เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
ตายแล้วจะไม่ได้ช่วย
ก่อนจังหัน
เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ อยู่ในสถานที่ใดๆ ไม่ว่าวงราชการงานเมือง ใหญ่โตเท่าไรให้มีธรรมแทรกเข้าๆ จะน่าดูนะ เวลานี้วงราชการต่างๆ มันเป็นวงลิงวงกินวงกลืนกัน มันไม่มีธรรม มีแต่พุง กินกันแหลกๆ ฟังแล้วสลดสังเวช ธรรมดู ธรรมท่านสม่ำเสมอ ดูเอาซิแจกอาหารให้สม่ำเสมอ ปากท้องมีเสมอกันหมด อะไรๆ ก็ให้สม่ำเสมอหมด แต่เรื่องกิเลสนี้กลืนกินๆ ได้แบบไหนเอาแบบไหนเอา เอาธรรมมาดูดูไม่ได้นะสลดสังเวช เพราะฉะนั้นโลกถึงได้ร้อน กิเลสละพาให้ร้อน ธรรมไม่มีคำว่าร้อน ไปที่ไหนชุ่มเย็นๆ ไม่ต้องถามชาติชั้นวรรณะกัน ธรรมเข้าปั๊บถึงกันหมดเลย ตายใจกันได้ๆ นั่นละธรรม ไม่มีอะไรเหนือธรรม ธรรมจึงเป็นที่ตายใจของโลก กิเลสไม่มีใครตายใจ แต่หมอบกับมันตลอด ตายใจหรือไม่ตายใจเราก็ไม่รู้ละ หมอบกับมันตลอดเวลาเลย
ท่านทั้งหลายที่มาวัดมาวาให้ดูเป็นคติตัวอย่าง นำไปใช้ในบ้านในเรือน หน้าที่การงาน วัดนี้ใครขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ เอาจริงเอาจังนี่ไม่ได้ทำเล่นๆ อย่างน้อยเตือนก่อน จากนั้นไล่ออก หนัก ผู้ที่ดีทั้งหลายหนัก ได้รับภาระจากความสกปรกของพวกที่มาอยู่ ความสกปรกนี่ทำให้หนัก ทุกอย่างหนัก หนักจิตหนักใจ จึงต้องได้ดูแลกันตลอด
ศาสนาหรือธรรมของพระพุทธเจ้านี้ละเอียดสุดยอด ถ้าใครไม่ได้ผ่านพุทธศาสนาเสียก่อนอย่าอวดเก่งนะ ไอ้พวกอวดเก่งๆ ทุกวันนี้มันกินมันกลืนกัน มีแต่พวกเหยียบหัวศาสนา ซึ่งเราเป็นชาวพุทธๆ แล้วเหยียบหัวพระพุทธเจ้าไป มันไม่ได้มีอรรถมีธรรมอะไรนะ กิเลสนี้มันหยาบมากที่สุด มันไม่มองเห็นหน้าใคร หน้ากิเลสคือหน้าด้าน ไปที่ไหนหน้าด้านหมดไม่ว่าพระไม่ว่าฆราวาส พระก็พระหน้าด้าน ฆราวาสก็หน้าด้าน ถ้าลงกิเลสได้เข้าไปตรงไหนหน้าด้านด้วยกันหมด ถ้าธรรมอยู่ที่ไหนหน้าบางๆ มีหิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม ไม่มีที่แจ้งที่ลับ คำว่าธรรมอยู่ที่ไหนมีหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปตลอดเวลา ถ้ากิเลสนี่ไม่ได้ หน้าด้านที่สุด ไม่มีอะไรจะหน้าด้านยิ่งกว่าหน้ากิเลส จึงต้องได้ระมัดระวังมากทีเดียว
แม้แต่พระมาอยู่ในวัดก็ต้องดู คนเข้ามาในนี้ก็ต้องดู พอเตือนเตือน พอขับขับ ไม่งั้นจะทำส่วนใหญ่ให้เสียไปหมด เรียกว่าเป็นเนื้อร้าย เนื้อร้ายถ้ามันเข้าตรงไหนจะทำเนื้อดีให้เสียไปหมด อันนี้คนเป็นเนื้อร้ายก็เหมือนกัน พระเป็นเนื้อร้ายทำให้พระที่ดีคนที่ดีเสียไป และหนักอกหนักใจ จะว่าอะไรก็ลำบากๆ เราจึงได้สั่งไว้เลย เปิดเผยไว้เลย สำหรับเกี่ยวกับพระแล้วไม่มีปัญหา แต่ข้างในนั่นซีดูแลไม่ทั่วถึง เป็นอะไรๆ ก็อดก็ทนกันไป เลยจะตาย ผู้ดีจะตาย ผู้ชั่วมันเลวมาก สนุกสนานเหยียบหัวเขากินไปกลืนไป จึงได้เตือนแล้วขับออกเรื่อย
ถ้าใครไม่อยากเผยตัวก็ให้เขียนจดหมายน้อยมากระซิบเรา อยู่ข้างในนี่ ให้บอก ธรรมะปกครองต้องเปิดเผย ไม่มีลี้ลับ เอาของจริงออกใช้ๆ ถ้าว่าภาษาก็ภาษาธรรมไม่มีสูงมีต่ำ เป็นภาษาธรรม ตรงไปตรงมาเป็นอรรถเป็นธรรม ตายใจได้ทั้งนั้น นี่ภาษาธรรม ภาษากิเลสไว้ใจไม่ได้ เอาละให้พร
หลังจังหัน
(สิ่งของที่ทางเวียงจันทน์กราบขอมาและหลวงตาเมตตาให้มีข้าวสารเหนียว ๒๐ ตัน มุ้ง ๕๐๐ หลัง ผ้าห่ม ๕๐๐ ผืน เสื่อพลาสติก ๕๐๐ ผืน กำหนดมารับของที่วัดวันที่ ๒๔ พ.ย.๔๙) วัดนี้เป็นวัดบริจาคจริงๆ เด่นในประเทศไทยว่างั้นเลย ไม่ได้ยกตนยกตัวเหยียบย่ำทำลายผู้อื่น เอาความจริงมาพูด วัดนี้ปฏิบัติอย่างนี้ อย่างที่ว่าสั่งกันอยู่เดี๋ยวนี้ก็เพื่อจะช่วยโลกทั้งนั้น อย่างนี้ตลอดมา เราจะทำประโยชน์ให้โลกเสียให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยของเรา คือเมตตานี้เราพูดจริงๆ เราก็ไม่เคยคาดเคยคิด เมตตาก็อ่านแต่ในหนังสือ ท่านว่าเมตตาๆ อ่านแต่ในหนังสือจนติดปากติดใจ เมื่อไม่เข้าถึงใจมันก็ไม่ถนัดชัดเจน ทีนี้เข้าถึงใจแล้วเรื่องเมตตา เข้าถึงจริงๆ เข้าถึงใจ เมตตาต่อโลก เพราะฉะนั้นมีอะไรจึงไม่มีเหลือ หมด อำนาจความเมตตานี้กวาดออกๆ ที่จะกวาดเข้าไม่มี มีเท่าไรกวาดออกๆ ด้วยอำนาจเมตตาธรรม
เราก็ไม่เคยคิดเคยอ่าน แต่มันมาเป็นที่หัวใจดวงเดียวนี้มันก็ชัดเจนไม่ต้องถามใคร แต่ก่อนไม่เคยคิดเคยอ่าน มีแต่อ่านไปตามตำรับตำรา พอตัวจริงมาขึ้นนี้ปึ๋ง ขึ้นความบริสุทธิ์เป็นอันดับแรก แตกกระจายออกไปก็เป็นความเมตตาทั่วโลกดินแดน ฟังให้ชัดเจนเสียพี่น้องทั้งหลาย เราเอาความจริงมาพูดทั้งนั้น จะทำให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยในชาตินี้ เราจะบอกว่าชาติสุดท้ายก็ไม่ผิด เพราะอันนี้มันประกาศก้องมาแล้วตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ วันที่ ๑๕ พฤษภา บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลา ๕ ทุ่ม นี่เราประกาศก้องมาแล้วได้ ๕๖-๕๗ ปีไม่ใช่เหรอ เราก็มาพูดย้ำของเก่าตามที่จิตมันเน้นหนักในกิจการที่ทำด้วยเมตตา จึงได้ขึ้นมาอีกๆ เราจะทำช่วยโลกให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
คิดดูซิทางเวียงจงเวียงจันทน์ทางไหนๆ มา เอาๆ ๆ มันหายห่วงเสียทุกอย่าง เวลาร่างกายซึ่งเป็นเครื่องมือนี้หมดสภาพแล้วก็ใช้ไม่ได้ จิตก็เป็นจิตไปเสีย นี่จิตมีร่างกายเป็นเครื่องมือใช้ก็แสดงออกได้ จะช่วยโลกช่วยสงสารมากน้อยเพียงไรเราก็ช่วยได้ เราจึงช่วยเวลานี้ ตายแล้วจะไม่ได้ช่วย เราก็พูดให้ชัดเจนด้วยว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ฟัง เราไม่เคยสะทกสะท้าน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ผางไปถามใคร หรือว่าพระพุทธเจ้าอวดเหรอ สาวกบรรลุธรรมปึ๋งเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราท่านอวดเหรอ ธรรมเหล่านี้มาสอนโลก เป็นธรรมที่บริสุทธิ์ล้วนๆ เต็มไปด้วยเมตตาๆ ทั้งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์นี้ขวางโลกไปที่ไหน
จิตอันนี้ก็เป็นจิตอันเดียวกัน ที่ทำต่อโลกเวลานี้ขวางโลกที่ตรงไหนเราพาพี่น้องทั้งหลายทำ ไม่ปรากฏว่าขวางโลก มีเท่าไรทุ่มลงๆ ไม่เคยปรากฏว่าขวางโลกที่ตรงไหน เอา ถ้าว่าขวางตรงไหนให้ว่ามาเรายอมรับ เพราะเป็นเรื่องของธรรม ภาษาธรรม จะยอมรับกันตามเหตุตามผล ที่จะหลีกๆ เลี่ยงๆ ไม่มีเรื่องธรรม ยอมรับปึ๋งเลย ความจริงอย่างไรว่าอย่างนั้น นี่เราก็ช่วยโลกให้เต็มกำลัง ร่างกายอ่อนลงทุกวันๆ กิริยาอาการใช้กับโลกก็ใช้ไปอย่างนั้นแหละ หัวใจมันปล่อยหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ ในแดนสมมุติไม่มี ไม่มีในจิตตวิมุตติ จิตตวิมุตติเป็นจิตตวิมุตติ สมมุติเป็นสมมุติ พรากกันหมดโดยสิ้นเชิง มีแต่ขันธ์ที่เกี่ยวกับสมมุติได้ช่วยโลกอยู่เวลานี้เท่านั้นเอง เวลาตายแล้วจะไม่ได้ช่วยในกิริยาอย่างนี้ เราจึงช่วยเสีย
บอกชัดๆ เสียด้วยว่าเป็นชาติสุดท้ายของเรา นั่นละพระพุทธเจ้าตรัสรู้ผึงขึ้นมาถามใคร พระสาวกทั้งหลายความรู้อันเดียวกัน บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในท่ามกลางแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านผู้บริสุทธิ์แล้วอยู่ในท่ามกลางแห่งความบริสุทธิ์ด้วยกัน นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงพระอรหันต์ ท่ามกลางนี่คือแม่น้ำมหาวิมุตติมหานิพพาน ท่านผู้ใดบรรลุธรรมปึ๋งเข้าตรงนั้นแล้วเป็นอันเดียวกันหมด เพราะฉะนั้นท่านผู้บริสุทธิ์ จึงอยู่ในท่ามกลางแห่งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ให้พากันจำ คำนี้ใครพูด ไม่มีใครพูดมีแต่หลวงตาบัวพูด พูดออกมาจากหัวใจนี่ ก็มันจ้าอยู่ในท่ามกลางของความบริสุทธิ์ทั้งหลายของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายอยู่นี่ จะให้ว่าไง โกหกโลกเหรอ
เราปฏิบัติธรรมมาเราไม่ได้มีคำว่าโกหกเรา ถึงขั้นจะเป็นจะตายเอาเลยๆ คอขาดขาด นั่น เราหลอกลวงเราเมื่อไร จนกระทั่งถึงเป็นที่พอใจอย่างเลิศเลอ แล้วก็ได้นำธรรมอันเลิศเลอนี้ด้วยการทำจริงของเรา มาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายถือเป็นคติตัวอย่าง ควรช่วยได้แบบไหนเราก็ช่วย ควรจะเป็นคติตัวอย่างแก่โลกก็ให้เป็น คำพูดของเราพูดจริงๆ ไม่มีภัยต่อโลก ถึงจะเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดขนาดไหนเป็นภาษาธรรมทั้งนั้น ที่จะเป็นกิเลสเข้าไปแทรกไม่มี เพราะในหัวใจเราไม่มีกิเลสตัวใดที่จะเป็นภัยต่อโลกหรือต่อพี่น้องทั้งหลาย จะเด็ดจะเดี่ยวเฉียบขาดเป็นเรื่องพลังของธรรมทั้งนั้น ให้พากันเข้าใจ เราพูดได้ชัดเจนเราจวนจะตายแล้ว กิริยาที่เราทำต่อโลกเราก็ทำในระหว่างสมมุติที่อยู่ด้วยกันนี้เท่านั้น ธรรมชาตินั้นหมดปัญหาโดยสิ้นเชิงแล้ว มาอาศัยอันนี้ละเกี่ยวข้องกับสมมุติอยู่เท่านั้นเอง มีดีมีชั่วตามกิริยาของโลกที่ตำหนิติชมกัน เราอยู่ในท่ามกลางแห่งความตำหนิติชมก็ต้องได้ถูกตำหนิติชม
เอ้า ชมไปติไป ปากเขามีปากเรามี เราอยากดุเราก็ดุไป อยากดีก็ดีไป เดี๋ยวหมามาก็จะเป็นภาษาหมาขึ้นมา เล่นกับหมาเป็นภาษาหนึ่ง เล่นกับหมาเล่นกับเด็กเป็นภาษาหนึ่ง เล่นกับผู้ใหญ่เป็นภาษาหนึ่ง เล่นกับธรรมผึงเลยขาดสะบั้นไปเลย เป็นขั้นๆ ภาษา ให้พากันเข้าใจ คำพูดเหล่านี้ท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหม อยู่ในหัวใจนี้หมด ถึงเวลาที่จะเปิดออกแล้วมันจะออกของมันจ้าเลย ไม่มีขอบเขต แม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงมีขอบเขต ฝั่งมหาสมุทรทะเลหลวง ฝั่งแห่งมหาวิมุตติไม่มี คำว่าฝั่งไม่มี ผ่านพ้นไปหมด เรียกว่าเลยสมมุติ
ทำให้มันเห็นซิ มันเห็นแล้วพูดได้เอง ไม่มีคำว่าสะทกสะท้านกับผู้ใด กลัวใครจะมาตำหนิติชมหาว่าโอ้อวดอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี ปากนั้นปากอมขี้ ปากนี้ปากอมธรรม พูดออกมาจากธรรม ปากอมขี้ตำหนิติเตียน นี้ปากอมขี้ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้อิจฉาบังเบียดกลัวเขาจะได้ดีกลัวกว่าเราก็ขัดก็แย้ง นั่นละปากอมขี้ ปากอมธรรมไม่มี จ้าๆ ไปเลย
เวลานี้ได้ทำประโยชน์ให้โลกนี้ก็ทำดังที่พี่น้องทั้งหลายเห็น ตั้งแต่เริ่มออกช่วยชาติมา การช่วยชาติเราช่วยมาตั้งแต่สร้างวัดป่าบ้านตาด เป็นหลักธรรมชาติของวัดนี้ ไม่เคยเก็บไม่เคยสั่งสมอะไร ได้มาเท่าไรออกหมดเลย ตั้งแต่เริ่มแรกสร้างวัดนี้ คนทุกข์คนจน จากนั้นก็โรงร่ำโรงเรียนโรงพยาบาลตั้งแต่โน้นมานะ ที่ว่าโรงร่ำโรงเรียนโรงพยาบาลทุกวันนี้มันมาบานปลายต่างหาก เราทำมาตั้งแต่โน้นแล้ว เพราะอำนาจแห่งความเมตตาช่วยตลอดเวลา
วันที่ ๕ เราก็จะลงกรุงเทพแล้ว ไปเขาใหญ่วันที่ ๕ จากนั้นวันที่ ๖ ไปสวนแสงธรรม วันที่ ๗ ย้อนมามหาวิทยาลัยรังสิต ไปเทศน์ละนั่นก็ดี จากนั้นก็จะอยู่สวนแสงธรรมจนสิ้นเดือนธันวา วันที่ ๓๑ ธันวาเป็นวันกลับ มกราปีใหม่ก็มาอยู่ที่นี่ เป็นอย่างนั้นทุกปีที่เราเคยปฏิบัติมาตามปรกติ มันเหน็ดมันเหนื่อยเข้าทุกวันๆ นะ ทุกวันนี้อ่อนลงๆ ใช้ไปอย่างนั้นละกิริยา กิริยาที่เป็นสมมุติด้วยกันก็ใช้ไปอย่างนั้น ธรรมชาตินั้นหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ ใช้ไปจนกว่าจะหมดสภาพของสมมุติคือร่างกายนี้ ทุกอย่างก็หมดไปตามๆ กันเลย
(หมอสานิตย์กับภรรยาทำบุญ ๑,๐๐๐ บาท) เอ้อ หมอที่เด่นกว่าเพื่อนเวลานี้ปรากฏเด่นอยู่ก็คือหมอที่ว่านี่ หมอสานิตย์ที่มาเกี่ยวข้องกับวัดป่าบ้านตาด จะไปเกี่ยวข้องกับวัดใดเราไม่ค่อยทราบ แต่ส่วนมากหมอไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องกับวัดกับวา อาจจะคิดว่าเราเรียนสรีรศาสตร์เทียบกับพุทธศาสนาได้แล้ว คงเป็นอย่างนั้น สรีรศาสตร์คือการเรียนรู้อวัยวะต่างๆ นี้เพื่อแก้โรคแก้ภัยต่างหาก สรีรศาสตร์แห่งพุทธศาสนานี้แก้กิเลส มันต่างกันคนละโลกให้เข้าใจไว้นะหมอ อย่าทะนงตัวนะหมอ พูดชัดๆ อย่างนี้แหละ สรีรศาสตร์นี้มันแก้โรคแก้ภัยไข้เจ็บ แล้วจะมายกสรีรศาสตร์ขึ้นไปเทียบพุทธศาสตร์ของพระพุทธเจ้า ที่รู้ทางสรีรศาสตร์ด้วยการแก้กิเลสนี้เทียบไม่ได้นะ พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายแตกฉานทางสรีรศาสตร์เหมือนกัน แก้กิเลสหมดเลย แต่พวกหมอนี้สรีระศาสตร์เรียนชำระทำลายอะไร มีเมียมีผัวตั้งร้อยคนมันต่างกัน เข้าใจไหมล่ะ
นี่ละภาษาธรรมพูดอย่างตรงไปตรงมา ใครใกล้ชิดติดพันกับวัดกับวากับศาสนาก็บอก ใครห่างเหินๆ จนดูถูกศาสนาก็บอก ตัวเก่งๆ ตัวทะนงดูถูกศาสนาคือพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาของศาสดาองค์เอกผู้เลิศเลอ พวกนี้เลวที่สุดดูถูกพุทธศาสนา ก็มีเท่านั้นละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |