อิริยาบถบรรเทาทุกข์
วันที่ 20 มกราคม 2544 เวลา 9:00 น. ความยาว 43.05 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :
 

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔

อิริยาบถบรรเทาทุกข์

          วันนี้ก็จะไปกรุงเทพ ออกตอนบ่าย วันพรุ่งนี้เทศน์ อย่างนั้นแล้ว เทศน์วันพรุ่งนี้คนจะมากด้วยนะ แน่ใจว่าคนจะมาก ทั้งพระทั้งประชาชนจะมากวันพรุ่งนี้ พระแถวนั้นจะมาหมด นอกจากนั้นทางภาคนี้ก็ไป ไปภาคกลาง เพราะวัดอโศการามเป็นจุดศูนย์กลางของพระฝ่ายปฏิบัติและปริยัติร่วมกันด้วย เครื่องบินเขาบอกว่าเวลาบ่าย ๒ โมง ๑๕ นาที ออกจากสนามว่างั้น ดูช้าไปชั่วโมงกับ ๑๕ นาทีนะ ธรรมดาบ่ายโมง ๑๐ นาทีออก นี้เป็น ๒ โมง ๑๕ นาที ไปนี้จะตรงไปวัดอโศฯ  เลยไม่แวะที่ไหนทั้งนั้น ออกจากนั้นก็ตรงไปวัดอโศฯ พอเสร็จแล้วตรงมาสนามบินแล้วมาเลย

เมื่อวานนี้ก็มาหลายคณะมาที่นี่ ทางไหนบ้างลืมแล้ว เชียงรายก็เยอะ บ้านไผ่ ที่คณะใหญ่ก็มีสองคณะเมื่อวานนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องว่าการหนักเราหนักมากทุกวันนี้ หนักการรับภาระเทศนาว่าการต่าง ๆ ตลอดคนมาเกี่ยวข้องวันหนึ่ง ๆ ไม่ค่อยมีเวลาว่างนะ ไม่ค่อยว่างแหละ ที่เราจะให้ว่างของเรานั้นเรามี ใครไปยุ่งไม่ได้อันนั้น พอว่าเลิก-เลิกเลยไปเลย เราทำหน้าที่ของเราเปลี่ยนอิริยาบถพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ให้พอเหมาะพอสม นั่งมากก็หนัก เดินมากก็หนัก นอนมากก็หนัก ยืนมากก็หนัก ให้พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงพอดิบพอดีมัน นี่คืออิริยาบถ บรรเทาทุกข์ พากันรู้ไหม

นอนก็บรรเทาทุกข์ ยืน เดิน บรรเทาทุกข์ในธาตุในขันธ์ มันจึงกลิ้งตลอดเวลา พระอรหันต์ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ เรื่องธาตุขันธ์นี้เป็นสมมุติเหมือนกันกับโลก จะต้องได้เปลี่ยนให้พอดิบพอดีของท่าน เรียกว่าวิหารธรรม ธรรมเป็นเครื่องอยู่ระหว่างจิตกับขันธ์ที่ครองตัวในขณะที่มีชีวิตอยู่ แปลออกอย่างนั้น ต้องได้เปลี่ยนอยู่อย่างนั้น อยู่เฉย ๆ ไม่ได้นะ จึงเรียกว่ากองทุกข์ ๆ ต้องบรรเทากันตลอด พายืนพาเดินพานั่งพานอนขับถ่าย เปลี่ยนอยู่อย่างนั้นตลอด ไม่อย่างนั้นมันกวน มันกวนแล้วก็บีบ เป็นทุกข์ขึ้นมาเรื่อย ๆ จึงต้องได้เปลี่ยนอิริยาบถให้เสมอ

เราเคยปฏิบัติตัวของเราอย่างนี้มาตลอด ไม่เคยเคลื่อนคลาดนะ ปฏิบัติเปลี่ยนอิริยาบถให้เสมอ แม้ที่สุดไปเทศน์ในที่ต่าง ๆ นี้ ไม่ว่าที่ใดเราไม่เคยเว้นนะ ที่เป็นที่เอกเทศของเราโดยเฉพาะต้องมี ๆ ทุกแห่ง ไม่ว่าในวัดกลางบ้านกลางเมืองที่ไหนมีเสมอกันหมด พอไปถึงปั๊บเราจะเที่ยวเดินนั้นเดินนี้หา ซอกแซกหา ที่ไหนพอเหมาะสมเราก็กำหนดไว้แล้ว พอได้เวลาปั๊บเข้านั้นเลย เดินจงกรม อย่างนั้นตลอดนะ ไปวัดไหนเหมือนกัน เราปฏิบัติมาอย่างนั้นไม่เคยลดละ อิริยาบถความสม่ำเสมอ

ที่จะให้เจริญพร ๆ นั่งจนขี้แตกเยี่ยวราดกับที่เราไม่เคยเป็น อย่างนั้นมีนะ นั่งมาก ๆ เดี๋ยวก็เป็นอัมพาตแหละ เพราะนั่งมากเกินไป ส่วนมากครูบาอาจารย์ทั้งหลายมักจะหนักทางการนั่ง อันนี้หนัก เรานี้ถึงจะหนักบ้างต้องกำหนดให้เสมอไม่ให้เลยเถิด พอรู้อาการไม่ดีแล้วปั๊บพลิกเลยไปเลย คือเปลี่ยนให้เสมอ อย่างนั้นแหละ เราเคยปฏิบัติอย่างนี้มาตลอดนะไม่เคยลดละ เสมออยู่ตลอดอย่างนี้ ไปที่ไหน เพราะฉะนั้นร่างกายนี้จึงพอเป็นพอไปนะ ไม่ค่อยต้วมเตี้ยมไม่ค่อยอืดอาด ไม่ค่อยเป็นหมูขึ้นเขียง อ้าว นั่งมาก ๆ ก็เป็นหมูขึ้นเขียงซิ นั่งนาน ๆ เข้าเดี๋ยวเป็นอัมพาต แล้วปวดนั้นปวดนี้ พองโน้นพองนี้ขึ้นมา เพราะอิริยาบถไม่เสมอไม่ใช่อะไรนะ

อิริยาบถสำคัญมาก เราเคยรู้ในตัวของเราเองตลอดมา จึงต้องปฏิบัติให้พอเหมาะพอดีตลอด สังเกตดูธาตุขันธ์มันขัดข้องยังไง จะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงเยียวยามันด้วยวิธีใดสังเกตนั้น พอควรจะไปอย่างนี้ ควรจะเดินไปเดิน ควรจะนอนก็พักเสียก่อน ดูมันก็รู้ ดูเจ้าของไม่รู้ดูอะไรจะรู้วะ ดูเจ้าของไม่รู้ดูอะไรไม่รู้ทั้งนั้น ถ้าดูเจ้าของรู้ดูอะไรมันก็รู้ นี่ไปที่ไหนไม่เคยละนะ ไม่เคยเว้นจริง ๆ ที่ไหน ถ้าที่นี่ไม่มีทางเดินจงกรม มันหาเอาจนได้นั่นแหละ พอไปถึงปั๊บลงนี้ก็เดินเลย เดินเที่ยวดูซอกแซกไป ที่ไหนจะควรได้ที่ไหนเอาละเอาตรงนั้น กำหนดเรียบร้อยแล้วก็มา พอเวลาว่างปั๊บเข้านั่นเลย เป็นอย่างนั้นมาประจำ

ส่วนที่ไปเทศนาว่าการในที่ต่าง ๆ ระยะนี้เราไม่บิณฑบาต การบิณฑบาตในวัดนี้เราก็บิณฑ์ได้ ตามเหตุตามผลกำลังวังชาของเรา แต่ที่ทำไมเราจึงไม่ไป เราคำนวณถึงผลได้ผลเสียในตัวของเราเอง นี่สำคัญที่จะเพื่อโลก เราต้องเอาอันนี้เป็นต้นฐานไว้เลย ไปบิณฑบาตนี้เดินไปได้ ๆ แต่เวลารับบาตรก้มเงย ๆ สักเดี๋ยววิงเวียนแล้วยุ่งเข้า ๆ วิงเวียน ๆ ผลทางนี้เสียลง ๆ แทนที่จะเป็นประโยชน์กลับเป็นโทษไป ทีนี้ถึงเวลาบิณฑบาตเราเข้าทางจงกรมเสีย เดินเปลี่ยนอิริยาบถให้เสมอของเรา ได้ผลทางนี้มากกว่าออกบิณฑบาต เพราะฉะนั้นเราจึงไม่บิณฑบาต พี่น้องทั้งหลายทราบเสียนะ เรามีเหตุผลทุกอย่าง

ที่ไม่บิณฑบาตทุกวันนี้เพราะอะไร เราคำนึงถึงผลได้ผลเสียเรื่องขันธ์ของเรา ถ้าไปนี้รุมล่ะซิ คนนั้นก็ใส่ คนนี้ก็ใส่ รุม ๆ ก้มเงย ๆ สักเดี๋ยวก็มีแหละวิงเวียน เดี๋ยวล้มตูมเลย เป็นอย่างนั้นนะ ถ้าอยู่อย่างนั้นมันไม่เป็นเดินจงกรม อยากยืนก็ยืน อยากเดินก็เดิน อยากพินิจพิจารณาธรรมแง่ใดมุมใดมันสะดวกของมันตลอดเวลา ไปนั้นเอาอะไรมาสะดวก ยุ่มย่าม ๆ ผลมีแต่ผลเสีย อย่างนี้มีแต่ผลได้ นี่ละที่เราไม่บิณฑบาต ถ้าธรรมดาเราไปได้ ทีนี้วัยแก่นี้แล้วต้องได้ปฏิบัติต่อขันธ์หนักกว่าวัยอื่นนะ ต้องได้พิจารณาอย่างนั้น จึงต้องหนักทางการบรรเทาขันธ์ ที่เราไม่บิณฑบาตเพราะเหตุนี้ พี่น้องทั้งหลายทราบเสีย

การบิณฑ์-บิณฑ์ได้แต่มันไม่แน่นะ ก็อย่างที่ว่าแหละ เวลามันวิงเวียนนี้ โถ ก้มเงย ๆ พอเต็มบาตรแล้วก้ม เทบาตรแล้วรับเรื่อยไป แล้วรับ ไม่นานแหละ ก็เรารู้มาตลอดนี่ ไปสวนแสงธรรมเราก็ไม่บิณฑ์ แต่ก่อนเราบิณฑ์ ทีนี้มันเป็นอย่างนั้นแล้วเราเลยงด เวลาพระออกบิณฑบาตก็ไปเสีย เราก็หลบไปหาเดินจงกรมของเราอยู่กุฏิ หรือที่ไหนที่เราจะพอเดินเราไปเปลี่ยนของเรา พอได้เวลาเราก็มา อันนี้สะดวกสำหรับธาตุขันธ์ของเรา เราปฏิบัติอย่างนั้นนะ คือมีเหตุมีผลทุกอย่าง เราไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้านะ พี่น้องทั้งหลายให้ทราบ เราปฏิบัติตัวของเรามาอย่างนี้ตลอดเลย เป็นแต่เพียงไม่พูด นี่ถึงโอกาสที่ควรจะพูด จึงพูดให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เรามีเหตุผลทุกอย่าง มันหากเป็นหลักธรรมชาติของมัน ควรยังไงไม่ควรยังไงมันก็รู้เอง

ตอนเช้าออกจากกุฏิปั๊บก็เข้าทางจงกรมแล้ว ถ้าวันไหนที่มันมีข้อข้องใจสงสัยอยู่ตรงไหน เช่นข้างนอก เช่นอย่างเวลานี้เขาก่อสร้างอะไร ๆ มันมียังไง คือมันเกี่ยวกับเรานะ ถ้าผิดแล้วมันก็มาเกี่ยวกับเราอยู่ดี ไปดูนั้นดูนี้ ถ้าหากว่ามันขัดข้องอะไรมาก็เตือนหัวหน้าเขา เขาก็จัดการทันที ที่เราไปดูเป็นอย่างนั้นนะ นาน ๆ จะไป แล้วแต่อยากไปวันไหน ถ้าไม่มีอะไรข้องใจก็ไม่ออก ถ้ามีอะไรข้องใจอยู่ก็ไปดู เขาทำอย่างนั้นก็ความรับผิดชอบอยู่กับเรา เราเป็นคนสั่ง แน่ะ จะว่าไง เช่น ศาลาหลังนี้ดั้งเดิมเขากำหนดยังไง ทีแรกไม่ให้มี ไม่ให้มีตลอดมาเลย ทีนี้เวลาการงานทางชาติบ้านเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ประชาชนมาจำนวนมากมาย ฝนตกเปียกปอนกันไปหมด ๆ นานเข้าก็มาพิจารณา ๆ ก็จะเริ่มลงตัวให้สร้างศาลานี่

สร้างอะไร ๆ นี้สำหรับวัดนี้ไม่เคยให้สร้างแหละ ทีนี้ก็มาคิดอันนั้นแหละ เห็นคนมามาก จึงเริ่มพิจารณากำลังจะลงตัว พิจารณาลงถึง ๘๐% แล้ว นี่เห็นจะได้สร้างศาลาแล้วแหละ นึกในใจ มาเท่าไรเปียกปอน เวลาฝนตกฟ้าลม เวลาแดดก็ลำบาก เวลาฝนก็ลำบาก คนมาแต่ละครั้ง ๆ ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ เพราะมาในงานของชาติ คิดไปทบทวนไป เราก็เริ่มจะลงใจ พอดีเขาก็มา แต่ก่อนเขาก็ขอสร้างแหละแต่เรายังไม่สนใจ ทีนี้เมื่อเหตุการณ์มันกระทบเข้าเรื่อย ๆ ก็เลยต้องได้คิด พอดีทางกระทิงแดงกับเสี่ยกิมก่ายก็มาเลย พร้อมกันมามาขอสร้าง พูดถึงเรื่องเหตุเรื่องผล ก็พอดีกับเหตุผลที่เรากำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว เราจึงอนุญาตให้สร้างนะ นี่ละเรื่องมัน นี่มันก็อยู่กับเรา

ทีนี้เวลาสร้างก็ถาม ความกว้างความแคบเอาขนาดไหน จะสร้างวิธีใด ก็ต้องถามเข้าไป เขาก็บอกว่าความกว้าง ๒๐ ความยาว ๕๕ บทเวลาเราสั่ง ไม่เอา แน่ะ เห็นไหมล่ะ เอาความกว้าง ๓๐ เมตร ความยาว ๖๐ เมตรเลย เขาก็สาธุทันที ก็เขาอยากสร้างอยู่แล้ว เวลาอนุญาตก็อนุญาตอย่างนั้นเลย สั่งเลยเอาอย่างนั้น ศาลานี้จะไม่ให้มีชั้นนั้นชั้นนี้จะเป็นการกีดการขวาง เดี๋ยววางนั้นวางนี้เต็มไปหมด ถ้าลงศาลาอยู่ที่ไหนมีห้องมีหับมีชั้นนั้นชั้นนี้ ของจะเต็มไปหมด นี่ไม่ใช่สำหรับใส่ของ สำหรับใส่คน เวลามีการมีงานหลั่งไหลเข้ามา เวลาเสร็จงานแล้วเลิกกัน โล่งไปหมด จึงบอกให้ทำอย่างนี้ คือให้โล่งอย่างนี้เลย

ความสูงนั้นก็ประมาณ ๕๐ เซ็นต์ ทางให้เป็นทางเนิน ๆ ขึ้นมาเลยขึ้นเลย ๆ พอเสร็จแล้วเลิกก็โล่งไปหมด ใครมาอยากจะพักจะนอนที่ไหนก็ได้ เวลาเขามาพักค้างคืน นอนที่ไหนก็ได้สะดวก ก็เลยเอาอย่างนี้ นี่ก็อยู่กับเรา แน่ะก็อย่างนั้นแล้ว นี่ให้โล่งหมดเลย อะไรให้โล่งหมด ทุกอย่างให้โล่งหมดเลย ทางล่างก็ให้โล่ง พอคนเลิกแล้วก็เปิดหมด เวลามีงานก็พึบเต็มหมด พอเลิกนี้ก็เลิกหมด ไม่ต้องยุ่งกับสิ่งนั้นยุ่งกับสิ่งนี้ ห้องนั้นชั้นนี้ ของขนขึ้นขนลงยุ่งไปหมด ที่อยู่ที่พักก็ไม่สะดวกสำหรับคนมาจำนวนมาก เพราะฉะนั้นเราถึงเอาอย่างนี้เสียดีกว่า เขาก็เห็นด้วยอย่างนั้น ส่วนความสูงนั้นก็มอบให้ท่านปัญญาพิจารณา สำหรับความเห็นของเราว่าประมาณ ๕๐ เซ็นต์ ดูท่านไม่เปลี่ยนแปลงนะ ก็ดูประมาณ ๕๐ เซ็นต์ขึ้นมานี้ เทลาดซีเมนต์หมดเรียบร้อยแล้วกะประมาณสัก ๕๐ หรือ ๕๐ กว่าเล็กน้อยก็พอดีละเราคิดไว้แล้ว นี่มันก็มีอยู่อย่างนั้นจะว่าไง

แต่ก่อนไม่เคยคิดจะสร้างจะคิดอะไรนะ เพราะการก่อการสร้างกับพระ ไม่ว่าครั้งพุทธกาลไม่ว่าครั้งไหน ๆ มา ตามหลักธรรมหลักวินัยเป็นความสะดวก พระพุทธเจ้าไม่เคยส่งเสริมในการก่อสร้างทางด้านวัตถุนะ มีแต่ส่งเสริมการก่อสร้างในด้านจิตใจทั้งนั้นแหละ บวชแล้วไล่พระเข้าอยู่ในป่า รุกฺขมูลเสนาสนํ ฟังซิน่ะ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย นี่เป็นอนุศาสน์ข้อสำคัญขึ้นต้นเลย ไม่ว่าพระองค์ใดจะต้องได้รับโอวาทนี้ทุกองค์ ไม่มีเว้นแม้แต่องค์เดียว สำคัญไหมฟังซิ

บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลคือร่มไม้ จากนั้นก็ในป่าในเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้า ป่ารกชัฏ ที่ไหนที่เหมาะสมในการประกอบความพากเพียร เพื่อหลีกอารมณ์ อารมณ์ภายนอกอารมณ์ยุ่งเหยิงวุ่นวาย อารมณ์ถังขยะมันกวนเหลือเกิน กวนตา หู จมูก ลิ้น กาย เข้าไปสร้างส้วมสร้างถานภายในใจ หาความสงบสงัดไม่ได้ จึงไล่เข้าอยู่ในป่า ให้หลีกเร้นจากสิ่งเหล่านี้ ไปเที่ยวบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่า ไม่ให้มีข่าวมีคราว เช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ เทวทัตโทรทัศน์ วิดีโอ โทรศัพท์มือถือ นี้ปัดออกหมดโดยประการทั้งปวงตามหลักธรรมชาติของธรรมที่สอนแล้ว ไล่เข้าอยู่ในป่าล้วน ๆ

ทุกวันนี้เป็นยังไง เดี๋ยวนี้มันเป็นทำเลเป็นตลาดของสิ่งเหล่านี้แล้ว ของส้วมของถานเข้าไปโจมตีในวัดในวา พระเณรมีความหมายอะไรทุกวันนี้ มีแต่หนังสือพิมพ์ มีแต่วิทยุ โทรทัศน์เทวทัต วิดีโอ โทรศัพท์มือถือ เต็มวัดเต็มวาเต็มห้องเต็มหับ ไปหาดูเอาถ้าว่าเราหาเรื่องน่ะ มันมีไหม หรือเราเป็นคนหาเรื่องเหรอ นี่ละความจริง อันนี้เป็นเรื่องของโลกของสงสารของสกปรกโสมม ผู้ต้องการชำระจิตให้มีความสะอาดปราศจากสิ่งวุ่นวายก่อกวน ซึ่งจะสร้างกองทุกข์ขึ้นมา ปัดออกหมด ๆ ไล่เข้าอยู่ในป่าในเขา

จากนั้นก็ ปิณฺฑิยาโลปโภชนํ บิณฑบาตหาเลี้ยงชีพมาด้วยกำลังปลีแข้งของตน ได้เท่าไรมาก็ฉันเท่านั้น ๆ แล้วเสนาสนะท่านก็บอกแล้ว อย่างว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ

ยาแก้โรคแก้ภัยก็มี มะขามป้อม ฉันยาดองด้วยน้ำมูตร ไม่เห็นยุ่งเหยิงวุ่นวายอะไร นี่จามฟิก หมอไม่มาวิ่งหาหมอแล้ว มันบ้าพวกกรรมฐานเราทุกวันนี้ เป็นอย่างนั้นนะ มันอ่อนไปหมดถ้าเรื่องของอรรถของธรรม ถ้าเรื่องของกิเลสแข็งแกร่ง ๆ ไปตลอดเวลา ดูจนจะดูไม่ได้นะเราพูดจริง ๆ เวลานี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ก่อนเราเคยใช้มายังไง บัดนี้เป็นยังไง ใจของเราแต่ก่อนเคยใช้มายังไงกับโลกกับสงสาร เวลานี้ใจมันเป็นยังไง มันเอามาเทียบเคียงกันหมดทุกสิ่งทุกอย่างมันจะพูดไม่ได้ยังไง

ใจเป็นนักรู้ รู้ยังไงมันก็รู้ในตัวของเรารอบไปหมดแล้ว ตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งบัดนี้ มันรู้มาตลอด สิ่งสัมผัสสัมพันธ์อะไรมาเกี่ยวข้องมากน้อยมันรู้มาตลอด ๆ มันทำไมจะไม่ทบทวนบวกลบคูณหารกันได้วะ นี่เรื่องอย่างนี้มันเป็นเวลานี้ มันมีที่ไหนศาสนา มันจะไม่มีเหลือแล้วนะ เพราะฉะนั้นโลกนี้จึงมีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดเวลา ว่าโลกเจริญ เจริญด้วยไฟเผาหัวอกคน ด้วยอำนาจของกิเลสมันหลอกลวงต้มตุ๋น ด้วยสิ่งเหล่านี้แหละที่ว่านี่ อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี กว้านมา ๆ ลิงร้อยตัวสู้คนคนเดียวไม่ได้ ความรวดเร็วในการคว้านั้นคว้านี้เพื่อเอามาเผาตัวเอง หาความสงบสุขไม่ได้

ไปหาซิโลกอันนี้ เอามาอวดธรรมพระพุทธเจ้าบ้าง ว่าธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัย โลกเป็นที่ทันสมัย เอามาอวด เอาความสุขมาอวดกัน ตั้งแต่ตื่นนอนดิ้นไม่มีเวลาหยุดยั้งจนกระทั่งมาหลับ หาความสุขความเจริญหารายร่ำรายรวย ได้มาแล้วมีแต่ความผิดหวัง ๆ ความผิดหวังมันสร้างความดีให้คนแล้วเหรอ พิจารณาซิ เทียบเขาเทียบเราซิ โลกไหนมันเจริญน่ะ มันไม่ได้มีเจริญทางด้านจิตใจ มันมีแต่การดิ้นการดีดกับวัตถุต่าง ๆ อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี คนนั้นก็เห่อ คนนี้ก็บ้า ต่างคนต่างตื่นกัน ดีดดิ้นไปตามกัน ผลที่ได้มาก็มีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน กองไฟอะไรจะกองใหญ่ยิ่งกว่าหัวอกของคนที่กิเลสความดีดความดิ้นมันเผาอยู่ในหัวใจวะ

เอาอย่างนี้ เอาธรรมจับเข้าไปนี่ว่าไง ปิดได้เมื่อไรธรรม มหาสมุทร ท้องฟ้า ไม่มีปิดหัวใจนี้ได้ มันทะลุหมดเลยจะว่าไง นั่นละท่านว่า โลกวิทู วัตถุสิ่งของเหล่านี้ไม่ใช่วิสัยของใจ แล้วไม่มีที่ใจจะไปสนใจ มันจะพุ่งทีเดียวทะลุหมดเลย สิ่งที่สมควรแก่ใจพวกบาปพวกกรรม พวกวิบาก นรก สวรรค์ พรหมโลก เปรตผี สัตว์ประเภทต่าง ๆ เหล่านี้เป็นนามธรรมด้วยกัน มันจะพุ่งถึงกันหมด ซ่านถึงกันหมดไม่ต้องบอก นั่นเวลามันรู้มันรู้อย่างนั้นนะ อันเหล่านี้ไม่มีความหมายนะนี่ แผ่นดินทั้งแผ่นหนาขนาดไหนทะลุ มันไม่มีความหมาย ความหมายของมันอยู่กับสิ่งที่จะสัมผัสที่คู่ควรกับใจ ๆ เท่านั้น

อันใดที่คู่ควรกับใจ เฉพาะอย่างยิ่งจิตวิญญาณ อันนี้เร็วมาก พับถึงกันเลย ๆ จากนั้นพวกนรก สวรรค์อย่างนี้ กระจายถึงกันเหมือนกัน แล้วท่านรู้อย่างนี้จะไม่ให้ท่านพูดได้ยังไง พระพุทธเจ้าองค์ศาสดาองค์เอก ๆ อย่างนี้เหมือนกันหมด จิตนี้เวลามันเปิดออกแล้วอะไรมาปิดไม่อยู่ มีแต่กิเลสเท่านั้นแหละปิด ปิดมากปิดน้อยมืดมิดปิดตา ลืมบาปลืมบุญลืมเนื้อลืมตัว ลืมยศลืมศักดิ์ ลืมรายได้รายร่ำรายรวย จนกระทั่งลืมตัวจนจม ไม่มีบาปมีบุญติดหัวใจเลย นี้ก็คือกิเลสปิดหัวใจคน พอเปิดออกมามากน้อยนี่ หิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมขั้นไหน ความผิดความพลาดขนาดไหน จะเริ่มมี ๆ ขึ้นมา พอจิตเปิดกว้างมันก็เห็นพิษล่ะซี

สิ่งเหล่านี้มันเป็นพิษ แต่ก่อนไม่เห็น คลุกเคล้ากันอยู่ พอตาเปิดจ้าออกมาคือตาธรรม มันก็เห็น อ๋อ อันนี้เป็นพิษ อันนั้นเป็นพิษ มันก็หลีกล่ะซิ นี่ละหิริโอตตัปปะ ท่านหลีกบาปหลีกกรรมท่านหลีกอย่างนั้นนะ ไม่ได้หลีกแบบหัวชนเหมือนพวกเรา พวกเราหลีกแบบหัวชน แล้วเป็นกองทุกข์เต็มบ้านเต็มเมือง ที่ไหนเจริญเอามาอวดธรรมพระพุทธเจ้าบ้างซิ มันไม่เห็น พิจารณาเต็มหัวอกแล้วมันไม่เคยมีไม่ปรากฏ มันมีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้อยู่ในหัวอก ๆ ใหญ่เท่าไรยิ่งเผามากถ้าไม่มีธรรมเสียอย่างเดียวเท่านั้น ใครอย่าเอามาอวดว่า คนนั้นมีความสุข เพราะลาภ เพราะยศ เพราะสรรเสริญ ลาภยศสรรเสริญ เพราะความมั่งความมีบริษัทบริวารมากนี้ อย่าเอามาอวด มีแต่เรื่องของกิเลสกองมูตรกองคูถมันมาท้าทายธรรมพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นของเลิศเลอทั้งนั้น

ธรรมพระพุทธเจ้ามีมากน้อยเท่าไร ความสุขจะมีไปพร้อม ๆ กัน มีมากเท่าไรมีเต็มหัวใจจ้าตลอดเวลา เรื่องความทุกข์นี้ไม่มี เพราะความทุกข์เกิดขึ้นจากกิเลสเป็นผู้สร้างขึ้นมา กิเลสพังจากหัวใจความทุกข์จะเอามาจากไหน มีก็มีแต่ในธาตุในขันธ์เท่านั้นแหละ เจ็บนั้นปวดนี้ อันนี้มันเป็นสมมุติล้วน ๆ พระพุทธเจ้าก็เป็น พระอรหันต์ก็มีการเจ็บไข้ได้ป่วยปวดหัวตัวร้อน มีเหมือนกันนั่นแหละ เพราะเป็นสมมุติ สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องที่จะให้เป็นพิษเป็นภัยมันก็มีได้เสมอกันกับโลก แต่สำคัญที่จิตของท่านเป็นคนละฝั่งแล้ว จะทำยังไงให้ซึมซาบก็ไม่มี เรื่องที่จะให้จิตของพระอรหันต์ที่จะมาซึมซาบรับทุกข์ทั้งหลายเจ็บนั้นปวดนี้ไม่มี นั่นจึงเรียกว่าขาดสะบั้นไปเลย

คือเหล่านี้เป็นสมมุติ ร่างกายเป็นสมมุติ เวทนาคือความทุกข์ความลำบากลำบน ก็เป็นสมมุติด้วยกัน จิตเป็นวิมุตติแล้วก็เพียงรับทราบเฉย ๆ ไม่มีอะไรที่จะมาเกี่ยวข้อง บังคับให้ติดก็ไม่ติด อย่างนั้นซิมันจึงเรียกว่ารู้อรรถรู้ธรรม มาพูดปาว ๆ เรียนกี่ประโยค ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค ๑๐๐ ประโยคก็ได้แต่ความจำมาหลอกกัน ดีไม่ดีมาโอ่อ่า ข้าเรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ กิเลสยิ่งเพิ่มหัวมันเข้าไป ทิฐิมานะเพราะการเรียนมาก นั่นก็คือกิเลส ถ้าเรียนธรรมเพื่อปฏิบัติ เรียนมากเรียนน้อยชำระเข้าไป เห็นโทษเห็นคุณเข้าไปโดยลำดับ ๆ มันจะเปิดกว้างออก ๆ กว้างเสียจนหมด แล้วไม่มีอะไรที่จะติดจะข้องในโลกอันนี้ ไม่มี

มีแต่สมมุติคือกิเลสเท่านั้นพาให้จิตใจติดข้องนะ ถ้ากิเลสพังจากหัวใจ ไม่มีอะไรติดไม่มีอะไรข้อง เวิ้งว้างไปหมดเลย เพราะฉะนั้นวัตถุต่าง ๆ ที่จะเอามาเป็นอุปสรรคต่อดวงใจ ต่อความรู้อันนี้ ปิดไม่อยู่ว่างั้นเลย ไม่มีความหมายเลย อันนี้จะพุ่ง ๆ พุ่งเลย ท่านว่า โลกวิทู โลอย่างนั้นนะ

เวลานี้ศาสนามันยังเหลือแต่ตำรับตำรา แล้วก็มีแต่แบบแปลนแผนผังเท่านั้นแหละ ไม่ได้เอามาปลูกเป็นบ้านเป็นเรือน แบบแปลนเต็มห้องมันก็เต็มห้องอยู่นั้นแหละเกิดประโยชน์อะไร ถ้าอยากให้เกิดประโยชน์ แปลนไหนก็เอามาซิ เอามาปลูกมาสร้าง ตึกนี้กี่ชั้น ตึกนี้กี่ห้องกี่หับ ความกว้างความยาวเท่าไร เอาแปลนมากางปั๊บ ทำตามนี้มันก็เป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา แปลนก็เกิดประโยชน์ถ้านำมาใช้นะ ธรรมะในตำรานั้นคือแปลนของศาสนา แปลนแห่งบาปแห่งบุญ แห่งนรกสวรรค์ แห่งมรรคผลนิพพานทั้งนั้น ถ้าไม่ออกมากางให้ดีแจงตรงนี้ จะไม่เห็นสิ่งเหล่านี้น่ะ จำได้แต่ชื่อ

พอเอานี้ออกมาแจงมาปฏิบัติ ภาคปฏิบัติก็คือการก่อสร้างนั่นเอง เหมือนเขาสร้างบ้านสร้างเรือน นี่ก่อสร้างมรรคผลนิพพานก็ก่อสร้างอย่างนั้น สมาธิไม่เคยมี ความร่มเย็นเป็นสุข ความสงบเย็นใจไม่เคยมี ภาคปฏิบัติสอนให้มี ให้สงบสำรวมระวังจิตใจอย่าให้ฟุ้งซ่านวุ่นวาย ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับมันมีแต่บ้าคิดบ้าปรุง ระงับมันบ้างซี รถเขาวิ่งทั้งวัน ๆ เขายังมีการพักเครื่อง หัวใจวิ่งตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ วิ่งตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตาย ไม่เห็นได้ดับเครื่องด้วยอรรถด้วยธรรม พอเป็นเครื่องระงับดับกันได้บ้าง หาความสุขมาจากไหนมนุษย์เราน่ะ เอาอย่างนั้นซี พิจารณาเจ้าของ มานอนตายอยู่เฉย ๆ อะไร

เกิดมาเพื่อตาย ๆ เกิดแล้วต้องตายมันได้ประโยชน์อะไรวันหนึ่ง ๆ มิหนำซ้ำให้กิเลสพอกพูนเอาเสียเหมือนจะไม่มีป่าช้ากับโลกเขา จะครองโลกแต่ผู้เดียวนะ โลกนี้มีเราผู้เดียวเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงอย่างใหญ่หลวง จะครอบจะงำมันหมดทั่วแดนโลกธาตุ ครั้นสุดท้ายป่าช้ามันก็มีเท่ากัน มีแต่กิเลสมันพองตัวให้คนเป็นบ้าไม่รู้จักตื่นเท่านั้นเอง พูดนี้เราสลดสังเวชนะ มันจ้าจริง ๆ จะให้พูดว่ายังไง พี่น้องทั้งหลายฟังเป็นยังไง กิริยาแห่งการพูดออกมานี่ พูดออกมาด้วยความด้นเดา หรือพูดออกมาด้วยพลังอะไรฟังซิน่ะ นี่ซิมันคันฟันจริง ๆ นะ มันจ้าอยู่ตลอดเวลานี่จะให้ว่าไง

แต่ธรรมไม่ได้เหมือนโลกนะ ไม่หิวไม่โหยไม่ผลักไม่ดัน ไม่กดไม่ขี่บังคับ ไม่อยากพูดอยากคุย มีแต่ว่าธรรมพอดีตลอด ไม่สมควรที่จะออกไม่ออก ไม่สมควรพูดไม่พูด รู้เท่าไรก็เหมือนหูหนวกตาบอด ไปสถานที่หูหนวกตาบอดก็บอดไปเสียมืดไปเสีย ควรแย็บออกมาที่จะตอบรับเป็นผลประโยชน์ต่อกันก็แย็บออก ๆ ถ้าออกมามากเท่าไรทางนี้จะออกรับกัน ๆ ออกมาอย่างเต็มเหนี่ยวพุ่งเลย เป็นอย่างนั้นนะ

ยกตัวอย่างเช่น พระพาหิยะ พระพาหิยะท่านตกน้ำ เอาย่อ ๆ ไม่ต้องพูดมากอันนี้ก็เรียนมาด้วยกันแล้ว ท่านมาหาพระพุทธเจ้า อยากจะพบพระพุทธเจ้าเป็นกำลัง เขาก็บอกพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จบิณฑบาตให้รอเสียก่อน ไม่ยอมรอ ไปเลยไปหาพระพุทธเจ้า ไปทูลถามปัญหา พระพุทธเจ้าว่า เวลานี้เราตถาคตกำลังบิณฑบาต โอ๋ ข้าพระองค์ไม่ได้แน่ใจในความเป็นอยู่ของข้าพระองค์เลย อยากจะฟังอรรถฟังธรรมในระยะนี้ ๆ พระองค์ทรงเล็งญาณดูปั๊บ สอนทันที นั่นเห็นไหม เมื่อพุ่งเข้ามาแล้วรับทันที ทั้ง ๆ ที่ทีแรกว่าจะบิณฑบาต ทีนี้พอทางนั้นมาเต็มเหนี่ยวแล้ว ทางนี้ก็เปิดออกรับ สอน สำเร็จพระอรหันต์เลย เห็นไหมล่ะ

นั่นละถ้าควรจะออก บิณฑบาตอยู่ก็ออก ทีแรกก็ว่ายังไม่ออก เป็นธรรมดาเหมือนเสด็จบิณฑบาตโปรดสัตว์ทั่ว ๆ ไป แต่ถึงวาระนั้นแล้วเอาไว้ไม่อยู่ธรรมพระพุทธเจ้าผางออกมา กิเลสพัง เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาเลยเห็นไหม นั่นละธรรมที่ควรจะออก ยังไงก็ออกเต็มเหนี่ยวเลย ถ้าไม่ควรออกยังไงก็ไม่ออก เช่น เสด็จไปพักอยู่ที่โรงช่างหม้อเขา ท่านเดินจงกรมของท่าน ก็มีพวกพราหมณ์นั่นแหละไม่รู้ภาษีภาษา เห็นพระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่นั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบแล้วว่าพวกนี้เขาไม่เอาไหน ก็มีแต่ร่างมนุษย์เท่านั้นเอง

พระองค์ก็เดินจงกรมอยู่นั้นทั้งคืนไม่พัก เขาก็อยู่ตามสภาพของเขา พอตื่นเช้าพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์เข้ามา จะเข้ามาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่โรงช่างหม้อ  พอมาก็เห็นพวกนี้เดินสวนทางไป นี่มาจากไหน มาจากโรงช่างหม้อ เอ้อ โรงช่างหม้อมีใครมีอะไรอยู่นั้นไหม เพราะทางโน้นจะมาหาพระพุทธเจ้าที่โรงช่างหม้อ ก็ทราบดีแล้วพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น ถามว่าที่นั่นมีผู้มีคนไหม นั่นเห็นไหมนักปราชญ์ท่านถาม ท่านไม่ได้บอกว่าพระพุทธเจ้าอยู่นั้นท่านไม่ได้ว่า เห็นไหมจอมปราชญ์ เห็นมีสมณะองค์หนึ่งท่านอยู่ที่นั่น แล้วมีอะไรบ้าง ก็ไม่มีอะไรกับท่าน ท่านเดินกลับไปกลับมา ท่านไม่นอนเมื่อคืนนี้ เขาก็ชมเหมือนกันท่านไม่นอน ท่านเดินกลับไปกลับมา

อ๋อ พวกนี้มานี่ หารู้ไม่ว่านั้นคือพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะบอกให้เขาทราบทำไม แม้แต่พระองค์ยังไม่บอกเราจะอวดรู้อะไร ทีนี้ก็เลยพูดแล้วก็ผ่านกันไปไม่บอกไม่พูดอะไรเลย มุ่งไปหาพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเองก็ไม่ได้แสดงพระองค์เป็นศาสดา นั่นถึงเวลาไม่ควรพูด เห็นบุคคลไม่ควรพูดท่านก็ไม่พูด อย่างนั้นนะ พิจารณาซิ นั่นละธรรมเป็นอย่างนั้น ควรจะออกหนักเบามากน้อยจะพอดี ๆ ไม่ว่าจะหนักจะเบาขนาดไหน จะเป็นความพอดีตามเหตุการณ์ทั้งนั้น ๆ จึงเรียกว่าธรรม ไม่มีอะไรเสมอยิ่งกว่าธรรม

นี่ก็จะตายทิ้งเปล่า ๆ นะชาวพุทธเรานี่ มันกลายเป็นชาวผีชาวมูตรชาวคูถ เอาแต่กิเลสพอกหัวมัน ยิ่งใหญ่โตเรียนมามากเท่าไร มียศถาบรรดาศักดิ์สูงเท่าไร ยิ่งเอามูตรเอาคูถพอกหัวมัน พอกหัวมันเข้าจนเมืองไทยเรานี้จะเป็นเมืองมูตรเมืองคูถไปหมดนะเวลานี้ เมืองอรรถเมืองธรรมจะไม่มีติดตัวแล้วนะ มันขนาดนั้นนะเดี๋ยวนี้ ยังเห่ออยู่ อู๋ย ยังทะนงตัวอยู่ มันยังจะเอามาหมดส้วมหมดถานหมดโลกธาตุนี้จะมาพอกหัวเมืองไทยหมด จะไม่มีอะไรเหลือเป็นศีลเป็นธรรมติดเนื้อติดตัว บาปไม่มี บุญไม่มี ผิดไม่มี ถูกไม่มี จะเอาท่าเดียว ๆ นี่คือเรื่องกิเลสตัวมุทะลุเข้าใจไหม มันกำลังจะเหยียบย่ำเมืองไทยเราอยู่เวลานี้ ให้พากันพิจารณา มันอยู่ในหัวใจใด สิ่งเหล่านี้มีได้ด้วยกัน พากันพิจารณาซิ ไม่งั้นจะจมกันหมดนะ

นี่ก็สอนมาเท่าไรจวนจะตายแล้ว ก็รีบเร่งออก ๆ เราไม่ได้สอนเพื่อเอาอะไรกับใครนะ เราพอทุกอย่างแล้ว ออกมาด้วยอรรถด้วยธรรม พุ่ง ๆ มีแต่พลังของธรรม กิเลสตัวไหนมันเก่งให้มาว่างั้นเลยนะ ก็ไม่เคยเห็นมันมาปรากฏผ่านสายตาแม้เม็ดหินเม็ดทราย เป็นเวลากี่ปีมาแล้วก็เคยพูดแล้วนี่ นั่นจึงเรียกว่ามันหมดซิ ถ้ายังค้นอยู่หาอยู่เจออยู่จะเรียกว่ามันหมดได้ยังไง นอกจากนั้นมันก็เป็นภาชนะของธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วพุ่งออกมีแต่ธรรมล้วน ๆ จะหนักจะเบาเป็นธรรมล้วน ๆ เป็นน้ำดับไฟ ๆ ไม่ใช่ไฟเผาโลกนะ กิเลสออกเป็นไฟเผาโลก ถ้าเป็นกิริยาอย่างนี้แล้วเป็นไฟเผาโลกพินาศหมด ถ้าเป็นน้ำดับไฟพึบ ๆ ดับ ให้พากันจำเอานะ เอาละแค่นั้น เหนื่อยแล้ว

วันนี้ไปแบบไหนก็ไม่รู้นะ พอเทศน์จบลงแล้วหายเงียบเลย เราไม่เคยจำได้ เพราะเราไม่เคยเทศน์ด้วยความจำ มีอะไรนี้ออก นี้บอกตรง ๆ เลยอย่างนี้นะ พุ่งออกเลย จะควรหนักควรเบาพุ่งเลย พอจบปั๊บหายเงียบเลย ไม่มีอะไรติดแหละ ไม่ว่าพูดหนักพูดเบาแบบเดียวกันหมด ต่อไปนี้ให้พร…

เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๓ บาท ๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๕ ดอลล์ วันนี้ดอลลาร์ได้ ๑๐๐ แล้วนี่ เมื่อวานนี้ก็ไปดูตึกเขา เขาสร้างตึกไปดูตึกนี้มันตั้ง ๓๐ เตียง อยู่ที่อากาศอำนวย เขาขึ้นสูงแล้ว เวลานี้ตึกสองหลัง โรงเรียนสองหลัง อย่างนั้นแล้วไม่ได้เบานะ เมื่อวานก็มาอีกมาขอตึกอีก โรงพยาบาล อย่างนั้นแหละ ให้พักไว้ก่อนเราจะตายเราว่างี้ ก็มันจะตายจริง ๆ ให้พักไว้เสียก่อน เมื่อวานนี้ก็มาอีกตึกโรงพยาบาล ๆ

นี่ถ้าหากว่าไม่มีธุระจำเป็นก็คงจะกลับวันที่ ๒๓ ไปนี้คอยรอจังหวะดู ถ้าหากว่าไม่มีอะไรเหนือนี้แล้วเราก็กลับตามที่เรากำหนดไว้ แต่ถ้ามีเหตุการณ์มีเรื่องราวอะไรเหนือนี้เราก็จะผ่อนไปบ้างเท่าที่ควรผ่อนได้ แต่ยังไงก็ไม่หลายวันไปคราวนี้ ก็ถือเอางานนี้เป็นที่ตั้ง ถ้าจะปลีกย่อยไปบ้างควรจะอนุโลมได้บ้างก็จะให้เล็กน้อย จากนั้นกลับเลย ถ้าไม่มีอะไรก็กลับวันที่ ๒๓

(ผู้ว่า) โยมวาสนาจะไปนาคำน้อยครับ

ไปวันพรุ่งนี้เหรอ (เที่ยงนี้ครับ) นาคำน้อยก็ดีนี่ นาคำน้อยดี สงัดมากนะ หลวงตาไปบ่อยละ มันเกี่ยวกับโรงพยาบาลอยู่ที่นั่นด้วย ได้ให้โรงพยาบาลนี้เดือนละสองหมื่น เป็นอาหารครัวคนไข้ คือที่ไหนที่มีครัวคนไข้ อาหารไม่พอเราก็ช่วยเสริม ให้เป็นเดือน ๆ เช่น เดือนละหมื่นบ้าง สองหมื่นบ้าง เป็นแห่ง ๆ ไป ที่ไหนพอถูไถได้เราก็ปล่อยไป แต่เวลาเราไปเราต้องนำของไปให้ ๆ เต็มรถไปเลย ไปโรงพยาบาลไหนของต้องเต็มรถ ๆ ไป ปกติโกดังที่เราสั่งของไว้เต็มโกดังนั้นน่ะ ไม่ใช่น้อย ๆ นะ สั่งมา โรงพยาบาลไหนมา ๆ เราจะให้เสมอกันหมด ตบท้ายก็เติมน้ำมันให้ เติมน้ำมันรถให้ทุกคัน ๆ ของให้พอดีกันหมด เป็นแต่เพียงว่าไม่ได้อาหารสด ถ้าเราไปเองนี้ได้ทุกแห่ง คือเราไปเองเราจะสั่งอาหารสดเต็มรถ ถ้ามาเอาเองก็ได้เฉพาะที่เรากำหนด เราสั่งไว้หมดนะ โรงพยาบาลไหนก็ตามให้ได้โรงละเท่านั้น ๆ เสมอกันหมด แต่ไม่ได้อาหารสด ถ้าเราไปได้ทุกแห่ง ไปที่ไหนอาหารสดจัดใส่รถไปเรื่อย ๆ

นี่ที่วัดนาคำน้อยก็เหมือนกัน โรงพยาบาล ที่เราไปบ่อย ๆ ก็เกี่ยวกับทางโรงพยาบาลด้วย เกี่ยวกับทางวัดด้วย ที่เราไปทำกำแพงให้นั้น พังข้างหนึ่งตั้ง ๓๐ กว่าเมตรละมั้ง หน้าฝนปีนี้น่ะ วัดเราก็พัง สูง ๆ นี่นะไม่น่าจะพัง ฟาดไป ๓๐ กว่าเมตรนะ(๓๓ เมตรครับ) นี่ ๓๓ เมตรพังเลยเทียว มันอะไรของมันก็ไม่ทราบ ฝนมันตกมากจริง ๆ ตอนหลวงตายังไม่มาจากกรุงเทพ ท่วมไปหมดเลย ท้องนานี้ขึ้นไปขนาดนี้ เลยพัง อันนั้นละมันพังตอนนั้นละ มันพิลึกนะ น้ำนี่มันหาที่ไหลออกไม่ได้ก็ดันล่ะซี มันตกเท่าไร สองวันสามคืนหรือไง ตกไม่หยุดเลยน้ำจนท่วม จนจะได้ลงเรือเห็นไหมล่ะ เพราะฉะนั้นกำแพงเราถึงพัง ก็พังระยะเดียวกัน

ทีนี้ก็ซ่อมแล้ว พวกกิมก่ายพวกคุณเฉลียวนั่นละเขามาทำศาลาเขามาเห็น เขาเลยซ่อมเสียเลย เรียบร้อยไปแล้ว อันนั้นก็เรียบร้อยแล้วของธรรมอินทร์ เรียบร้อย คราวนี้ไม่ได้ช่วยท่าน คือพูดเป็นสองแง่ไว้ แต่ก่อนกำแพงนี่ผมช่วยร้อยเปอร์เซ็นต์ คราวนี้มันพัง ของผมก็พังเหมือนกัน ก็เอามาปะทะกันล่ะซี ของผมก็พังเหมือนกัน ผมก็จะซ่อมของผมเอง ผมไม่หาเงินจากทางนี้แหละ ทางนี้ก็ซ่อมไม่ต้องไปเอาเงินกับผม ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ผมไม่ให้นะ ให้แบกหามกันไปเถอะ ตกลงท่านก็ไม่มากวนเรานะ ท่านก็เอาของท่านไปได้ เราก็เอาของเราไปได้ ต่างคนต่างเอาตัวรอด คราวนี้ไม่ได้ช่วยกันละ ต่างคนต่างเอาตัวรอด โอ๊ นั่นก็ยาว เรียบร้อยแล้วว่างั้น

เราสงสารสัตว์ เราเคยยุ่งอะไรกับรถนะ แต่นี้ยังซื้อรถให้วัดนาคำน้อยคันหนึ่ง รถปิ๊กอัพเพื่อให้ไปขนพวกเผือกพวกมันตามสวนต่าง ๆ ขนเข้ามาให้สัตว์ในวัดนะ พวกลิง พวกหมู โถ เต็มวัดนะ อาทิตย์ละเท่าไรนะ ท่านบอกว่าซื้อของพอดีกับสัตว์นี้ อาทิตย์ละเท่าไรรถหนึ่ง โห หมดมากอยู่นะ นี่เราซื้อให้คันหนึ่ง ไม่ต้องบอกเราซื้อให้เองเพื่อสัตว์เหล่านี้ ให้เอารถนี้ไปหาซื้อเอาตามสวนตามอะไรเขา ใส่รถเต็มมา นั่นเวลาจะให้ไม่ยากนะ ให้เลย ท่านไม่ได้ขอแหละ ไปเรื่อย ๆ วัดนาคำน้อย (นกเป็ดมีไหมท่านอาจารย์) โอ๊ย เยอะ เต็มละ หน้าหนาวยิ่งมาก ถ้าหนาวเท่าไรยิ่งเต็มหมด เวลานี้ก็เยอะ ถามไปเมื่อเร็ว ๆ นี้มีเยอะ แต่มันไม่ค่อยหนาวเท่าไร ปีนี้จึงไม่ค่อยเยอะเหมือนทุกปี ทุกปีแน่นเลย นกเป็ด นี้ก็เยอะ โห มันร่วมพันว่างั้น นกเป็ดทุกวันนี้นะ ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยหนาวมากเท่าไรก็ร่วมพัน เป็นยังไงล่ะฟังเทศน์วันนี้

มันลอย เหมือนสว่านไชแล้วจะหมุนเข้าไปด้วยกันเลย เหมือนไม่หายใจ คือท่านอาจารย์เทศน์ที่ว่ามาจากจิตของท่านเอง มันไม่มีเว้นวรรคนี่ครับ มันพุ่งออกมาเต็มที่ เราก็ตามกัน ไม่รู้จะพูดยังไง

อย่างนั้นละจิตแท้ธรรมแท้เป็นอย่างนั้น เอาอะไรมาเทียบไม่ได้เลย จิตแท้ธรรมแท้คือหมายความว่า จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว เป็นธรรมแท้ เราจะแยกก็คือว่าเป็นธรรมธาตุล้วน ๆ แล้ว อยู่ในขันธ์นี้ก็อาศัยขันธ์ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้ชื่อว่า เช่น จิตพระอรหันต์ หรือจิตบริสุทธิ์ มันมีขันธ์อยู่ พอจิตพรากจากขันธ์ไปเป็นวิมุตติล้วน ๆ ไม่มีขันธ์เข้าไปเกี่ยวข้องแล้ว ก็เรียกว่า มหาวิมุตติมหานิพพาน หรือเรียกว่าธรรมธาตุ สามอย่างนี้เป็นไวพจน์ของกันได้ แต่ให้ถนัดจริง ๆ สำหรับเราเรียกว่าธรรมธาตุ เป็นธรรมธาตุหมดเลย ธรรมธาตุนี้เวลาอยู่ในขันธ์ก็เอานี้ออกใช้ ๆ พลังของจิตอะไรจะไปเหนือ จึงว่าไม่มีอะไรเกินพลังของธรรม พลังของธรรมเหนือหมด

เวลาพระอรหันต์ท่านหลับ กายท่านคงหลับแน่ พักผ่อน แต่ว่าจิตท่านอยู่ยังไงครับ จิตท่านคงไม่หลับใช่ไหมครับ

เรื่องนอนหลับ ๆ เป็นเรื่องของธาตุของขันธ์ระงับตัวจากกิจการต่าง ๆ รับทราบเรื่องนั้นเรื่องนี้ ได้เห็นได้ยินได้ฟังอะไร ๆ นี้มันระงับหมด เครื่องมือสำหรับรับในวงสมมุติของมันเองเข้าใจไหม มันก็ระงับของมัน เพราะฉะนั้นเวลาคนตายจึงไม่มีญาติมีวงศ์มีพ่อมีแม่มีลูกมีหลาน มีสมบัติเงินทองข้าวของ ไม่มีคำว่ามีว่าจน คนหลับสนิทจะไม่มีอะไรเลย เข้าใจไหมล่ะ พอตื่นขึ้นมาปั๊บมันก็มีละ ทุกสิ่งทุกอย่างจะมาเกี่ยวข้องเป็นธรรมดาเองเป็นเอง พอหลับปั๊บระงับสิ่งรับทราบทั้งหลาย จึงไม่มีอะไรเวลานั้น นี่เรียกว่าขันธ์สงบรับทราบ แต่จิตนั่นท่านเป็น ชาคโร อยู่แล้ว คือตื่นตลอดเวลา ตื่นในหลักธรรมชาติของจิตที่เป็นธรรมธาตุ ท่านไม่มีอะไรระงับไม่ระงับ เรียกว่านิพพานเที่ยง คือจิตดวงนั้นเอง ไม่มีเคลื่อนไหวอะไร อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวไม่ได้เลย เป็นคนละฝั่งแล้ว

เพราะฉะนั้นเวลาเขาว่านิพพานเป็น อนตฺตา มันจึงฟาดหน้าผากเลยทันทีเรา เห็นไหม มึงมาอวดพ่อมึงเหรออยากว่าอย่างนั้นนะ อ้าว มันโมโหนี่ หลับตามาโม้ให้ฟัง ฟาดหน้าผากมันเลย ข้าลืมตาฟังนะจะว่างั้น อย่ามาหลับตาโม้กับข้านะ นั่นละที่ได้ตอบกันในเขื่อนที่ตาก เขามาถามปัญหาตอนเช้าที่เขื่อนภูมิพล จ.ตาก พอตอบตอนเช้านี้ พอค่ำเขาก็ออกทางกรุงเทพทางวิทยุป้าง ๆ จากนั้นมาก็ลั่นไปเลย ก็ไม่เห็นมีใครมาคัดค้านจนกระทั่งป่านนี้ เงียบเลย ไม่มี เอ้า ค้านมาว่างั้นเลย ถ้าอยากหัวแตก ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ก็ไม่เคยมีนะ เรียกว่ายอมรับโดยดุษณีภาพ นิ่ง ๆ ไปเลย ไม่ว่าปริยัติขั้นใดภูมิใด ไม่เคยเห็นมีภูมิใดมาค้านนะ ไม่มีเลย อันนี้ก็เป็นอย่างนั้นละ

อย่างที่ว่านิพพานคือนิพพาน ก็จนกระทั่งป่านนี้ไม่มีใครมาเตะมายันนิพพานว่าเป็นอะไรอีก ว่างั้นเลย ก็เป็นอย่างนั้น

(ผู้ว่า) เป็นโอกาสที่โลกจะได้เห็นธรรมคราวนี้ ได้เห็นธรรมที่กล้าหาญลุกขึ้นแสดงประกาศเปรี้ยงลงไปนี่ไง นี่ผลมันเป็นอย่างนี้ ไอ้ส่วนที่มันมาก่อมากวนที่ว่าของไม่จริงของคนตาบอดแสดง ให้รู้กันบ้าง

อย่างนั้นแล้ว คือธรรมนี้ถ้าพูดถึงเรื่องอำนาจไม่มีอะไรเหนือธรรม ๆ มีอำนาจมากที่สุดเลย เพราะฉะนั้นธรรมจึงเรียกว่า โลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก สมมุตินี้อยู่ใต้ธรรมทั้งนั้น ธรรมนี้เป็นธรรมเหนือโลก สูงกว่าทุกอย่าง

พอพูดอย่างนี้แล้วก็ยังคิดแต่เพียงเราเอามาใช้ย่อย ๆ อย่างนี้นะ เรามาคิดเช่นอย่างท่านอาจารย์ฝั้น นี่ละองค์ที่เด่นทางพลังของจิตนะ รถนี้มันจะวิ่งมาก็ตาม พอกำหนดปั๊บนี้หยุดกึ๊กไปไม่ได้เลย ก็อย่างนั้นแล้ว หยุดกึ๊ก เครื่องบินก็เหมือนกัน นี่เคยพูดให้ฟัง ใจหายนะท่านจะเผลอยังไงไม่รู้นะ คือตอนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตอนนั้นท่านพักอยู่วัดป่าศรัทธารวม โคราช พวกนายทหารเขาวิตกวิจารณ์กลัวสถานีนครราชสีมาจะพัง เขาเลยมาหาท่าน ขอความวิงวอนอาราธนาท่าน ให้ท่านห้ามเครื่องบินไม่ให้เขามาทิ้งที่สถานีรถไฟ สถานีใหญ่ที่นครราชสีมา ท่านจะเผลอยังไงท่านพูดเป็นลักษณะที่ว่าท่านตื่นกลัว ตอนนั้นท่านจะเผลอไปยังไงนะ พอตกกลางคืนดึก ๆ มันจะมาเครื่องบิน มันระเบิดใส่แถวนั้นมันก็แหลกหมดแล้วใช่ไหม  ทีนี้พวกนายทหารเขาก็มา มาขอร้องท่านให้ห้ามเครื่องบิน ไม่ให้มาทิ้งระเบิดแถวนั้น ถ้าทิ้งคราวนี้แล้วหมดเลยเขาว่า

ท่านก็นิ่ง ๆ ท่านไม่พูดอะไร แต่ท่านปลงใจจะห้ามเครื่องบินท่านว่า แต่ห้ามกับเครื่องบินตกมันจะเป็นอันเดียวกันล่ะซี ทีนี้พอตกกลางคืน ๕ ทุ่มกว่าแล้วเป็นเวลาเครื่องบินที่เคยมา ท่านก็ลงไปเดินจงกรมอยู่ที่วัดศรัทธารวม กลางคืน ท่านคอยฟังเสียงเครื่องบินท่านกำหนดอยู่นี้ คือถ้ามาท่านจะเพ่งเครื่องบิน ถ้าเพ่งแล้วมันก็ตก นี่ท่านมาพูดแบบใจหายนะ โฮ๊ย เราทำไมถึงเผลอเอานักหนานะ มันก็เดชะวันนั้นเครื่องบินไม่มาพอดี ถ้ามาพังเลยนั่นฟังซิน่ะ เพราะเราปลงใจแล้ว รับเขาไว้ดุษณีภาพนิ่ง ๆ คือจะปฏิบัติต่อเขาที่จะห้ามเครื่องบิน การห้ามต้องเพ่งท่านว่างั้นนะ เพ่งเครื่องจักรดับมันก็ลงตูมละซีเขาก็ตาย พูดแบบใจหายนะ ทำไมมันไปเผลออย่างนั้นนะจิตท่านว่าอย่างนี้นะ คือท่านมาเห็นโทษของท่าน ก็พอดีวันนั้นเครื่องบินไม่มาเลยท่านว่า ก็เรียกเขาก็ปลอดภัย เราก็ปลอดภัยไม่ไปตกนรกท่านว่างั้นนะ ท่านบอกท่านก็ปลอดภัยไม่ตกนรก เขาก็ปลอดภัยไม่ตาย นั่นละบุญมันดลบันดาล

พิลึกจริง ๆ ท่านอาจารย์ฝั้นนี้เก่งมากถ้าพูดถึงเรื่องกระแสจิต ท่านพูดให้ฟังตอนเผาศพหลวงปู่มั่นเรานี้นะ ตอนนั้นเขามารับจ้างให้คนขึ้นเครื่องบิน ๒ นาทีต่อ ๔๒ บาท เขาก็มานิมนต์ท่านไปขึ้น เขาไม่ให้จ้างแหละท่านก็ไม่คิดอยากขึ้นอะไร เวลานี้กำลังว่างเขามาเปิดโอกาสให้รับจ้างให้คนขึ้นนี้แหละ ท่านอาจารย์ไม่ต้อง ให้ขึ้นสะดวกสบายไปเที่ยวดูที่นั่นที่นี่บ้าง มานิมนต์ท่านเลยไปท่านว่านะ ไปเขาก็ไม่ได้ไปธรรมดาตั้งเกือบ ๓๐ นาทีไปหมดถึงอุบลฯ ไปหมดแถวภาคอีสานนั่นน่ะ พาท่านตระเวน ท่านก็ดูนั้นดูนี้ไป บทเวลาท่านจะพูดนะ แต่เรื่องเครื่องนี้ท่านจะไม่ให้จิตเข้าท่านว่างั้นนะ คือมานี้ก็ให้ผ่านเหมือนว่าดูนั้นดูนี้ใช้กระแสดูธรรมดานะ พอผ่านเครื่องก็ผ่านไปธรรมดาเหมือนทั่ว ๆ ไป เครื่องบินเขาก็ไปของเขา ถ้าจ่อเข้านั้นไม่ได้ พังทั้งเขาทั้งเราท่านว่างี้นะ อย่างนั้นละอำนาจของจิตท่าน เขาพาไปตั้ง ๓๐ นาที นู่นอุบงอุบลที่ไหนไปหมด จนกระทั่งเขาพาลงเองว่างั้น แล้วท่านว่าเครื่องบินเครื่องนี้จะไม่เข้าเลยจิต จะผ่านธรรมดา ถ้าธรรมดาก็เป็นธรรมดา ถ้าจ่อปั๊บพุ่งเลยท่านว่างั้นนะ

นั่นอำนาจของจิตฟังซิ ท่านอาจารย์ฝั้นนี้เก่งละ เรื่องของจิตนี้เก่งพลังจิต ท่านอาจารย์ลีองค์หนึ่งที่เด่น นี่ก็เก่งเพ่งจิตพลังของจิตเก่ง ทางท่านอาจารย์ฝั้นนี้เพราะได้คุยกันบ่อยจึงได้ฟังละเอียดลออ เวลาพูดกันถึงเรื่องพลังของจิตท่าน เรื่องเครื่องยนต์กลไกเครื่องไหนก็เถอะท่านว่างี้นะ ไม่มีอะไรจะทนพลังของจิตได้ สำคัญอันนี้นะ ไม่ว่าจะเครื่องยนต์กลไกอะไรก็ตาม ไม่มีอะไรจะทนพลังของจิตได้ พลังของจิตเข้าปุ๊บเดียวพังเลยท่านว่างั้น นี่ความรุนแรง นั่นซิจึงว่าไม่มีอะไรเกินธรรมใช่ไหมล่ะ ท่านพูดออกจากหัวใจท่านเอง ท่านไม่แน่ท่านพูดได้ยังไงใช่ไหม มันถึงน่าฟังนะ อย่างที่ว่าตั้งหน้าไปแล้วจะไปเพ่งเครื่องบินนั้นนะ มันดลบันดาลวันนั้นเครื่องบินไม่มา ถ้ามาพังท่านว่างั้นนะ มันเผลอยังไงก็ไม่รู้นะ ท่านพูดลักษณะตื่นเต้นตกใจนะ มันเผลอยังไงก็ไม่รู้นะท่านว่า มารู้เอาทีหลัง ท่านว่างี้แหละ ถ้าเกิดมาวันนั้นพังทั้งเขาทั้งเราท่านว่า ไม่มีชิ้นดีเลยนะ

มันเกิดขึ้นเองหรือว่าเป็นผลจากการที่ได้อบรมมาหรือที่พิจารณา เกิดขึ้นได้ยังไงพลังอันนี้ ไม่เหมือนกันใช่ไหมครับ

มันจะไม่เกิดได้ยังไง ตั้งแต่เราหัวปั๊บลงหมอนนี้ดังเสียครอกแล้วมันยังเกิดจะว่าไง อันนั้นมันจะไม่เกิดได้ยังไง หัวลงถึงหมอนหรือไม่ถึงก็ไม่ทราบ พลังมันขึ้นแล้วดังครอก ๆ มาถามมันไม่อยากตอบ เรียกว่าฟ้ากับดินมันห่างกัน คำถามมากับคำที่จะตอบ เพราะฉะนั้นจึงโยนหมอนเสียดีกว่า คือเหล่านี้เป็นเครื่องใช้ ที่พูดเหล่านี้เป็นเครื่องใช้ตามนิสัยวาสนา คนผู้ทำความปรารถนามาเริ่มแรกที่จะตั้งความปรารถนา ตั้งอะไร ๆ บ้าง สมมุติว่าจุดสุดท้ายก็คือมุ่งเป็นพระอรหันต์ด้วยกัน เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วยังคิดอยากได้อย่างนี้ มีนิสัยวาสนาหนักทางนั้นดีทางนั้นเด่นทางนี้ นั่นเป็นของปลีกย่อย ครั้นสำเร็จมาแล้วท่านจึงเป็นไปตามนั้น จึงไม่เหมือนกันมันเป็นอย่างนั้น ก็เหมือนอย่างสวนของเรานี่ เราทำสวนนี่ บางคนก็ปลูกชนิดเดียวหรือสองชนิดแล้วกัน บางคนฟาดมันเต็มสวนเลย แล้วแต่ใครอยากได้อะไรก็ปลูกไปตามเรื่อง อันนี้มันก็แบบเดียวกัน เวลาสำเร็จแล้วก็เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นจึงได้พูดถึงว่า พระพุทธเจ้าทรงตั้งเอตทัคคะแก่พระสาวก ๘๐ องค์นั้นท่านเล็งญาณดูแล้ว องค์นี้เคยตั้งความปรารถนามายังไง ผลเป็นยังไง เด่นยังไง ท่านก็ตั้งตามนั้น ๆ ท่านไม่ได้ตั้งสุ่มสี่สุ่มห้านะท่านเล็งญาณดูเสียก่อน เล็งญาณดู ๆ เพราะฉะนั้นเวลาพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม ได้ทรงทำนายใครแล้วนั้น เรียกว่าลบไม่สูญเลย เช่น คนนี้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า กำลังเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิจะเป็นพระพุทธเจ้าข้างหน้า พระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณดูแล้วยืนยันแล้วว่านี้ ในกัปนั้นกัลป์นั้นเธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าอย่างนั้น แล้วสาวกข้างซ้ายชื่อว่าอย่างนั้น ข้างขวาชื่อว่าอย่างนั้น นี้ยังไงก็ลบไม่สูญเลย แน่แล้วนั่น จะต้องถึงจุดนั้นเลย ถ้ายังไม่ได้ทรงทำนายแล้วพลิกได้นะ คือจะไปนี้ยังไม่ถึงไหนเลย ปลีกออกเสียจากพุทธภูมิไปเป็นสาวกภูมิก็ได้

อันนี้ก็ยกตัวอย่างเช่นหลวงปู่มั่นเรา ท่านเคยเล่าให้ฟัง ทีแรกท่านปรารถนาเป็นพุทธภูมิท่านว่างั้นนะ เพราะฉะนั้นลวดลายของท่านจึงมี ความรู้ความฉลาดนี้เป็นลวดลายของพุทธภูมิยังติดอยู่ในนั้นนะ ทีนี้เวลาท่านพิจารณาพอจะเข้าได้เข็มทีไร เรื่องพุทธภูมิผ่านมาแล้วท่านว่างั้นนะ จิตพอจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร มันจะพุ่งทีไร พุทธภูมิจะผ่านเข้ามา ๆ ก็ทำให้อาลัยเสียดายพุทธภูมิ ถอยเสียท่านว่างั้นนะ พอกำหนดเข้าไปที่จะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร เรื่องพุทธภูมิจะสวนกันเข้ามาเลย เสียดายพุทธภูมิก็ถอยเสีย ทีนี้หลายครั้งต่อหลายครั้ง เอ๊ ว่าเป็นพุทธภูมิก็ไม่ได้ประมาทพระพุทธเจ้า ความสิ้นกิเลสสิ้นด้วยกัน เป็นแต่เพียงทำประโยชน์ให้โลกได้มากน้อยต่างกันกับสาวกเท่านั้นเอง เราได้แค่นี้เราก็เอาละ  เราไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าก็ตาม ขอให้จิตบริสุทธิ์อย่างเดียวแค่นี้ก็เอาละ

พออย่างนั้นท่านก็ขอหยุดอธิษฐานเป็นพุทธภูมินะ จากนั้นจิตก็พุ่งเลยท่านว่า อย่างนั้นแล้ว อารมณ์อันนี้ไม่ครอบ นี้คือยังไม่ได้รับลัทธพยากรณ์ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งยังไม่พยากรณ์ ถ้าลงได้พยากรณ์แล้วยังไงก็ลบไม่สูญเลย พุ่งถึงนั้นเลย ถึงจุดนั้นเลย เรียกว่าลบไม่สูญ ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน ถ้ายังไม่ได้ทำนายนี้มันเอียงได้ เอียงนั้นเอียงนี้ไปได้ อย่างหลวงปู่มั่นท่านเล่าให้ฟัง เพราะฉะนั้นนิสัยพุทธภูมิของท่านจึงมีอยู่ ลวดลายของพุทธภูมิยังมี ความรู้ภายนอกภายในอะไรนี้คล่องแคล่วทุกอย่าง เรื่องจิตรวมฟาดนี้เหาะเหินฟ้า ใครจะเก่งยิ่งกว่าท่านอาจารย์มั่นวะ พึบนี้ลงพื้นปฐพีพึบไปเลย ผึงนี้ก็ขึ้นเลย อันนี้ท่านเล่าให้ฟัง จนกระทั่งท่านอาจารย์เสาร์ท่านว่า ท่านนี่มันผาดโผนเกินไป

ท่านอาจารย์เสาร์ท่านไม่ค่อยชอบพูด ท่านปรารถนาพระปัจเจกภูมิแต่ท่านก็พลิกอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้นนิสัยท่านจึงไม่ชอบพูด นั่งที่ไหนเหมือนหัวตอไม่พูดไม่คุยกับใครเลย ถ้าจะพูดก็ เออ พากันทำบุญนะ บาปมันเผาหัวเด้ เท่านั้นแหละไม่มาก บาปมันเผาหัวทั้งนั้นแหละ บุญเป็นความสุข เท่านั้นท่านไม่พูดมาก เป็นพระปัจเจก ทีนี้เวลาท่านอาจารย์หลวงปู่มั่นเรานี้เล่าเรื่องภาวนาสู่ท่านฟัง เล่าภาวนาทีแรกก็ฟาดไปแต่เรื่องปีติเรื่องตัวลอย สำหรับท่านหลวงปู่เสาร์นี้พอนั่งภาวนานี้ตัวลอยขึ้น ๆ ลอยทีแรกขึ้นไปได้เมตรหนึ่ง พอรู้สึก เอ๊ นี่เหมือนตัวลอย ลืมตาขึ้นมาจิตมันปล่อยหมดมันก็หนัก ตูมลงเลย เจ็บเอว โหย ตั้งหลายวันท่านว่า

คือมันเป็นทีแรกท่านสงสัย เอ๊ นี่ทำไมมันเหมือนตัวลอยน้าท่านว่างั้น เหมือนว่าตัวลอยขึ้น ๆ เลยลืมตาขึ้น ลืมตามันสูงจริง ๆ เลยตกใจ จิตเลยออก ออกก็ตูมเลยซี มันไม่มีกำลังพยุงใช่ไหมล่ะ ตั้งแต่นั้นมาท่านเลยทดลองใหม่ เอาใหม่ ทีนี้ท่านเอา เช่นอย่างท่านเอาเศษไม้หรือเอาอะไรไปเหน็บไว้ เพื่อความแน่นอนท่านว่า พอมันลอยขึ้นไป คือพยุงจิตไว้นะ นี่ละถ้ามันเจ็บแล้วต้องเข็ดเข้าใจไหม ต้องพยุง ทีนี้พยายามดูพอขึ้นไป ๆ ไปถึงหญ้า พอถึงหญ้าแล้วท่านก็เอามือคลำ จับเอาอันนี้ออกมาแล้วท่านค่อยลืมตา จิตท่านก็ยับยั้งเอาไว้นะไม่ปล่อย ถ้าปล่อยก็ตูมเลย ค่อยพยุง ๆ แล้วค่อยลง ๆ กึกถึงพื้น นี่พลังของจิตพยุงไว้ ถ้าปล่อยอย่างที่ท่านตกใจนั่นนะพอขึ้น โอ๊ย มันตก พอว่างั้นจิตมันออกหมดทั้งตัวมันก็ตูมเลย จากนั้นมาท่านก็พยุง

นี่ท่านพูดถึงเรื่องจิตของท่าน จิตของท่านเป็นอย่างนี้นะ จิตของผมมันไม่เป็นอย่างนั้นว่างั้นนะที่นี่ มันเป็นยังไงเราว่า โอ๊ย เวลามันลงนี้ฟาดนี้ทะลุแผ่นดินนี้ไม่มีเหลือพุ่งลงเลย พื้นพิภพพิเภ็บที่ไหนก็ไม่ทราบ เวลามันขึ้นก็พุ่งเลย โอ๊ย มันพิลึกท่าน ท่านไม่พูดมากละ พิลึกท่าน ท่านพูดอย่างนั้นนะ จิตของผมยังไม่เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้แหละว่า จิตของท่านมันพิลึกท่านว่า นี่คือความผาดโผนของจิตหลวงปู่มั่นเรานี้ไปแบบหนึ่ง ส่วนหลวงปู่เสาร์นี้ก็ไปอย่างนั้นแหละ ไปเรียบ ๆ  นี่ก็อัฐิเป็นพระธาตุเหมือนกันนะ หลวงปู่เสาร์อัฐิก็เป็นพระธาตุ หลวงปู่มั่นก็เรียกว่าเป็นมาแล้ว นั่นก็เป็นตั้งแต่นู้นแหละ ตั้งแต่มรณภาพแล้วทีแรก หลวงปู่เสาร์ก็เป็นเหมือนกัน ท่านเป็นคู่กันนะไปที่ไหนไปด้วยกัน ท่านติดกันมาแต่นู่นแหละ นี่ละสององค์นี้เบิกกรรมฐานเรานะ จากนั้นก็หลวงปู่มั่นเป็นผู้เบิกจริง ๆ เบิกกรรมฐาน จึงได้มีร่องรอยมาจนกระทั่งทุกวันนี้มาจากหลวงปู่มั่นเรา

วันนี้วันเสาร์เพราะฉะนั้นคนจึงมาก เราด้อม ๆ ออกไปเมื่อเช้านี้ ตอนเงียบ ๆ พระออกบิณฑบาตใหม่ ๆ เห็นว่าคนเงียบ ๆ เลยด้อม ๆ ไปดูศาลาเขาสร้าง ไปเห็นคนเต็มอยู่นี้เลยหลบไปทางนี้เดี๋ยวแล้วกลับเข้ามาเลย ทีแรกว่าจะไปดูนั่น คนมากเลยไม่ไป ไม่ได้คิดว่าเป็นวันเสาร์ วันเสาร์-วันอาทิตย์คนมาก ตอนเช้ามามากอยู่เสมอ พระวัดนี้มีมากตลอดนะ ๔๐-๕๐ ตลอด ต้องกดเอาไว้ไม่งั้นไม่ได้ มาเรื่อย พระเก่าอยู่นี้ออกไปเที่ยววิเวก พระใหม่ก็สวมเข้ามา ๆ ที่อยู่ในวัดนี้ที่ไม่ฉันเยอะนะ อยู่ในนี้ไม่ใช่น้อย ไม่น่าจะต่ำกว่า ๑๐ แหละ อย่างนี้เป็นประจำ

ส่วนมากวัดนี้ท่านไม่ค่อยฉันจังหันนะ ก็เลยเดินตามรอยเราที่เราเล่าให้ฟัง เราบอกว่านี่ไม่ใช่คำสั่งไม่ใช่คำสอน เป็นคำบอกเล่าธรรมดาที่ได้ปฏิบัติมา ตามจริตนิสัยของผู้บำเพ็ญเราก็ว่างั้น ในธุดงค์ ๑๓ เป็นแบบตายตัว บางอย่างไม่มีในแบบนั้นก็ตาม แต่เป็นความถูกต้องแล้วก็เรียกว่าเป็นธรรมด้วยกัน เช่น อดอาหารท่านก็ไม่มีในธุดงค์ ๑๓ แต่มีอยู่ในบุพพสิกขา ก็เห็นอยู่นี้นะ คือการอดอาหารท่านมีแยกไว้สองภาค อดอาหารมีในบุพพสิกขา บุพพสิกขาด้านหนึ่งเป็นวินัยด้านหนึ่งเป็นธรรมท่านอธิบายไว้เรื่องธรรม ไปเห็นในบุพพสิกขาว่า ถ้าอดอาหารเพื่อโอ้เพื่ออวดแบบโลก ๆ แบบหยาบทรามว่างั้นเถอะ ปรับโทษทุกอิริยาบถความเคลื่อนไหว ปรับโทษตลอดเลย อันนี้ห้ามเด็ดว่างั้นเถอะ ถ้าอดเพื่ออรรถเพื่อธรรม บำเพ็ญความพากเพียรแล้วอดเถิดเราตถาคตอนุญาต นี่ท่านก็บอกอย่างนั้นเลย

แล้วก็ทรงชมเชยกับการฉันน้อยอีก เวลาพระสาวกเข้ามาเฝ้าท่าน มาพูดถึงเรื่องการโคจรกับบิณฑบาต เหมาะสมกันดีกับท่านไปบำเพ็ญสมณธรรมในที่นั้นท่านว่างั้นนะ ฉันอาหารแต่น้อย ๆ มีบ้างไม่มีบ้างท่านสะดวกสบายว่างั้น พระมาเล่าถวายท่านนะ เอ้อ ใช่แล้วเราตั้งแต่มีมากเราก็ไม่ได้ฉันมากท่านว่างั้นนะ มีมากก็ตาม ธาตุขันธ์เราพอดิบพอดียังไง เราฉันแต่น้อยเพียงเท่านั้น ถ้ามากกว่านั้นธาตุขันธ์ไม่สะดวก เราตถาคตมักจะฉันแต่น้อย ๆ อันนี้ก็มีในธรรม เรียกว่าท่านชมเชย การผ่อนอาหารอดอาหารนี้ท่านชมเชยถ้าอดเป็นธรรมนะ ถ้าอดเพื่อโอ้เพื่ออวดนี้ปรับโทษตลอดเลย นี้ท่านก็ห้ามขาดไว้แล้ว อันนี้ไม่มีในธุดงค์แต่ก็มีในที่อื่น ทรงอนุญาตเหมือนกัน

นี่ก็เหล่าให้หมู่เพื่อนฟัง ว่าสำหรับผมเองผมก็เคยทำในธุดงค์ ๑๓ เช่นอย่างอดนอนนี้ผมก็เคยอด คือเนสัชชิแปลว่าอดนอนเป็นกี่คืนก็แล้วแต่เจ้าของตั้งสัจจอธิษฐานแล้วภาวนา ถ้าดีในทางอดนอน องค์นั้นก็มักจะชอบอดนอนไปบ่อย ๆ  ดีในทางไหนก็มักเป็นอย่างนั้น แต่เรานี้ลองดูแล้วอดนอนไม่เป็นท่านะ ไม่ทราบว่ากี่คืน ๓ คืน ๔ คืนก็เราทื่อไปหมดเลย อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ แทนที่จะมีสติสตังคล่องตัวกลับไม่มี ไม่เอา พลิกใหม่ มาผ่อนอาหารลองดู แล้วผ่อนอาหาร เอ๊ ชอบกลดี เอ้า อด พออดปั๊บอ้าวดีขึ้น ๆ เอาอด พอได้จับนี่แล้วเลยไม่ปล่อย นี่เรื่องราวมันนะ ตั้งแต่ออกปฏิบัติจับอันนี้ได้แล้วก็ไม่ปล่อยเลย มักจะผ่อนกับอด ๆ ส่วนมากมีแต่อด ภาวนานี้ โห มันจะเหาะเหินเดินฟ้านะ ร่างกายเราอ่อนเท่าไร ๆ จิตมันยิ่งผึง ๆ นี่ซิมันเถียงกัน

บางทีถึงขนาดออกมานี้เรียกว่ากิเลสเกิดนะ กิเลสเกิด-เกิดยังไง บางทีบิณฑบาตในหมู่บ้านเขายังไม่ถึงหมู่บ้านทั้ง ๆ ที่เรากำหนดไว้แล้วว่าถ้าเลยวันพรุ่งนี้ไปแล้วไปบิณฑบาตน่ากลัวจะไม่ถึงบ้านเขา มันไกลและเหนื่อยมากคนอดอาหารหลายวันถึงบิณฑบาตมาฉัน ถึงขนาดนั้นพอไปถึงกลางทางไปไม่ไหวแล้ว ไปนั่งพอนั่งอยู่ได้สักเดี๋ยวขึ้นเลยนะเงียบ ๆ ก็จิตกับสติมันอยู่ด้วยกัน ขึ้นเป็นการขู่ว่างั้นเถอะน่ะ นี่เห็นไหมท่านอดอาหารเพื่อจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายก่อนรู้ไหมว่างี้นะ มันขึ้นนะ นี่เรียกว่าขู่เราให้เราอ่อนแอทางกำลัง ทางนี้ก็ขึ้นรับกันเลย การกินนี่ก็กินมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งป่านนี้ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงนี้จะตายหรือ เอ้า ตายก็ตายซี มันแก้กันผึงเลย นี่เรียกว่าธรรมเกิด

ทีแรกกิเลสเกิดคัดค้านต้านทานเราให้อ่อนแอ ทีนี้ธรรมเกิดก็อย่างว่า กินมาตั้งแต่วันเกิดไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอ้า ตายก็ตายซี มันก็พุ่งรับกันมันก็ผึงตามเดิม ทีนี้เวลาเราอดอาหาร โอ๋ย ผู้ภาวนาที่ถูกกับอันนี้ไม่ต้องมีใครบอกมันรู้เองนะ เราอดอาหารหลายวันไปเท่าไร ไอ้ส่วนง่วงนอนนี้มาจากอาหารรู้ด้วยกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าอาหารดิบ ๆ ดี ๆ แล้วนอน โอ๋ย ไม่อยากลุกขี้เกียจก็มากด้วยนะ ถ้าอาหารไม่ค่อยดี นั่นท่านว่าอาหารสัปปายะ คือเป็นความสะดวกสบายแก่ร่างกายก็ไม่กำเริบเสิบสานและสะดวกแก่การภาวนาคล่องตัว นี่เรียกว่าอาหารสัปปายะ ทีนี้เวลาเราอดอาหารมาหลาย ๆ วัน อดวันหนึ่ง วันสองยังมีง่วงอยู่บ้างนะ ง่วงหลับง่วงนอน พอถึงวันสามวันสี่ไปแล้วหายเงียบเลย นั่งนี่เหมือนหัวตอ จิตนี้แน่ว ถ้าพูดเรื่องสมาธิก็แน่ว ถ้าพูดถึงเรื่องปัญญานี้คล่องตัว ๆ

มันดีทุกอย่างเรื่องอดอาหารสำหรับเราเองนะ เราไม่ได้พูดทั่วไป ถ้าอดอาหารแล้วมันดีทุกอย่าง ทางสมาธิก็ละเอียดทางด้านปัญญาคล่องตัว ๆ ไม่ว่าขั้นไหนของสมาธิขั้นใดของปัญญามันจะเสริมทุกขั้นทีเดียว เพราะฉะนั้นเราถึงปล่อยไม่ได้ ถึงขนาดว่าท้องเสียมาตั้งแต่พรรษา ๑๐ ออกพรรษา ๗ ซัดอยู่ ๓ ปีท้องก็เสีย นั่นเริ่มอดอาหารแล้ว ทีนี้เวลาเราอดไปเท่าไรธาตุขันธ์มันอ่อนลง ๆ ทีนี้มันก็ทะเลาะกันละซี ธาตุขันธ์ก็จะตาย ก็จะไปฉัน อันนี้ถ้าไปฉันให้แล้วเหมือนรถบรรทุกของหนัก แน่ะเป็นอย่างนั้นนะ อืดอาดไม่คล่องตัว ทางจิตไปอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นมันถึงได้ทะเลาะกัน แต่เราเป็นผู้พิพากษาเองจะยากอะไร ก็อดบ้างอิ่มบ้างนั่นแหละดี เท่านั้นพอ มันจะตายจริง ๆ ก็บิณฑบาตให้ฉันเสีย พออยู่ได้ก็อยู่ไป นี่เรียกว่าเราตัดสินเอง อดบ้างอิ่มบ้างแหละดี เอาตรงนั้นเสีย

วันนี้ตั้งเกือบ ๑๐ โมง เพราะวันนี้ไม่ตั้งใจจะไปไหน เลยนั่งอยู่นาน ถ้ามีธุระจำเป็นจะไปก็พุ่งเลย วันนี้ไม่ค่อยมีธุระจะไปไหน ออกนี้ก็เข้าทางจงกรม มาก็พักนิดหน่อยพอสมควรแล้วก็ออกไปสนามบิน ไปนี้กะว่าคนจะมากแหละ เทศน์ก็ให้ได้สัดส่วนกับผู้มาฟัง ๆ พระมีมากขนาดไหนประชาชนขนาดไหน มันจะแบ่งสัดแบ่งส่วนของมันให้พอดิบพอดี ทางพระก็ไปธรรมะประเภทหนึ่ง ทางโยมก็ไปประเภทหนึ่ง มันหากไปของมันเอง เราไม่อยากพูดมาก ใครจะไปรู้ยิ่งกว่าเรารู้เราวะว่างี้พอดี มันเป็นของมันเองเรื่องอย่างนี้ เราสงสารพระอยู่มากนะ

เมื่อเช้านี้พูดถึงเรื่องการก่อสร้างก็ยังไม่จบก็เลยเตลิดไปนะ รุกฺขมูลเสนาสนํ แล้วไปใหญ่เลย การก่อสร้างเป็นข้าศึกต่อการภาวนามากเท่าไร มาก ครั้งพระพุทธเจ้าท่านไม่สนใจการก่อสร้างนะ เห็นที่สร้างนางวิสาขาสร้างวิหารหลังหนึ่งถวายพระพุทธเจ้าชื่อบุพพาราม อันนั้นท่านรับสั่งให้พระโมคคัลลาน์มาเป็นผู้คอยดูแล พระโมคคัลลาน์ก็เป็นพระอรหันต์จะเสียหายอะไรใช่ไหม ท่านก็เป็นผู้คอยมาดูแลแนะนำพวกช่างเท่านั้นเองนอกนั้นไม่เห็นมี ไปที่ไหนเป็นยังไงอยู่ป่านั้น เป็นยังไงอยู่เขาลูกนั้น เป็นยังไงอยู่ถ้ำนั้นภาวนาเป็นยังไง ๆ ท่านว่างั้นนะ ในตำราเปิดไว้อย่างนี้เลย ไม่ได้ว่าตรงนั้นกุฏิใหญ่ขนาดไหน วิหารใหญ่ขนาดไหน ท่านไม่เห็นพูด ศาลากี่ชั้นกี่ห้องกี่หับท่านไม่เห็นถามหา มีแต่เป็นยังไงภาวนา ๆ นั่น จิตมันเป็นยังไง ทางนั้นก็ทูลออกมาถวายธรรมะออกมา ท่านก็แก้ปั๊บ ๆๆ ไล่เข้าป่า ๆ อย่างนั้นตลอดเวลา

นี่ผู้ท่านเสาะแสวงหามรรคหาผลท่านไม่ได้หรูหราข้างนอก แต่ท่านหรูหราในศีลสมาธิปัญญาของท่าน เรื่องมรรคผลนิพพานหรูหรา ๆ สว่างจ้าภายใน ข้างนอกอยู่ที่ไหนอยู่ได้สบาย อยู่ง่ายกินง่ายนอนง่ายไปง่าย ไม่มีใครเกินผู้มุ่งธรรม ถ้ามีธรรมในใจไม่ยุ่งยากนะ ไม่ว่าฆราวาสประชาชนญาติโยมและพระนะ ถ้าใครยุ่งยากมากคือว่ากิเลสมันหนามากมันจะตาย ไม่รู้จักตายเลย ได้เท่าไรไม่พอ ๆ ลืมเป็นบ้าไปตลอดป่าช้าไม่มี เวลาตายก็นิมนต์ไปกว้านเอาพระมา กุสลา ธฺมมา ถ้ามาหาหลวงตาบัวฟาดหน้าผากมันเลยเข้าใจไหมล่ะ เอาละไปละพอ เลยไม่ลุกสักคนถ้าเราไม่ลุกเสียอย่างเดียว วันนี้ก็นานอยู่นะเทศน์วันนี้ โถ ไม่ใช่เล่นนะชั่วโมงกว่าตั้งแต่เราเริ่มพูดนะ ๔๕ นาที นี่มันฟาดถึง ๕๕ นาทีแล้ว ชั่วโมงกับ ๕ นาทีแล้ว

 

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก