เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๙
เป็นอะไรมาภิกษุเฒ่าจะแก้ให้
เมื่อคืนไม่ทราบมันเพลียอะไรก็ไม่รู้ เอ้อ คนแก่นี่ตายไม่มีกฎมีเกณฑ์นะ เมื่อคืนนี้เห็นได้ชัด มันเพลียอะไรพูดไม่ถูก ตายได้ทุกแห่ง เดินไปตามวัดนี้ล้มตูมแล้วไปเลยก็ได้ อย่างเมื่อคืนนี้ชัดเจนมากทีเดียว คือตายได้ทุกอิริยาบถ ยืนล้มตูมตายได้ เดินล้มตายได้ นั่งนอนตายได้ทั้งนั้น มันเป็นของมันอยู่ภายในนี่แปลกๆ อยู่ ตายได้ง่ายมาก ตายไม่นิยมอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ตายได้ทั้งนั้น ไม่ทราบมันเพลียอะไรเมื่อวาน เพลียเหลือกำลังจริงๆ วันนี้เตรียมพร้อม เอาข้าวให้มันฉันเกือบหมดทั้งบาตร แล้วคอยดูค่ำวันนี้มันจะเป็นยังไง คอยดู ถ้ามันยังจะเพลียยังจะตายอยู่ วันหลังไม่ให้มันสะแตก เข้าใจไหม มันต้องให้ถึงกันซิ คำว่าสะแตก นี่หมายถึงน้ำหนัก อะไรๆ ก็มีแต่เพลียๆ เอา ยกให้ทั้งบาตรเลย ใส่ตูมลงไปเลย เรียกว่าน้ำหนัก
พ่อแม่ครูจารย์มั่นเราท่านกำหนดไว้เรียบร้อยแล้วอายุท่าน ท่านบอกว่า ๘๐ พูดอย่างเปิดเผย ในที่ประชุมสงฆ์วันลงปาฏิโมกข์ คือพระอยู่ในที่ต่างๆ ตามหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้ พอฉันจังหันเสร็จแล้วก็เดินทางมา บ่ายโมงเริ่มลงอุโบสถ ท่านพูดท่านเตือน ใครจะรีบตั้งใจให้ตั้งใจนะ หากเป็นอะไรมาภิกษุเฒ่าจะแก้ให้ การแก้จิตนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อยู่ไม่นานนะ นี่ลงแล้วนะ ๘๐ เท่านั้น บางทีนับข้อมือ เวลานั้นอายุได้เท่านั้น นับต่อกันไปถึง ๘๐ นั่นท่านว่าอย่างนี้นะ มันนานอะไร ใครอย่ามานอนใจท่านบอก ฟังซิท่านแน่ไหมล่ะ บอกว่า ๘๐ แล้วบางทีท่านก็นับข้อมือ ไปถึง ๘๐ นั่นมันนานอะไร
อย่ามาตายกองกันอยู่ด้วยความประมาทนะ คือตายกองกันด้วยความประมาทมันก็เหมือนสัตว์ทั้งหลายตาย ไม่ให้พระเป็นแบบสัตว์ทั้งหลาย ท่านก็บอกเลย การแก้จิตใจไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เอ้า ใครเป็นอะไรภิกษุเฒ่าจะแก้ให้ พูดถึงเรื่องจิตใจนี่ โอ๋ย แสดงกิริยาท่าทางไม่สะทกสะท้าน อาจหาญด้วยความเมตตา อยากให้ผู้มาศึกษาได้เข้าอกเข้าใจในธรรมที่ท่านแสดงมา เพราะฉะนั้นเวลาใครติดข้องแล้ว เอ้าให้ถามมาท่านว่า ภิกษุเฒ่าจะแก้ให้
บางทีก็บอกว่าอายุไม่นานนะ ไม่เลย ๘๐ ท่านบอกอยู่อย่างนั้น ผิดไปไหนล่ะ บอกอายุไม่เลย ๘๐ บางทีท่านก็นับข้อมือ อายุท่านเวลานั้นได้เท่านั้นแล้ว นับไปๆ ไม่เลย ๘๐ นะ พอถึง ๘๐ แน่ะมันจะนานอะไร ใครอย่าประมาท แน่ะเอาละนะ มาตายกองกันอยู่ด้วยความประมาทใช้ไม่ได้นะ สัตว์โลกตายกองกันอย่างนี้ทั่วโลกดินแดน เรามีอรรถมีธรรมอย่าให้ตายแบบนั้น นั่นฟังซิท่านว่า ตายแบบผู้มีสติสตัง สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับธรรมอยู่ตลอดเวลา นั่นไม่ตายเกลื่อนกล่น ไม่ตายกองกัน ตายแล้วดีดเลย
พ่อแม่ครูจารย์ท่านพูดคำไหนผิดเมื่อไร เรียกว่าออกจากญาณหยั่งทราบจริงๆ พูดไม่สะทกสะท้าน เช่นอย่างว่า ๘๐ บอกพระเจ้าพระสงฆ์ที่มาลงอุโบสถมาจากที่ต่างๆ พอลงอุโบสถเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็เทศน์ละที่นี่ พอเลิกจากเทศน์แล้วต่างองค์ต่างกลับไปวัดที่พักของตนไม่ห่างนัก ประมาณสัก ๙ กิโล ๑๐ กิโล ๑๑-๑๒ กิโล เหล่านี้ท่านมาอุโบสถได้ พอฉันเสร็จท่านก็ออกเดินทาง บ่ายโมงเริ่มลงอุโบสถ หลังจากลงอุโบสถแล้วก็เทศน์ละที่นี่ เทศน์สอนพระ มีแต่ธรรมะล้วนๆ ธรรมะแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วๆ พุ่งๆ เลย ท่านพูดอะไรไม่เคลื่อนนะ อย่างว่า ๘๐ นี่ พูดอยู่เรื่อย เวลาประชุมพระลงปาฏิโมกข์นั่นละ
ลงปาฏิโมกข์ครั้งละ ๕๐-๖๐ พระ พระมาลงปาฏิโมกข์ ปรกติอยู่ตามที่ต่างๆ ไม่ห่างไกลนัก ๓ กิโล ๔ กิโล ๕ กิโล ถึง ๑๑-๑๒ กิโลท่านมา แต่ก่อนอย่าไปถามหาเรื่องรถเรื่องรา ตั้งแต่ทางไปก็ยังจะไม่มีทางจะว่าไง ฉันเสร็จแล้วท่านก็มา ท่านเทศน์สอนพระรู้สึกว่าจะวันอุโบสถปาฏิโมกข์ วันปาฏิโมกข์เดือนหนึ่งสองครั้งท่านจะอบรมพระ นอกจากนั้นเวลามันก็ไม่พอ พระอยู่ที่ต่างๆ ถ้าวันอุโบสถนี่พระมา ท่านจะได้เทศน์วันอุโบสถเดือนหนึ่งสองครั้ง
พอพูดอย่างนี้เราไม่ได้พูดยกยอตัวเองนะ พูดตามหลักความจริงเราไม่ลืม ก่อนจะไปก็กราบเรียนปรึกษาหารือท่าน เรื่องหน้าที่การงานอะไรในวัดนี้มีอะไรบ้าง ถ้าไม่มีท่านก็บอกว่าไม่มี ถ้าไม่มีก็อยากกราบนมัสการลาท่านไปประกอบความเพียรสักชั่วระยะหนึ่ง เราไม่ได้ว่าไปเตลิดนะ ไปต้องบอกชั่วระยะ เพราะท่านเมตตามาก เหมือนว่าในวัดนี้ไว้ใจให้ พอว่าจะไป จะไปทางไหน เราก็บอกว่าจะไปทางนั้นๆ พอเสร็จแล้วก็ออกเดินทาง ก่อนจะไปก็กราบเรียนท่านแล้ว วันมาฆะข้างหน้านี้จะไม่ได้มาร่วมมาฆะ เราว่างั้น เราไปวันขึ้น ๓ ค่ำ เดือน ๓ ออกจากวัดไป เราไม่ลืมนะเพราะเกี่ยวโยงกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น จึงไม่ใช่เรื่องจะลืมเอาอย่างง่ายดาย
ท่านก็พูดเป็นธรรมด้วย หยอกเล่นด้วย หยอกเล่นๆ ด้วยเมตตานะ คราวนี้จะไม่ได้มาร่วมอุโบสถเพราะไกลหน่อย เดินทั้งนั้นนี่ ท่านก็ถามไปทางไหนๆ ตอนนั้นเราไปวาริชภูมิ อำเภอวาริชภูมิไกลอยู่ จากโน้นมาต้องค้างคืนเดินทางมา ว่าจะไม่ได้มาร่วมอุโบสถ เอ้อ อุโบสถคนเดียว ภาวนาให้ดีนะ เวลาท่านจะหยอกเล่นก็หยอกเล่น นี่ละสำคัญตรงนี้ จุดสุดท้ายของท่านนะนั่น ทั้งๆ ที่ตกลงกันเรียบร้อยท่านเข้าใจเรียบร้อยแล้ว วันนั้นพอขึ้นตอนเช้าเดือนสามเพ็ญ สี่โมงห้าโมงเริ่มถามแล้วนะ ท่านไม่ได้ถามธรรมดา ท่านมหามาถึงหรือยัง ว่ามาถึงหรือยัง
ทั้งๆ ที่ตรงลงกันเรียบร้อยแล้วว่าจะไม่ได้มาร่วมอุโบสถคราวนี้ เพราะเราไปวันขึ้นสามค่ำ พอบ่ายมาละเอาเรื่อยๆ ท่านมหายังไม่มาเหรอ ยังไม่มาเรื่อยๆ จนกระทั่งค่ำ ถามย้ำเรื่อยๆ เราไม่รู้ความหมาย ความจริงท่านจะเทศน์รื้อโลกธาตุ แล้วเป็นวาระสุดท้ายจะไม่เทศน์อีกต่อไปความหมายว่าอย่างนั้น ท่านอยากให้ได้ฟังธรรมสุดท้าย ย้ำแล้วย้ำเล่า หือ ยังไม่มาเหรอท่านมหาน่ะ ท่านอยากให้ฟังวาระสุดท้าย นั่นละหยุดเท่านั้นไม่เทศน์อีกเลย เทศน์อย่างฟ้าดินถล่ม พอถึงเวลาแล้วยัง เอ๊ ท่านมหามันยังไงกันนา ว่าอย่างนี้ ที่ไหนได้ความมุ่งหมายของท่านอันใหญ่อยู่ธรรมเทศนา วันนั้นท่านจะเปิดโลกธาตุอย่างเต็มเหนี่ยวเลย
ท่านก็เห็นว่าเรามีความตั้งอกตั้งใจในธรรมทั้งหลายอยู่แล้ว ท่านถึงได้พูดถึงเรา พอเทศน์แล้วเวลาเรามาถึง ไปอยู่ที่ไหนท่านว่างั้นนะ ขู่เลย เทศน์จนฟ้าดินถล่มมันไปอยู่ที่ไหน พอกราบ พอพูดเสร็จแล้ว นี่ก็เริ่มไม่สบายมาตั้งแต่วานซืนนี้ วานซืนขึ้น ๑๔ ค่ำ วันแรมค่ำ ๑ เดือนไหนไม่รู้ละหลังจากมาฆะแล้วเรากลับมา นี่เริ่มป่วยแล้วตั้งแต่วานซืนนี้ วันขึ้น ๑๔ ค่ำ แรมค่ำ ๑ เรามาถึง นี่ละบอกละนะที่นี่เริ่มบอกแล้ว นี่ป่วยเป็นครั้งสุดท้ายนะ นั่นบอกแล้ว อายุจะก้าวเข้า ๘๐ แล้ว ป่วยครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ไม่หาย มีตายถ่ายเดียว ยาจากเทวบุตรเทวดาที่ไหนก็ไม่หาย นี่ละท่านแน่แล้วนั่น แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ไม่ตายง่ายนะท่านว่า โรคนี่โรคทรมาน โรคคนแก่ ๘ เดือนท่านก็ล่วงไป ตั้งแต่เดือน ๔ ถึงเดือนอะไรท่านมรณภาพ เราก็นับเวลาดู ๗-๘ เดือน
ท่านเทศน์วันนั้นเอาใหญ่จริงๆ เทศน์แต่สองทุ่มฟาดถึงหกทุ่มเลย เทศน์สอนพระ นั่นละท่านถึงได้กระหน่ำเราเรื่อย เพราะเห็นความตั้งใจของเรา เทศน์ฟ้าดินถล่มมันไปอยู่ที่ไหนมหานี่น่ะ ตั้งแต่นั้นมาไม่เทศน์อีกเลยนะ ไม่เอาเลย นั่นละท่านมีจุดสำคัญๆ ที่ท่านเน้นหนักอยู่นั้น จอมปราชญ์สมัยปัจจุบันได้แก่พ่อแม่ครูจารย์มั่น เราไปศึกษากับท่านเองด้วยความตั้งอกตั้งใจไม่ให้ผิดให้พลาด กิริยาท่านแสดงอะไรจะเก็บไว้หมดๆ ตลอดเลย เพราะไปเห็นท่านถึงใจแล้ว ตั้งแต่วันเข้าไปหาท่านทีแรกถึงใจเลยเทียว เพราะฉะนั้นมันถึงจับตลอดไม่ให้คลาดให้เคลื่อน พอเดือนพฤศจิกา วันที่ ๑๐ ท่านก็ล่วง
ตอนท่านป่วยหนัก ไอ้เราก็ติดพันตลอดเวลานะ ท่านจะบอกใครว่าท่านมหาเข้ามาพัวพันรักษาผมตลอดเวลา บางคืนไม่ได้หลับได้นอน ก็ควรจะหาองค์อื่นมาแทนบ้างให้พักผ่อนบ้างไม่เคยพูดนะ ไอ้เราก็ไม่เคยสนใจกับใคร มีแต่พุ่งๆ อยู่กับท่านตลอดเวลา พอเวลาท่านป่วยหนักเข้าๆ เวลาท่านหลับไปบ้างเราก็ออกไปเดินจงกรมข้างๆ สั่งพระไว้ พอลืมตาขึ้นมาท่านมหาไปไหน แน่ะเอาละนะ เราก็เข้าถึงทันทีเลย เข้ามุ้งเลยละ สำหรับมุ้งนั้นก็มีแต่เรากับท่านเท่านั้นเอง พระอยู่ข้างนอกมุ้งเต็มอยู่ข้างนอก มีแต่เราอยู่กับท่าน บางคืนไม่ได้หลับตลอดรุ่งเลย คือตอนนั้นพฤศจิกามันเริ่มหนาวแล้ว วัณโรคน่ะไอสำคัญมากทีเดียว นั่นละไม่ได้นอน
โอ้ เราติดหูติดตากับพ่อแม่ครูจารย์มั่นไม่ตกได้หลุดไปไหนเลย ปรากฏว่าจับติดๆ ทุกอย่างเลย ดูจนกระทั่งสุดลมหายใจท่าน ที่ท่านเร่งให้พระเอาท่านไปสกลนคร คือท่านบอกว่าท่านจะไปตายสกลท่านสั่งไว้แล้ว ตายที่นี่ไม่ได้สัตว์จะพินาศฉิบหายมาก นี้ไม่มีตลาดว่างั้นนะ ท่านห่วงกระทั่งสัตว์ ไปตายสกลฯ มันเป็นเมืองใหญ่เมืองกว้าง เขามีอยู่แล้วเป็นธรรมดา ถ้าเรามาตายที่เหล่านี้สัตว์จะตายเพราะเรา อยู่ในตลาดเมืองสกลนครเขามีสาธารณะอยู่แล้วไม่หนักเกินไป ท่านสั่งไว้ขนาดนั้น
เวลาถึงขั้นท่านจะไปจริงๆ นี้เร่งใหญ่เลยนะ แต่มีคำหนึ่งที่ท่านปิดไว้ท่านไม่ออก เหตุที่เราจะทราบนั้นคือว่าเราเป็นเองโรคหัวใจ ถึงขั้นมันจะไปจริงๆ มันจะเอาจริงๆ นะ เวลามันพอหักห้ามกันได้ยับยั้งกันได้ก็ยับยั้งก็อยู่ได้ มันจะไปรู้อยู่นี่ มันจะดีดจิตนี่ หลายครั้งอยู่นะ ยังไม่ให้ไปบังคับไว้ก็อยู่ๆ นี่ถ้าท่านพูดเสียว่า นี่ผมรั้งเอาไว้นะเท่านั้นละ เวลาไหนก็ตามจะวัดแตกเลยเทียว เราไปกราบเรียนปรึกษาครูบาอาจารย์ องค์นั้นว่างั้นองค์นี้ว่างี้ ทีนี้เราอยู่ในมุ้งกับท่านถูกสับถูกยำตลอดเวลา บอกว่าให้เร่งเอาไปเดี๋ยวนี้ เร่ง คืนนั้นท่านไม่นอนนะ
คือเวลานอนคนหลับธาตุขันธ์ ความตายควรตายไม่หลับนะ เวลามันดีดปุ๊บมานี้แก้ไม่ทัน ตาย ท่านจึงเร่งให้เอาไปวันนี้ เอาไปคืนนี้ ว่างั้นเลย แต่ท่านไม่ได้บอกว่าท่านรั้งเอาไว้เวลานี้ มาเป็นในเราเราถึงรู้ จึงย้อนหลังไปหาท่าน แต่ท่านไม่พูด ถ้าหากว่าท่านว่ารั้งเอาไว้นี้กลางคืนก็ตามเวลาไหนก็ตาม เราจะไม่ฟังเสียงครูบาอาจารย์เลย เพราะเราอยู่ในมุ้งกับท่าน จะเอาไปกลางคืนเลยเชียว เพราะท่านเร่งเต็มที่แล้ว
ตอนเช้าก็ดลบันดาลรถเขามารับพอดี ไม่ได้บอกนะ การคมนาคมติดต่อกันลำบากแต่ก่อน ถนนก็หินลูกรังเป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่เหมือนทุกวันนี้ เขาก็มารับท่าน ถามคำเดียว เพราะท่านมุ่งจะไปอยู่แล้ว เขาก็มารับ แล้วพระเณรมากมาย เราไปนี้พระเณรก็จะหลั่งไหลไปตาม รถราจะพอกันเหรอ ท่านว่า จะขนทั้งวัน เขาว่าอย่างนั้นนะ ไม่พอจะขนทั้งวัน ท่านก็ตายใจ เขาฉีดยานอนหลับให้ท่าน พอเสร็จแล้วก็ยกขึ้นใส่เตียงหามท่านออกมา พอไปถึง ๖ ทุ่ม ตั้งแต่ตอนจังหันแล้วฉีดยา ถึง ๖ ทุ่ม พิษยาจางไปแล้วท่านตื่น
พอตื่นนอนทีนี้ท่านไม่พูดอะไรเลย พอตื่นนอนแล้วท่านก็ดู ดูหมดทุกแห่งเลย คือกุฏิหลังนี้เป็นกุฏิที่เขาสร้างถวายท่าน ตอนท่านอยู่อุดรเขาสร้างกุฏิถวายท่าน เสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็มารับท่านไป ท่านก็ไปให้เขา นั่นละท่านถึงได้ไปดู เพราะท่านไปพักนั่นทีแรก พอวาระสุดท้ายก็ไปกุฏิหลังนั้น พอท่านตื่นนอนขึ้นมาแล้วท่านดูจริงๆ นะ ดูทุกทิศทุกทาง ดูนั้นดูนี้หมดแต่ไม่พูด แสดงว่าหายห่วงละที่นี่ มาถึงที่ต้องการแล้วซึ่งเป็นที่ตายของท่าน ตามความมุ่งหมายแล้ว ท่านแสดงอยู่เสมอว่าเราจะไปตายสกลฯ พอหมดห่วงแล้วทีนี้เริ่มแล้วนะ หมดห่วงหมดใยแล้ว ดูอาการเริ่มแล้ว เราบอกใครต่อใครดูเอา ที่ท่านเร่งไม่ได้นอนทั้งวันทั้งคืนท่านเร่งเพราะอะไร ดูเอาที่นี่ ดูอาการท่านแปลกแล้ว ท่านก็เริ่มทำหน้าที่เรื่อยๆ ตั้งแต่เที่ยงคืนถึงตีสอง ๒ ชั่วโมง ดูอาการแปลกๆ พอตีสอง ๒๓ นาที ท่านก็สิ้นใจ
ท่านสิ้นใจละเอียดอ่อนมากทีเดียว เวลาท่านจะสิ้นลมละเอียดอ่อนมากทีเดียว แล้วท่านก็ไปตีสอง ๒๓ นาที ท่านไปอย่างสมเกียรติของจอมปราชญ์สมัยปัจจุบัน ทุกอย่างเหมือนว่ากำหนดไว้ๆ อย่างที่ท่านจะมาตายสกลนคร ท่านเร่ง แต่ท่านไม่บอกว่านี่ผมรั้งเอาไว้ ท่านไม่ได้บอก ถ้าท่านว่าผมรั้งเอาไว้ กลางคืนก็ตามกลางวันก็ตามแตกเลยเชียว เราจะเอาไป ครูบาอาจารย์ว่าอะไรจะไม่ฟังเลย เพราะเราเป็นผู้หนักทุกอย่างอยู่กับท่าน
ครูบาอาจารย์อยู่ข้างนอก ครั้นเวลาได้เรื่องจากท่านไป ไปกราบเรียน องค์นั้นว่าอย่างนั้นองค์นี้ว่าอย่างนี้เราโมโหนะ ทุกวันนี้ยังโมโหให้ครูบาอาจารย์เหล่านั้นอยู่ ครูบาอาจารย์เหล่าไหนก็ตามเถอะน่ะเรารู้ทุกองค์ องค์นี้ว่าอย่างนั้นองค์นั้นว่าอย่างนั้น เราโมโห ก็เราไปดูเหตุการณ์มาแล้วนี่ มาพูดไปคนละแบบๆ กับเราที่ไปดูแบบตายตัวมาแล้วมันเข้ากันไม่ได้ ทีนี้พอตอนเช้าเขาเอารถมารับ พอ ๖ ทุ่มยานอนหลับหมดพิษไปแล้วท่านก็ดู ดูละเอียดลออมากนะ ดูว่าแน่ละที่นี่ เป็นสถานที่ที่เราจะตาย จากนั้นมาท่านก็ทำหน้าที่ไปเลย เหมือนว่าท่านกำหนดๆ เอาไว้ทุกอย่าง จอมปราชญ์
เวลาท่านจะสิ้นนี้ แหม ละเอียดมาก ไม่มีกระดุกกระดิกอะไรๆ ทั้งนั้น อาการมีนิดหน่อยๆ ให้รู้ว่าท่านเตรียมแล้วๆ พอจวนตัวจริงๆ ลมหายใจค่อยผ่อนลงๆ เพราะหัวเราจ่ออยู่กับท่าน ครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านก็อยู่.หัวเราสอดเข้าข้าง หัวจ่อเข้าไปดูตลอด เพราะตอนนั้นเรายังเป็นพระผู้น้อย ดูเหมือนได้ ๑๖ พรรษาละมัง ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเคารพท่าน เราก็ไม่อาจเอื้อม คอยฟังเสียงท่าน แต่ผู้ที่ปฏิบัติใกล้ชิดต่อเหตุการณ์ระหว่างท่านกับเราคือเรา มันหนักอยู่กับเรา
เวลาท่านก็ดู แต่ละเอียดจนกำหนดไม่ได้นะว่าท่านสิ้นเมื่อไร ที่ว่า ๒๓ นาทีนั้นท่านเจ้าคุณอุปัชฌาย์เห็นว่าหมดหวังเงียบไปแล้ว นี่ไม่ใช่ท่านสิ้นแล้วเหรอ ก็เลยเอานาฬิกามาดู ไม่มีใครรู้ว่าท่านสิ้นเมื่อไร ละเอียดขนาดนั้น หัวเราจ่ออยู่ตลอด ค่อยละเอียดลงๆ แล้วเงียบไปเลย ไม่มีอวัยวะส่วนใดที่จะกระดุกกระดิกให้ทราบว่าไปเวลานั้น ละเอียดขนาดนั้นท่านไป ท่านตายอย่างนั้นละ
พระอรหันต์ท่านตายง่าย ท่านไม่มีอะไรกับธาตุกับขันธ์ ดูความเคลื่อนไหวของธาตุขันธ์ มันอ่อนไปขนาดไหนๆ ธรรมชาตินั้นไม่ได้อ่อน ความบริสุทธิ์ของใจที่รับผิดชอบร่างกายไม่ได้อ่อน ไม่ได้ลดราวาศอกอะไรเลย คงเส้นคงวาหนาแน่นเรียกว่านิพพานเที่ยงคือธรรมชาติ ดูธาตุดูขันธ์ที่เป็นของแปรปรวน ดูตลอด พอสุดท้ายก็ปล่อยเลย ไปเลย
ได้เห็นเต็มหูเต็มตาพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพ เราได้เห็นเต็มหูเต็มตาด้วยความเคารพเลื่อมใสเทิดทูนสุดหัวใจเรา ตอนนั้นก็เป็นเวลาที่จิตใจเรากำลังหมุนเป็นธรรมจักรนะ นั่นละตอนอยู่กับใครไม่ได้ เราทนเอากับท่านตอนนั้น ออกจากท่านเข้าทางจงกรม เพราะจิตมันเป็นธรรมจักร หมุนฆ่ากิเลสไม่มีวันมีคืน นี่ละเวลากิเลสมีกำลังมากมันหมุนไปตามจังหวะของมันบนหัวใจสัตว์ในวัฏจักร มันหมุนของมันอย่างนั้นเป็นอัตโนมัติ
ทีนี้พอธรรมมีกำลังมากธรรมก็หมุนฆ่ากิเลสแบบเดียวกัน อันนี้เราไม่ได้เรียนมาจากไหน เรียนมาจากเราเอง หัวใจเราที่กิเลสหมุนตลอดเวลามาแต่ก่อนเป็นยังไง ทีนี้คราวนี้เป็นคราวที่ธรรมมีกำลังกล้าแล้ว หมุนฆ่ากิเลสแบบเดียวกันเป็นอัตโนมัติ หมุนตลอดเวลา จึงว่าอยู่กับใครไม่ได้ เหมือนว่านักมวยต่อยวงในตั้งแต่กรรรมการเข้าไปยุ่งไม่ได้นะ อันนี้ระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกันนี้ก็แบบวงใน จึงอยู่กับใครไม่ได้ เทียบกับว่ากรรมการเข้าไปยุ่งไม่ได้ จิตกำลังหมุนติ้วๆ เราก็ดี
จนได้วิตกวิจารณ์ เอ้อ มันเป็นยังไงระยะนี้ พ่อแม่ครูจารย์ท่านก็เพียบทางธาตุทางขันธ์ เราก็เพียบทางด้านจิตใจระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน เป็นยังไงถึงมาเกิดในจังหวะเดียวกันน้า วิตก คือหนีจากท่านไม่ได้ ออกจากนี้ก็เข้าทางจงกรม ออกจากนั้นปั๊บเข้าเลย พระเณรคอยจ้องตลอดเวลา ไม่ได้คุย พระเณรเคารพมากสำหรับเรานะ พระเณรทั้งวัดไม่มีใครกล้าทะลึ่ง เคารพมากทีเดียว เพราะเราเป็นนิสัยจริงจังทุกอย่าง ท่านจึงได้เมตตาไว้ใจนั่นเอง
พอลืมตาขึ้นมาท่านมหาไปไหน แน่ะเอาแล้วนะ บางทีเคลิ้มหลับไปนิดหนึ่ง เราออกไปเดินจงกรมอยู่ข้างๆ ออกจากมุ้งไป พอลืมตาขึ้นมาท่านมหาไปไหน ปั๊บเข้าเลย ไม่สนใจจะเอาใครมาเปลี่ยน แล้วท่านก็ไม่เคยสั่งตลอดจนวาระสุดท้าย ด้วยความรักความเทิดทูนความเคารพเลื่อมใสเต็มหัวใจของเรา จึงไม่คำนึงคำนวณเรื่องของเราว่าเป็นอะไร นี่ละได้เห็นชัดๆ ระหว่างเรากับท่าน
(วันนั้นที่เขาเสนอขอแก้ไขพรบ.คณะสงฆ์ แล้วหลวงตาก็บอกว่าหลวงตาเห็นด้วย คุณไพศาล พืชมงคล กับคณะ ๓๓ คน เขาก็มีกำลังใจ เขาดีใจที่หลวงตาบอกหลวงตาไม่แย้ง หลวงตาเห็นด้วย เขาจะทำให้สำเร็จโดยไวเสนอแก้ไขพรบ.สงฆ์) ถ้าว่าเห็นด้วยเห็นโดยธรรม ไม่เห็นด้วยก็ไม่เห็นโดยธรรม ที่เราว่าเห็นด้วยแล้วแสดงว่าพิจารณาเรียบร้อยแล้วถึงออกคำว่าเห็นด้วย ไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้านะ ยิ่งพูดในวงการใหญ่ๆ ด้วยแล้วจะพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน สมควรจะออกแง่ไหนมันจะออกของมันเองๆ ไม่ต้องไปปรึกษาใคร พูดเสียบ้างนะวันนี้
ใครพูดอะไรๆ เรื่องอะไรก็ตามเราจะพิจารณาเรื่องนี้เต็มเหนี่ยวของเรา อะไรที่ควรจะค้านมันจะออกของมันทันทีถ้าขัดธรรมแล้ว อะไรไม่ขัดเราก็บอกว่าเห็นด้วย ถ้าอย่างนั้นแล้วเป็นเหตุผลไปด้วยกันแล้ว ไม่มีที่สงสัย แก้พรบ.สงฆ์ (ข้อที่ ๑ ถวายพระราชอำนาจคืนให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ข้อ ๒ ก็ให้นับอาวุโสตามหลักธรรมหลักวินัย อย่าเอาตามสมณศักดิ์) ที่ไหนเคยค้านมาแล้ว เราก็ค้านทันทีเลย คือถือเอาหลักศาสดาซึ่งเป็นเจ้าของพุทธศาสนาเป็นรากเหง้าเค้ามูล ถ้าอะไรขัดกับนั้นเราไม่เห็นด้วยเราก็ค้านเลย
เช่นอย่างจะเอาสมณศักดิ์ไปเหยียบย่ำทำลายพระพุทธเจ้า คือหลักธรรมหลักวินัยนี้คือศาสดา เราไม่เห็นด้วยเราก็บอกไม่เห็นด้วย สมณศักดิ์คนมีกิเลสตั้งขึ้นนี่นะ แม้แต่แสดงอาบัติก็ยังมีอาวุโสภันเต เคารพกันถึงขนาดนั้น องค์ศาสดาประทานให้ มาเหยียบไม่ได้ ขัดบอกว่าขัด ผิดบอกว่าผิดทันทีเลย ที่ว่าเห็นด้วยเราก็ยอมรับ อาวุโสภันเต (กับถวายพระราชอำนาจคืนให้พระมหากษัตริย์ครับ) ก็อย่างนั้นเรื่องประเพณีอันดั้งเดิมมา ประเทศไทยเรายอมรับมาตั้งดึกดำบรรพ์ ใครจะเก่งมาจากไหนมาพลิกคนทั้งชาติให้เป็นไปตามอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ ของตน เราไม่เห็นด้วย แน่ะเราก็ว่าอย่างนั้น อันนี้ที่ว่าถวายคืนเราก็เห็นด้วย (ครับ เขามีกำลังใจ เขาจะทำให้สำเร็จไวๆ)
คือเราจะเอาธรรมอย่างนั้นละ ออกพิจารณา ค้านก็ดี เห็นด้วยก็ดี เราจะไม่มีคำว่าทิฐิมานะออกมาขวางธรรม ธรรมเป็นยังไงเราจะก้าวเดินตามธรรม ควรค้านค้าน ควรเห็นด้วยเห็นด้วยทันที ตามธรรมว่าอย่างนั้นเถอะ เราไม่มีอะไรกับใครที่จะไปทิฐิมานะอวดรู้อวดฉลาด บอกในหัวใจเราไม่มี เปิดโล่งหมดแล้ว มีแต่ธรรมล้วนๆ ถ้าขัดก็ขัดธรรม ถูกก็ถูกโดยธรรม ยอมรับทันทีเลย อย่างอาวุโสภันเตนี้ศาสดาองค์เอกแท้ๆ เป็นผู้ประทานเอาไว้ สมณศักดิ์คนมีกิเลสตั้งขึ้นมา จะไปเหยียบหัวพระพุทธเจ้าได้ยังไง แม้แต่แสดงอาบัติต่อกันก็ยังมีอาวุโสภันเต
เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเราจะไปลบล้างด้วยอำนาจป่าๆ เถื่อนๆ บ้ากิเลสบ้ายศบ้าลาภไม่ได้ว่าอย่างนั้นเลยเรา พระพุทธเจ้าไม่มีกิเลส จึงเรียกว่าศาสดาองค์เอกละซิ ใครเป็นเจ้าของศาสนา พวกนี้ไม่ได้เป็นเจ้าของศาสนา จะมาใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าได้ยังไง พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา พระทัยบริสุทธิ์สมควรเป็นศาสดาเอกของโลก ของเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม สามแดนโลกธาตุยอมรับหมดแล้วศาสดาองค์นี้ แต่นี่ใครยอมรับมันล่ะ พิจารณาซิ คลังกิเลสออกป่าๆ เถื่อนๆ ใครไปยอมรับไม่มี ศาสดาองค์เอกยอมรับ ทั้งสามแดนโลกธาตุยอมรับหมด นั่นเอามาพิจารณาซิ
(เรื่องเกษียณพระที่มีกฎว่าอายุ ๘๐ แล้วไม่ให้ทำงาน) อันนี้เขาก็แบบกิเลส เขาก็เดินไปตามทางของกิเลส ถ้าแบบของพระใครจะไปเกษียณพระ พระพุทธเจ้าปรินิพพานอายุ ๘๐ พรรษาใครไปเกษียณพระองค์ สาวกทั้งหลายอายุเท่าไรๆ ๑๒๐ ปีก็มีใครไปเกษียณท่านล่ะ ไม่เห็นมีใครไปเกษียณ เขาก็ทำแบบงูๆ ปลาๆ ของเขาเป็นโลกเป็นสงสารแล้วเกษียณไปอย่างนั้นแหละ เราก็ไม่ว่า เขาตั้งกันแล้วเขาก็ปลดกันเอง แต่เรื่องศาสดาตั้งขึ้นมานี้ปลดไม่ได้ นั่นเอากันตรงนั้น ศาสดาองค์เอกนี้ปลดไม่ได้
(สมมุติเป็นเจ้าอาวาสอายุ ๘๐ แล้วถูกปลด) นั่นแล้วมันไม่ชอบธรรม เป็นหัวหน้าเป็นรัตตัญญูแล้ว เป็นผู้รู้ราตรีนาน ผ่านโลกมานานแล้ว อย่างพระอัญญาโกณฑัญญะ เณรไปว่าให้พระพุทธเจ้ายังตบปากเณร พูดให้ฟังเสียนะ คือพระอัญญาโกณฑัญญะเป็นปฐมสาวกในเบญจวัคคีย์ทั้งห้า เรียกปฐมสาวก ได้ตรัสรู้ธรรม คือห้าองค์นี้เป็นปฐมสาวก เสร็จแล้วท่านเข้าไปอยู่ในป่าในเขา ตามนิสัยวาสนาของท่าน ท่านไม่สอนใครเลย อยู่ในฉัททันตสระ อยู่กับช้าง ช้างเป็นช้างโพธิสัตว์ อุปถัมภ์อุปัฏฐากดูแลท่าน
พอถึงกาลเวลาท่านรู้อายุขัยของท่าน ท่านก็ออกมา ท่านอยู่ในป่าในเขา ๑๑ ปี ผ้าแก่นขนุนจะไปหามาจากไหน ท่านก็ไปคว้าเอาดินแดงมาตำมาขยำย้อมผ้าเป็นสีดินแดงออกมา พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ว่าอะไร ใครจะละเอียดลออสุดยอดในโลกทั้งสามยิ่งกว่าศาสดา ทีนี้เณรก็เณรตาใสเหมือนตาแมวมันอยู่นั่นตอนพระอัญญาโกณฑัญญะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าจะทูลลานิพพาน พวกเณรมันก็ดูอยู่นั้น
พอพระอัญญาโกณฑัญญะลงไป พวกเณรก็ปุ๊บเข้ามาถาม นี่หลวงตามาจากไหน ดูสีผ้าเหมือนสียักษ์ อย่าพูดอย่างนั้นๆ.พระพุทธเจ้าว่าอย่าพูดอย่างนั้นห้ามเณร นี้พี่ชายใหญ่ของพวกเธอทั้งหลายรู้ไหม นี่ปฐมสาวกรู้ไหม..พระอัญญาโกณฑัญญะ พวกเณรนั้นหมอบเลย ป่านนี้คงยังไม่เงยละเณร ก็มีตลกบ้างซี เวลาว่าให้ท่านก็ยังว่าได้ หลวงตามาจากไหนสีผ้าเหมือนสียักษ์ หยุดๆ อย่าพูดอย่างนั้น..พระพุทธเจ้า ถ้าเป็นเราตีปากปั๊วะ พ่อแม่มึงเคยสอนอย่างนี้หรือจะว่า มันหากมีในนี้
เราพูดอะไรลืมแล้ว (เกี่ยวกับอาวุโสพรรษาตามหลักธรรมวินัย) เรื่องธรรมเรื่องวินัยต้องถือเป็นหลัก ใครจะไปลบล้างไม่ได้เรื่องธรรมเรื่องวินัย คือศาสดาองค์เอกเป็นผู้ตั้งเอง เหล่านั้นคนมีกิเลสตั้ง จะไปใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ เช่นอย่างสมณศักดิ์จะใหญ่กว่าอาสุโสภันเตนี้ไม่ได้ ขัดเลย แม้แต่แสดงอาบัติท่านก็ไม่ให้ลดละ ให้เคารพกันระหว่างอาวุโสภันเตคือผู้อ่อนกับผู้แก่ตลอด เราจะไปลบล้างได้ยังไง เอายศเข้ามาใส่
เราไปวันหนึ่งๆ นี้เราไม่ได้ปรึกษาปรารภกับใครนะ เราไปของเราเองทุกวัน เราพิจารณาของเราเรียบร้อยเราไปๆ เพราะฉะนั้นบรรดลูกศิษย์ลูกหาที่มีเจตนาดีต่อครูบาอาจารย์กลัวลำบากลำบนไม่อยากให้ไป นั่งอยู่มันตายได้ นอนอยู่ตายได้ เดินตายได้ ล้มลงตายได้ ทำไมเราจะไปไม่ได้ นั่นบทเวลาตอบ เราพิจารณาของเราทุกอย่างแล้วเราไปทำประโยชน์ให้โลก เราจะทำให้สุดขีดสุดแดนของเรา
เราปล่อยหมดทุกอย่างแล้ว มีแต่ความเมตตาครอบโลกธาตุ ทุกอย่างจะพูดหนักพูดเบาพูดอะไร ไม่พ้นความเมตตาจะครอบอยู่ตลอด ที่จะให้กิเลสเข้ามาแทรกไม่มี เราบอกไม่มี จะดุด่าว่ากล่าวเผ็ดร้อนขนาดไหนก็ตาม มีความเมตตาอยู่ในนั้นเสร็จเลย ที่จะให้กิเลสเข้าไปแฝงไม่มี เราพูดตรงๆ จวนจะตายแล้วนะ ก็มันไม่มีกิเลสในหัวใจจะเอาอะไรมาเป็นกิเลส ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่ามันหมดเหรอ ค้นหายังมีอยู่ โอ้ ยังเหลืออยู่นี้สองสตางค์ในกระเป๋านี้ จะว่ามันหมดเหรอ มันไม่หมด มันยังเหลืออยู่สองสตางค์ ถ้าเอาออกหมดกระเป๋าแห้ง ถูก เอาละให้พร
รับฟังรับชมพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th
และรับฟังจากสถานีวิทยุสวนแสงธรรม กรุงเทพฯ และสถานีวิทยุอุดร
FM 103.25 MHz |