เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
สมมุติขาดสะบั้นเหลือแต่ธรรมธาตุ
ขานี่ต้องเหยียดไม่เหยียดไม่ได้..ปวดเป็นกำลัง ครั้นเหยียดนานๆ ก็ปวดอีกแหละ ได้คู้อีกอยู่อย่างนั้น ต่อไปนี้จะได้เอานิทานสูสุดทอมาใช้ เข้าใจไหมนิทานสูสุดทอ เขาตั้งยศให้ชื่อสูสุดทอ เขาอยู่ในป่าอย่างนี้แหละ เขาหาอยู่หากินในป่า อาหารป่าอะไรนี้ไปถวยนายถวายนาย สองคนเขาเป็นเพื่อนกัน ได้ของมาก็หามของไป ของป่าเป็นผักเป็นหญ้าปูปลาอะไรก็แล้วแต่ เจ้านายเห็นมีความดีความชอบก็เลยตั้งยศให้ ที่ไปด้วยกันสองคนเขาเป็นเพื่อนกัน แต่เวลาได้ยศได้คนเดียว ตั้งให้ผู้ที่เอาของไปให้นายนั่นแหละว่ามีความดีความชอบ ตั้งยศให้เป็นสูสุดทอ
พอตั้งยศให้เป็นสูสุดทอ กลับออกมาแล้วไม้คานที่ใช้หามของไปนั่นน่ะ หามไปไม่ได้เป็นสูสุดทอแล้ว ก็เลยให้เพื่อนถือไป เพื่อนมันก็ฉลาด เอ้า เพื่อนถือไม้นี่ เราเป็นสูสุดทอแล้วแบกไม้กลับคืนไปไม่ได้แหละ อ้าว เพื่อนเป็นสูสุดทอ เราเป็นเพื่อนกันเราก็เป็นสูสุดทอด้วยจะว่าไง ตกลงก็เลยต้องแบกด้วยกัน คนนี้เป็นสูสุดทอต้องไปก่อน อันนี้ก็เป็นสูสุดทอเพราะเป็นเพื่อนกัน แล้วทำไง ก็เลยต้องแบกไปเหมือนคานล้อคานเกวียน
พอไปถึงบ้านเพื่อน มันรำคาญจะตายแล้ว พอไปถึงบ้าน ที่เอาไม้คานมาด้วยกัน จะแบกข้างหน้าข้างหลังก็ไม่ได้เพราะเป็นสูสุดทอด้วยกัน มันก็เลยจับเอาไม้ปาเข้าป่าแล้วหนีไป ไอ้คนได้ยศก็บ้ายศที่นี่นะ ได้ยศแล้วลักษณะท่าทางต่างไปหมดเลย พวกลูกเต้าทั้งหลายเขามองเห็น เอ๊ะ ทำไมพ่อเป็นอย่างนี้ ทุกวันก็เห็นธรรมดาๆ วันนี้ทำไมถึงแปลกประหลาดเอาเหลือเกิน อย่างว่าแหละลูก ฟังซิ พ่อไปหานายเมื่อวานนี้ เขาตั้งตำแหน่งให้พ่อ ได้ยศมาแล้วนี้รู้สึกว่าพ่อยศสูง ได้ยศเป็นสูสุดทอ ดูลักษณะเหมือนบ้าว่างั้นเถอะ บ้ายศ
เพื่อนที่แบกไม้มาด้วยกันมันรำคาญมันเอาไม้โยนเข้าป่าแล้วหนีไป ทีนี้ลูกสาวเลยถาม เป็นยังไงคุณพ่อ ไปด้วยกันเมื่อวานนี้ วันนี้ดูพ่อแปลกเหลือเกิน เป็นยังไง อย่างว่าแหละกูรำคาญจะตาย เลยเอาไม้ที่หามอาหารไปให้นาย กลับมาแล้วกูโยนเข้าป่า กูรำคาญมัน มันเป็นบ้ายศ ว่างั้นนะเพื่อน มาถึงบ้านแล้วยังไม่รู้ตัว ยังนั่งขัดสมาธิ ก็คนตั้งแต่เกิดมามันไม่เคยขัดสมาธิ อย่างมากก็นั่งชันเข่าคนบ้านนอกบ้านนา ตื่นเช้าก็ชันเข่า วันนั้นได้ตำแหน่งสูสุดทอมาเลยนั่งขัดสมาธิ
ทีนี้ลูกเอาข้าวไปให้กิน สำรับวางไว้หน้านี้ กินไปกินมาก็ถามลูก มันใช่กูไหมล่ะสู ทำไมคุณพ่อจึงว่าอย่างนั้น ก็มันใช่กูไหมล่ะ สูช่วยดูให้หน่อย ลูกเอาข้าวมาให้กิน ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยนั่งขัดสมาธิกินข้าว ก็นั่งตามอัธยาศัยคนบ้านนอกบ้านนาเรา วันนั้นเพื่อให้เต็มยศ พอได้สูสุดทอแล้วก็นั่งขัดสมาธิกินข้าว สำรับอยู่ข้างหน้านี่ กินไปๆ ก็เอาเท้าเตะสำรับกระจายไป อ้าว ทำไมพ่อถึงเตะสำรับ ทุกวันไม่เห็นเตะ ก็แต่ก่อนกูไม่ได้เป็นสูสุดทอ วันนี้กูเป็นสูสุดทอ อาหารมันไม่สมยศกู ความจริงแกเผลอ คนไม่เคยนั่งขัดสมาธิ พอเผลอก็เลยเตะออกไป ยังบอกว่ามันไม่สมยศกู ความจริงมันเผลอ
ลูกก็เลยไปถามคนที่เป็นเสี่ยวกันเป็นเพื่อนกันกับพ่อ กูดูมันเป็นบ้ามาตั้งแต่ได้ยศมาแล้วแหละ ยศมันก็จำไม่ได้นะ มาถึงบ้านลูกถาม ไหนพ่อว่าได้ยศมาทำไมถึงเป็นบ้า บ้าอะไรกูยศใหญ่ขนาดนี้ยังว่ากูเป็นบ้าอีกเหรอ แล้วยศนั่นว่ายังไง ชื่ออะไรกูจำไม่ได้ มันเหมือนกะทอนี่ละ ลองไปถามเสี่ยวกูดูซิ ลูกเขาก็เลยไปถาม อีพ่อกำลังเป็นบ้าเวลานี้ ถามชื่อยศก็ไม่รู้ ว่าชื่อเหมือนกระทงกะทอ ถามพ่อยศที่ได้มานั้นชื่อว่ายังไง บอกไม่ถูกแต่มันเหมือนกะทอ อู๊ย ชื่อมันสูสุดทอ นี่นิทานคนบ้ายศ
(รายงานช่วยน้ำท่วม อันดับหนึ่ง อ.บางเลน จ.นครปฐม ๑,๘๕๐ ครอบครัว ช่วยถุงยังชีพต่างๆ รวมทั้งข้าวสารเป็นมูลค่า ๑,๐๙๑,๒๕๐ บาท อันดับสอง อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา มี ๖ ตำบล รวมทั้งหมด ๓,๐๐๐ ครอบครัว ช่วยไปเป็นมูลค่าเงิน ๑,๐๕๔,๖๕๐ บาท อันดับสาม อ.บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี และอันดับที่สี่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี รวมสองอำเภอเป็น ๔,๗๓๐ ครอบครัว รวมเป็นมูลค่าเงินทั้งสิ้น ๒,๒๒๙,๙๙๗ บาท ๕๐ สตางค์ ทั้งหมด ๔ รายการที่ต้องจ่าย ๔,๓๔๘,๘๙๗ บาท ๕๐ สตางค์) พอใจๆ นี่เตรียมไว้แล้ว พอใจจ่าย เขียนเช็คให้เขาไปโอนกัน เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
ถึงไหนถึงกันแหละเรา มันเป็นอยู่ในจิตพูดให้ใครฟังไม่ได้ เราพูดจริงๆ ในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ จิตประเภทนี้แต่ก่อนเราก็ไม่เคยเป็น ก็ธรรมดาท่านๆ เราๆ แต่เวลามันมาเป็นแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น พูดได้แต่ว่าอัศจรรย์เท่านั้น เกินคาดเกินหมาย ในวงสมมุติคาดไม่ถึง อันนั้นละพาให้เป็น..ความเมตตา มันนิ่มไปหมดเลย ที่จะถือว่าใครเป็นข้าศึกศัตรูต่อเรานี้ ความเมตตาครอบไปหมด ไม่มีข้าศึก ใครจะตามฆ่าตามฟันก็ตามเราไม่มีข้าศึก มีแต่เมตตาตลอด นี่หลักธรรมชาติ จึงว่าอ่อนนิ่มไปหมด
เราช่วยโลกช่วยด้วยความเมตตา ที่ไปทุกวันๆ นี้ใครมาถามไม่ได้เดี๋ยวตีปากเอา เราคิดของเราเรียบร้อยแล้วจากความเมตตานี้เป็นสำคัญดันออกๆ วันนี้ไปไหนๆ อย่างนั้นตลอดเลย ช่วยให้สุดขีด เราก็ได้บอกให้พี่น้องทั้งหลายทราบชัดเจนแล้วในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ที่ฝากเป็นฝากตาย มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีแง่สงสัยเลยว่า ตั้งแต่เราบำเพ็ญมาธรรมชาติอันนี้เราก็ไม่เคยเป็น เวลาบำเพ็ญมาตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลาน ไปน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาเราก็ได้เล่าให้ฟัง ผูกโกรธผูกแค้นให้กิเลส คือตั้งสติไม่ได้เลย นี่ละที่ว่าไม่ลืม ตั้งพับล้มพับๆ มันรวดเร็ว น้ำตาร่วง
ออกอุทานในใจนะ โอ้โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ แต่ไม่ได้พูดเป็นคำพูดเพราะอยู่คนเดียว สู้กิเลสไม่ได้ กระแสของกิเลสมันรุนแรง พอตั้งสติพับ ปุ๊บเดียวหายเงียบๆ นี่เราพูดถึงเริ่มต้นล้มลุกคลุกคลานอย่างที่ว่านี่แหละ แต่สำคัญที่จิตมันไม่ถอย ความมุ่งมั่นในพระนิพพานนี้แข็งแกร่งเชียว ทั้ง ๆ ที่ล้มลุกคลุกคลาน มีแต่ความมุ่งมั่นต่อพระนิพพานแดนพ้นทุกข์ จะให้ได้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เต็มหัวใจ เพราะฉะนั้นอะไรจึงไม่มีอุปสรรคได้เลย เอากันพังไปเลย ที่ว่าตั้งสติไม่อยู่น้ำตาร่วงบนภูเขา ขึ้นอุทานเลย โห มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ
เอาละ นั่นตัดสินกันนะ ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย นี่คือเคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจเจ้าของที่เป็นภัยต่อเจ้าของเป็นธรรม ความเคียดแค้นให้บุคคลและสัตว์ตัวใดก็ตามเป็นกิเลส เป็นบาปเป็นกรรมเป็นเวรทั้งนั้น แต่ความเคียดแค้นให้กิเลสซึ่งเป็นข้าศึกในหัวใจของตนนี้เป็นธรรม อันนั้นละเป็นเรื่องมุมานะ ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่งให้กูถอยกูไม่ถอย อันนี้ละเป็นเชื้อสำคัญฝังลึกมาก พร้อมกับจิตมุ่งมั่นต่อแดนนิพพาน ในชาตินี้จะให้ถึงนิพพานให้เป็นพระอรหันต์ เปิดเสียให้มันชัดเจนจวนจะตายแล้ว
โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น นี่ละโรงงานใหญ่ไปลับเครื่องไม้เครื่องมือทุกอย่างส่งเสริมกำลังทุกด้านทุกทาง พอท่านเทศน์ให้ฟังแล้วธรรมะนี้ไหลเข้าสู่ใจๆ มีกำลังวังชา สติปัญญาก็ค่อยหมุนตัวไปด้วยอำนาจแห่งพลังของความตั้งอกตั้งใจ หมุนเรื่อยไปๆ จนกระทั่งตั้งได้ที่นี่ ต่อไปก็ตั้งสติได้ ตั้งสติได้ก็ซัดกันใหญ่เลย พอตั้งสติได้แล้วจากนั้นมาก็ไปรับท่านที่ท่านไปเผาศพหลวงปู่เสาร์นั่นละ ท่านก็สั่งไว้นั่นเราอยู่คนเดียวเสียด้วยนาสีนวลอยู่วัดร้างเขา อยู่ในป่า พอดีเป็นจังหวะดีเลย เอ้า ท่านมหาอยู่นี่นะท่านว่างั้นท่านสั่ง นี่จะไปเผาศพครูจารย์เสียก่อน แล้วจะกลับมาหาท่านว่างั้น เราไม่ได้ลืม ตั้งใจภาวนาให้ดีนะท่านว่า เท่านั้นละ
ฝังลึกนะคำพูดของท่าน พอท่านไปกำหนดวัน เพราะรู้แล้วว่าท่านไม่สนใจกับอะไร ท่านจะไปตามหน้าที่ที่จำเป็นจริงๆ เท่านั้น นี่ก็ไปเผาศพเป็นอาจารย์ของท่านหลวงปู่เสาร์ ท่านจะไปวันนั้นๆ แล้วเผาศพวันนั้น วันหลังท่านจะกลับเราคิดเรียบร้อยแล้ว พอถึงเวลาที่ท่านจะกลับเราก็ออกจากนาสีนวลไปรับท่านที่ธาตุพนม พอดีท่านมาถึง เราไปถึงวันนี้ท่านก็ถึงวันนั้นพอดีกำหนด แล้วก็มาด้วยกัน กลับมาบ้านนามน นี่ตั้งสติได้แล้วนะนั่น สติตั้งได้แล้วตอนนั้น ตั้งแต่อยู่คนเดียวฝึกซ้อมคนเดียว ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่ให้เผลอเลย เอาขนาดนั้นนะ สุดท้ายก็ตั้งได้
เรื่องกิเลสนี้มันดันขึ้นมานะ คือความอยากคิดอยากปรุงนั่นละที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สังขารนี้หนุนมาจากอวิชชาให้คิดให้ปรุงอยากคิดอยากปรุง ไม่ได้คิดไม่ได้ปรุงอยู่ไม่ได้เหมือนอกจะแตก ทีนี้สติตีลงไปครอบลงไปไม่ให้มันคิด เอาสติติดไว้ จึงกล้ามาพูดได้เลยว่า กิเลสจะหนาแน่นขนาดไหนก็ตามถ้าสติดีอยู่แล้วกิเลสเกิดไม่ได้ คือมันปรุงออกมานั่นเรียกว่ากิเลสเกิด มันอยู่ภายในอวิชชาดันออกมา พอสติดีแล้วที่นี่มันก็ปรุงไม่ได้เหมือนอกจะแตกนะมันดัน ซัดกันใหญ่เลยเทียว ไม่ยอมให้ปรุงให้คิด ให้มีแต่พุทโธกับสติอันเดียวติดกันตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไม่ให้เผลอ
เหมือนอยู่คนเดียว ไปบิณฑบาตอย่างนี้ก็เหมือนไม่มีผู้มีคน พุทโธกับสตินี้เผลอไปไม่ได้ เขาเอาอะไรใส่บาตรไม่สนใจเลย ต่อมาก็ตั้งได้ พอตั้งตัวได้ก็ขึ้นนั่งฟาดเสียนั่งภาวนาหามรุ่งหามค่ำละที่นี่ เอาตลอดรุ่งๆ อันนี้ก็พ่อแม่ครูจารย์ได้รั้งเอาไว้ เพราะนั่งตลอดรุ่งวันไหนความอัศจรรย์ที่ไม่เคยคาดเคยหมาย มันเกิดขึ้นในเวลาจนตรอกจนมุม คนเราจะตายจริงๆ สติปัญญามีนะ เราอย่าเข้าใจว่าจะโง่ตลอดไป เวลาจำเป็นจะเป็นจะตายจริงๆ มันหาทางออกจนได้ด้วยสติปัญญานั้นแหละ อันนี้มันก็ได้ธรรมอัศจรรย์ในคืนวันนั่งตลอดรุ่ง ตั้งแต่คืนแรกเลย สว่างจ้าขึ้นมา โถ อัศจรรย์ ก็ไปกราบเรียนพ่อแม่ครูจารย์มั่น
โห ธรรมดาลูกศิษย์ลูกหาขึ้นไปหาครูบาอาจารย์ก็เหมือนผ้าพับไว้ๆ ไม่ว่าท่านว่าเราเหมือนกันหมด กิริยามารยาทอันนี้มันหากเป็นเองของมันด้วยความเคารพเลื่อมใสครูบาอาจารย์ ทีนี้วันนั้นขึ้นไปกิริยามารยาทก็ดีทีแรกที่ยังไม่ได้ขึ้นเวทีนะ ไปนั่งก็เรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้ พอเริ่มภาวนาเป็นนี้ผึงขึ้นเลย อำนาจของจิตที่มันเป็นรุนแรงมาก ท่านก็นั่งนิ่งเลย เรื่องอัศจรรย์ที่ฟัดกันในคืนวันนั้นลงถึงแดนอัศจรรย์ พอจบลง เอ้อ เอาละได้หลักแล้ว นั่นท่านส่งเสริม เอาละที่นี่ได้หลักแล้ว เอาให้เต็มที่นะ อัตภาพนี้มันไม่ได้ตายถึงห้าหนนะ มันตายหนเดียวเท่านั้น เอาลงคราวนี้ได้หลักแล้วท่านแล้ว
เราก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง พอออกจากท่านไปนี้ไม่ว่าใบสดใบไม้แห้งร่วงลงมานึกว่าข้าศึก ทั้งจะเห่าทั้งจะกัด วันหลังเอาอีกๆ จนกระทั่งท่านรั้งเอาไว้ คือท่านยกม้ามา ม้าตัวไหนที่มันคึกคะนองมากๆ ไม่ฟังเสียงเจ้าของเลยนี้สารถีเขาจะฝึกอย่างหนักท่านว่างี้นะ พอขึ้นไปกราบเท่านั้นยังไม่ได้พูดอะไรเลย พูดก็จะพูดเรื่องจิตที่มันเป็นนี้แหละ ท่านขึ้นอันนี้ก่อน เอาจนกระทั่งม้านี้เรียกว่าไม่ให้กิน ไม่ควรกินหญ้าไม่ให้กิน ไม่ควรกินน้ำไม่ให้กิน แต่การฝึกฝึกอย่างหนัก เอาจนกระทั่งม้านี้ค่อยลดพยศลงๆ การฝึกของเขาก็ค่อยลดลงตามๆ กันท่านว่า จนกระทั่งม้านี้ใช้การใช้งานได้แล้วไม่คึกไม่คะนองนั้น เขาปฏิบัติต่อม้าก็เป็นธรรมดาไปเลย
แต่เรายังเสียดายคำหนึ่ง ไอ้หมาตัวนี้มันฝึกยังไง อยากให้ท่านย้อนถามมาหาเรา ท่านพูดเท่านั้นท่านจบ แต่มันเข้าใจหมดแล้วนี่ ในตำราก็เรียนมามีอยู่แล้วในตำรา จากนั้นมาก็ไม่นั่งตลอดรุ่งอีกนะ อย่างนั้นละคือท่านรั้งเตือนอย่างนั้นรั้ง ไม่งั้นมันจะเอาอีก จากนั้นก็เรื่อย ตั้งรากตั้งฐานได้เรื่อยๆ เลย มาจากนู้นละจากตั้งสติไม่อยู่น้ำตาร่วงบนภูเขาเคียดแค้น โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอยละ นั่นละเป็นเชื้อสำคัญฝังในจิตมันก็ฟัดกันใหญ่เลย จนกระทั่งไปได้ๆ
ตอนตั้งรากตั้งฐานได้แล้วเข้าสู่ขั้นสมาธิเหมือนหินแน่นปึ๋งๆ ติดอยู่นั้นอีกไม่อยากออกไปไหน นั่งทั้งวันนี้ไม่คิดไม่ปรุง ความคิดความปรุงเป็นเรื่องรำคาญกวนใจ กวนใจที่เป็นสมาธิมีอารมณ์อันเดียวแน่ว พอคิดปรุงแป๊บหนึ่งมันเหมือนว่ากวนๆ ไม่คิด นิ่ง มันเลยติดสมาธิ ท่านก็ไล่ออกจากสมาธิ สมาธิไม่ได้แก้กิเลสนะ นั่นฟังเวลาท่านจะเอา สมาธิไม่ได้แก้กิเลสนะ ปัญญาต่างหากแก้กิเลส สมาธิจะนอนตายเป็นหมูขึ้นเขียงอยู่ยังไง จมอยู่นั้นนะ ปัญญาต่างหากแก้กิเลส นี่ละมันออก พอว่าปัญญาต่างหากแก้กิเลส ก็ออกทางด้านปัญญา
เพราะจิตมันอิ่มอารมณ์แล้ว มันไม่หิวอารมณ์อะไรๆ ในโลก พอหมุนทางด้านปัญญามันก็ผึงเลยเชียว ผึงก็เอาจริง แต่นิสัยเรามันผาดโผนอย่างว่าละ ท่านต้องรั้งไว้ตลอด จากนั้นก็ออกทางด้านปัญญา ออกมันก็ออกจริงๆ เพราะสมาธิหนุนหลังมันเต็มที่แล้ว สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาที่มีสมาธิอบรมแล้วย่อมเดินได้คล่องตัว ทีนี้เมื่อสมาธิหนุนหลังแล้วปัญญาออกก็เดินได้คล่องตัว มันก็พุ่งๆ ไม่ได้หลับได้นอนนะ นี่ละมันไม่พอดี กลางคืนทั้งคืนตลอดรุ่งไม่หลับเลย มันหมุนกันอยู่ภายในใจ นั่งก็หมุนกัน นอนก็หมุนกัน อยู่อิริยาบถใดว่านอนจิตมันไม่ได้นอนหมุนตลอด สุดท้ายก็แจ้ง
ก็มากราบเรียนท่าน ท่านก็รั้งเอาไว้ ให้มีเวลาพักมีเวลาทำงาน เขาทำงานจะเพลินแต่รายได้อย่างเดียว ไม่ได้คำนึงคำนวณถึงกำลังวังชาตายได้คนเรา ว่างั้นนะ ต้องมีการพักผ่อนหย่อนตัวการทำงาน ก็เรียกว่าเวลาปัญญาออกให้ออก เวลาพักทางสมาธิเพื่อเอากำลังให้พักความหมายว่างั้น ท่านรั้งเอาไว้ๆ จากนั้นมันก็พุ่งเลยละ นี่ละที่นี่สติปัญญาเป็นอัตโนมัติละ จากนี้ไปแล้วเป็นอัตโนมัติคือว่าเป็นเอง นี่ละที่นี่ย้อนหลังพิจารณาถึงเรื่องกิเลสอยู่บนหัวใจสัตว์โลก มีอยู่ทุกหัวใจไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคล กิเลสเขาจะทำงานอยู่บนหัวใจของสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของเขาฉันใด สติปัญญาเมื่อมีกำลังกล้าแล้วทำงานฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติของตัวเองเหมือนกันเลย
เมื่อเห็นเป็นในเจ้าของมันก็ไปคิดถึงเรื่องกิเลสทำงานบนหัวใจโลกเป็นอัตโนมัติ สติปัญญาฆ่ากิเลสเมื่อถึงขั้นนี้แล้วมันก็เป็นอัตโนมัติรอไม่ได้เลย ฟาดนี้จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ข้าศึกมหาภัยนี้ได้ขาดสะบั้นลงไป เงียบเลย ทีนี้ก็ชี้ได้เลยว่ามีกิเลสเท่านั้นเป็นตัวที่ก่อกวนมากที่สุด พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรกวนใจ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ไม่มีทุกข์เพราะไม่มีอะไรกวนใจ สิ่งที่กวนใจคือกิเลสสมุทัยตัวก่อให้เกิดทุกข์ ขาดสะบั้นไปหมดไม่มีอะไรกวน เป็นบรมสุขตลอด ยืน เดิน นั่ง นอน จนกระทั่งนิพพานไปเลย นี่ละอำนาจแห่งการประพฤติปฏิบัติตัว
สติเป็นสำคัญ นักภาวนาให้ตั้งสติให้ดี สตินี้ก็ขึ้นอยู่กับการอยู่การกินเหมือนกัน คือถ้าวันไหนเรากินมากวันนั้นสติไม่ดี ถ้ายิ่งกินมากเป็นหมูขึ้นเขียงสติล้มเลยๆ ใช้ไม่ได้ ผ่อนลงกินแต่น้อยๆ สติดีขึ้นๆ ทั้งอดทั้งกินทั้งผ่อนนั่นละทีนี้พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป นี้ทำมาหมดแล้วจึงค่อยได้ก้าวเดินๆ เดินมา จนกระทั่งถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ แม้ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ อาหารก็ทำให้อืดอาดได้เหมือนกัน มันพิจารณาโดยอัตโนมัติของมันแต่ลักษณะเหมือนรถบรรทุกของหนัก มันก็ไปของมันแต่ช้า แต่เวลาผ่อนอาหารลงไปนี้มันคล่องตัวๆ
การอดอาหารผ่อนอาหารเป็นคู่เคียงกัน เพื่อหนุนสติปัญญาให้คมกล้าแหลมคมคล่องตัวไปโดยลำดับลำดา ให้พากันจำเอา ที่พูดมาทั้งหมดนี้ผ่านมาหมดแล้ว สอนจึงถูกต้องแม่นยำไม่สงสัยเลย เราทำเอง ผิดพลาดประการเรารับมาหมดแล้ว มาคลี่คลายบวกลบคูณหารดูแล้วเอาแต่สิ่งที่ถูกต้องพูดให้ผู้ฟังทั้งหลายหายสงสัย ไม่ผิดว่างั้นเลย ให้พากันจำเอา
อะไรจะเลิศยิ่งกว่าธรรมของพระพุทธเจ้าไม่มี ในโลกนี้ไม่มีเลย มีธรรมเท่านั้น ให้มันเป็นอยู่ในจิตเสียทีเดียวแล้วอยู่ที่ไหนจ้าตลอดเวลาเลย นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยง คือจิตดวงนี้เอง จิตดวงเป็นธรรมธาตุอยู่ในร่างกายที่เน่าเฟะนี้แหละ แต่จิตเป็นธรรมธาตุเป็นอย่างนั้น พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปก็เหลือแต่ธรรมธาตุ ทีนี้พูดไม่ถูก พอร่างกายที่เป็นสมมุติขาดสะบั้นลงไปหมดแล้วเหลือแต่ธรรมธาตุ คำว่าธรรมธาตุนี้ก็ยังหยาบไปแล้ว ต่อจากนั้นไปคืออะไรเจ้าของไม่สงสัย แต่จะพูดออกมานี้ไม่ค่อยถูกละ พากันจำเอา
พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว เราเอาตัวของเรามาพิสูจน์สอนบรรดาพี่น้องทั้งหลาย เพราะฉะนั้นถึงได้กล้าพูด ซึ่งเกิดมาเราไม่เคยคาดเคยคิดว่าจะพูดได้อย่างนี้ ดังที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต เห็นอย่างไร มันก็มาจ้อกันตรงนี้ซิ พอจิตจ้าขึ้นนี้เลย ธรรมชาติของจิตที่บริสุทธิ์กับจิตของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย จะมีมากี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม บริสุทธิ์เป็นอันเดียวกันหมด ทั้งจิตเราที่พึ่งปรากฏขึ้นมานี้ กับจิตของท่านที่ผ่านพ้นไปแล้วเป็นอันเดียวกันเลย เหมือนแม่น้ำมหาสมุทรนี้มันเป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน เป็นอันเดียวกันอยู่ในท่ามกลางมหาวิมุตติมหานิพพาน
แล้วจะไปถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ว่าพระพุทธเจ้ามีกี่องค์ พระสาวกทั้งหลายมีกี่องค์ อันเดียวกันนี้เท่านั้นกระเทือนไปหมดเลย นี่ละผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า อยู่ในท่ามกลางแห่งพุทธะทั้งหลาย แห่งพระอรหันต์ทั้งหลายคือจิตที่บริสุทธิ์แล้ว เป็นอันเดียวกันหมด พากันจำเอานะ แล้วใครเห็นธรรมเห็นยังไง อยากเห็นอยากไปเมืองโน้นเมืองนี้ เถลไถลไปเที่ยวเมืองนั้นเมืองนี้ เมืองอินดงอินเดียอะไร เมืองนั้นก็เมืองคลังกิเลสเหมือนกันกับเมืองไทยเรา ไปไหนมันก็เป็นคลังกิเลสเหมือนกัน ถ้าเมืองไหนที่มีธรรมในใจแล้วอยู่ไหนเป็นธรรมหมดนะ พากันจำเอา เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |