เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
คัมภีร์ในคือหัวใจ
ก่อนจังหัน
ขอบเขตของโยมที่จะไปมาในวัดนี้ เขตศาลานี่ออกไปข้างนอก ข้างในป่าไม่ให้เข้าไป อันนี้สั่งเด็ดขาดเป็นประจำแล้ว ทำเลข้างในเป็นที่ภาวนาของพระ ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง นอกๆ บริเวณนี้ออก ให้เป็นสัดเป็นส่วน ไม่งั้นเลอะเทอะไปหมด ในป่าเป็นทำเลภาวนาของพระไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง จากนี้ไปก็ประชาชนญาติโยมเป็นสาธารณะ เข้ามานี้ออกได้ไม่ให้จุ้นจ้าน เราสงวนพระที่สุดแหละเรื่องการภาวนาไม่ให้ลดหย่อน วัดนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ถึงจะมีการมีงานอะไรงานภาวนาต้องเป็นหลักเสมอ จุ้นจ้านๆ พระเดี๋ยวนี้มันเป็นพระส้วมพระถานไปหมดแล้วแหละ ทั้งเขาทั้งเราไม่ทราบจะตำหนิใคร จะกราบใครมองดูเห็นแต่หัวโล้นๆ ส้วมถานเต็มตัวๆ ความเลวร้ายน่ะ ไม่น่าดูเลยนะ
เพราะฉะนั้นถึงมีขอบเขตจำกัดเอาไว้ ไม่งั้นไม่ได้เลอะไปหมด ข้างในนี่ห้ามไม่ให้ใครเข้าไปแต่ไหนแต่ไรมา นอกจากญาติโยมที่รับใช้พระเป็นรายคนสองคนเข้าออกอยู่เท่านั้น นอกนั้นไม่ให้ใครเข้าไป มันจุ้นจ้านๆ โฮ้ เลอะเทอะมากนะ เอาธรรมจับดูจนจะดูไม่ได้เวลานี้ เรายังเห่อยังเป็นบ้ากันอยู่เหรอ เมื่อไรจะรู้ตัวว่าเป็นคนเสียที เดี๋ยวนี้มันยังแต่ไม่มีหางนะ เต็มอยู่ในศาลานี้ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี่ เป็นแต่เพียงว่ายังไม่มีหาง พอติดหางเข้าปั๊บเป็นหมาหมดเลย เข้าใจไหม มันเลอะเทอะขนาดนั้น ไม่มีขอบเขต ไม่มีการระมัดระวังรักษาตัว
ดีชั่วอยู่ที่ไหนไม่คำนึง อยากทำอะไรทำตามความชอบใจ มันก็เหมือนหมาละซีอย่างนั้น ไม่เหมือนมนุษย์ มนุษย์ต้องมีขอบเขตมีเหตุมีผล พระต้องมีธรรมมีวินัย มีกำหนดกฎเกณฑ์ เคลื่อนไหวไปมาหลักธรรมหลักวินัยติดตัวๆ นั่นเรียกว่าพระ แต่นี้มีพระที่ไหน มีแต่หัวโล้นๆ เอาผ้าคลุมเข้าไป อาศัยผ้าเหลืองไปบิณฑบาตชาวบ้านเขามากินๆ กินแล้วนอนเหมือนหมู ไม่สนใจกับเรื่องศีลเรื่องธรรม
เข้านั่งวงไหนกัน เราก็เป็นตัวหนึ่งเหมือนกันเรื่องกองกิเลส มันหากอดไม่ได้ เวลามีการมีงานเราจะเข้าไปนั่ง นั่งจุดนี้แล้วนั่งจุดนั้นๆ คุยกันเรื่องอะไรพระเรา มีตั้งแต่เรื่องเลอะๆ เทอะๆ เรื่องส้วมเรื่องถาน เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่มี อยู่ในวงพระนั่นแหละมันน่าสลดสังเวชนะ เรื่องอรรถเรื่องธรรมไม่มีในพระจะมีในผู้ใด ถ้าลงพระไม่มีอรรถมีธรรมมีวินัยแล้วเลอะไปหมด สำหรับวัดนี้ไม่ได้นะ ถ้าได้เจอแสลงตาแล้วไล่ออกทันทีไม่ให้อยู่ มันเลอะเทอะมาหมดแล้ว เอาละให้พร
หลังจังหัน
สรุปทองคำน้ำไหลซึมถึงวันที่ ๓ พฤศจิกา ทองคำที่หลอมแล้วได้ ๓๓๗ กิโล ๕ บาท เป็น ๒๗ แท่งๆ หนึ่ง ๑๒ กิโลครึ่ง ทองคำที่ยังไม่ได้หลอม ๘ กิโล ๒๑ บาท ๙๐ สตางค์ รวมทองคำที่หลอมแล้วและยังไม่ได้หลอมเป็น ๓๔๕ กิโล ๕๔ บาท ๗๙ สตางค์ ถ้ารวมกับ ๓๗ กิโลครึ่งที่มอบแล้วเข้าด้วยกันก็เป็นทองคำ ๓๘๓ กิโล ๒๑ บาท ๙๐ สตางค์ ทองคำส่วนใหญ่ ๑๑ ตัน ๓๗ กิโลครึ่ง อันนี้เป็นประเภทน้ำไหลซึมให้ติดตามกันไปเรื่อยๆ ไม่ให้ขาดทีเดียว จึงแยกให้เป็นประเภทน้ำไหลซึม ก็มาเรื่อยๆ วันละบาทสองบาทมาเรื่อย มันก็มากขึ้น ตั้ง ๓๐๐ กว่าแล้วนี่ ๓๘๓ กิโล ๒๑ บาท ๙๐ สตางค์
เทศน์ก็รู้สึกว่ากว้างขวางมาก ที่ว่าช่วยชาติ เอ้า จะนำพี่น้องทั้งหลายช่วยชาติ คนจะต้องมองทางด้านวัตถุมาก แต่เรามองทางด้านธรรมะ คราวนี้เป็นคราวที่ธรรมะจะได้ออกกระจายไปกับวัตถุ คือสมบัติเงินทองที่เข้าสู่คลังหลวงมีทองคำเป็นต้น ทีนี้ธรรมะไปที่ไหนก็เทศน์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๑ มาถึง ๒๕๔๙ แล้ว เป็น ๘ ปีที่ธรรมะออก ออกตลอดเลย
ธรรมะออกนี้ออกด้วยความแน่ใจเสียด้วย ไม่ได้ออกที่เราไปอ่านตามตำรับตำราแล้วก็มาเทศนาว่าการ ทั้งๆ ที่เจ้าของก็ไม่แน่ใจ ตำราว่ายังไงก็อ่านไปตามตำรา แต่นี้ย้อนปั๊บเลย เทศน์ตามหลักความจริง พระพุทธเจ้าเทศน์ตามหลักความจริง สอนโลกตามหลักความจริงที่ทรงปฏิบัติ ได้รู้เห็นขึ้นจนได้ตรัสรู้เป็นศาสดาเอกของโลกจากการปฏิบัติ บรรดาสาวกทั้งหลายที่เป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ล้วนแล้วแต่ออกจากภาคปฏิบัติ ธรรมในหัวใจออกกระจายไม่มีสิ้นสุด ธรรมในตำรับตำราหมดได้ เพราะเจ้าของไม่สามารถที่จะอ่านไปทั่วถึง แต่ธรรมะภายในใจนี้ออกได้ตลอด มีอะไรมาสัมผัสพับออกทันทีๆ
นี่พูดจริงๆ ไม่ได้คุย แต่ก่อนเราก็ไม่เคยคิด ก็เคยเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว เอามาเป็นตัวอย่างก็ได้คนๆ เดียวกัน ไปบ้านหนองแวง แต่ก่อนเขายังไม่ได้ตั้งบ้าน เขามาทำไร่ทำนาอยู่ที่นั่น เขานิมนต์ไปเทศน์หน้าเขาจะขนข้าวขึ้นยุ้งขึ้นฉางเขา เขานิมนต์พระไปทำบุญลานข้าวเขา เราก็ได้ไปเป็นหัวหน้าหมู่เพื่อน ได้พรรษาหนึ่งเราเป็นหัวหน้าไป เวลาไปเทศน์คิดอะไรก็ไม่ได้เลยจะทำไง กลืนขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นไม่ลงมันจะตาย จะเอาอะไรมาเทศน์ให้เขาฟังๆ
คือมีหนังสือเทศน์พกติดไปเล่มหนึ่ง ไปที่ไหนก็เทศน์อันนี้ผ่านไปได้ วันนั้นพอเทศน์จบแล้วเขายกขบวนมาหลายบ้าน ว่าพระท่านเทศน์จบแล้วเหรอๆ แล้วมีอีตาหนึ่ง เดี๋ยวนี้เรายังให้คนตามหาอยู่มันไปไหน เอามาฆ่าเสียว่ะมันโมโห ไอ้นี้ละมันพูด เทศน์จบแล้วก็จะยากอะไร ให้ท่านฉันเพลเสียก่อนเทศน์เมื่อไรก็ได้ ก็ได้ซิมันไม่ได้เทศน์ ผู้เทศน์มันจะตาย นี่ละคับในหัวอก นี่เป็นอันดับหนึ่งในชีวิตของพระ เราก็ไม่ลืม เป็นอย่างนั้นละ ก็ได้พูดให้ฟัง ที่ว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เวลาแปลออกว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้วทุคติเป็นที่หวังได้ นี่ภาษิตหนึ่ง แต่เราเทศน์ภาษิตเดียว อีกภาษิตหนึ่ง จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา ถ้าจิตผ่องใสแล้วสุคติเป็นที่หวังได้ นั่นละทุกข์ที่สุดเลย คับหัวอกเราก็ไม่ลืม ชีวิตของพระมีคราวนั้นที่ทุกข์มากที่สุด
ทุกวันนี้ผ่านไปนั้น บอกสูอย่ามาผ่านหน้ากูนะ บ้านนี้บ้านหนองแวงมาตั้งใหม่ มันผ่านอยู่ตรงที่กูเทศน์นี่น่ะ กูยังเคียดแค้นโมโหโทโสยังไม่หาย สูอย่ามาผ่าน พวกเป็ดพวกไก่ผู้คนเด็กเล็กเด็กน้อยผู้เฒ่าผู้แก่กูฆ่าได้หมดนะ กูยังไม่หายนะความโมโหกู นั่นเอามาผูกเป็นกลอนตลกไปได้เลย บ้านนี่ละ นั่นละเวลาเทศน์ ทีนี้จากนั้นมาแล้วเป็นยังไงท่านทั้งหลายฟังซิ เทศน์ทั่วประเทศไทย นี่เพราะอะไร เวลาปฏิบัติๆ ธรรมค่อยเกิดๆ เกิดอะไรขึ้นมาเป็นสมบัติของเราๆ ทั้งหมด
เกิดจากความจำนี้เป็นแต่ความจำไม่ใช่สมบัติของตนนะ เราเรียนไปที่ไหนจำได้เท่าไรๆ ไม่ใช่สมบัติของเรา หลงลืมไปได้ๆ เกิดจากภาคปฏิบัติไม่มีหลงมีลืมบรรจุไว้ในหัวใจ เกิดอะไรเป็นสมบัติของเจ้าของตลอดไปเลย จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้เทศน์นี้ให้พี่น้องทั้งหลายฟังทั่วประเทศไทยได้ยินหรือไม่ล่ะ ไปที่ไหนปั๊บออกแล้วทางวิทยุ ออกวิทยุแล้ว เป็นยังไงไปมาจากไหน พระพุทธเจ้าท่านหามาจากไหนตรัสรู้ธรรมขึ้นมาสอนโลกสามโลกธาตุ สาวกทั้งหลายท่านก็เหมือนกัน ธรรมอันเดียวกัน หัวใจกับธรรมเป็นสิ่งคู่ควรต่อกันแล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้ว่ะ
นี่ละที่เราเทศน์สอนโลก เราไม่ได้คิดว่าจะเอาอะไรมาเทศน์ๆ ไม่ได้คิด อะไรสัมผัสพับมันจะออกรับกันทันทีๆ เลย นอกจากกำลังวังชาธาตุขันธ์นี้ซึ่งเป็นเครื่องมือของการเทศน์มันได้แค่ไหนมันก็ไปแค่นั้น อย่างทุกวันนี้เทศน์ดูไม่ถึงชั่วโมงนะ แต่ก่อนที่กำลังนำพี่น้องอยู่เทศน์ได้ชั่วโมง ที่สูงสุดไปเทศน์ที่อำเภอสูงเนิน ได้ชั่วโมง ๒๙ นาที จบ เทศน์ในสนามหลวงก็เพียงชั่วโมง ๒๓ นาที นั่นก็ได้ชั่วโมงกว่า จบ เดี๋ยวนี้ไม่ได้นะ เพียงถึงขั้น ๔๐ นาทีตะเกียกตะกายแล้ว นี่ละกำลังคือธาตุขันธ์เครื่องมือมันไม่อำนวยเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้
เทศน์ของเราเลยกระจายไปทั่วประเทศไทย แล้วด้วยความตายใจด้วยแน่ใจด้วยนะว่าเทศน์นี้ไม่ผิด เพราะถอดออกมาจากหัวใจจากการปฏิบัติจริงๆ ด้วย เราจึงกล้าพูดละซิ เวลามันคับมันแค้นมันจะตาย ฉันขนมนางเล็ดครึ่งแผ่นก็กลืนไม่ลงก็พูดให้ฟัง จนจะฆ่าคนแถวบ้านหนองแวงจน ทุกวันนี้ความเคียดแค้นยังไม่หายก็ได้เล่าให้ฟัง หมู หมา เป็ด ไก่ผ่านไปไม่ได้ สูอย่าผ่านนะกูยังโกรธยังแค้นยังไม่หายนะ นั่นก็ได้เล่าให้ฟัง ทีนี้เวลามันออกเทศน์ดังที่ท่านทั้งหลายฟังนี่ละ ไม่ได้คุย ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วมันเป็นไปหมดเลย จ้าไปหมดเลย สมควรที่จะเทศน์หนักเบามากน้อยเพียงไรมันก็ออกรับกันๆ ถ้าสมควรที่จะพุ่งเลยไม่ต้องบอก ธรรมะอันใดที่เข้ามาสัมผัสกันซึ่งควรจะพุ่งเลยไปเลยออกเลยทันทีๆ ส่วนมากเป็นธรรมะขั้นสูง แกงหม้อเล็กแกงหม้อจิ๋ว อันนี้ออกอย่างรวดเร็วและรุนแรงด้วยดุเดือดด้วย นั่น ออกจากหัวใจนี้ละ นี่ละการปฏิบัติธรรม
พุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสมบูรณ์แบบ ขอให้นำไปปฏิบัติเถอะ สดๆ ร้อนๆ อย่าให้กิเลสมันมาเหยียบย่ำทำลายศาสนาแหลกไปหมด ศาสนาหมดมรรคหมดผล ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป สวรรค์นิพพานไม่มี นั่นเห็นไหมกิเลสมันเหยียบ พระพุทธเจ้าจอมปราชญ์แท้ๆ สอนโลก เป็นผู้สิ้นกิเลสด้วยสอนโลก สอนตามหลักความจริงที่มีอยู่ยังไงสอนตามนั้น กิเลสตัวสกปรกมอมแมมตัวส้วมตัวถานมันไปเที่ยวลบหมดว่าบาปไม่มีบุญไม่มี นรกไม่มีสวรรค์ไม่มี มรรคผลนิพพานไม่มีเห็นไหม
แล้วโลกเชื่อไปตามมันก็งอมแงมอยู่เดี๋ยวนี้ ใครวิเศษวิโสบ้างว่ะเชื่อตามกิเลส ไม่เห็นมีใครวิเศษวิโส พระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายเลิศขนาดไหน นั่นละเชื่อธรรมปฏิบัติตามธรรมรู้ธรรมเห็นธรรม ท่านสอนโลกด้วยความเป็นธรรมทุกอย่างไม่ผิดไม่เพี้ยน เอ้า ใครปฏิบัติธรรมให้รู้อีกซิ ก็แบบเดียวกันอีกละ ที่จะต้องพูดออกมาไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน ก็มันจ้าอยู่ในหัวใจจะเอาอะไรมาจนตรอกจนมุม มันไม่ได้ไปหาลูบคลำในคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี่นะ คัมภีร์ในหัวอก พระพุทธเจ้าตรัสรู้คัมภีร์ในคือหัวใจ สาวกทั้งหลายตรัสรู้คัมภีร์ในคือหัวใจ นั่นละท่านนำมาสอนโลกจากคัมภีร์ใน
ปฏิบัติไปเมื่อมันเป็นอย่างเดียวกันแล้วก็สดๆ ร้อนๆ อย่างเดียวกัน ธรรมอย่างเดียวกันกิเลสอย่างเดียวกันพูดได้แบบเดียวกันจะผิดอะไร จึงว่าพุทธศาสนาคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ บาปมีบุญมีสดๆ ร้อนๆ ตลอด ใครกล้า เอ้า ตาย จม ใครกล้าไปเหยียบธรรมพระพุทธเจ้าที่สอนไว้อย่างแน่นอน เรียกว่าสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว จม ไม่มีคำว่าเจริญ ใครกล้าไปเหยียบอรรถเหยียบธรรม เอ้า ลองดูซิน่ะ จมทั้งนั้นละ ผู้ใดยอมรับกราบไหว้บูชาธรรมเจริญๆ ตลอดๆ จนหายสงสัย
การปฏิบัติธรรมถึงขั้นเต็มที่แล้วหายสงสัยเหมือนกันหมด เวลามันสงสัยอะไรสงสัยหมด เพราะกิเลสพาให้สงสัย พาให้มัวหมองมืดตื้อ เดินไปทางไหนมีแต่ขวากแต่หนาม ตกหลุมตกบ่อไปเรื่อยๆ กิเลสพาไปพาตกหลุมตกบ่อ เวลาธรรมได้เกิดขึ้นในหัวใจนี้จ้าๆ จ้านี้มันรู้ไปหมดเลยจะให้ว่าไง จะไปตกหลุมไหนล่ะก็เมื่อมันเห็นอยู่รู้อยู่ว่าเป็นหลุมเป็นบ่อจะไปตกหาอะไร นั่นละจอมปราชญ์ท่านรู้ธรรมเห็นธรรมท่านรู้อย่างนั้น ท่านจึงสอนโลกได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยละซิ พวกเรามางุ่มง่ามต้วมเตี้ยมๆ โอ่อ่าฟู่ฟ่าไปตามกิเลส มันเป็นบ้ากันทั้งหมดละเดี๋ยวนี้ เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธแท้ๆ มันกำลังเป็นเมืองบ้าเห่อกับกิเลส พูดแล้วมันสลดสังเวชนะ
เราไม่ได้พูดดูถูกโลก เราเกิดมากับโลกด้วยกัน เวลากิเลสเหยียบหัวก็เหยียบเหมือนกัน ภาวนาอยู่บนภูเขาน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาเราลืมเมื่อไรเคยมาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เอาจนกระทั่งถึงอุทานภายใน ฟัดกันกับกิเลส ตั้งสติไม่อยู่ๆ ตั้งปั๊บล้มปั๊บๆๆ พร้อมกันกับการตั้ง ไม่ใช่ตั้งอยู่ ตั้งล้ม เราก็ได้พูดถึงขนาดน้ำตาร่วงบนภูเขา โห มันเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ เอาจนขนาดที่ว่าน้ำตาร่วง เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย นี่เคียดแค้นให้กิเลสซึ่งเป็นภัยต่อตัวเองเป็นธรรม ถ้าเคียดแค้นให้ผู้หนึ่งผู้ใดหรือสัตว์ตัวใดเป็นกิเลสทั้งนั้น เมื่อเคียดแค้นให้กิเลสซึ่งเป็นภัยต่อตนเองเป็นธรรม
นี่ก็ได้อุบายวิธีการมาตั้งแต่น้ำตาร่วงบนภูเขาเราไม่ลืมนะ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย โรงงานใหญ่ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่น ลงไปหาท่านท่านให้อุบายแนะนำสั่งสอน ไปอีกฟัดอีกหงายหมามาอีกสู้กิเลสไม่ได้ หลายครั้งหลายหนก็ซัดกิเลสก็ล้มหงายให้เห็น เหอ มันก็มีท้องเหมือนกันหรือนึกว่ามีท้องแต่กูล้มหงายให้มึงดู นี้มึงก็มีท้องเหมือนกันหรือ ทีนี้ก็เลยมีกำลังใจฟัดกันเลย กิเลสหงายท้องๆ ฟาดกิเลสขาดสะบั้นไปจากหัวใจจ้าขึ้นมาแล้วเป็นยังไง นี่ละสอนธรรมทุกวันนี้สอนด้วยจ้าในหัวใจนะ ไม่ได้เอาอะไรมาโม้มาอวดท่านทั้งหลาย สอนด้วยความเมตตานะ
จะเอาอะไรมาอวด อะไรจะเลิศยิ่งกว่าธรรม ความอวดเหล่านั้นมันเป็นของเลวทั้งนั้นนี่นะ ธรรมเลิศขนาดไหน นี่ละปฏิบัติไปเมื่อถึงขั้นหายสงสัยหายจริงๆ จากการปฏิบัติ พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ๆ เป็นยังไงธรรมเป็นยังไง พระพุทธเจ้าเป็นยังไง มันจ้าขึ้นแล้วมันอยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้า อยู่ท่ามกลางธรรมทั้งหลายในหัวใจเราเอง เหมือนอย่างเราอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร มองไปที่ไหนก็มหาสมุทร เราอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรแล้วสงสัยมหาสมุทรที่ไหน นี่ใจเวลามันจ้าขึ้นแล้วอยู่ในท่ามกลางแห่งธรรม ธรรมชาติที่เลิศเลอ มองไปที่ไหนมันก็มีธรรมชาติที่เลิศเลอสงสัยอะไร ธรรมพระพุทธเจ้าสดๆ ร้อนๆ สูญไปไหนหายไปไหน มีแต่กิเลสมันหลอก อย่าพากันให้กิเลสหลอกมันจะจมกันหมดเดี๋ยวนี้น่ะ พากันจำเอา โอ้ เหนื่อย พูดไปพูดมาก็เหนื่อย พอเท่านั้นละ
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |