พระกรรมฐานไม่มีทางจงกรม
วันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 เวลา 8:30 น.
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
  วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙

พระกรรมฐานไม่มีทางจงกรม

ก่อนจังหัน

พระเท่าไร (๒๙ ครับผม) เวลานี้เอาแน่นอนไม่ได้พระเข้าออกๆ ถ้าในพรรษาก็คงเส้นคงวา ออกพรรษาแล้วมีเข้ามีออกตลอด พระในครั้งพุทธกาลท่านพอออกพรรษาแล้วท่านจะออกหาเที่ยวที่วิเวกสงัดในป่าในเขา มีในตำรับตำรา นั่นละคือองค์ศาสดาอยู่ในตำรา ให้ดูตำราคือองค์ศาสดา พระในครั้งพุทธกาลพอออกพรรษาแล้วท่านไปละ เข้าในป่าในเขาไปภาวนา ไม่ยุ่งกับอะไรพระในครั้งพุทธกาล ไม่มีอะไรยุ่ง ไม่ใช่พระกวนบ้านกวนเมืองเหมือนอย่างพระปัจจุบันนี้ พระปัจจุบันนี้นักกวนบ้านกวนเมือง เป็นบ้าลาภบ้ายศไปหมดเดี๋ยวนี้ พระหัวโล้นๆ ท่านให้สมณศักดิ์ อะไรจะยิ่งกว่าธรรม ธรรมนี่เลิศเลอโลกยอมกราบทั้งนั้น มันเป็นบ้าอะไร

พระเราบวชเข้ามาแทนที่จะละกิเลส ถอดถอนกิเลส มันโกยเอากิเลสเข้ามา มีแต่ยศแต่ลาภ ชื่อเสียงโด่งดัง ประสาชื่อตั้งฟากจรวดก็ได้ยากอะไร ให้มีธรรมอยู่ในใจอยู่ไหนสบายหมด เอาซินักภาวนาเอาให้เห็นประจักษ์ ว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่จริง พระพุทธเจ้าหลอกสัตว์โลกหรือกิเลสหลอกสัตว์โลก เอามาเทียบกันซิ จ้าเข้าในหัวใจนี้แล้วเท่านั้นพอ พระพุทธเจ้าท่านไปถามใคร พอตรัสรู้ผางขึ้นมาสอนโลกได้ทันทีทั้งสามโลก โลกมนุษย์ เทวดา อินทร์ พรหม ไปได้หมด นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลก พระสาวกทั้งหลายพอปฏิบัติธรรมได้รู้เห็นขึ้นภายในใจแล้ว ก็เป็นแบบเดียวกัน ถูกต้องแม่นยำเหมือนกัน เป็นแต่ภูมิต่างกันตามนิสัยวาสนาเท่านั้น

ศาสนาเป็นสิ่งที่ทำโลกให้สงบร่มเย็น กิเลสทำโลกให้เดือดร้อนวุ่นวาย ไม่รู้จักเขาจักเราแหละถ้าลงเป็นกิเลส มีแต่จะเอาๆ กวาดต้อนเข้ามาๆ นี้คือกิเลส ถ้าธรรมแล้วดูกว้างขวาง ดีไม่ดีไม่ดูเจ้าของเลย ดูแต่สัตว์อื่นนั่นละมาก นั่นละเมตตาธรรม ท่านไม่ได้ดูกวาดต้อนเข้ามา ท่านดูเบิกกว้างออกไปด้วยความเมตตา สุดท้ายตัวเองท่านไม่ค่อยสนใจ กินอะไรใช้อะไรก็แล้วแต่ เอ้าจะอดก็อดบ้าง แต่ความภาคภูมิใจในความเมตตาต่อโลกท่วๆ ไป ต่อเพื่อนฝูงนี้เต็มหัวใจท่าน นั่นละธรรมไปที่ไหนเบิกกว้างๆ ไปที่ไหนเย็น...ธรรม กิเลสไปที่ไหนตีบตันอั้นตู้ ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม นั่นคือกิเลส จำเอาไว้ทุกคน

เราเป็นลูกชาวพุทธ กิเลสเป็นตัวยังไงดูในหัวใจเรานั่นน่ะ เมียมันก็อยากได้ ๑๐ คน ผัวอยากได้ร้อยคนนู่นน่ะ นี่คือกิเลส จำเอานะ มันไม่มีละคำว่าพอลงกิเลสแล้ว ถ้าธรรมแล้วพอ อันเดียวพอ นี่เรียกว่าธรรม กิเลสไม่มีคำว่าพอ

ท่านทั้งหลายเข้ามาในวัดในวา ดูสิ่งที่เป็นคติตัวอย่างมีเยอะในวัด ท่านไปหา กวาดเข้ามาๆ เป็นคติตัวอย่างแก่องค์ท่านเองและสอนผู้อื่นด้วย นั่นเรียกว่าวัด คือรวบรวมข้อวัตรปฏิบัติอันดีงามเข้ามา ทั้งตนก็ปฏิบัติ แจกจ่ายให้กันไปปฏิบัติ เช่นอย่างเทศนาว่าการ คือแจกจ่ายอรรถธรรมให้ไปปฏิบัติ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตน

ห่างเหินศาสนาเท่าไรโลกยิ่งจมลงๆ แต่กิเลสมันหลอกว่าโลกเจริญๆ เจริญด้วยไฟ ใครจะไปเชื่อหัวมัน มีใครกราบกิเลส แต่ธรรมโลกเขากราบกันทั่วหน้า กิเลสไม่มีใครกราบ แต่ชอบหมอบหัวให้มันเหยียบเอาๆ น่าทุเรศนะ ให้ธรรมขึ้นมาที่ใจแล้วมันจ้าออกหมด ปิดไม่อยู่ นั่นละพระพุทธเจ้าที่ว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก ปิดไม่อยู่ เปิดออกหมด ที่ปิดนั่นคือกิเลสมาปิดให้มืดดำกำตา ถ้าเป็นธรรมแล้วเบิกกว้างออกไป จากนั้นก็ อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าตลอดเวลา พากันเอาไปปฏิบัตินะธรรม

จะไม่มีอะไรเหลือในชาวพุทธเรานะ มีแต่ชื่อนะเวลานี้ มันดีดมันดิ้นกับกิเลสตัณหา เป็นบ้ากันไม่รู้จักเป็นจักตาย ไม่รู้จักเข็ดจักหลาบ คือมนุษย์ชาวพุทธเรานี้แหละ ชาวพุทธเรา ชาววัดเรานี้แหละ ที่เขาไม่รู้ภาษีภาษายกไว้เสีย ไอ้พวกเรารู้ภาษีภาษาแต่มันหน้าด้านซิ ยิ่งพระเรานี้หน้าด้าน ดูได้เมื่อไรพระหน้าด้าน มันน่าทุเรศนะ พระพุทธเจ้าบวชแล้วให้สละลาภยศสรรเสริญ โลกธรรม ๘ ปัดออกให้หมดๆ  แต่นี้มันไปเที่ยวหากว้านเข้ามาๆ เหยียบหัวพระพุทธเจ้าเข้ามาเวลานี้ กิเลสมันอายเมื่อไร หน้าด้านที่สุดคือกิเลส ไม่มีใครหน้าด้านเกินกิเลส มันอยู่ในหัวใจเราทุกคนๆ ถ้าเอาธรรมเข้าไปจับมันก็รู้กิเลส ก็มีหิริโอตตัปปะ รู้จักอาย รู้จักพอ ถ้าเป็นแต่กิเลสล้วนๆ แล้วไม่รู้เลย หน้าด้านที่สุดคือกิเลสนั่นละ หน้าบางที่สุดคือผู้มีธรรม รู้ดีรู้ชั่วทุกอย่าง พากันจำเอานะ เอาละให้พร

หลังจังหัน

         (คณะศรัทธาจังหวัดแม่ฮ่องสอน ขอกราบถวายสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน ตั้งอยู่ ณ วัดบ้านใหม่ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน ซึ่งประกอบด้วยเสาสูง ๑๘ เมตร เครื่องส่งวิทยุ ๓๐ วัตต์ พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ แด่องค์หลวงตาและเป็นสมบัติของสงฆ์ ออกอากาศด้วยระบบเอฟ.เอ็ม คลื่นความถี่ ๙๔ ออกอากาศตั้งแต่เวลา ๐๔.๐๐ น. – ๒๒.๐๐ น. ทุกวัน โดยกำหนดให้เป็นสถานีวิทยุลูกข่าย รับสัญญาณจากสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชนวัดป่าบ้านตาดร้อยเปอร์เซ็นต์ เริ่มออกอากาศตั้งแต่วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา)

         พูดถึงแม่ฮ่องสอนนี้ก็ดีอย่างหนึ่ง คำดุอันนี้ดีอย่างหนึ่ง คือเราไปแม่ฮ่องสอนไปเทศน์ช่วยชาตินี้แหละ แม่ฮ่องสอนเราก็ไม่เคยไปแต่ถูกนิมนต์ไป ไปแม่ฮ่องสอนไปเครื่องบิน ไปพักวัดป่า นี่ออกเลยตีหน้าผาก เขาพาไปพักวัดป่า ป่าจริงๆ สถานที่สงบสงัดเรียบร้อยทุกอย่าง อยู่ตีนเขา ตามธรรมดาเราไปพักที่ไหนทางจงกรมนี้จะต้องมี พอลงรถไปปั๊บเที่ยวเดินหาทางจงกรม พอได้โอกาสปั๊บเข้านั้นเลย อย่างนี้เป็นประจำ        จนกระทั่งบรรดาลูกศิษย์ลูกหาจะได้ยินทั่วถึงกัน ทั้งๆ ที่วัดเขาไม่มีทางจงกรม พอเราไปพักวัดนั้นเขาทำทางจงกรมให้เรียบเลย เขาไม่เดินจงกรมแต่เขาทราบว่าเราชอบเดินจงกรม เขาเลยทำทางจงกรมให้อย่างเรียบเลย หลายแห่งอย่างนี้นะ ในวัดเขาไม่มีทางจงกรม มีเฉพาะที่ทำให้เรา เราก็รู้ อันนี้ไปแม่ฮ่องสอนวัดนี้เป็นวัดป่า เหมาะสมมากอยู่ตีนเขา พอไปเราเที่ยวหาทางจงกรม ทั้งวัดไม่มีทางจงกรมเลยสำหรับพระกรรมฐานเราอยู่ในป่า เราเกิดความสลดสังเวชอย่างหนัก คราวนี้เป็นคราวที่ระลึกไม่ลืม เกิดความสลดสังเวช

         พระเราเป็นพระกรรมฐานหาทางจงกรมที่จะชำระกิเลสไม่มี มันยังไงกัน เดินไปเที่ยวค้นหาไม่มีจริงๆ นะ เดินเสาะไปเสาะมา ไปได้ตีนเขานู่นน่ะ ไม่ใช่ทางจงกรมละ เห็นเป็นทางเราก็ไปเดินจงกรมอยู่นู้น พอกลับมาตอนค่ำพระมาหาก็เอากันใหญ่เลย ได้พูดเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดก็มีแม่ฮ่องสอน มันถึงใจจริงๆ สะเทือนใจมาก ธรรมะจะว่าดุว่าเดือดว่าเผ็ดว่าร้อนอะไรมันออกพร้อมกันเลย เวลามันไปกระเทือนหนักๆ นี้ โอ๋ย เป็นน้ำไหล เอาขนาดหนัก มันมาอย่างไรพระเหล่านี้ เอาอย่างหนัก

         ทีนี้พอเรากลับมานั้นได้ทราบข่าวทีหลังนี้ในวัดนั้นทางจงกรมเป็นแถว มีอยู่หมดเลย นั่นก็ดี อ้าว มันสะเทือนใจจริงๆ นี่ ในป่าและตีนเขาเสียด้วย เหมาะสมมาก ไปเห็นเราก็ชอบใจทันที แต่ไปเที่ยวหาทางจงกรมทั้งวัดไม่มีเลยซิ มันเกิดความสลดสังเวชซิ ไม่มีทาง เราเดินไปได้ตีนเขาแห่งหนึ่งไปเดินจงกรมอยู่นู้น เป็นทางพอเดินไปเดินมาได้ ไม่ลืมนะ มาก็เอาใหญ่เลยกับพระ ไม่เคยดุเคยด่าแหละเรื่องอย่างนี้ ได้เอาเสียแล้ววันนั้น เอาหนักนะ มันสะเทือนใจ พระกรรมฐานเราหาสถานที่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาไม่มีนี้ มันกรรมฐานอะไร มันสะเทือนใจตรงนี้

         เฒ่าแก่ขนาดนี้เขานิมนต์ไปเทศน์ในที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทย พอลงรถปั๊บนี้จะหาแล้วนะหาสถานที่เดินจงกรม หาจนได้ ว่าอย่างนั้นเถอะน่ะ ไปหาซอกแซก แม้จะอยู่ในกลางเมืองหาเอาจนได้ในวัดนั้นนะ เราไม่เคยเว้นทางจงกรม นั่นละที่ได้ไปดุพระอย่างหนักก็ที่วัดแม่ฮ่องสอน ป่าก็ป่าเรียบเป็นสถานที่เหมาะสม น่าจะมีทางจงกรมเป็นแห่งๆๆ อยู่ในป่าเงียบๆ หรือมีร้านเล็กๆ นั่งภาวนา ไม่มีเลยนี้มันกระเทือนใจอย่างหนัก ตระเวนหาไหนก็ไม่เห็น ก็ไปได้ตีนเขาแห่งหนึ่งเดินจงกรม

         กลับมาตอนค่ำพระมาหาก็เอาอย่างหนักทีเดียว แม่ฮ่องสอนนี้แห่งหนึ่งที่ดุพระ มันกระเทือนใจมากทีเดียว พระกรรมฐานเราไม่มีทางจงกรมมีความหมายอะไร ขายขี้หน้า เอาอย่างหนักนะวันนั้น พอกลับมานี้ไม่นานทราบข่าวแถวนั้นทำทางจงกรมหมดเลย เออ ดุอย่างนี้ได้ผลดี เรื่องธรรมนี้ให้ได้เห็นเข้าไปซิน่ะ พูดอย่างอาจหาญหรือว่าเลยอาจหาญไปนะ พอมันได้ปรากฏขึ้นที่ใจนี้ตั้งแต่เริ่มแรกไปบวช ไม่รู้ภาษีภาษาอะไร

         ถามท่านพระครูวัดโยธานิมิตร เพราะตอนไปเป็นนาคอยู่นั้นเห็นตีสี่ตีห้าท่านออกไปเดินจงกรมเป็นประจำ เวลาบวชแล้วก็ไปกราบเรียนถามท่านถึงเรื่องการภาวนา จะให้ภาวนาอย่างไร ชอบภาวนา ท่านก็บอกว่าเอาพุทโธ นี่ก็ภาวนาพุทโธแหละ ท่านว่าอย่างนั้น จับติดเลย นั้นละทีนี้จิตมันลง ไม่เคยเป็นไม่เคยเห็นแต่เกิดมาไม่เคยเลย มันลงอย่างอัศจรรย์จริงๆ ก็ภาวนาพุทโธๆ ละ ภาวนามากี่วันก็ไม่รู้ แต่มันมาเป็นเอาวันนั้นซี

         เหมือนเราดึงจอมแห แหตากเอาไว้นี้ พุทโธๆ เหมือนจอมแหจับดึง ทีนี้ตีนแหหดเข้ามาๆ คือกระแสจิตเหมือนตีนแห ค่อยหดเข้ามาๆ ยิ่งเป็นจุดสนใจ สติยิ่งจ่อเข้าๆ หดเข้ามา มาเป็นกองแห พอมาถึงตัวแล้ว นี่ละจิตรวมกระแสเข้ามาหมดมาเป็นตัวผู้รู้ เด่นอัศจรรย์อยู่ในนั้น แหม อัศจรรย์จริงๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่ลืม นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเราด้วย ชีวิตแห่งการบวชของเราด้วย มันตื่นมันเต้นอะไรพูดไม่ถูกเลย

         วันหลังนี้จะเอาใหญ่เลยไม่ได้เรื่อง คือมันไปเอานู้นมาเป็นสัญญาอารมณ์ มันไม่เอาปัจจุบันเป็นงาน มันไปเอาอดีตที่เป็นมาแล้วมาเป็นงาน มันก็ไม่ได้เรื่องซิ พอจางๆ ไป พอทอดธุระแล้วก็เข้าปัจจุบันเป็นอีก เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีเป็น ๓ หน เราไม่ลืมนะ เป็นแบบอัศจรรย์ นี่ละมันฝังลึก ลงธรรมได้เข้าถึงจิตแล้วอย่างไรมันก็ไม่ลืม ทุกสิ่งทุกคุณค่าราคามาอยู่ที่ใจหมด สมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขาก็เถอะ ว่าอย่างนั้นเลย ไม่ได้ประมาท คือพูดตามหลักความจริง

         พอธรรมเข้าสู่ใจ ใจมีความสงบเย็นเข้ามาจนเกิดความอัศจรรย์ แล้วคุณค่าทั้งหมดเหล่านั้นไหลเข้ามานี้หมดเลย ไม่ได้สนใจกับอะไร เพราะฉะนั้นมันถึงปล่อยโลกได้ซิ อันนี้มีคุณค่ามาก ปล่อยเข้ามาหมดแล้วมาอยู่ที่จิต ถึงขั้นบริสุทธิ์ปล่อยหมดโดยสิ้นเชิง นี่ละจิตเมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์ พูดให้มันชัดเจนเสีย นี่เราจวนจะตายแล้ว พูดจะว่าอาจหาญมันก็เลย เพราะไม่เคยมีสะทกสะท้านกับอะไรในสามแดนโลกธาตุนี้ เราพูดจริงๆ จึงพูดได้เต็มปากเต็มคำทุกอย่างตามหลักความจริง เราไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดผู้ใดเหนือธรรมไปได้ ธรรมเป็นยังไงออกตามเรื่องตามราว นี่ละที่เขาว่าหลวงตาบัวปากเปราะ ดุเก่ง

ไม่ใช่ปากเปราะ นี้ปากธรรม ดุก็ดุกิเลส ปากกิเลสมันมีเต็มบ้านเต็มเมือง ปากธรรมออกเท่านั้นโจมตีกันอึกทึก เราเฉย ถ้าปวดตดเราจะตดให้มันฟังด้วยซ้ำไป นี่ละอำนาจของจิต เวลาธรรมเข้าสู่จิตแล้ว วันนั้นป้วนเปี้ยนทั้งวันเลยไม่ไปไหนนะจิต อยู่ในนี้ละ คือเป็นแล้วมันผ่านไปแล้ว อัศจรรย์อยู่ในนี้ละ วันหลังเอาอีกๆ แต่เวลาเอามันไปหมายสัญญาอดีตไม่มาปัจจุบันมันก็ไม่ลง ทีนี้พอจิตจางไปๆ เรื่องสัญญาอดีตก็ดับไปๆ แล้วกลับมาเป็นอีก เรียนหนังสืออยู่ ๗ ปีเป็น ๓ หน นั่นละที่นี่ฝังลึก พอออกจากนั้นก็บึ่งถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นเลย พอเข้าถึงเหมือนกับท่านจับเรดาร์ไว้เลย พูดเหมือนฟ้าดินถล่มเราไม่ได้ลืมนะ เพราะเป็นวันแรกครั้งแรกด้วยไปหาท่าน ไปด้วยความเต็มใจจดจ่อจริงๆ เอาท่านเป็นหัวใจเลยเทียว

ท่านก็เปิดเรดาร์ออกกางเลย ท่านมาหาอะไร ขึ้นเลยทันที ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ท่านมาหาธรรมหรือมาหากิเลส ขึ้นอย่างนี้เราไม่ลืมนะ ต้นไม้เป็นต้นไม้ ภูเขาเป็นภูเขา ดินฟ้าอากาศเป็นดินฟ้าอากาศ เป็นสภาพของสิ่งนั้นๆ ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ ธรรมแท้กิเลสแท้ สุขแท้ทุกข์แท้อยู่ที่ใจ นั่นท่านไล่เข้ามาๆ เอา ให้ท่านภาวนาให้ดี ให้เห็นเรื่องนี้ พระพุทธเจ้าท่านเห็นตรงนี้ด้วยการภาวนา มันยิ่งดูดดื่มนะเพราะไปด้วยความตั้งใจเต็มเหนี่ยว ท่านก็ใส่เอาเต็มเหนี่ยว

พอลงจากศาลาเล็กๆ ของท่านไปยังไม่ถึงที่พักเลย มันถึงใจแล้วนั่น แล้วว่าไงที่นี่เมื่อมาหาท่านได้ถึงใจแล้ว แล้วเราเป็นยังไงจะจริงไหม ถามเจ้าของ ทางนี้ขึ้นทันทีเลย ต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น เพราะมันถึงใจจากฟังท่านมาแล้ว มาถามตัวเองมันก็รับกันปึ๋งเลย ต้องจริง ไม่จริงตายเท่านั้น นั่นละความเพียรจึงตั้งแต่บัดนั้นมา ความเพียรเอาเป็นเอาตายความเพียรของเรา มันเป็นนิสัยผาดโผน กำลังมันรุนแรง ถ้าว่าไปทางไหนมันจะพุ่งของมันเลย ขาดสะบั้นไปเลย อะไรผ่านไม่ได้ นี่ก็เป็นนิสัยจริงจังตั้งแต่เป็นฆราวาสมา พอมาบวชมาอ่านธรรมะธัมโมนี้จึงได้รู้ว่า อ๋อ เรานี้มีนิสัยจริงจังมาตั้งแต่เป็นฆราวาส

เราจะทราบได้คือ ลงได้ลั่นคำว่าไปว่าทำแล้ว ต้องทำไม่ทำไม่ได้ ตั้งแต่เป็นฆราวาสก็เป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลามาบวชแล้วมาอ่านธรรมะ อ๋อ ธรรมะเหล่านี้บอกความสัตย์ความจริง ความสัตย์ความจริงนี้เราเคยเป็นมาแล้วตั้งแต่ฆราวาส นั่น ที่นี่มันก็กลมกลืนกันเข้าเลย พอฟังท่านแล้วทีนี้เอาตายเข้าว่าความเพียร เพราะฉะนั้นจึงมีแต่นิสัยผาดโผนนะเรา ทำความเพียรอยู่กับท่าน ท่านก็นิสัยเด็ดเดี่ยวเฉียบขาดขนาดไหน แต่ท่านรู้จักประมาณ ท่านเป็นจอมปราชญ์ เราเป็นจอมโง่ มีแต่ใจ ท่านว่ายังไงก็เอาหัวชนเข้าเลยๆ ท่านจับดึงเอาไว้ไม่งั้นมันหัวแตก ถ้าว่านั่งตลอดรุ่งก็ฟาดเสียจน โธ่ นี่ท่านก็รั้งเอาไว้

ออกทางด้านปัญญาก็เหมือนกัน ท่านก็รั้งเอาไว้ เข้าอยู่สมาธิก็เหมือนหมูขึ้นเขียง ท่านลากออกเราไม่ลืมนะพ่อแม่ครูจารย์มั่น จ่อลงตรงไหนถึงใจทุกอย่างไม่ลืมเลย นี่ละคุณค่าของท่านมาเต็มอยู่ในหัวใจนี้หมดเลย ท่านพูดตรงไหนปฏิบัติตามนั้นดีดผึงๆ เลย ส่วนมากมักจะมีแต่ท่านรั้งเอาไว้ คือนิสัยผาดโผน ถ้าว่าออกทางด้านปัญญามันก็ไม่นอนทั้งวันทั้งคืน เข้าไปหาท่าน ทีแรกอยู่ในสมาธิเหมือนหมูขึ้นเขียง ไม่อยากคิดอยากปรุง นั่งทั้งวันก็นั่งได้ จิตมีอันเดียวรู้เด่น ไม่มีอารมณ์อะไรมาคิดมาปรุง ความคิดปรุงเหล่านี้ทำให้รำคาญใจ จิตรู้อยู่อันเดียวนี้ไม่มีอะไรกวนแสนสบาย ว่างั้นนะ ในขั้นสมาธิก็ว่าแสนสบาย

ทีนี้มันไม่อยากออกซิ มันเลยลืมเรื่องปัญญา พอไปถึงขั้นที่ท่านจะขนาบแล้วก็ไล่ออกจากทางสมาธิ สมาธิเหมือนหมูขึ้นเขียง ขึ้นเลยที่นี่นะ นอนอยู่บนเขียง เขาหั่นหอมกระเทียมแล้วก็เขี่ยลงใส่เขียงคลุกเคล้ากัน เป็นยังไงมันดีไหม ท่านว่างั้น สมาธิของท่านน่ะ โอ๊ย ท่านใส่เอาอย่างนั้นละ สมาธิของท่านสมาธิหมูขึ้นเขียง คลุกเคล้าด้วยหอมกระเทียมมันดีไหม อย่างนั้นละพ่อแม่ครูจารย์มั่น ท่านเอาเด็ดนะเพราะท่านรู้นิสัย คือพูดธรรมดากับเรานี้เหมือนพ่อแม่กับลูก เพราะความสนิท ความเมตตา แต่พอหันมาด้านธรรมะนี้ท่านจะเปรี้ยงทันทีเลย ไม่เคยที่จะพูดธรรมดาถ้าพูดเรื่องธรรมะกับเรา ต้องเปรี้ยงๆ เพราะท่านเห็นนิสัยอย่างนี้ เราไม่ลืมบุญลืมคุณ

ออกทางขั้นปัญญามันก็ไม่ได้หลับได้นอนทั้งวันทั้งคืน ลงเดินจงกรมนี้จนขาก้าวไม่ออก นั่นละเอาขาเป็นเครื่องตัดสิน มันไม่ดูเวล่ำเวลา คือกิเลสกับธรรมอยู่ในจิตนี้ มันจะหมุนของมันตลอดเวลาไม่ได้คิดไปถึงมืดแจ้ง อะไรๆ ไม่คิด ดินฟ้าอากาศไม่สนใจ สนใจตั้งแต่กิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่วงในคือจิต ถ้าลงได้เข้าทางจงกรมแล้วเท่านั้นเหมือนว่าออกไม่เป็น จนกระทั่งก้าวขาไม่ออก นั่นละเป็นเครื่องตัดสิน มันเหนื่อยพอแล้วมันก้าวขาไม่ออก อ้าว ไปไม่ไหวแล้วพัก เป็นขนาดนั้นนะถ้าลงได้ลงทางจงกรม ไม่ว่ากลางคืนกลางวันเหมือนกันหมด เพราะทางนี้มันหมุนอยู่ภายใน นี้เรียกว่าจิตมันเข้าภายใน จิตเป็นอัตโนมัติฆ่ากิเลสโดยอัตโนมัติเป็นอย่างนั้น

ท่านทั้งหลายไม่เคยเห็นให้ฟังเสียนะ เห็นตั้งแต่กิเลสมันทำลายหัวใจสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมัน ไม่ว่าจิตดวงใดๆ อยู่ที่ไหนก็ตามมันจะคิดจะปรุงแต่เรื่องกิเลสโดยอัตโนมัติของมันทั้งนั้นทีเดียว แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิดเรื่องอย่างนี้ แต่เวลาธรรมเป็นอัตโนมัติแก้กิเลสโดยอัตโนมัติแล้วมันถึงมารับกันปึ๋ง อ๋อ นี่เวลาธรรมฆ่ากิเลสมันก็ฆ่าแบบเดียวกับกิเลสทำลายหัวใจสัตว์โลกโดยอัตโนมัติ อันนี้มันฆ่ากิเลสก็ฆ่าโดยอัตโนมัติเหมือนกัน มันรับกันเลย ไม่ไปเรียนจากไหนเรียนจากนี้ อยู่ที่ไหนมันอยู่ไม่ได้มันจะต้องหมุนของมันตลอด จนกระทั่งพูดให้สุดขีดเสียว่า กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจไม่มีอะไรเหลือเลย หมดทุกข์โดยสิ้นเชิง

ใครเป็นคนสร้างทุกข์ขึ้นมามันก็บ่งบอกชัดเจนว่ากิเลสเท่านั้น นั่น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปทุกข์หมดในหัวใจของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วไม่มีทุกข์ ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งนิพพานก็เป็นนิพพานเที่ยงไปเลย มันเห็นชัดๆ อยู่ในหัวใจนั่นการภาวนา นี่พูดถึงเรื่องจิตมันดิ่งต่อการภาวนา พอมาถึงท่านอาจารย์มั่นแล้วท่านพูดให้ฟังอย่างถึงใจ ทางนี้ก็ไปถามตัวเอง เป็นยังไงที่นี่ได้ฟังธรรมของท่านอย่างถึงใจแล้วเราจะจริงไหม ทางนี้ก็ตอบทันทีเลย ต้องจริงไม่จริงตายเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมาละที่นี่เอากันหนักเลย แล้วก็เห็นผลขึ้นโดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงที่ว่ามันจ้าเลย กิเลสขาดสะบั้นจากจิตใจแล้วไม่มีอะไรกวนใจ มีกิเลสเท่านั้น ไม่ว่าส่วนหยาบส่วนกลางส่วนละเอียดเป็นภัยทั้งนั้น

กิเลสเป็นภัยต่อใจ พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้วหมดภัย มีแต่คุณล้วนๆ คือธรรมกับจิตเป็นอันเดียวกัน นั่นละการปฏิบัติภาวนา พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว จี้เข้าถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่มีศาสนาใด เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยาม เราเอาความจริงเข้ามาพูดตามหลักธรรม เรื่องธรรมของพระพุทธเจ้านี้ชี้บอกจนถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ผู้ปฏิบัติตามนั้นพ้นได้จริงๆ ไม่สงสัย ปัจจุบันสดๆ ร้อนๆ จึงเรียกว่า อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาทำลายได้ถ้าผู้ทำความดียังทำตลอด ความดีจะเป็นตลอด ผู้ทำความชั่วตลอด ความชั่วจะมีตลอด จึงเรียกว่า อกาลิโก ด้วยกันทั้งฝ่ายกิเลสและธรรม

ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ เวลานี้เมืองไทยเรามันมีตั้งแต่ชื่อเท่านั้นเมืองพุทธๆ รวมทั้งพระทั้งเณรทั้งฆราวาสที่รวมแล้วเป็นลูกชาวพุทธ เดี๋ยวนี้มันเป็นลูกชาวผีไปหมดแล้วนะ ในวัดก็กลายเป็นส้วมเป็นถานแล้ว วัดแทนที่จะเป็นสถานที่บำเพ็ญเพียรภาวนามันกลายเป็นส้วมเป็นถาน อะไรอยู่ในส้วมในถาน มูตรคูถอยู่ในส้วมในถาน มูตรคูถคืออะไร พระเณรปฏิบัติตัวเหลวแหลกแหวกแนวหาชิ้นดีไม่ได้เลย เป็นเหมือนมูตรเหมือนคูถก็เลยกลายเป็นส้วมเป็นถานบรรจุมูตรคูถไว้นั้นเสีย ศีลธรรมไม่มีในใจ นี่มันน่าสลดสังเวชนะ

นี่ก็พูดถึงเรื่องไปแม่ฮ่องสอน ดุพระดุหนักจริงๆ พอกลับมานี้ทราบข่าวว่าทำทางจงกรมหมดวัดเลย มันกระเทือนใจมาก ตรงนั้นละตรงที่ได้ดุมาก ไปที่ไหนปั๊บลงรถแล้วเราจะเข้าไปสอดแทรกหาที่นั่นที่นี่ หาที่เดินจงกรมได้เป็นที่เหมาะสมๆ จนกระทั่งไปในที่ต่างๆ ทั้งๆ ที่วัดนั้นเขาไม่เดินจงกรมกันแต่เขาก็ทำทางไว้ให้เรา แสดงว่าเขาทราบข่าวมาแล้วว่าเราเดินจงกรมเป็นประจำ ทำทางจงกรมอย่างดีไว้สำหรับที่พักของเรา มีหลายแห่งนะทำไว้ๆ ไปที่อื่นไม่มี มีทางจงกรมของเราแห่งเดียวๆ

โอ้ ธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ นะ ถูกเหยียบย่ำทำลายด้วยฝ่าเท้าของกิเลสจนไม่มีธรรมโผล่ขึ้นมาเลย มีแต่มูตรแต่คูถเต็มหัวใจ การแสดงออกของมูตรคูถเป็นไฟเผาโลกไม่มีสิ้นสุด ถ้าเป็นธรรมก็เป็นน้ำดับไฟ ระงับดับทุกข์ได้เป็นลำดับลำดา ระงับได้โดยสิ้นเชิงก็บริสุทธิ์เต็มที่ เป็นบรมสุข ความทุกข์ไม่มีในหัวใจของท่านผู้สิ้นกิเลส ให้พากันจำเอา เอาละวันนี้พอ

รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th

และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร

FM 103.25 MHz


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก