมื่อเห็นธรรมประเภทนี้แล้วเห็นตถาคตทุกพระองค์ เห็นสาวกที่บริสุทธิ์แล้วทุกพระองค์ เรียกว่าอยู่ในท่ามกลางแห่งมรรคผลนิพพาน อยู่ในท่ามกลางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายและสาวกทั้งหลายโดยหลักธรรมชาติ แล้วจะไปถามหาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่ไหน จิตดวงนี้เป็นธรรมธาตุแล้วหาที่ไหน นั่น มันยืนยันกันอยู่ในหัวใจนะ เรียกว่าเราอยู่ในท่ามกลางแห่งความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าของสาวกทั้งหลายโดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องเสกสรร แล้วจะไปหาพระพุทธเจ้าที่ไหนอีก ก็เป็นอันเดียวกันแล้ว
เช่นอย่างเราอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร เราจะไปดูน้ำมหาสมุทรที่ไหนอีก ก็เราอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ทีนี้ท่ามกลางมหาวิมุตติมหานิพพาน ก็อยู่ในหัวใจของเราที่สิ้นกิเลสโดยสิ้นเชิงแล้วนั้น แล้วจะไปถามหาวิมุตตินิพพานที่ไหนอีก ถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหนอีกล่ะ นั้นละจิตที่บริสุทธิ์ เมื่อชำระสะสางให้ถึงขั้นบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ได้อย่างนี้ ธรรมะจึงเป็นธรรมะที่เด็ดขาด สอนโลกเรื่อยมา กิเลสขาดสะบั้นเรื่อยมา ธรรมะเป็นธรรมะสังหารกิเลส ถ้าพวกเรานำไปปฏิบัติก็สดๆ ร้อนๆ เป็น อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเข้ามากีดขวางทำลายได้เลยสำหรับผู้มีความเพียร ทำความดีทั้งหลายก็เป็น อกาลิโก ตักตวงเอาความดีตลอดจนกระทั่งถึงขั้นบริสุทธิ์ได้เช่นเดียวกันกับครั้งพุทธกาล ท่านจึงเรียกว่า อกาลิโก
ปฏิบัติตนตั้งแต่จิตมีตั้งแต่กิเลสหุ้มห่อ มองหาใจไม่เห็นเลย ตีกระจายออกไปด้วยความพากเพียร จนกระทั่งจิตมีความสง่าผ่าเผยสว่างจ้าขึ้นมาเต็มดวง กิเลสขาดสะบั้นไปจากใจหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นละที่นี่ถามหานิพพานที่ไหน ถามหาธรรมธาตุที่ไหน ถามหาพระพุทธเจ้า พระสาวกอรหันต์ที่ไหน ก็มันเป็นอันเดียวกันแล้ว นั่นละจิต เอาเจ้าของออกเป็นเครื่องยืนยัน ไม่ต้องไปถามใคร สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้ผลงานของตนโดยลำดับ จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ เป็นธรรมธาตุล้วนๆ เรียกว่าหมดสงสัย ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าและสาวกองค์ใดแหละ
ธรรมะเหล่านี้มีอยู่สดๆ ร้อนๆ นะ อยู่ในหัวใจของผู้ปฏิบัติ ไม่ใช่จะครึจะล้าสมัยให้กิเลสเหยียบย่ำเอา กิเลสมันพอกพูนตัวขึ้นมา มองดูคนแต่ละคนๆ มองหาคนไม่เห็น เห็นแต่กิเลสเต็มตัว มองไปที่ไหนมีแต่กิเลสเต็มตัวๆ ธรรมยิบๆ แย็บๆ ออกมาภายในใจไม่ค่อยมี แล้วเราจะหาความวิเศษวิโสที่ไหน เราจะหาจุดหมายปลายทางที่ไหนในการเกิดการตาย การได้รับความทุกข์ความลำบากลำบนในกาลต่อไป อันนี้มันบอกอยู่นี้ อยู่ในหัวใจที่ลุ่มๆ ดอนๆ สูงๆ ต่ำๆ หาหลักเกณฑ์ไม่ได้ ตายไปมันก็ไม่มีหลักเกณฑ์อย่างนี้แหละ ถ้าลงจิตมีหลักเกณฑ์มากน้อยมันจะแน่นหนามั่นคงขึ้นจนกระทั่งจิตบริสุทธิ์สุดส่วนแล้วหมด หายสงสัยโดยสิ้นเชิง ดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย
ท่านจึงตายง่ายมาก พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านตายง่ายมาก ไม่เหมือนพวกเราที่เป็นคลังกิเลส เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหัวใจป่วยแล้ว ร่างกายก็ไม่เท่าไรนัก แต่ใจมันเสียอกเสียใจเดือดร้อนวุ่นวาย นี่ใจมันป่วยแล้ว ยิ่งหนักเข้าเท่าไรใจก็ยิ่งป่วย ตายแล้วจมเลย เพราะไม่มีความดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ถ้ามีความดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวกายเป็นกาย โลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็มีอยู่กับกายอันนี้ ถึงกาลเวลามันแตกได้ทั้งเขาทั้งเรา ใจดวงนี้เป็นยังไงแตกไหม ใจดวงนี้ไม่เคยตายไม่เคยฉิบหายไม่เคยสูญไปไหน เมื่อธรรมกับใจเข้าครองกันแล้วเราจะไปถามหามันอะไรกฎ อนิจฺจํ ทุกขํ อนตฺตา ไม่มีในใจดวงที่บริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว ให้พากันตั้งอกตั้งใจ
วันนี้ก็เป็นวันมหามงคลแก่วัดป่าบ้านตาดของเรา ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ท่านเสด็จมาทั้งพระสวามี มาเสาะแสวงหาคุณงามความดี กราบอรรถกราบธรรมบำเพ็ญกุศลเข้าสู่จิตใจให้มีความสง่างาม ก็เป็นคติตัวอย่างแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายที่มาได้เห็นได้ยินได้ฟังกับท่านแล้ววันนี้ เป็นมหามงคลวันนี้ ให้พากันยึด ท่านอุตส่าห์พยายาม กรุงเทพกับนี้ใกล้เมื่อไร ไกลแสนไกล ถ้าเป็นรถก็ ๖ ชั่วโมงขึ้นไป เครื่องบินก็เป็นชั่วโมงกว่าจะมาถึง ก่อนจะมาถึงต้องเตรียมเนื้อเตรียมตัวเป็นความกังวลวุ่นวาย เป็นความทุกข์ไม่น้อย มาถึงแล้วก็ได้ฟังอรรถฟังธรรมไปเป็นคติเครื่องเตือนใจ ซักฟอกจิตใจของตนให้มีความสงบร่มเย็น
ใจนี้เป็นตัวการสำคัญมาก มหันตทุกข์ก็อยู่ที่ใจ บรมสุขก็อยู่ที่ใจ ถ้าใจปล่อยตามกิเลสตัณหาให้ฉุดลากไปนั้นก็เป็นมหันตทุกข์ตลอดไม่มีจุดหมายปลายทาง ภพใดชาติใดก็มีแต่ภพมหันตทุกข์ของสัตว์โลกที่หนาแน่นไปด้วยการวิ่งตามกิเลส นั่น ถ้าผู้มีอรรถมีธรรมก็มีช่องทางที่จะแหวกว่ายให้หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ไปโดยลำดับ จนกระทั่งหลุดพ้นไปโดยสิ้นเชิงได้ดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ท่านไม่มีทุกข์ในใจตั้งแต่วันท่านบรรลุธรรมตรัสรู้ธรรมผางขึ้นมาเท่านั้น ก็ชี้นิ้วได้เลยว่ากิเลสเท่านั้นไม่ว่าประเภทใดที่ยุแหย่ก่อกวนทำลายจิตใจให้หาความสงบไม่ได้ ไม่มีสิ่งอื่นใดสามโลกธาตุนี้ มีกิเลสเท่านั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรกวนใจเลย บรมสุขมาทันทีทันใด ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ
วันนี้ก็เป็นวันมหามงคลฟ้าหญิงท่านเสด็จ ฟ้าหญิงท่านเป็นลูกบุญธรรมของหลวงตา เพราะฉะนั้นจึงพูดในฐานะพ่อกับลูก ว่าฟ้าหญิงไปเลย ว่าไปอย่างนั้นเลย คนอื่นจะฟังยังไงก็ตาม เราฟังเข้าใจระหว่างพ่อกับลูกเป็นที่พอใจ เป็นคติของท่านทั้งหลายได้อย่างดีละวันนี้ ให้พากันไปประพฤติปฏิบัติ ธรรมนี้เป็นของเลิศเลอ ลงได้เข้าสู่ใจแล้วเรื่องสมมุติทั้งหลายขาดสะบั้นไปหมด เหลือแต่วิมุตติหลุดพ้น ท่านว่านิพพานเที่ยง เที่ยงอยู่ที่ใจ โดยที่กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่ก่อกวนให้เกิดทุกข์ มีแต่ธรรมบริสุทธิ์ล้วนๆ นิพพานเที่ยง หรือธรรมธาตุภายในใจจากการบำเพ็ญของตน
ให้พากันตั้งใจอุตส่าห์พยายามนะ โลกนี้ถ้าห่างไกลจากธรรมมากน้อยเพียงไร เรื่องฟืนเรื่องไฟของกิเลสที่มันเผาไหม้เข้ามานั้นใกล้ชิดติดพันเข้าโดยลำดับ ใครจะอยู่ในอิริยาบถใดไม่มีความหมาย เป็นทุกข์ได้ทั้งนั้น ถ้าลงกิเลสได้ทำงานอยู่บนหัวใจแล้วหาความสุขไม่ได้ ถ้ากิเลสค่อยเบาลงๆ ความสุขมี กิเลสขาดสะบั้นลงไปอยู่ไหนได้หมด เพราะฉะนั้นพระอรหันต์จึงไม่ค่อยมีประวัติ แต่ครั้งพุทธกาลไม่ค่อยมี มีแต่องค์ที่มีชื่อเสียงเรียงนาม เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ พระอานนท์ แล้วก็พระกัสสปะก็มีอย่างลึกลับ นอกนั้นไม่ค่อยมี เพราะอะไร เพราะท่านตายง่าย ถึงกาลเวลาแล้วนี้ท่านเข้าในร่มไม้ร่มไหนเท่านั้นละพิจารณาปล่อยปั๊วะไปเลย
ธาตุขันธ์นี้เป็นของสมมุติ ธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ปล่อยไปตามสภาพเดิมของเขา จิตที่บริสุทธิ์ล้วนๆ แล้วเป็นอมตธรรมไม่มีตาย นั่นท่านจึงตายง่าย ตายที่ไหนท่านตายได้ แล้วไม่ค่อยมีประวัติออกมานะ พวกเรานี้ลั่นโลก ร่ำลือกันเรื่องตาย แต่ก็ไม่เห็นมันลดความตายลงจากการร่ำลือการตื่นเต้นไม่มีวันจืดจาง ไม่มีวันเข็ดหลาบอิ่มพอ พูดถึงเรื่องเป็นเรื่องตายลั่นโลกไปหมด กลัวกันทั้งโลก พูดกันทั้งโลกกระเทือนโลกไปหมด เอาจิตให้มันขาดสะบั้นจากสิ่งที่มายั่วยวนให้จิตใจกระเทือน คือกิเลสออกให้หมดแล้วอยู่ไหนสบายหมด นั่นละที่ว่าพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านตายง่าย ง่ายอย่างนี้เอง ปล่อย ประสาธาตุขันธ์ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดีดผึงเลย ใช้ไม่ได้แล้วหรือไม่ได้แล้วปล่อยปุ๊บเลยไปเลย ท่านเป็นอย่างนั้น
ถ้าห่างเหินจากศีลธรรมแล้วไม่มีความหมายนะ เราจะไปหวังพึ่งโลกไหนในสามโลกธาตุ มันเป็นโลกกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เหยียบอยู่ตลอดเวลา ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ให้ความสุขแก่คนที่ไหน ธรรมชาติที่พ้นนี้แล้วนั้นละความสุข กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไม่ถึง นั้นละคือพระนิพพาน เร่งความพากความเพียรให้ดี ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อย่ามองดูคนอื่นคนใดมากยิ่งกว่ามองดูเจ้าของ ให้ดูเจ้าของนั้นแหละจะได้เห็นความเคลื่อนไหวของใจ ที่มันดีดมันดิ้นยิ่งกว่าลิงร้อยตัวอยู่ในใจแต่ละดวงๆ คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คิดเรื่องคนนั้นคนนี้ไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ เจ้าของไม่ดีไม่คิด ไม่ดูตัวมันคึกมันคะนองดีดดิ้นอยู่ภายในใจ แล้ววันยังค่ำมันก็เป็นทุกข์ในเจ้าของนะ ว่าเขาไม่ดีแต่ตัวเป็นไฟไม่เป็นท่า
ให้ดูตัวมันเป็นไฟนี่ ให้มันสงบเย็นลงไป เมื่อตัวนี้สงบเย็นใครจะอยู่ยังไงก็เป็นกรรมของสัตว์ต่างคนต่างอยู่ ความสุขความทุกข์เป็นสมบัติของใครของเรา แบ่งสันปันส่วนกันไม่ได้ เราจะทำยังไงกับสมบัติอันดีงามกับความชั่วที่กำลังรบกันอยู่ภายในตัวของเรานี้ ให้แก้ไขดัดแปลงตัวนี้ให้ดี เมื่อแก้ไขดัดแปลงตัวนี้ดีแล้วอยู่ไหนดีหมด สบายหมด วันนี้ก็ได้เทศน์เพียงเท่านี้นะ วันนี้ฟ้าหญิงท่านเสด็จมาเป็นมงคลแก่พี่น้องของเราทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งในวัดป่าบ้านตาดได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังทั่วถึงกันละ การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่กาลเวลาและธาตุขันธ์ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |